Tuesday, 10 June 2025
NewsFeed

‘Biotherm’ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ประกาศปิดเคาน์เตอร์ในห้างฯ อำลาตั้งแต่ 1 ต.ค.67 พร้อมขายออนไลน์วันสุดท้ายสิ้นปีนี้

(23 ส.ค.67) เพจ ‘Biotherm’ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชื่อดัง ได้ประกาศโดยระบุข้อความว่า “เรียน ลูกค้าไบโอเธิร์มที่น่ารักทุกท่าน เรามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ทราบว่า แบรนด์ไบโอเธิร์ม ประเทศไทยจะปิดให้บริการในช่องทางห้างสรรพสินค้าเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไปเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก

สำหรับลูกค้าที่ยังคงต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา ช่องทางจัดจำหน่ายออนไลน์ใน Lazada และ Line Official Biotherm Thailand จะยังเปิดให้บริการจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

แบรนด์ไบโอเธิร์ม ประเทศไทย มีความซาบซึ้งในความรักและความผูกพัน ที่ลูกค้าทุกท่านมีให้กับแบรนด์ รวมถึงการสนับสนุนแบรนด์ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราขอใช้โอกาสนี้ในการกล่าวขอบคุณทุกท่านจากใจ

สุดท้ายนี้ แบรนด์ไบโอเธิร์ม ประเทศไทย ขอลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน มีสุขภาพที่ดีและมีสุขภาพผิวที่ดีตลอดไป ด้วยรักและเคารพ ไบโอเธิร์ม ประเทศไทย”

ยอดขาย ‘BYD’ มาแรงแซง ‘Honda-Nissan’ ขยับสู่อันดับ 7 ของโลก วัดจากจำนวนที่ขายได้

(23 ส.ค. 67) เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ยอดขาย ‘บีวายดี’ (BYD) ของจีน แซงหน้า Honda Motor และ Nissan Motor จนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 7 ของโลกตามจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ในไตรมาส 3 ขับเคลื่อนด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของบริษัท ตามข้อมูลจากผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทวิจัย MarkLines

สำหรับยอดขายรถยนต์ใหม่ของ BYD เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 980,000 คันในไตรมาสนี้ แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำส่วนใหญ่ รวมถึง Toyota Motor และ Volkswagen Group จะประสบภาวะยอดลดลงก็ตาม โดยยอดขายของ BYD ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายต่างประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 105,000 คัน

ทั้งนี้ BYD เคยอยู่อันดับที่ 10 ของโลกในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว ด้วยยอดขาย 700,000 คัน นับตั้งแต่นั้นมา BYD ได้แซงหน้า Nissan และ Suzuki Motor และเอาชนะ Honda ในฐานะรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในไตรมาสล่าสุด

มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายเดียวที่ยังคงมียอดขายมากกว่า BYD คือ ‘Toyota’ ซึ่งนำอันดับโลกในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ด้วยยอดขาย 2.63 ล้านคัน ขณะที่ ‘Big Three’ (General Motors, Stellantis, Ford Motor) ในสหรัฐก็ยังคงนำหน้า แต่ BYD กำลังไล่ตามรถ Ford Motor อย่างรวดเร็ว

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของ BYD ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ยอดขายในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ตรงกันข้าม ผู้เล่นชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความแข็งแกร่งในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน กำลังมียอดขายตามหลัง โดยยอดขายของ Honda ในจีนลดลง 40% ในเดือนมิถุนายน ผู้ผลิตรถยนต์วางแผนลดกำลังการผลิตในประเทศลงประมาณ 30% แม้กระทั่งในไทยซึ่งบริษัทญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 80% อีกทั้ง Susuki ก็กำลังยุติการผลิต ในขณะที่ Honda กำลังลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง

‘จีน’ ยักษ์ใหญ่ประเทศผลิตรถยนต์ ส่งออกรถยนต์ 2.79 ล้านคันในช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม-มิถุนายน มากกว่าญี่ปุ่น 780,000 คัน โดย BYD ได้เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งแรกในต่างประเทศที่ไทย พร้อมแผนสร้างฮับเพิ่มเติมในฮังการีและบราซิล นอกจากนี้ยังกำลังพิจารณาการผลิตรถในเม็กซิโกด้วย

รู้จัก ‘ROSOBORONEXPORT’ บริษัทส่งออก-นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เพียงผู้เดียวแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’ เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อย่างมากมายให้แก่ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดย 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2019-2023) ข้อมูลจาก STOCKHOLM INTERNATIONAL PEACE RESEARCH INSTITUTE (SIPRI) ระบุว่า ประเทศที่ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดถึง 41.7% รองลงมาคือ ฝรั่งเศส มีส่วนแบ่งตลาด 10.9% และตามมาเป็นอันดับ 3 ได้แก่ สหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 10.5% น้อยกว่าฝรั่งเศสเล็กน้อย ด้วยเหตุสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจึงทำให้รัสเซียถูกมาตรการลงโทษ (Sanctions) ต่าง ๆ นานา ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียลดลง

สำหรับสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว มีบริษัทที่ส่งออก/นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียว คือ ‘ROSOBORONEXPORT’ ซึ่งเดิมก่อตั้งขึ้นเป็น ROSOBORONEXPORT Federal State Unitary Enterprise (FSUE) ในปี 2000 โดยรัฐกฤษฎีกาของประธานาธิบดีแห่งรัสเซียและมีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายของรัฐในด้านความร่วมมือทางเทคนิคการทหารระหว่างรัสเซียและต่างประเทศ ในปี 2007 บริษัทได้รับการจดทะเบียนเป็น ROSOBORONEXPORT Open (OJSC) บริษัทมหาชนจำกัด ต่อมาในปี 2011 Rostekhnologii (ปัจจุบันคือ Rostec) อันเป็นวิสาหกิจหลักของรัฐที่มีลักษณะเป็นบริษัท Holding ได้เข้าซื้อหุ้นของ ROSOBORONEXPORT OJSC 100% 

‘ROSOBORONEXPORT’ เป็นหน่วยงานสืบทอดกิจการอาวุธยุทโธปกรณ์ของอดีตสหภาพโซเวียต หรือสหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน เป็นหน่วยงานกลางของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบในด้านเทคโนโลยีทางการทหารได้รับการก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 เมื่อมีการก่อตั้งแผนกวิศวกรรมทั่วไปภายในกระทรวงการค้าภายในและต่างประเทศของสหภาพโซเวียตตามการตัดสินใจของรัฐบาลโซเวียตในขณะนั้น ด้วยการขยายตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จึงมีการจัดตั้งหน่วยงานส่งออกเฉพาะทางใหม่ ๆ ขึ้นหลายแห่ง 

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 สหภาพโซเวียตมีบริษัทตัวกลางของรัฐ 2 แห่ง ได้แก่ Rosvooruzhenie และ Promexport และเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2000 บริษัทที่เป็นของรัฐทั้งสองแห่งก็ได้ควบรวมกิจการกันโดยรัฐกฤษฎีกาที่ 1834 ของประธานาธิบดีรัสเซีย โดยจัดตั้ง ‘ROSOBORONEXPORT Unitary’ ขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานกลางของรัฐเพียงแห่งเดียวสำหรับการส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซีย

19 มกราคม ค.ศ. 2007 Vladimir Putin ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ได้ลงนามในรัฐกฤษฎีกากำหนดให้บริษัท ROSOBORONEXPORT รับผิดชอบการส่งออกอาวุธทั้งหมด ทำให้สถานะอย่างเป็นทางการของ ROSOBORONEXPORT คือบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย ถือเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดอาวุธระหว่างประเทศ ด้วยสถานะตัวแทนของรัฐทำให้บริษัทมีโอกาสพิเศษในการขยายและเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวกับพันธมิตรต่างประเทศ ปัจจุบัน ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นนำของ ROSOBORONEXPORT ได้แก่ จีน อินเดีย อัลจีเรีย ซีเรีย เวียดนาม เวเนซุเอลา และอิรัก ฯลฯ

เมื่อ ROSOBORONEXPORT เป็นบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย จึงทำให้บริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของสหพันธรัฐรัสเซียไม่ต้องจัดการด้านการตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง ซ้ำตลาดในประเทศเองก็มีเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องวุ่นวายเรื่องใบอนุญาตส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์เหมือนเช่นประเทศตะวันตกอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาต้องขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ระบุไว้ในรายการกำหนดต้องขออนุญาตจำหน่ายต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น การขายเครื่องบินรบ แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตต้องการที่จะขายเครื่องบินรบมากเพียงใดก็ตาม แต่คำสั่งซื้อต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อน จึงจะดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จได้ ทั้งนี้ไทยเรามีหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงในลักษณะนี้คือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) แต่ สทป. ยังคงทำหน้าที่ในทางวิชาการคือ การศึกษา วิจัย และพัฒนา อาวุธยุทโธปกรณ์ มากกว่าการทำตลาดต่างประเทศเช่นเดียวกับ ROSOBORONEXPORT

‘ประเทศไทย’ ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหพันธรัฐรัสเซีย โดย ROSOBORONEXPORT หลายรายการ อาทิ กองทัพบก ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Mi-17V-5 เครื่องยิงจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า 9K38 Igla อาวุธปืนเล็กยาวแบบ AK-104 (อาสาสมัครทหารพราน) กองทัพอากาศ ซื้อเครื่องบินแบบ Sukhoi Superjet ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Ka-32 เป็นต้น 

อันที่จริงแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสงครามเย็น ไทยเราได้รับความช่วยเหลือทางทหารเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรต่อต้านสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของรัฐบาลต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ พร้อมกับตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อประเทศไทย จนกระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ตามความช่วยเหลือทางทหารจากรัฐบาลสหรัฐฯ หมดอายุสิ้นสภาพทหารใช้งาน กองทัพไทยจึงจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ 

ทั้งนี้สิ่งซึ่งกองทัพไทยจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความเข้าใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การบริหารความสมดุลอย่างเหมาะสมในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากสองฟากฝ่ายซึ่งแบ่งข้างอย่างชัดเจนในปัจจุบัน เพื่อให้ไทยมีดุลยภาพทางทหารที่เหมาะสมที่สุดตามบริบทที่สมควรจะเป็นต่อไป

'สส.เพื่อไทย' แฉ 'สส.บางพรรค' ต้นเหตุทำน้ำท่วมภาคเหนือ

(23 ส.ค.6) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล สส.พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า...

"ความสะใจของพวกคุณในวันนั้น คือความเดือดร้อนของประชาชนในวันนี้...

"ไม่ต้องถามว่านายกฯ จะลงพื้นที่น้ำท่วมเมื่อไร? เพราะหากบางพรรคไม่ได้ตัดงบฯ ฝายแกนซีเมนต์ของเพื่อไทยทิ้งทั้งหมดจาก พรบ.งบฯ '67 ก็คงสามารถป้องกันให้น้ำไม่ท่วมจนไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่...ใช่ไหมครับ? #น้ำท่วมภาคเหนือ"

'สภาฯ' ประกาศ!! มุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 เดินหน้าต้นแบบหน่วยงานภาครัฐใช้พลังงานที่ได้มาจากธรรมชาติ

(23 ส.ค.67) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานขับเคลื่อนไปสู่รัฐสภาสีเขียว (Green Parliament) พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ รัฐสภาสีเขียวมุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 (พ.ศ. 2575) 

ถือเป็นต้นแบบของหน่วยงานภาครัฐของประเทศสำหรับการใช้พลังงานที่ได้มาจากธรรมชาติ ทำให้ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนจากต่างประเทศ และนำมาสู่การท่องเที่ยว 

ทั้งนี้ การลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว ไม่ได้เป็นแค่เรื่องการป้องกันภัยพิบัติเท่านั้น แต่เป็นการสร้างโอกาสให้กับคนไทยในด้านอาชีพใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า สภาพอากาศ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนที่สูงขึ้นทั่วโลก ปัญหาไฟป่า ปัญหาฝุ่น หมอกควัน ปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดย เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ออกแถลงการณ์ว่า ยุคโลกเดือดมาถึงแล้ว หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญในประเด็นนี้เป็นอย่างมาก และประเทศไทยได้เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รัฐสภาไทย ในฐานะเป็นศูนย์กลางฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศ ได้กำหนดแผนการดำเนินงานของส่วนงานรัฐสภา โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ประกาศนโยบายสิ่งแวดล้อม 'รัฐสภามีความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาสู่การเป็นรัฐสภาสีเขียว' (Green Parliament) ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศไทย เริ่มขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การเป็นรัฐสภาสีเขียว โดยตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางและการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งด้านนโยบาย การบริหารจัดการด้านการลดปริมาณการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจก และด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

บัดนี้ 'แผนแม่บทการขับเคลื่อนไปสู่ รัฐสภาสีเขียว (Green Parliament) ค.ศ. 2025 - 2032' ดำเนินการจัดทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำไปสู่การจัดงานสัมมนาที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 ก.ย. 67 ณ อาคารรัฐสภา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนา ในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว

'ตลกดัง' เตือนผู้คน!! อย่าเชื่อคำ 'นักร้อง-นักแสดง' แสดงความเห็นทางการเมือง พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องกิจการบ้านเมือง

(24 ส.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความสะท้อนมุมมองนักแสดงตลกท่านหนึ่งต่อบรรดาศิลปิน ดารา นักร้อง ที่ชอบออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในเวทีสาธารณะบ่อยๆ ดังนี้...

ริคกี้ เจอร์เวส (Ricky Dene Gervais) นักแสดงตลกชื่อดัง ได้กล่าวในงานแจกรางวัลลูกโลกทองคำ ปี 2020 ที่ตนเองเป็นพิธีกรว่า...

"ถ้าคืนนี้ยูได้รางวัล ก็ไม่ต้องทะลึ่งแสดงความเห็นทางการเมืองอะไรบนเวทีนี้นะ ยูไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะสอนใครในเรื่องอะไรซักกะอย่าง ยู (เป็นแค่นักแสดง) ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงเลย พวกยูส่วนมากเนี่ยเรียนน้อยกว่า เกรต้า ธันเบิร์ก ซะอีก"

แปลว่า ดารา นักร้อง ตัวตลก นักแสดงพูดอะไรก็อย่าไปฟัง อย่าไปเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องกิจการบ้านเมืองที่พวกมันไม่มีความรู้อะไร เพราะส่วนใหญ่โง่กว่าเด็กที่ไม่ยอมเรียนหนังสืออีก

‘ALL NEW MG3 HYBRID+’ อวดโฉมในงาน ‘BIG MOTOR SALE’ เผย!! ขับสนุก-เร้าใจ-วิ่งไกล น้ำมันถังเดียว ขับได้มากกว่า 800 กิโลเมตร

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 67) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย นำทัพยนตรกรรมหลากหลายขุมพลังขับเคลื่อนมาให้สัมผัส และทดลองขับในงาน BIG MOTOR SALE 2024 โดยชู ALL NEW MG3 HYBRID+ ไฮบริดเจนใหม่ล่าสุดเป็นแม็กเน็ต หลังได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม พร้อมส่งมอบความคุ้มค่าด้วยข้อเสนอพิเศษครบทุกรุ่น ณ บูธ เอ็มจี ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 1 กันยายน 2567

หลังการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างยิ่งใหญ่ทั่วทุกภูมิภาค เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์กลุ่มพลังงานทางเลือกเป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของเทคโนโลยีไฮบริดยุคใหม่ที่ผู้ขับขี่จะได้รับทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ขับสนุก เร้าใจ ด้วยกำลังขับเคลื่อน 194 แรงม้า ให้พละกำลังสูงสุดเมื่อเทียบกับรถในคลาสเดียวกัน ทั้งยังมาพร้อมความประหยัด จากบทพิสูจน์บนเส้นทางจริงโดยการขับขี่ของสื่อยานยนต์เมืองไทย น้ำมัน 1 ถัง สามารถทำระยะทางได้มากกว่า 800 กิโลเมตร ALL NEW MG3 HYBRID+ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลแห่งความภาคภูมิใจของ เอ็มจี ที่จะส่งมอบทั้งเทคโนโลยี ความทันสมัย และความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภค ด้วยราคาพิเศษช่วงแนะนำเริ่มต้นเพียง 559,900 บาท สำหรับลูกค้า 1,000 คนแรก และเตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกจากโมเดลไฮไลท์อย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ เอ็มจี ยังมียนตรกรรมอีกหลายรุ่น หลายขุมพลังขับเคลื่อนที่นำมาจัดแสดงทั้งกลุ่มรถ อีวี พรีเมี่ยม กับ e-MPV แบบ 7 ที่นั่งรุ่น NEW MG MAXUS 9 ตามด้วยอีวีขวัญใจคนไทยอย่าง NEW MG4 ELECTRIC โดยอีวีทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ตลอดอายุการใช้งาน หรือ Lifetime Warranty ให้ขับขี่ได้อย่างสบายใจ นอกจากนี้ยังมีสปอร์ตตี้ ไฮบริดเอสยูวี อย่าง NEW MG VS HEV ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำสมัยทั้งภายนอก ภายใน และสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก ให้การตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนรถยนต์กลุ่มเครื่องยนต์สันดาปเอ็มจีนำรุ่น NEW MG5 PRO ที่ได้รับการยกระดับดีไซน์สปอร์ตใหม่รอบคัน เท่ โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น โดยทุกรุ่นมาพร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองซื้อรถภายในงานฯ และออกรถภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567

พบกับยนตรกรรม ‘เอ็มจี’ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน BIG MOTOR SALE 2024 ณ บูธ เอ็มจี หมายเลข A02 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 1 กันยายน 2567 และยนตรกรรม เอ็มจี รุ่นอื่นๆ ได้ที่โชว์รูม และศูนย์บริการคุณภาพของเอ็มจีกว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศ

‘อ.สุวินัย’ โพสต์เฟซ ‘วิทยุฉุกเฉิน’ ใช้การได้จริง ลุงตู่!! เคยแนะนำ แต่โดนด้อยค่าจาก ‘ขบวนการเสี้ยม’

(24 ส.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย นักเขียนชาวไทย และอดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับวิทยุ ว่า …

น้ำท่วมเสาสัญญาณโทรศัพท์ ไฟฟ้าโดนตัด ชาร์จมือถือไม่ได้ การสื่อสารเป็นอัมพาต ... สมัยเป็นนายก ลุงตู่เคยบอกให้หาวิทยุทรานซิสเตอร์เผื่อไว้ จำได้ว่าตอนนั้นแกโดนถล่มยับทางสื่อโซเชียล เพราะมีขบวนการด้อยค่าลุงตู่ทั้งประเทศจากการถูกปั่นถูกเสี้ยม

แต่ประชาชนที่มีสติมีปัญญาจะหา ‘วิทยุฉุกเฉิน’ แบบมานี้ติดบ้านไว้ตั้งแต่ที่ลุงตู่แนะนำ ...สิ่งนี้เป็นทั้งวิทยุ/ไฟฉาย/มีที่เสียบชาร์จโทรศัพท์ได้
ตัวมันเองชาร์จด้วยไฟฟ้า, พลังแสงอาทิตย์/มือหมุนปั่นไฟฉุกเฉินจึงไม่ต้องกลัวไฟหมด

คนที่สนใจ...ในรูปที่แนบสามารถสั่งมาจากแอพส้มได้ ให้พิมพ์ค้นหาว่า ‘วิทยุฉุกเฉิน’ ได้เลย

'อ.พงษ์ภาณุ' แนะ!! เมื่อนายกแพทองธารรับตำแหน่งแล้ว ก็สมควรจะต้องแก้อุปสรรคของการพัฒนาประเทศอย่างเร่งด่วน

(25 ส.ค. 67) ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้พูดคุยถึงคำกล่าวของ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งได้กล่าวไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า...

"น่าจะตรงและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่สุด เพราะที่ผ่านมาหลายท่านคงจะรู้สึกเหมือนว่าประเทศไทยไม่มีธนาคารกลาง หรือหากมี ก็เป็นธนาคารกลางที่ไม่แคร์ความรู้สึกและความเดือดร้อนของประชาชน

"ดังนั้น เมื่อนายกแพทองธารรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว ก็สมควรจะต้องแก้อุปสรรคของการพัฒนาประเทศอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ก็ยากที่จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับคืนมา รวมทั้งการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและลูกหนี้รายเล็กรายน้อยที่กำลังกลายเป็น NPL และจะถูกยึดทรัพย์สินในเร็ว ๆ นี้"

อ.พงษ์ภาณุ กล่าวอีกว่า "ไม่มีใครไม่เห็นด้วยว่าธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระ แต่ความเป็นอิสระดังกล่าวต้องอยู่ภายในขอบเขตแห่งการดำเนินนโยบายการเงิน (Monetary Policy Independence) เท่านั้น 

ทั้งนี้ อ.พงษ์ภาณุ มองว่า ความเป็นอิสระของธนาคารกลางต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ...

ประการแรก ธปท. ต้องมี Focus ที่การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคาเท่านั้น มิใช่ทำงานแบบจับฉ่ายเช่นที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลสถาบันการเงิน การแก้ไขหนี้นอกระบบ การแก้ไขปัญหาโลกร้อน เป็นต้น ซึ่งล้วนนำมาซึ่ง Conflict of Interest กับนโยบายการเงินและความเกรงอกเกรงใจเจ้าของและผู้บริหารสถาบันการเงิน การตัดสินใจลดดอกเบี้ยแต่ละคร้้งก็มัวแต่กลัวว่าแบงก์จะมีกำไรลดลง แทนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

ประการที่สอง การดำเนินนโยบายการเงินต้องมีความรับผิดชอบ (Accountability) และอยู่ในกรอบ Inflation Targeting อย่างเคร่งครัด ซึ่งมีเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาลไว้อย่างชัดเจน และจะต้องมีการติดตามและประเมินการทำงานของ ธปท. อย่างใกล้ชิด เมื่อมีผลประกอบการผิดเป้าหมาย เช่นที่เกิดขึ้นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และปีนี้จะเป็นปีที่สามที่นโยบายการเงินพลาดเป้า จะต้องมีผู้รับผิดชอบ เพราะได้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ รวมทั้งจะต้องมีการปรับกรอบเงินเฟ้อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอไว้ด้วย

เงื่อนไขความเป็นอิสระของธนาคารกลางดังกล่าวข้างต้น อาจจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายธนาคารแห่งประเทศ และอาจไม่สามารถทำได้รวดเร็วนัก แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สามารถทำได้ทันที เช่น การปรับกรอบเงินเฟ้อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลมากยิ่งขึ้น การปรับปรุงตัวบุคคลในองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้มีความเป็นอิสระและเป็นมืออาชีพ แทนที่จะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใต้การควบคุมของผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้งการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ ธปท. บางคน ที่ทำตัวเสมือนเจ้าอาณาจักรที่แฝงตัวอยู่ในประเทศไทย

‘Honda Civic Minorchange’ เปิดตัวในงาน ‘BIG Motor Sale’ เน้น!! ขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รับประกันแบตเตอรี่นานถึง 10 ปี

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 67) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัดประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของฮอนด้า ซีวิคใหม่ ไอคอนยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดานของฮอนด้ายกระดับความคุ้มค่าด้วยราคาใหม่ทั้งระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEVรุ่น e:HEVEL+ พร้อมข้อเสนอพิเศษ อาทิดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น0.99%*พร้อมรับ ฮอนด้า เอ็กซ์คลูซีฟ แคร์ ได้แก่ ฟรีประกันภัย 1 ปี ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง และค่าอะไหล่ตามตารางการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ฟรีฮอนด้าอัลติเมท แคร์ ขยายเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน นอกสถานที่ 24 ชั่วโมง อีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงก่อน) พิเศษ เฉพาะรุ่น e:HEV เท่านั้น และเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ครั้งนี้มาพร้อมการยกระดับที่หลากหลาย เพื่อสะท้อนตัวตนของผู้ใช้งานในทุกมิติ และตอบสนอง ทุกความต้องการได้ลงตัวยิ่งขึ้น อาทิ ปรับโฉมดีไซน์ภายนอก เพิ่มฟังก์ชันและเทคโนโลยีล้ำสมัยให้ครบครัน พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ซึ่งซีวิค จะไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์ที่ดีเยี่ยมคันหนึ่งเท่านั้น แต่จะมอบประสบการณ์ที่ดีตลอดการใช้งาน โดยจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนชีวิตคุณไปสู่ ทุกความสำเร็จ และทำให้คุณภูมิใจในการเป็นเจ้าของอย่างสูงสุด

ภายนอกดีไซน์ใหม่
- กระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ดีไซน์สปอร์ตขึ้น
- ไฟท้าย LED รมดำ ใหม่
- ในรุ่น e:HEV RS มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว Matte Black ดีไซน์ใหม่
- ในรุ่น EL+ เพิ่มขนาดล้ออัลลอยเป็น 17นิ้ว
- สำหรับรุ่น EL+ และ e:HEV EL+ มาพร้อมสีใหม่ สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก)

ภายในห้องโดยสาร
- ในรุ่น e:HEV RS มาพร้อมเบาะที่นั่งลายใหม่ Prime smooth ด้วยวัสดุเบาะหนังกลับและหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดงอีกทั้งตกแต่งแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูด้านข้างสีแดงสไตล์สปอร์ต
- ในรุ่น EL+ และ e:HEV EL+มาพร้อมวัสดุเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำ
- ช่องปรับอากาศผู้โดยสารตอนหลังในทุกรุ่นย่อย
- เบาะที่นั่งด้านหลัง แยกพับแบบ 60:40 ในทุกรุ่นย่อย
- ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- Google built-in แอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัวในทุกรุ่นย่อย
- ช่องเชื่อมต่อ USB Type C 4 ช่อง โดยแบ่งเป็น2 ช่องด้านหน้า และ 2 ช่องด้านหลัง ในทุกรุ่นย่อย
- ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto(TM) แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ในทุกรุ่นย่อย
- ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ในทุกรุ่นย่อย

เครื่องยนต์ EL+
- ขุมพลังเทอร์โบ 1.5 ลิตร
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว VTEC TURBO
- ประเภทน้ำมัน E85
- ความจุ (ซีซี.) 1,498
- กำลังสูงสุด 131 กิโลวัตต์ 178 แรงม้า / 6,000 รอบต่อนาที
- แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร / 1,700-4,500 รอบต่อนาที
- อัตราการประหยัดน้ำมัน 17.2 กิโลเมตร/ลิตร

เครื่องยนต์และแบตเตอรี่ e:HEV EL+ , e:HEV RS
- มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว
- พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน
- ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง หัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI
- ประเภทน้ำมัน E20
- ความจุ (ซีซี.) 1,993
- กำลังสูงสุด 104 กิโลวัตต์ / 6,000 รอบต่อนาที
- แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร / 1,700-4,500 รอบต่อนาที
- อัตราการประหยัดน้ำมัน 25 กิโลเมตร/ลิตร วิ่ง 800 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี
- สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น EL+ และ e:HEV EL+)
- สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
- สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
- สีดำคริสตัล (มุก)
- สีขาวแพลทินัม (มุก)
พร้อมภายในสีดำและสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมบูทฮอนด้าและสัมผัส ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ พร้อมด้วยรถยนต์หลากหลายรุ่นได้ที่เทศกาลแสดงยานยนต์ประจำปี BIG Motor Sale 2024 ณ บูทฮอนด้า (A17) ฮอลล์102ศูนย์นิทรรศการและ การประชุมไบเทคตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 1 กันยายน 2567 โดยมาพร้อมข้อเสนอพิเศษเดียวกันทั้งในงานและที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ  เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 1สิงหาคม 2567 – 1กันยายน 2567(สำหรับ ซีวิค ใหม่ เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 – 30 พฤศจิกายน 2567)

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมทั้งในงานฯ และโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top