Monday, 9 June 2025
NewsFeed

‘กูอัสมาดีซัม-กูอัสมาวีซัม’ สองพี่น้องผู้สร้างอนาคตจากทุน กสศ. พร้อมฝันใหญ่ สร้างสะพานแห่งโอกาส ส่งต่อสู่เด็กด้อยโอกาส

(27 ส.ค. 67) นายภัทระ คำพิทักษ์ อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pattara Khumphitak' ในหัวข้อ 'คนหนุ่มผู้กำลังจะสร้างสะพาน' ระบุว่า...

สองหนุ่มหล่อนี้คือ กูอัสมาดีซัม อัครเสณีย์ และ กูอัสมาวีซัม อัครเสณีย์ สองพี่น้องฝาแฝด ผู้สร้างอนาคตได้อย่างน่าทึ่ง

ทั้งสองคน ฝ่าฟันความยากไร้ โดยรับทุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อใช้เรียนในสายอาชีวะระดับปวช.และปวส. 

กสศ.ให้ทุนแก่นักศึกษาระดับปวช.และปวส.เดือนละ 7,500 บาทแก่เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสทั่วประเทศกว่า 13,000 คนมาแล้ว 5 ปี เพื่อให้พวกเขาได้ยังชีพและเล่าเรียนจนจบแบบให้เปล่า 

กูอัสมาดีซัม และ กูอัสมาวีซัม เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส โดยใช้ความอดทนในช่วงเวลาสามเดือนที่กว่าเงินทุนจาก กสศ.จะตกมาถึงในครั้งแรก โดยใช้เงินที่แม่ส่งมาให้อาทิตย์ละ 200 บาท ไปซื้อบะหมี่สำเร็จรูปมายังชีพ

พอ 12 สัปดาห์ ผ่านไป เงินทุนตกเบิกย้อนหลังรวมกันคูณสองค่อยเดินทางมาถึง แต่แทนที่จะใช้เงินนั้นไปทำอะไรที่ชดเชยความยากลำบาก พวกเขากลับเอาเงินที่ได้ไปซื้อวัวมาให้ที่บ้านเลี้ยง

จากวัวเล็กๆ มาเป็นวัวสมบูรณ์พร้อมขาย จากนั้นกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนก็ขยายออกไปเป็นแพะ เป็ด ไก่ ฯลฯ 

สุดท้ายได้ยินว่า พวกเขาสามารถซื้อที่ดินผืนติดกันขยายบ้านออกไปอีก

แบบนี้จะไม่เรียกว่า สร้างอนาคตได้อย่างน่าทึ่งได้อย่างไร

“จุดเริ่มต้นของความเสมอภาคคือ การวางรากฐานของตนเอง 

"ผมเป็นเด็กสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมอยากทำความฝันของตัวเอง แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะครอบครัวไม่สามารถส่งผมเรียนได้ แต่ทุนของ กสศ.ได้มอบโอกาสให้ผมในวันนั้น จนถึงวันนี้ 

"ผมได้ใช้ทุนที่ได้รับ มาหมุนเวียนในชีวิต ซื้อวัว ซื้อแพะ เป็ด ไก่ ทำให้ผมอยากมอบโอกาสดีๆ แก่เด็กด้อยโอกาส เด็กไร้การศึกษา เด็กห่างจากการศึกษาโดยเปิดศูนย์การเรียน ให้เด็กเหล่านั้นมีรายได้ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี" กูอัสมาดีซัม พูดบนเวทีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

น้องใช้เวลาสั้นมาก ไม่น่าเกิน 5 นาทีบอกเล่า เรื่องราวในหนทางอับแสง มองไม่เห็นแหล่งที่จะไปในโลกของการจะสร้างตัวขึ้นมาด้วยการศึกษาเล่าเรียน การงมหาบันไดขั้นแรกในความมืด ไปจนถึงภาพฝันในอนาคต

ถ้อยคำสั้นๆ ที่เขาแบ่งปันภาพอนาคตต่อคนฟังในห้องโถงนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไรไม่ทราบ แต่ลำคอผมตีบตันไปชั่วขณะ

ถ้อยคำของน้อง น่าจะเป็นกำลังใจให้ผู้คนทั้งปวง คนใน กสศ.และคนรุ่นต่อๆ ไป แต่สำหรับคนที่มีส่วนร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมทำกันมาบนเส้นทางนี้ คงไม่ต่างอะไรกับการได้เห็นลูกหลานของตัวเองเติบใหญ่ เจริญรุ่งเรืองและบรรลุแล้วซึ่งเป้าหมายของการร่ำเรียน 

เป้าหมายของการศึกษาและการเรียนรู้จะมีอะไรสำคัญกว่า สามารถทำให้ตัวเราเองยืนตัวขึ้นได้ ค้นพบศักยภาพของตัวเอง นำศักยภาพนั้นมาช่วยตัวเองและครอบครัว แล้วไปช่วยชุมชนและสังคม พร้อมกันนั้นก็ขัดเกลาจิตใจตนเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ 

จนเป็นมนุษย์ที่เป็นไทยที่แท้จริง

ตอนนี้ ดี-กูอัสมาดีซัม และ วี-กูอัสมาวีซัม เพิ่งจะเข้าเรียนปีหนึ่งในระดับปริญญาตรี ที่เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช แต่ผมไม่กังขาเลยว่า วันหนึ่งพวกเขาจะทำความฝันสำเร็จหรือไม่ และจะมีคนได้เดินข้ามสะพานที่พวกเขาจะลงแรงปูมันขึ้นมาหรือไม่

ผมได้ยินเรื่องราวสองหนุ่มนี้มาก่อนโดยไม่เคยเจอตัวจริง เพิ่งมาเห็นตัวจริงเอาตอนเขาอยู่บนเวที ส่วนผมนั่งชื่นชมน้องอยู่แถวหลังห้อง ไม่ได้ไปอยู่แถวหน้าเพราะเกรงพิธีรีตอง แต่โชคดีหลังงานจบน้องทั้งสองเดินมา จะด้วยจังหวะ วิถีหรืออะไรไม่รู้ เราเดินเข้าทางกัน ยิ้มให้กัน และหยุดคุยกัน

น้องถามผมว่า ทำอะไรอยู่ที่ไหน จากนั้นเลยได้คุยกันยาว

“ผมมีความตั้งใจว่า วันหนึ่งเราจะตั้งศูนย์การเรียนเพื่อเป็นผู้ให้คนอื่นบ้าง เพราะเป็นผู้ได้รับมาแล้ว…” เขาบอกถึงเป้าหมายอันแจ่มชัดของเขากับผมอีกครั้งหนึ่ง

ผมดีใจจริงๆ ที่ได้รู้จักน้องทั้งสองคน แม้จะชื่นชมและให้กำลังใจแก่ทั้งสองคนที่คิดอะไรดีๆ แบบนั้นไปแล้ว แต่ก็ลืมขอบคุณที่พวกเขาที่ทำให้คนทำงานและบรรดาคนที่ช่วยเหลือขับเคลื่อนงานนี้ด้วยกันมาในหนทางต่างๆ ไม่ว่าผู้ออกแรงและเจ้าของมือไม้เหล่านั้นจะอยู่แห่งใดก็ตาม ผมเชื่อว่า ผู้คนเหล่านั้นคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกันคือ น้องทำให้มีความสุขและมีความหวัง

การงานมันไม่ได้สำเร็จสวยงามไปเสียทุกเรื่อง เช่นเดียวกับเมล็ดหรือกล้าพันธุ์ ที่หว่านหรือลงแปลงไปใช่ว่า จะอยู่รอด เติบใหญ่ได้ทั้งหมด แค่มีบ้างอย่างนี้ ก็ชื่นใจและมีกำลังใจมากแล้ว

ขอบคุณ 'ดี-กูอัสมาดีซัม' และ 'วี-กูอัสมาวีซัม' มากๆ ครับ ขอให้เจริญๆ ครับ

‘มาเลเซีย’ ระดมกำลัง ค้นหาร่างนทท.ชาวอินเดีย หลังตกหลุมลึก 8 เมตรกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

กลายเป็นงานใหญ่ระดับชาติไปเสียแล้ว สำหรับภารกิจค้นหาร่างนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ที่เคราะห์ร้ายตกลงไปในหลุมยุบที่มีความลึก 8 เมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงเช้าของวันที่ 23 สิงหาคม 67 ที่ผ่านมา ขณะที่เธอเดินไปทำบุญที่วัด แต่ผ่านไปแล้วถึง 5 วันจนถึงวันนี้ ก็ยังหาไม่พบ

จากงานที่คาดว่าน่าจะค้นหาร่างของหญิงอินเดียได้ในเวลาไม่นาน กลับยากมากกว่าที่คิดมาก โดย ซูลิซมี สุไลมาน รองผู้บัญชาการตำรวจเขตดังวางี ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า อุปสรรคใหญ่ในการค้นหาเกิดจากกระแสน้ำใต้ดินที่ไหลเชี่ยวรุนแรงบริเวณรอบท่อระบายน้ำ จากฝนที่ตกหนักก่อนหน้านี้ 

และยังมีเศษซากคอนกรีต และหินต่าง ๆ กีดขวางช่องทางใต้ดิน ที่การใช้เครื่องพ่นน้ำแรงดันสูงเพื่อทำลายเศษซากต่าง ๆ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องนำเทคนิคการระเบิดและสลายวัตถุมาปรับใช้ด้วย 

ทางหน่วยกู้ภัยประสานงานให้รัฐบาลกรุงกัวลาลัมเปอร์จัดกระสอบทรายมาเพิ่มอีก 100 กระสอบ มาตั้งกำแพงปิดทางน้ำไหลใต้ดินเพื่อลดอุปสรรคในการค้นหา และได้ตรวจสอบโรงงานบำบัดน้ำเสียอินดาห์ ที่บันไต ดาลัม ที่เป็นปลายทางของระบบท่อระบายน้ำใต้ดินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 

เมื่อสื่อมาเลยเซียสอบถามว่า จะมีการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในภารกิจการค้นหาครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ซูลิซมี อธิบายว่า เบื้องต้นทางการมาเลเซียได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายหน่วยงานของประเทศเข้าร่วมการค้นหาอย่างเต็มที่แล้ว และหวังว่าจะสัมฤทธิ์ผลในไม่ช้านี้ 

โดยได้มีการจัดตั้งกองกำลังพิเศษซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยาและกรมโยธาธิการ เพื่อศึกษาสภาพดินและธรณีวิทยาในพื้นที่ เกณฑ์กำลังตำรวจเพิ่มเพื่อกันประชาชนออกจากพื้นที่ และกั้นเขตขยายพื้นที่ค้นหาเพิ่ม

ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวนักท่องเที่ยวอินเดียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และสั่งการให้ดูแลคนในครอบครัวของ นาง วิจายาลักษมี ที่บางส่วนเดินทางมาจากอินเดียเพื่อมานั่งรอ เฝ้าติดตามภารกิจอย่างใกล้ชิด โดยขยายวีซ่าให้อีก 1 เดือน พร้อมที่พัก อาหาร และบริการด้านการให้คำปรึกษา และยืนยันว่า มาเลเซียจะมุ่งมั่นค้นหาร่างของนาง วิจายาลักษมี อย่างเต็มกำลัง 

ส่วนกรณีหลุมยุบขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ต้องรอรายงานฉบับสมบูรณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะสรุปได้หลังจากปฏิบัติการเสร็จสิ้น

แต่รัฐบาลมีแผนในการป้องกันไม่ให้หลุมยุบเกิดขึ้นซ้ำ โดยเตรียมที่จะทำแผนที่เชิงธรณีวิทยาใหม่ จากข้อมูลที่รวบรวมจากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยา เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเขตใกล้เคียงยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ชาวกรุงกัวลาลัมเปอร์เคยมีประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงในโลกโซเชียลมาก่อนตั้งแต่ปี 2558 ว่ามีหลุมยุบซ่อนเร้นอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นจำนวนมาก ที่พร้อมยุบตัวได้ทุกเมื่อ และเคยวิจารณ์ว่ากรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยที่สุดในมาเลเซีย 

โดยครั้งนั้น นายกเทศมนตรีของกัวลาลัมเปอร์ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของชาวเน็ต และรับประกันว่า กัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ปลอดภัยสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน 

🔍10 อันดับเมืองที่มี ‘คนไร้บ้าน’ มากที่สุดในโลก

‘คนไร้บ้าน’ หมายถึง คนที่ไร้ที่อยู่ หรือผู้ที่ไม่สามารถหาที่อยู่เป็นของตัวเองได้ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากหลายปัจจัย เช่น การถูกทอดทิ้ง การหนีออกจากบ้าน การไร้ที่พึ่ง ความยากจน โดยส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะอาศัยอยู่ตามท้องถนน หรือแหล่งเสื่อมโทรมในย่านอุตสาหกรรม และแน่นอนว่า ‘คนไร้บ้าน’ จะไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่มีรายได้ที่แน่นอนนั่นเอง

ปัญหา ‘คนไร้บ้าน’ เกิดขึ้นทุกประเทศทั่วโลก แตกต่างกันที่จำนวนคนไร้บ้าน ซึ่งจากผลสำรวจ Annual Homelessness Assessment Report (AHAR) เมื่อปี 2023 ชี้ให้เห็นว่า กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมืองในฝันของใครหลาย ๆ คน มีจำนวนคนไร้บ้านมากถึง 333,000 คน มากเป็นอันดับ 1 ของโลก

'มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์' จับมือ จัดหางาน จ.จันทบุรี มอบ 'รถเข็นวีลแชร์' เติมกำลังใจให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้

(27 ส.ค.67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ ให้กับผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ยากไร้ ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพลิ้ว เทศบาลตำบลพลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี โดยมีนางสาวอนงค์นุช  มีศิริ จัดหางานจังหวัดจันทบุรี ให้การต้อนรับ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นางสาวรัศมินท์ พฤกษาทร นายอำเภอแหลมสิงห์ และนายรังสรรค์ เจริญวัย นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลพลิ้ว ร่วมเป็นเกียรติพิธีมอบในครั้งนี้ 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้รับการประสานงาน ขอรับบริจาครถเข็นวีลแชร์ จากนางสาวอนงค์นุช มีศิริ จัดหางานจังหวัดจันทบุรี เพื่อมอบให้ผู้พิการ ผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ ในพื้นที่  จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1)นางสมฤดี นิระพงษ์ ผู้สูงอายุ อายุ 81 ปี  พักอยู่หมู่ที่ 11 ต.ปากน้ำแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี 2) นายยงยุทธ นีระพงษ์ ผู้สูงอายุ 66 ปี พักอยู่หมู่ที่ 2 ต.วันยาว อ.ขลุง จ.จันทบุรี  3)นางวิรัตนา วิเศษฤทธิ์  ผู้สูงอายุ อายุ 65 ปี พักอยู่หมู่ที่ 6 ต.เกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี  4)นางลัดดา กาบทิพย์ ผู้สูงอายุ อายุ 82 ปี พักอยู่ หมู่ 2 ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี  5)นางบังอร  บุญเกิด พิการทางการเคลื่อนไหว พักอยู่ ม.2 ต.วันยาวล่าง อ.ขลุง จ.จันทบุรี  

ทั้งนี้มูลนิธิได้รับการบริจาครถเข็นวีลแชร์จาก กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 

จากการที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน เติมกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ในพื้นที่ จังหวัดจันทบุรี และถือเป็นกิจกรรมหลักที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ที่มีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต และจะให้บุคคลเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข

‘เอกนัฏ’ แจง ไปให้การศาลและเจ้าพนักงานเป็นประจำ ยัน!! ไม่เคยพูด “คำพูดของทักษิณ ไม่เข้ามาตรา 112”

(27 ส.ค. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

'ฮาร์เลย์-เดวิดสัน' ดึง 3 รุ่นดัง ย้ายฐานมาผลิตในไทย เริ่มปี 2025 ท่ามกลางเสียงต่อต้าน การเสียเอกลักษณ์แบรนด์ 'เมดอินอเมริกา'

(27 ส.ค.67) เว็บไซต์เดลีเมลรายงานว่า 'ฮาร์เลย์-เดวิดสัน' (Harley-Davidson) ได้เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า บริษัทจะย้ายฐานการผลิตรถมอเตอร์ไซค์จำนวนหนึ่งไปยัง 'ประเทศไทย' ซึ่งได้สร้างความกังวลต่อคนในพื้นที่รัฐวิสคอนซินว่าอาจจะทำให้เกิดการเลิกจ้างงานตามมา ในขณะที่หลายคนแสดงความไม่พอใจว่าแบรนด์ไอคอนนิกที่ขึ้นชื่อในความภูมิใจเรื่อง 'เมดอินอเมริกา' มาตลอด จะไม่ใช่แบรนด์ที่ผลิตในประเทศแล้ว

โฆษกของฮาร์เลย์-เดวิดสันยืนยันในแถลงการณ์ว่า บริษัทจะย้ายการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ 3 รุ่น ไปผลิตในต่างประเทศเป็นการชั่วคราวเริ่มตั้งแต่ปี 2025 โดยรถทั้ง 3 รุ่นเป็นกลุ่มเครื่องยนต์ Revolution Max ที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ ได้แก่รุ่น Pan America, Sportster S และ Nightster

อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่าการย้ายการผลิตดังกล่าวจะเป็นเพียงการย้ายชั่วคราวเท่านั้น และเป็นเพียงแค่รุ่นปี 2025 เท่านั้น และบริษัทยังมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 9 ล้านดอลลาร์ในโรงงานหลายแห่งที่สหรัฐอเมริกาด้วย

"การโยกย้ายครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับรถรุ่น Grand American Touring และรถรุ่นอื่นๆ ที่ถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ เช่น รุ่น Softail และ Trike ที่โรงงานในเมืองยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย "โฆษกของฮาร์เลย์-เดวิดสัน ระบุพร้อมเผยต่อว่า...

"การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานในโรงงานที่สหรัฐฯ"

อย่างไรก็ตาม บรรดาพนักงานในพื้นที่และสหภาพแรงงานของฮาร์เลย์-เดวิดสันต่างยังคงแสดงความกังวลและไม่เห็นด้วย โดยสหภาพแรงงาน The International Association of Machinists & Aerospace Workers (IAM) ระบุว่ารู้สึกเหมือน "ถูกแทงข้างหลัง" โดยถูกทรยศด้วยการย้ายฐานการผลิตดังกล่าวไปต่างประเทศ แล้วส่งกลับมาขายในประเทศให้ผู้บริโภคชาวอเมริกัน 

"การประกาศล่าสุดของฮาร์เลย์-เดวิดสันที่จะโยกย้ายงานและตำแหน่งงานของเราไปยังประเทศไทย สร้างความผิดหวังอย่างมากให้คนงานชาวอเมริกันและยังเป็นการทรยศต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาในฐานะอเมริกัน ไอคอน”

ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ฮาร์เลย์-เดวิดสันเคยประกาศย้ายฐานการผลิตจักรยานยนต์สำหรับตลาดจีนออกจากสหรัฐมาไทย เพื่อหนีการรีดภาษีรถสัญชาติอเมริกันจากจีน โดยปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง  

'เมียนมาถูกกฎหมาย' เหลืออด!! ซัดแรงงานเถื่อน 'เรียกร้องสิทธิ์-ด่าคนไทย' เมล็ดพันธุ์จาก 'NGO-คนได้สัญชาติ' หนุนหลัง ทำพม่าดีๆ ในไทยลำบาก

กลายเป็นประเด็นทางสังคมในไทยไปแล้ว เมื่อชาวเมียนมา ซึ่งเป็นคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือกลุ่ม White Collar เริ่มออกมาตอบโต้กลับกับกลุ่ม Blue Collar ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเถื่อนหรือเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ตั้งแต่เรื่องที่มีการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเสมือนประหนึ่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของเมียนมา หรือการที่มีคลิปออกมาด่าคนไทยที่เข้ามาคอมเมนต์ในคลิปที่กลุ่มพม่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองของไทย จนไม่รู้ว่าใครจะต้องกลัวใครกันแล้ว

ว่ากันว่ากลุ่มเหล่านี้มีเหล่า NGO และกลุ่มสมาคมช่วยเหลือแรงงานพม่าที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามา ซึ่งคนที่ทำงานตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนพม่าที่อยู่ไทยมาก่อนและได้สัญชาติไทยไปแล้ว พร้อมทั้งแนะนำชี้ทางให้เห็นว่าคนพวกนี้จะต้องทำอย่างไร ดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ตนเองพ้นผิด รวมถึงหลุดพ้นจากการเป็นจำเลยในสังคมไทย เป็นต้น

อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ว่าคนไทยเป็นคนง่าย ๆ มีคนบอกบท ให้ยกมือไหว้ ขอโทษออกสื่อ ก็จบ แต่ความจริงนั้นสะท้อนอีกแบบ เพราะการที่เราให้อภัยกันอย่างง่าย ๆ นั้น ทำให้คนอื่น ๆ ที่เห็นไม่กลัว และออกมาทำคลิปเลียนแบบกันเต็มโซเชียลเต็มไปหมด ดังที่เราเห็นได้จากคลิปหนุ่มบางบอนที่ถูกคนพม่าเอามาเลียนแบบเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้  

ในขณะที่ฝั่งชาวเมียนมา White Collar ต่างออกคลิปมาขอโทษขอโพยคนไทย พร้อมขอบคุณคนไทยที่ให้โอกาส ให้ที่อยู่ที่พักพิงให้เขาเหล่านั้น มีเงิน มีทอง สามารถจับจ่ายซื้อของ ทำบุญ ทำทาน ได้ตามที่เขาได้ตั้งใจ  

เอย่า คงบอกได้แค่ว่า คนไทยเข้าใจนะคะ เวลามีปลาเน่าสักตัว ก็มักจะส่งกลิ่นเหม็นกลบปลาดีไปหมด แต่การที่จะกำจัดปลาเน่านั้น หากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนไทยฝ่ายเดียวคงจะไม่ได้แล้ว  

ดังนั้นพวกชาวเมียนมาดี ๆ ที่อยากอยู่อย่างสงบสุขเหมือนในอดีต คงต้องร่วมมือกับคนไทยในการสร้างสังคมที่น่าอยู่

เอย่า จำได้ว่าคนไทยเรามีความทรงจำที่ดีกับชาวเมียนมาประดุจเพื่อนบ้านที่แสนดีฉันใด ความรู้สึกแบบนั้นคงไม่สามารถสร้างได้จากฝั่งคนไทยเพียงฝ่ายเดียวฉันนั้น

ชาวเมียนมาต้องให้ความร่วมมือในการสอดส่องดูแลจัดการให้คนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ หรือรวมตัวกันเป็นแก๊งอั้งยี่ได้ และคนพม่าที่ดีในสังคมไทยก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ไทยในการจัดการกับกลุ่มนอกกฎหมาย หรือผู้ที่ต้องการใช้ประเทศไทยมาเป็นที่ซ่องสุมหรือกบดานด้วยเช่นกัน

อ้อ!! ที่กล่าวเช่นนี้ ก็ใช่ว่าคนไทยจะไม่มีความสามารถหาทางหรือจัดการได้เองนะคะ...

เพียงแต่ว่า ถ้าวันใดประเทศไทยไม่ต้องการคนชาติคุณขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นพวกคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบบ้านนี้เมืองนี้อีกเลย 

เรายื่นโอกาสให้คุณ เพื่อให้คุณแสดงออกว่าคุณมีความรักในประเทศนี้ เคารพกฎหมาย กติกาของบ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ช่วยคนของคุณแบบผิด ๆ เหมือนที่ทุกวันนี้เราเห็น ๆ กันอยู่

‘สหรัฐฯ’ หวั่น!! ตำรวจใช้ ‘AI’ ช่วยเขียนรายงาน ตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

(27 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักข่าวเอพี (AP) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ บางส่วนเริ่มทดลองใช้งานแชทบอตพลังปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) หรือเอไอ แชตบอต เพื่อทำรายงานเหตุการณ์ฉบับร่าง ส่งผลให้อัยการ หน่วยงานกำกับดูแลตำรวจ และคณะนักวิชาการทางกฎหมายบางส่วนกังวลว่าแชทบอต อาจปรับแก้เอกสารพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอาญา ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

รายงานระบุว่า เอไอ แชทบอต ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแชตจีพีที (ChatGPT) และจำหน่ายโดยแอกซอน (Axon) บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเทเซอร์หรืออุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า (Taser) อาจเข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงานของตำรวจอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเสริมว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกับคุณสมบัติของเอไอ แชทบอต ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาได้

ริก สมิธ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอกซอน กล่าวว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เลือกมาเป็นตำรวจ เพราะอยากทำงานตำรวจ และการต้องใช้เวลาครึ่งวันไปกับการป้อนข้อมูลเป็นเพียงส่วนน่าเบื่อหน่ายของงาน พร้อมอธิบายว่าผลิตภัณฑ์เอไอตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ดราฟ วัน’ (Draft One) ได้รับ ‘เสียงตอบรับเชิงบวกมากที่สุด’ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่บริษัทฯ เคยเปิดตัวมา

สมิธกล่าวว่า ตอนนี้หลายฝ่ายอาจมีข้อกังวลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคณะอัยการเขตที่ปฏิบัติหน้าที่ฟ้องร้องคดีอาญา ซึ่งต้องการมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนรับผิดชอบกับการเขียนรายงานดังกล่าว ไม่ใช่เป็นฝีมือเอไอ แชทบอต เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจต้องให้การเป็นพยานในศาลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้เห็น

รายงานระบุอีกว่า เทคโนโลยีเอไอไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหน่วยงานตำรวจ ซึ่งเคยนำเครื่องมืออัลกอริทึมมาใช้ในการอ่านป้ายทะเบียนรถ จดจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย ตรวจจับเสียงปืน และคาดการณ์ว่าอาชญากรรมอาจเกิดขึ้นที่ไหน

รายงานทิ้งท้ายว่า การประยุกต์ใช้เหล่านี้ หลายครั้งมาพร้อมกับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิพลเมือง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติพยายามกำหนดมาตรการป้องกัน ทว่าการนำรายงานตำรวจจากฝีมือเอไอมาใช้ยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก จนแทบไม่มีมาตรการป้องกันการใช้งานเลย

'โรงหนังมาเลเซีย' ผุดไอเดีย 'ฮอตพอต ซินีมา' ดูหนังไปกินหม้อไฟไป ชาวมาเลย์ฯ ตั้งตารอ

(27 ส.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ชาวเน็ตมาเลเซียต่างแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก ‘Dadi Cinema’ ของโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ที่พบว่ามีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ ‘ฮอตพอต ซินีมา’ (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

โดยรูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ แต่ก็มีคนวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป

สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย ซึ่งเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 เป็นเครือข่ายโรงภาพยนตร์สัญชาติจีนที่มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์

‘OR’ ร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ ‘ไปรษณีย์ไทย’ จัดตั้ง ‘ศูนย์บริการธุรกิจ-สถานีบริการพลังงานทางเลือก-สวนป่ายั่งยืน’

(27 ส.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน ในบริเวณพื้นที่สำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย โดยมีนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายพิษณุ วานิชผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร และรักษาการในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 อาคารไปรษณีย์ไทย สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายดิษทัต กล่าวว่า "ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญยิ่งในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ การดำเนินธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน โดย OR จะให้การสนับสนุนด้านพลังงานทางเลือก ได้แก่ การให้บริการ EV Charger และการติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาเกาะจ่าย อาคารไปรษณีย์ และอาคารร้านค้า ซึ่งที่ผ่านมา OR ได้ให้ความสำคัญในการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านทาง platform ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV Station PluZ หรือการสร้างสถานีบริการต้นแบบแห่งอนาคต ‘Green Station’ ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านการใช้พลังงานจาก Solar Rooftop เป็นต้น"

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่าเพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจความยั่งยืน ‘ESG + E’ ตามกรอบนโยบายของบริษัทฯ ล่าสุดไปรษณีย์ไทยได้ทำความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน โดยภายในโครงการจะประกอบด้วยอาคารศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ โดยมีสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีความพิเศษที่มีจำนวนแท่นชาร์จมากกว่าสถานีบริการน้ำมันอื่น ๆ อีกทั้งยังมีสถานีสลับแบตเตอรี่ (Swap Battery)ร้านกาแฟร้านจำหน่ายสินค้า และสวนสุขภาพ ทั้งนี้ อาคารภายในโครงการอาจมีการพิจารณานำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานร่วมกันระหว่าง ไปรษณีย์ไทย กับ OR มีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน

“ไปรษณีย์ไทยตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สื่อสารและขนส่งหลักของชาติที่จะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เข้าถึงทุกเจนเนอเรชัน ทุกช่วงชีวิต โดยปัจจุบันได้พัฒนาหลากโซลูชันให้ทันกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ การจับมือกับ OR ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน เพื่อเป็นสถานที่สำหรับให้คนมานัดพบปะ นัดเพื่อน ใช้บริการสะดวก คล่องตัว สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานทั้งในส่วนของระบบการขนส่ง รวมถึงสำนักงานที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงานไปรษณีย์ในระยะแรกจำนวน 250 คัน ในพื้นที่นครหลวงและภูมิภาค และมีแผนที่จะติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (SOLAR PV ROOFTOP) ที่อาคารไปรษณีย์ไทยสำนักงานใหญ่ สำนักงานไปรษณีย์นครหลวง สำนักงานไปรษณีย์เขตศูนย์ไปรษณีย์ ให้ได้ 60% ภายในปี 2573 และครบทั้งหมด 100% ภายในปี 2583”

โครงการนี้ จึงไม่เพียงแต่จะเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างคุ้มค่า แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อชุมชนและสังคมโดยรวม และยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับทั้งสององค์กร โดยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับแนวทาง OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมตลอดทั้งการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top