Tuesday, 10 June 2025
NewsFeed

‘ภาคเอกชน’ ยก!! 3 เรื่องเร่งด่วน กระตุ้นเศรษฐกิจเสนอ ‘นายกฯ’ ‘สร้างความเชื่อมั่น - สร้างขีดความสามารถ SME - วางยุทธศาสตร์’

(23 ส.ค.67) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเข้าพบกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันนี้ว่าจะมีนำเสนอเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในระยะสั้น กลาง ยาว โดยจากการระดมความคิดจากเครือข่ายทั้งภาคเอกชนทั่วประเทศ มีทั้งหมด 3 เรื่องเร่งด่วน คือ

- เรื่องที่ 1 การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในระยะสั้นกลางและระยะยาว
- เรื่องที่ 2 การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SME เพราะ 90% ของสมาชิกเป็น SME ในจังหวัดต่าง ๆ
- เรื่องที่ 3 การวางยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นในประเทศและต่างประเทศ ขอเสนอ 5 แนวทาง คือ

1.การกระจายงบประมาณด้วยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 จัดทำงบประมาณปี 2568 ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดและให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งจ่ายงบประมาณที่อยู่ในแต่ละพื้นที่

2.กระตุ้นเศรษฐกิจไปยังประชาชน 3 กลุ่ม โดยมุ่งไปยังกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ทันต่อความต้องการของประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะคนละครึ่ง ช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยการออกมาตรการดึงการจับจ่ายใช้สอยผ่านมาตรการภาษีอื่น ๆ

3.มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาด้วยการลดค่าใช้จ่ายทั้งค่าไฟ ค่าน้ำมัน และตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น พิจารณาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแต่ละประเภทให้ชัดเจน และให้สถาบันการเงินผ่อนผันค่าปรับการจ่ายหนี้ล่าช้าเพื่อบรรเทาภาระของประชาชน รวมถึงการจัดสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการปรับปรุงเงื่อนไขการชำระเงินค่าสินค้าให้รวดเร็ว โดยทำเป็น Supply Chain Financing

4.การกระจายอำนาจโดยออกมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม สำหรับการลงทุนในเมืองรองส่งเสริมการใช้ local content และสานต่อโครงการยกระดับเมืองสู่เมืองหลัก โดยมีเป้าหมาย 10 จังหวัดทั่วประเทศ

5.ปรับปรุงระเบียบที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการแข่งขัน

'ชวน' กรีด!! ใครอยากร่วมรัฐบาล อย่าอ้างคนอื่น ส่วนตนเองย้ำชัด!! ไม่เห็นด้วยร่วมรัฐบาลเพื่อไทย

(23 ส.ค.67) นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ยังไม่มีการแจ้งมาจากกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคตามระเบียบข้อบังคับพรรคฯ จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุม สส.และ กก.บห. แต่ทราบว่า มีความพยายามของ กก.บห. และ สส.บางคน ที่อยากจะเข้าร่วมรัฐบาลตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งเห็นได้จากพฤติกรรมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ครั้งแรก และตอนลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณ จึงเห็นว่า ไม่ควรมาอ้างว่า ประชาชนอยากให้ร่วม หากอยากเป็นรัฐบาลก็ควรพูดตรง ๆ ว่าอยากเป็น

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนตัวยังยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาล เนื่องจากเคยไปรณรงค์ให้ประชาชนในภาคใต้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะถูกเลือกปฏิบัติ ไม่พัฒนาภาคใต้ เนื่องจากคนใต้ไม่เลือก จึงไม่อยากทรยศ แต่หากเสียงส่วนใหญ่มีมติให้เข้าร่วมรัฐบาล ก็ต้องว่ากันไปตามมติของพรรค ไม่มีปัญหา เพราะตนไม่ใช่ตัวปัญหาของพรรค ตนอยู่กับพรรคฯ มาเกือบ 60 ปี มีส่วนร่วมล้มลุกคลุกคลาน ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน ฟื้นฟูพรรคจนกระทั่งได้เป็นรัฐบาล

“หากอยากเป็นก็บอกตรง ๆ ว่า อยากเป็นรัฐบาล อย่าไปอ้างคนอื่น เราควรพูดเรื่องจริงว่า เพราะอยากเป็น เราก็ไม่ว่าอะไร และหากมติส่วนใหญ่ให้เป็นเราก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าไปหลอก ไปอ้างเหตุผลอะไรมาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ทำให้คนที่ติดตามเราอยู่จะมีความรู้สึกในทางลบกับพรรคฯ” นายชวน กล่าว

ส่วนที่มีกระแสข่าวระบุว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลนายชวนจะลาออกนั้น นายชวนกล่าวว่า ตนไม่เคยพูด และตนเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมาก ซึ่งตนเคยบอกว่า ใครชนะเลือกตั้งได้ที่ 1 เป็นรัฐบาล ตอนนั้นตนแพ้ไป 2 เสียง และรวมเสียงได้มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องรักษาคำพูด ตนเป็นนักการเมืองที่อยู่มาได้ เพราะประชาชนเลือก เพราะความเชื่อถือคำไหนคำนั้น อะไรทำได้ก็ทำ อะไรทำไม่ได้ก็บอกตรง ๆ ตนจึงไม่พูดว่าจะลาออกเพราะถ้าพูดต้องลาออก

เมื่อถามว่า นายชวนจะเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่แน่นอน เพราะตนเป็นนักการเมืองตัวจริง ไม่ใช่นักฉวยโอกาส ไม่ใช่นักกินเมือง ไม่ใช่นักปล้นเมืองโกงเมือง ตนเป็นนักการเมืองรู้ในกติกา จึงไม่เป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล แต่จะใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมที่มี เช่นกฎหมายที่ดีของรัฐบาลตนก็พร้อมที่จะสนับสนุน ยกเว้นบางเรื่องเช่นหากมีกรณีพฤติกรรมที่ทุจริต หากมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนก็ไม่ควรที่จะยกขบวนกันไปยอมรับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือจุดยืนของพรรคต้องมี ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ซึ่งตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลในสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการไปเจรจา ไม่ได้อยากเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้วขอร่วมหน่อย แต่เป็นการร่วมโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้อง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและประกันรายได้เกษตรกร

“ผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว หรือไปอาฆาตแค้นอะไร กับนายกรัฐมนตรีหรือคนในพรรคเพื่อไทย แต่ผมต้องการตอบแทนบุญคุณคนภาคใต้ โดยการทำหน้าที่แทนชาวบ้าน และที่เหนือไปกว่านั้นคือพรรคฯมีเกียรติยศมายาวนาน เราไม่เคยถูกประณามว่าเป็นพรรคอะไหล่ หรือ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพรรคที่คอยเสียบ ผมก็รู้สึกเจ็บร้อนแทน และรู้สึกว่าไม่เห็นมีใครออกมาปกป้องพรรค อยากขอร้องว่าหากจะพูดถึง พฤติกรรมคอยเสียบ ขอให้เจาะจงไปที่ตัวบุคคล ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เพราะพรรคฯ ไม่ได้ประกอบด้วย สส.เพียง 25 คน แต่ยังมีสมาชิกซึ่งอยู่ข้างนอกอีกจำนวนมาก และคงไม่พอใจกับพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้น แต่คงไม่สามารถทำอะไรได้ สังเกตว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ติดใจที่อยากได้พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลสักเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือคนของเราอยากร่วมรัฐบาลมากกว่า” นายชวน กล่าว

สำหรับกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะสูญพันธุ์นั้น นายชวน กล่าวยืนยันว่าไม่สูญ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะเหลือตนอีกคน แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกเข้ามาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ากก.บห.พรรคชุดนี้ก็มาจากชุดที่แล้ว จึงน่าจะทราบว่า จุดอ่อนอยู่ตรงไหน และยังเชื่อว่า สส.บัญชีรายชื่อในสมัยหน้าน่าจะได้มากกว่าเดิม เพราะจากการลงพื้นที่ เห็นปฏิกิริยาชาวบ้านก็พอจะรู้ว่าหลายคนก็ยังอาลัยและเสียดายพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ระบบการเลือกตั้งเปลี่ยนไปและคนก็เปลี่ยนไปมาก

นายชวน ยังกล่าวถึง นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่ามีนักการเมือง มี 2 ประเภท มีพวกที่พูดเก่ง ชอบตำหนิ แต่ทำงานไม่เก่ง ว่า ตนอยู่สภาฯมากว่า 50 ปี ไม่เคยได้ยินว่าแบ่งกันเช่นนี้ และเห็นว่านายเดชอิศม์เป็นฝ่ายค้านมาเกือบ 1 ปีแทบไม่เคยพูดในสภาฯ เลย หรือจะพูดเพียง 1 ครั้ง ในขณะที่ลูกชายนายเดชอิศม์พูดเก่ง ซึ่งหากพูดอย่างนี้อยากย้อนถามว่าลูกชายทำงานไม่เก่งหรืออย่างไร เพราะลูกชายนายเดชอิศม์อภิปรายงบประมาณได้ดีมาก ตนอยู่สภาฯ มาเคยได้ยินแต่ว่านักการเมือง ที่โกงกับไม่โกง และคนที่เป็นคนอภิปรายได้ดีในสภาฯ เป็นเพราะเตรียมตัวมา ดังนั้นจึงไม่ควรพูดเช่นนี้

นายชวนกล่าวอีกว่า แม้มีความเห็นต่างในการที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ก็ไม่ทำให้พรรคแตก เพราะพรรคประชาธิปัตย์อยู่มายาวนาน ผ่านอะไรมาเยอะ แต่สิ่งสำคัญคือพรรคต้องมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี

'สุริยะ' สั่งเปิดศูนย์ภัยพิบัติคมนาคม ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

(23 ส.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัย (น้ำท่วมฉับพลัน) น้ำป่าไหลหลาก และดินสไลด์ในภาคเหนือที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นั้น กระทรวงคมนาคมมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มอบหมายและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผล กระทบจากอุทกภัยในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งสั่งเปิด ‘ศูนย์ Command Center ภัยพิบัติกระทรวงคมนาคม’ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ สั่งการ รับแจ้งเหตุ ประสานข้อมูลการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายใน และภายนอกกระทรวงฯ เพื่อบูรณาการการรายงานผลในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

ขณะเดียวกัน ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดเตรียมถุงยังชีพ และของใช้จำเป็น เพื่อแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในครั้งนี้ พร้อมทั้งให้จัดเจ้าหน้าที่คอยดูแล และอำนวยความสะดวกการสัญจรบนเส้นทางการจราจรต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตั้งป้ายเตือน และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย นอกจากนี้ ยังได้ให้ทุกหน่วยงานรายงานความคืบหน้าและความเคลื่อนไหวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันที เพื่อเตรียมแผนรับมือและช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วม และดินสไลด์ในโครงข่ายทางหลวง (ณ วันที่ 22 ส.ค.67) ได้รับผลกระทบใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย น่าน พะเยา เชียงราย และแพร่ รวม 13 แห่ง 8 สายทาง การจราจรสามารถผ่านได้ 3 แห่ง และผ่านไม่ได้อีก 10 แห่ง ทั้งนี้ ในทุกจุดที่เกิดเหตุนั้น มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สถานการณ์การสัญจรกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และให้ประชาชนที่ใช้เส้นทางมีความปลอดภัยระดับสูงสุด ขณะเดียวกัน ทล. ได้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ และเครื่องจักร เพื่อลงพื้นที่เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชม. ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งมาที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 ฟรีตลอด 24 ชม.

ขณะที่ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้รายงานว่าขณะนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าลงพื้นที่โดยทันที เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ ป้ายเตือน หลักนำทาง สะพานเบลีย์ และยานพาหนะให้มีความพร้อมรองรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับเส้นทางการสัญจรภายใต้การดูแลนั้น การจราจรสามารถสัญจรได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่มีน้ำท่วมและเกิดเหตุดินสไลด์ 6 สายทาง และยังไม่สามารถใช้สัญจรได้ 13 เส้นทาง ซึ่งทุกจุดนั้นมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเส้นทางเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รายงานว่า จากเหตุน้ำท่วมและดินถล่มนั้น ท่าอากาศยานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท. ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้จัดเตรียมแผนการรองรับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและบริหารจัดการน้ำภายใน ทชร. โดยการขุดลอกระบบระบายน้ำแบบเปิด ซึ่งเป็นคูระบายน้ำโดยรอบพื้นที่ท่าอากาศยาน และจัดเตรียม เครื่องสูบน้ำด้านทิศเหนือที่ใช้บริหารจัดการน้ำภายใน ทชร. ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และมีการตรวจสอบประตูน้ำว่าสามารถใช้งานได้ปกติ 

นอกจากนี้ ได้จัดเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบกายภาพ และติดตามสถานการณ์น้ำท่วมโดยรอบพร้อมประเมินสถานการณ์และรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภค บริโภค รวมถึงยารักษาโรคใน ‘ถุงยังชีพ’ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาภัยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายในพื้นที่ ขณะเดียวกันท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นำอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นในการยังชีพ แจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการยังชีพในเบื้องต้น และหลังจากนั้นจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

ในส่วนของกรมเจ้าท่า (จท.) นั้น ได้ส่งบุคลากรเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งจัดเตรียมเรือตรวจการณ์ รถยนต์ และสิ่งของต่าง ๆ ไปมอบให้ผู้ประสบภัย และเข้าร่วมศูนย์ช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยของ ปภ. อำเภอเมือง และอำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนที่ประสบภัยในครั้งนี้ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดี 

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง หรือต้องการความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชม.) สายด่วนมอเตอร์เวย์ โทร. 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง โทร. 1193 ขณะที่สายด่วน ทช. โทร. 1146

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดนั้น มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหลายแห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวังบริเวณพื้นที่เสี่ยง ดังนี้ ภาคเหนือ 12 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ประกอบด้วย นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย ระนอง พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล

‘เจ้าของคาเฟ่’ จ.น่าน เปิดใจหลังร้านโดนน้ำท่วม เกือบมิดหลังคา ชี้!! ข้าวของเสียหาย ทุกอย่างที่รัก ตอนนี้พังหมดภายใน 1 คืน

(23 ส.ค.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Suthida Wongrattana โพสต์เหตุการณ์ ร้านคาเฟ่ที่ จ.น่าน โดนน้ำท่วม จนข้าวของทุกอย่างเสียหายหมด พร้อมระบุว่า “ในชีวิตนี้ไม่เคยเจออะไรหนักเท่านี้เลย ร้านที่เราฝัน ที่เรารัก เราทำมันสำเร็จ แต่ตอนนี้มันพังหมดภายใน 1 คืน จุกไปหมด”

ล่าสุดวันนี้ คุณก้อย เจ้าของร้านคาเฟ่ที่ จ.น่าน เปิดใจกับข่าวสดออนไลน์ ระบุว่า ร้านของตนเคยน้ำท่วมมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา น้ำท่วมถึงแค่สนามหญ้าและน้ำก็ลดเร็ว แต่น้ำตรงแม่น้ำน่านยังไม่ค่อยลดเท่าไหร่ เวลามีฝนตก ตนก็กังวลว่ามันจะท่วมอีกรอบหรือเปล่า

ต่อมาวันที่ 20 ส.ค. มีฝนตกเกือบทั้งวันและหยุดตกตอนเวลาหลัง 18.00 น. จนเมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืน วันที่ 21 ส.ค. ฝนตกหนักอีกครั้งตลอดทั้งคืนยันเช้า ซึ่งร้านก็ยังเปิดตามปกติ เพราะไม่คิดว่าน้ำจะขึ้นเร็วขนาดนี้ แต่พอช่วงเวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น. เห็นน้ำเริ่มขึ้นก็ทยอยเก็บของ ยกขึ้นที่สูงกว่าที่น้ำเคยท่วมรอบก่อน พวกเฟอร์นิเจอร์ก็แขวนไว้ที่หลังคา

หลังจากฝนเริ่มเบาลง ตอนนั้นตนยังชะล่าใจ คิดว่าน้ำไม่น่าท่วมสูงเกินที่คาดไว้ จึงไม่ได้ขนของอะไรออกมา จากนั้นก็รีบออกมาจากพื้นที่ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 18.00 น. แม้ฝนจะหยุดแล้วแต่น้ำก็ยังคงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเข้าไปเอาของไม่ได้

คุณก้อย กล่าวว่า น้ำหนุนขึ้นมาเยอะมากจากทางน่านตอนเหนือที่ฝนตกหนักมาก่อน เริ่มท่วมจากทางทุ่งช้าง เชียงกลาง ปัว ท่าวังผา แล้วเข้าเมือง การที่น้ำท่วมสูงอย่างรวดเร็วแสดงว่าน้ำจากทางเหนือมันเยอะมากแล้วไล่ระดับลงมา

ตอนที่คนในพื้นที่เริ่มบอกกันว่าน้ำมันจะท่วมสูงประมาณตอนปี พ.ศ. 2554 นะ ตนก็เข้าไปเอาของออกไม่ทันแล้ว น้ำท่วมสูงจนทำให้ตนไม่สามารถเข้าไปเอาของออกมาได้ทัน รถก็เข้าไปไม่ได้แล้ว พายเรือไปก็ไม่ได้เพราะน้ำเริ่มเชี่ยว

โดยตอนเวลาประมาณ 22.00 น. ไฟยังไม่ตัด ตนดูกล้องวงจรปิดเห็นว่าน้ำเริ่มเข้าร้าน พบว่าน้ำท่วมครั้งนี้สูงกว่าที่เคยเจอมาจากปีอื่น ๆ ที่เคยเจอ และไฟก็เริ่มตัดไป น้ำยังคงท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยันเช้าของวันที่ 22 ส.ค. ตนตื่นออกมาดูน้ำในพื้นที่ก็พบว่าน้ำท่วมเกือบมิดหลังคาร้าน

ร้านคาเฟ่ของตนเป็นร้านเบเกอรี่ที่เปิดเป็นร้านกาแฟด้วย อุปกรณ์ของทำเบเกอรี่ วัตถุดิบ เครื่องทำกาแฟ เครื่องสกัดกาแฟ เครื่องบดต่าง ๆ ถูกล็อกแช่อยู่ในร้านทั้งหมด รวมไปถึงของตกแต่งร้านและเฟอร์นิเจอร์ที่ยกสูงแล้วก็ยังหนีน้ำไม่พ้น

ตอนเช้าที่ตื่นมาเจอน้ำท่วมเกือบมิดหลังคาร้าน ตนรู้สึกทั้งช็อกและจุก เพราะของตนอยู่ในนั้นทั้งหมดเลย ไม่คิดว่าน้ำมันจะท่วมสูงขนาดนี้ มันคือการเริ่มใหม่ทั้งหมด คาเฟ่ของตนมีแมชชีนและของครบทุกอย่าง

แม้กระทั่งการแต่งสวนหน้าร้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ก็โดนน้ำท่วมไปหมด และยิ่งจิตตกตอนย้อนกลับไปดูรูปภาพตอนร้านยังสวย แล้วกลับมาดูสภาพปัจจุบัน ทำให้ตอนนี้สภาพจิตใจไม่ค่อยโอเค ซึ่งตนไม่ใช่คนน่าน ย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ของแฟน เขาก็บอกว่าน้ำไม่เคยท่วมสูงขนาดนี้

ตนรู้สึกว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ก็จะมีแต่ชาวบ้านด้วยกันเองที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือดูแลกันเอง หรือได้รับความช่วยเหลือแค่ในระดับ อบต. ที่คอยหาเรือ ข้าว อาหาร มาช่วยคนที่ออกจากพื้นที่ไม่ได้ หรือเพจน่าน ที่คอยช่วยประชาสัมพันธ์แจ้งคนหายต่าง ๆ

แต่เท่าที่ตนเห็น ยังไม่มีหน่วยงานระดับสูง ๆ ลงพื้นที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลเลย อาศัยการพึ่งพากันเองมากกว่า ตนก็ต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนท่าวังผา กลุ่มของคนในพื้นที่ หรือฟังประกาศจากผู้ใหญ่บ้าน ประกาศอย่างเป็นทางการ เท่าที่ตนทราบยังไม่มี

แต่ทั้งนี้ตนไม่โทษใครอยู่แล้วเพราะเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติ แค่อยากเตือนทุกคนจากประสบการณ์ตัวเองว่า ถ้าน้ำมาอย่าชะล่าใจ ขนอะไรได้ก็ขนให้หมด อยู่ในพื้นที่สูง ๆ หรือออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

'กก.บห.' พลังประชารัฐ มอบดาบ 'บิ๊กป้อม' ชงชื่อใหม่ได้ หากคุณสมบัติ รมต.ไม่ผ่าน

(23 ส.ค.67) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ว่า พรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมีกรรมการบริหารพรรคมาร่วมประชุมจำนวน 12 คน จากจำนวน 19 คน ซึ่งครบตามองค์ประชุม เพื่อยืนยันการเข้าร่วมรัฐบาลและการเสนอชื่อบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคตามที่ได้มีข้อตกลงกับพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ สส.ของพรรคพลังประชารัฐได้มีมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลได้ประสานมายังพรรคพลังประชารัฐเพื่อเสนอรายชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนโควตาของพรรคพลังประชารัฐ และในวันที่ 20 ส.ค.67 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้เสนอรายชื่อบุคคลดังกล่าวจำนวน 4 คน ผ่าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ไปแล้วนั้น

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า โดยที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว ได้มีมติเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลที่เห็นควรเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค ดังนี้ พรรคพลังประชารัฐขอยืนยันรายชื่อบุคคลที่พรรคได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีผ่าน นพ.พรหมินทร์ ไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งตามข้อตกลงในการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ หากรายชื่อที่ส่งไปแล้วปรากฏว่า มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ผ่านคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทางพรรคเพื่อไทยควรต้องแจ้งกลับมาให้พรรคพลังประชารัฐทราบ เพื่อให้หัวหน้าพรรคซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้พิจารณาเปลี่ยนแปลงรายชื่อและเสนอไปใหม่เพื่อทดแทนเท่านั้น

"หากมีการเสนอแต่งตั้งรายชื่อบุคคลอื่นบุคคลใดที่ไม่ได้มาจากรายชื่อที่พรรคพลังประชารัฐเสนอเป็นรัฐมนตรี ทางพรรคขอปฏิเสธรายชื่อดังกล่าวและจะถือว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ทางพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลควรยึดถือและปฏิบัติตามต่อไป"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่วันที่ได้ส่งรายชื่อให้พรรคเพื่อไทย มีการแจ้งกลับมาหรือยังว่า แต่ละคนมีคุณสมบัติครบถ้วน พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้มีการประสานงานกันเป็นระยะ

เมื่อถามว่า ชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยังมีคุณสมบัติอยู่ใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้ในเบื้องต้นมีการพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้มีการยืนยันว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแค่ไหนอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า รายชื่อที่คุณสมบัติไม่ผ่าน หัวหน้าพรรคสามารถเสนอชื่อให้ทางพรรคเพื่อไทย โดยไม่ต้องผ่านกก.บห.ใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ใช่ มติที่ประชุมยืนยันชัดเจนว่า กก.บห.ได้มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่หากหัวหน้าพรรคจะมีความเห็นควรจะผ่านกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งก็คงจะนำรายชื่อเข้าที่ประชุม กก.บห.

ซักว่า รายชื่อที่ ร.อ.ธรรมนัส ส่งไป ซึ่งยังไม่ผ่านกก.บห.ถือว่าโมฆะหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ เพราะ 4 รายชื่อตามที่ กก.บห.ก็ยังยืนยันตามเดิมตั้งแต่วันแรกที่เราเสนอไปเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งล้วนเป็นรัฐมนตรีเก่าของเราในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า สุดท้ายหากรายชื่อไม่ออกมาตามนี้จะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า คงจะต้องคุยกับทางพรรคเพื่อไทย จริง ๆ แล้วเป็นอำนาจของหัวหน้ารัฐบาล แต่โดยมารยาททางการเมืองจะต้องมีการพูดคุยกัน หากรายชื่อที่เสนอไปไม่เหมาะสม หรือคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน ก็ต้องมาคุยกัน เรายินดีพร้อมที่จะเปลี่ยน

ถามว่า การประชุม กก.บห.วันนี้ กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ไม่เข้าร่วม สะท้อนถึงรอยร้าวภายในพรรคหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ เพราะอาจจะติดภารกิจ มีการแจ้งกก.บห.แล้ว

เมื่อถามว่า รายชื่อที่ไปส่งตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. ยังไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ในทางการยังไม่มีการติดต่อกลับมา เมื่อถามว่า ในที่ประชุม กก.บห.มีการหารือกันถึงการครอบงำข้ามพรรคของคนนอกหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุย เราคุยในหลักเกณฑ์ หลักการ และวิธีการของพรรคเราเท่านั้น

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวถึงรายชื่อรัฐมนตรีที่พรรคพลังประชารัฐเสนอไปว่า รายชื่อรัฐมนตรีแต่ละพรรค ก็มีมติและความเห็นของแต่ละพรรค แต่หากพรรคใดมัวแต่ฟังเสียงเล็ก เสียงน้อย เสียงทุ้มอะไรพวกนี้ ก็จะไขว้เขว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ที่มีการเมืองมา ควรคุยกันและให้เกียรติการร่วมรัฐบาลซึ่งกันและกัน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐยืนยันว่า รายชื่อรัฐมนตรีที่เราส่งไปได้ผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค แต่หากพรรคเพื่อไทยจะนำคนอื่นมาใช้ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า กังวลถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ที่อาจเข้าข่ายผิด มาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เราเข้าใจหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี เพราะตามหลักการ หากเสนอบุคคลที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วน หรือไม่เหมาะสม ก็อาจจะมีผลกระทบ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยมีความไม่สบายใจตรงนี้ จึงแจ้งกลับมายังหัวหน้าพรรค ซึ่งทางพรรคยินดีที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่เหมาะสม เพราะพรรคพลังประชารัฐมีบุคคลที่เหมาะสม และพร้อมเป็นรัฐมนตรีอยู่หลายคน ไม่ต้องห่วง

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะลาออกจากหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่มี หัวหน้าพรรคอยู่กับพวกเราตลอด หากเราไม่ทิ้งท่าน ท่านก็ไม่ทิ้งพวกเรา

‘สี จิ้นผิง’ ยกย่อง ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ สร้างสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน พร้อมเดินหน้า-ต่อยอด ‘สร้างสันติ-ความเจริญรุ่งเรือง’ ร่วมกันของทุกฝ่าย

(23 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวยกย่อง ‘คุณูปการอันโดดเด่น’ ของ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำที่ล่วงลับ และเรียกร้องการเดินหน้าสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่ริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง เนื่องในวาระครบรอบ 120 ปี วันคล้ายวันเกิดของเติ้งเสี่ยวผิง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งร่วมการประชุมเนื่องในวาระข้างต้น กล่าวว่าจีนต้องศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping Theory) อย่างละเอียดต่อไป

เติ้ง เสี่ยวผิงสร้างคุณูปการโดดเด่นแก่พรรคฯ ประชาชน ประเทศ ชาติ และโลก ซึ่งความสำเร็จของเติ้ง เสี่ยวผิงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และจะเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ

เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นแกนหลักของคณะผู้นำส่วนกลางรุ่นที่ 2 ของพรรคฯ หัวหน้าสถาปนิกของการปฏิรูปสังคมนิยม การเปิดกว้าง และการสร้างความทันสมัยของจีน และผู้บุกเบิกสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน ขณะเดียวกันเติ้ง เสี่ยวผิงยังเป็นนักสากลนิยมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างคุณูปการสำคัญแก่สันติภาพและการพัฒนาของโลก

"สหายเติ้ง เสี่ยวผิงได้ใช้ชีวิตที่น่ายกย่อง ต่อสู้ดิ้นรน และไม่ธรรมดา" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นห้วงยามแห่งความวุ่นวายนานนับทศวรรษที่สิ้นสุดปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิงได้นำพรรคฯ และประชาชนบรรลุการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของจีน

เติ้ง เสี่ยวผิงผลักดันจีนบรรลุความก้าวหน้าใหม่ในการปรับใช้ลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับบริบทของจีน บุกเบิกการสร้างความทันสมัยของสังคมนิยม และกำหนดวิถีทางอันถูกต้องสำหรับการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของเติ้ง เสี่ยวผิงมีความครอบคลุมและความแปลกใหม่ ซึ่งส่งผลลัพธ์อันลึกซึ้งและยั่งยืนต่อทั้งจีนและโลก

"เราจะจดจำความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และเคารพแนวทางการปฏิวัติอันสง่างามของเขาตลอดไป" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่ามรดกทางปัญญาอันสลักสำคัญที่สุดจากเติ้ง เสี่ยวผิงคือทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง และเรียกร้องการศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริง

"วิธีการอันดีที่สุดในการเชิดชูเกียรติของเติ้ง เสี่ยวผิงคือเดินหน้ากิจการสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่เขาริเริ่มไว้" สีจิ้นผิงกล่าว และเรียกร้องการปฏิรูปอย่างครอบคลุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเสริมแรงและคุ้มครองการสร้างความทันสมัยของจีนอย่างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงกล่าวกระตุ้นการเร่งสร้างเศรษฐกิจอันทันสมัย การพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้นในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมขั้นสูง รวมถึงพยายามบรรลุความก้าวหน้าที่โดดเด่นและมีแก่นสารยิ่งขึ้นในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของทุกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าการบรรลุการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ของจีนเป็นความปรารถนาของเหมา เจ๋อตง เติ้ง เสี่ยวผิง และสมาชิกนักปฏิวัติรุ่นเก่าคนอื่น ๆ มาเนิ่นนานแล้ว พร้อมเรียกร้องความพยายามส่งเสริมการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน และการคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ อย่างหนักแน่น เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชื่นชมตำรวจในพื้นที่ทุกหน่วย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยว

วันนี้ ( 23 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติแก่ข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และคณะ โดยมี พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การท่องเที่ยวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และเป็นรายได้หลัก ของประเทศ ซึ่งเมืองพัทยานับเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ดังนั้น การดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจึงนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง มาตรการป้องกันเหตุและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติของสถานีตำรวจภูธรพัทยา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ มีแผนปฏิบัติและรายละเอียดที่ชัดเจน จึงขอชื่นชมผู้เกี่ยวข้องทุกนาย 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก คือ การได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งจากการที่ได้เห็นความสัมพันธ์อันดี และการทำงานที่สอดประสานระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และสถานีตำรวจภูธรพัทยา เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรพัทยา สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น ได้รับความร่วมมือที่ดี และตรงกับความต้องการของประชาชน และประการที่ 2 คือ ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน “ขวัญ เป็นอำนาจรบ ที่ไม่มีตัวตน” หากผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจและสวัสดิการที่ดีก็จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว ให้มีขวัญกำลังใจที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายถือปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากล ที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา” ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและสังคม

ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วสท. และ นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย ปลื้ม 'ERDI-CMU' มช. สร้าง Platform การประหยัดพลังงาน 9% พร้อมแก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Demand Response และ Peak Demand ด้วย นวัตกรรมคนไทย NiA หม้อแปลง Low Carbon

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน   นครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และ ดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ ต้อนรับคุณธีรภพ พงษ์พิทยาภา นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย และดร.เตชทัต บูรณะอัศวกุล ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วสท. ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงาน หม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System เพิ่มอายุการใช้งานให้กับ Energy Storage มากถึง 20 ปี ทำให้ระบบไฟฟ้าเกิดความเสถียรภาพเกิดความมั่นคงด้านพลังงาน Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ประหยัดพลังงาน 9% ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและความมั่นคงระบบพลังงานไฟฟ้าสะอาด ของภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบการ, อาคารสถานที่, โรงพยาบาล โรงแรม เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติด้านพลังงานและด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า 

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี กล่าว เนื่องจากเร็วๆนี้ องค์กรภาครัฐ ส่งเสริมด้านการประหยัดพลังงานรณรงค์ชวนปิดไฟ ให้โลกพัก ปิดไฟ 1 ชั่วโมงเพื่อลดโลกร้อน Platform หม้อแปลง Low Carbon ตอบโจทย์ Demand Response Net Zero off Grid 100% ด้วยกราฟเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

‘เพจดัง’ เผยเรื่องราว ‘ครูบอย’ ไม่ละทิ้ง ‘ลูกศิษย์’ ช่วยหาทุนจนมีโอกาสเรียน หลังเด็กเขียนจดหมายลา ขอไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยบาท

(23 ส.ค.67) เมื่อการศึกษาต้องเข้าถึงทุกคน จึงกลายเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียไม่น้อย หลัง ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน เจ้าของเพจเฟซบุ๊กดัง ‘หมอแล็บแพนด้า’ ได้โพสต์ข้อความและรูปจดหมายที่เขียนเรื่องเล่าของเด็กชายรายหนึ่ง ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนอย่างที่ใจหวัง ต้องเขียนจดหมายลาครู เพื่อไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยกว่าบาท

โดยข้อความระบุว่า “โอย อยากให้ลองอ่านจดหมายฉบับนี้ครับ เป็นเรื่องราวของ ‘แดง’ เด็กชายบ้านนาเกียนที่ต้องเขียนจดหมายลาครู เพื่อไปช่วยแม่รับจ้างเก็บลำไย รายได้วันละร้อยกว่าบาท และไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเรียนอีกรึเปล่า

แต่ครูบอย พอได้อ่านจดหมายของลูกศิษย์แล้ว ครูไม่เคยทิ้งเด็กชายแดงเลย พยายามตามกลับไปเรียน และช่วยแนะนำทุนการศึกษา จนแดงได้รับทุนเสมอภาค จนถึงชั้น ม.3 และทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาทำให้แดงได้เรียนต่อ ปวส. สาขาช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยเทคโนโลยีเทคนิคโปลิลานนา เชียงใหม่

พอแดงมีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบก็เลยทำให้แดงมีแรงบันดาลใจที่จะสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ชีวิตของแดง คือดอกผลที่มีชีวิต เป็นการลงทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่แสนคุ้มค่า

การศึกษาต้องไม่เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เพราะเด็กทุกคนมีศักยภาพ โอกาสการศึกษาต้องไปให้ถึงทุกคน!!! โดยไม่มีข้อจำกัดหรืออุปสรรคอะไรทั้งนั้น

แต่เชื่อมั้ยครับ แดงยังโชคดีมีครูบอยคอยช่วย เพราะข้อมูล กสศ. ชี้ว่าเด็กไทยกว่า 1.02 ล้านคน หลุดออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือ

ซึ่ง BigData ข้อมูลของเด็กกลุ่มนี้ ทางเลือกการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตเด็กทุกคน และความร่วมมือกับทุกภาคส่วน จะเป็น Game Changer ตัวเปลี่ยนเกม ที่ช่วยให้โอกาสการศึกษาไปให้ถึงเด็กทุกคน

นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่เค้าจะมีการแลกเปลี่ยนในงานมหกรรม All For Education : Education For All รวมพลังนักสร้างการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อเด็กทุกคน จัดขึ้นวันที่ 23-25 สิงหาคมนี้ ที่ IMPACT Forum เมืองทองธานี

เด็กทุกคนควรได้เรียนนะครับ”

หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับคอมเมนต์จากประชาชนหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมครูบอย ที่ได้คอยช่วยเหลือและเพจที่เป็นกระบอกเสียงให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อาทิ ขอบคุณครูบอยมากนะคะ ขอให้โลกนี้ มีคนแบบครูบอยเยอะ ๆ เลย, คุณครูสุดยอดมากค่ะ, ครูแบบนี้ควรยกย่องมาก ๆ ค่ะ..ต้นแบบที่ดี, อยากให้มีครูแบบนี้หลาย ๆ คน ฯลฯ

'เวียดนาม' เอาจริง!! รุกสร้างแบรนด์แข่งไทย ยกระดับ 'ทุเรียน' เป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ

(23 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อเวียดนามอ้างอิงคำกล่าวของเล มินห์ ฮวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม ระบุว่า เวียดนามควรผลักดันให้ทุเรียนขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ ด้วยการกำหนดมาตรฐานคุณภาพและสร้างแบรนด์เพื่อแข่งขันกับผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น ไทย และมาเลเซีย

เล มินห์ ฮวนเผยว่า การผลักดันให้ทุเรียนเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาตินั้น จำเป็นต้องอาศัยนโยบายการเกษตรที่ครอบคลุมและต้องมีการให้ความรู้แก่เกษตรกรและภาคธุรกิจ สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากปัจจุบันเวียดนามตามหลังไทยและมาเลเซียในการส่งออกผลไม้ไปยังจีน ขณะที่การผลิตในเวียดนามยังกระจัดกระจายและมีขนาดเล็ก

สินค้าแต่ละชนิดจะต้องผ่านเกณฑ์หลายประการเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ เช่น ขนาดการผลิต ขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และศักยภาพในการครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นคาดว่า การส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เวียดนามทำรายได้จากการส่งออกทุเรียนอยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.84 หมื่นล้านบาท) ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม โดยจีนเป็นผู้นำเข้าทุเรียนเวียดนามรายใหญ่ที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top