Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

‘ดร.หิมาลัย’ เผย ‘พีระพันธุ์’ ทุ่มเทแก้ปัญหาพลังงานให้เป็นธรรม ชูกลยุทธ์ ‘ระบบสำรองน้ำมัน’ ไว้ใช้ยามเกิดวิกฤตนาน 90 วัน

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้ทุ่มเทในการแก้ปัญหาราคาพลังงาน ที่ต้นเหตุ เพื่อทำให้เป็นพลังงานที่มั่นคงเป็นธรรมและยั่งยืน โดยได้มีการแก้ไขกฎหมายและจะแก้ไขหลายฉบับเพื่อทำให้ระบบต้นทุนพลังงานมีความโปร่งใสมากขึ้น โดยโครงสร้างราคาน้ำมันที่ผู้ประกอบต้องแจ้งต้นทุนน้ำมันจริง และกองทุนน้ำมันสำรอง ช่วยลดภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรายวัน แก้น้ำมันราคาแพงที่ประชาชนต้องแบกรับตามภาวะขึ้นลงของราคาน้ำมันโลก สร้างระบบราคาน้ำมันเป็นธรรมที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า นายพีระพันธุ์ มีแผนจะทำระบบสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน และจะแก้ไขปรับเปลี่ยน จากที่เคยเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ำมันพลังงานเป็นเงิน แต่จะเปลี่ยนเป็นการจ่ายเป็นน้ำมันแทน เพื่อนำมาเก็บสำรองในคลังน้ำมันสำรอง เพื่อความมั่นคง เพื่อมีไว้ใช้หากเกิดวิกฤต นาน 90 วัน

โดย นายพีระพันธ์ เล็งที่จะใช้ศูนย์ปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันทหาร และทำเรื่องน้ำมันทหารมายาวนาน ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่สร้างคลังสำรองเพื่อความมั่นคง

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายพีระพันธ์ุ ได้เคยเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบพื้นที่และระบบการทำงาน ของตลาดน้ำมัน อาหาร และสถานที่มาแล้ว และมีแผนที่จะพัฒนาโรงกลั่นทหาร โดยใช้งบ 300 ล้านบาท เพื่อทำให้โรงกลั่นน้ำมันทหารสามารถกลั่นน้ำมันดีเซล ที่ได้มาตรฐาน Euro 5 ของกรมธุรกิจพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันน้ำมันทหาร ซึ่งเป็นน้ำมันดีเซล แต่มีค่ากำมะถันสูง

ดร.หิมาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายพีระพันธุ์ เดินทางไปยังซาอุดีอาระเบีย เพื่อชวนให้มาลงทุน ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน

“เรื่องนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้สำเร็จ และอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจยาก ท่านพีระพันธ์ุ เป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง ไม่เคยโอ้อวดตนเอง มุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างเดียว” ดร.หิมาลัย กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ กำชับ ‘กรมโรงงานฯ’ ติดตามสถานที่เก็บไซยาไนด์ต่อเนื่อง ย้ำ!! เข้มงวดการขึ้นทะเบียน-ใช้ผิดประเภทดำเนินคดีตาม กม.สูงสุด

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงมาตรการป้องกันวัตถุอันตราย หลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดยมีการตรวจพบสารไซยาไนด์บริเวณที่เกิดเหตุ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งใน 6 หน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลวัตถุอันตราย ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม รับผิดชอบสารตามบัญชี 5 ซึ่งใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสารที่ควบคุมตามอนุสัญญา ของเสียเคมีวัตถุ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว รวมจำนวน 615 รายการ และ 26 กลุ่ม 

ทั้งนี้ โพแทสเซียมไซยาไนด์ จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบ ซึ่งผู้ประกอบการที่ประสงค์จะนำเข้า ผลิต จะต้องขอขึ้นทะเบียนพร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ที่ชัดเจนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และต้องได้รับอนุญาตก่อนการดำเนินการ โดยการนำไปใช้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น 

“สำหรับสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ เป็นสารที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดโลหะ ชุบโลหะ สกัดแร่ทองและเงิน และใช้ในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ ทั้งนี้ สถานที่เก็บรักษาโพแทสเซียมไซยาไนด์ จะต้องได้รับการตรวจสอบทุกครั้งประกอบการพิจารณาขออนุญาต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมายและหลักวิชาการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมีการตรวจติดตามสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อบุคคล ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้ผู้ที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในครอบครองตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไปในรอบ 6 เดือน มีหน้าที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงของการนำไปใช้ ปริมาณคงเหลือ การจำหน่าย เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบไปจนถึงผู้ใช้ได้” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

ด้านนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้มีการนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 และมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์เพิ่มเติม และวันที่ 15 มิถุนายน 2566 อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 

โดยได้แบ่งกลุ่มผู้นำเข้าสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ตามวัตถุประสงค์การนำไปใช้ เป็น 3 กลุ่ม คือ 
1) กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการโรงงาน 
2) กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับห้องปฏิบัติการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย 
และ 3) กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการชุบล้างโลหะขนาดเล็ก ซึ่งครอบคลุมถึงการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ความเข้มข้นต่ำเป็นองค์ประกอบสำหรับกิจการอื่น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การให้แจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำกับดูแลการใช้สารประกอบไซยาไนด์ จำนวน 16 รายการอย่างเข้มงวด และสามารถติดตามการใช้งานได้จนถึงผู้ใช้รายย่อย ด้วยการกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายตามรายชื่อท้ายประกาศนี้อยู่ในความครอบครองในแต่ละรายชื่อของวัตถุอันตรายทุกปริมาณ ทุก 6 เดือน

ทั้งนี้ ได้กำชับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายต้องนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุในการขึ้นทะเบียนเท่านั้น หากพบว่า ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือผู้ใช้  มีการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

‘ไทยเบฟฯ’ ขายหุ้น ‘เฟรเซอร์สฯ สิงคโปร์’ เกลี้ยงพอร์ต ลาธุรกิจอสังหาฯ หันลุย ‘ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม’ เต็มสูบ

(18 ก.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าในวันนี้ (18 ก.ค.67) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ไทยเบฟ’ ได้แจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ว่า บมจ.ไทยเบฟจะขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท ‘เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้’ (Frasers Property) ในสิงคโปร์ ให้กับบริษัท ‘ทีซีซี แอสเซ็ทส์’ (TCC Assets) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งในเครือของไทยเบฟเช่นกัน

ภายใต้ข้อตกลงการสวอปหุ้นกับทีซีซี แอสเซ็ทส์นั้น ไทยเบฟจะเพิ่มการถือครองหุ้นในบริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (Fraser & Neave - F&N) ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มในสิงคโปร์แทน

บลูมเบิร์ก ระบุว่า ‘นายเจริญ สิริวัฒนภักดี’ ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย กำลังมองหาลู่ทางปรับโฉมอาณาจักรธุรกิจให้มีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ไทยเบฟ ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เขาถือครองอยู่เช่นกัน

ทางด้านนายประภากร ทองเทพไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) ของไทยเบฟระบุในแถลงการณ์ว่า ธุรกรรมดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมสถานะของไทยเบฟให้มีความชัดเจนมากขึ้น ด้วยการถอนตัวออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ หุ้นจำนวน 28.78% ที่ไทยเบฟถือครองในบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้นั้น จะลดลงเหลือศูนย์หลังเสร็จสิ้นการทำธุรกรรม โดยธุรกรรมดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในประเทศไทย

ขณะเดียวกัน หุ้นที่บริษัททีซีซีถือครองอยู่ในเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 86.89% จากปัจจุบันที่ระดับ 58.1% และหุ้นที่ไทยเบฟถืออยู่ใน F&N จะเพิ่มขึ้นเป็น 69.61% จากปัจจุบันที่ระดับ 28.31%

รายงานระบุว่า ราคาหุ้น F&N ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ พุ่งขึ้น 23% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นระหว่างวันที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 ในขณะที่ราคาหุ้นของ Frasers เพิ่มขึ้น 4.4% หรือสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ปีนี้ ซึ่งช่วยชดเชยจากที่ร่วงลงไป 6% ในปีนี้ได้

ทั้งนี้เคยมีการคาดเดากันถึงอนาคตของเฟรเซอร์สมาแล้ว หลังจากที่สำนักข่าวดาวโจนส์เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า กำลังมีพิจารณาลดการลงทุนในเฟรเซอร์สโดยเป็นส่วนหนึ่งของการปรับกลยุทธ์องค์กร แต่นายเจริญได้ปฏิเสธข่าวการขายหุ้นเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา

‘ผู้เชี่ยวชาญชุดไทย’ แนะ 7 ข้อแก้ ‘ชุดพิธีการโอลิมปิก’ ให้ทันสมัย หากแก้ไม่ได้ ควรให้นักกีฬาใส่ชุดวอร์มที่สวยงาม-เท่-ทันสมัยจะดีกว่า

(18 ก.ค.67) จากกรณีที่คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดตัวชุดพิธีการที่จะใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปรากฏว่ามีเสียงวิจารณ์จากชาวเน็ตถึงความเชย ไม่ทันสมัยในการออกแบบ คล้ายกับเครื่องแต่งกายชุดผ้าไทยของข้าราชการ หรือเปรียบได้กับชุดไปประชุมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ชุดไปงาน อบต. นั้น

ปรากฏว่า ‘ครูบิ๊ก’ พีรมณฑ์ ชมธวัช เจ้าของอาภรณ์งามสตูดิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องแต่งกายนาฏศิลป์ไทยโบราณ ผู้อยู่เบื้องหลังโขนพระราชทาน และผู้อยู่เบื้องหลังชุดในโฆษณารีเจนซี่กว่า 15 ปี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Peeramon Chomdhavat โดยระบุข้อความว่า…

ถ้ายังดื้อ ยืนยันว่าจะใช้แบบเสื้อนี้ให้นักกีฬาทีมชาติไทยใส่ไปโอลิมปิกจริง ๆ ก็จำเป็นต้องแก้ไข การตัดเย็บ ปรับสัดส่วนเสื้อให้พอดีตัวคนใส่ ตามนี้

1. ปรับวงคอให้ตื้นขึ้นอีก ตอนนี้มันคว้านลึกไป
2. วงแขนใหญ่เกินตัวไปมาก ต้องแก้แพตเทิร์นใหม่ให้เล็กลง
3. เก็บเกล็ดหลังเสื้อเข้าอีก
4. ลดขนาดแขนเสื้อให้แคบลงอีก
5. ปลายแขนเสื้อยาวไปปรับขึ้นให้พอดีข้อมือ
6. ความยาวของตัวเสื้อยาวไปมากใส่แล้วดูตัวยาวขาสั้นรูปร่างผิด ส่วนอย่างแรงต้องปรับให้ชายเสื้อสั้นขึ้นอีก
7. แนะนำให้ใส่เสื้อ สีฟ้าครามตัวนี้กับกางเกงสีขาวล้วนถุงเท้าขาวรองเท้าสีขาว จะช่วยให้ดูดีขึ้น เป็นชุดของหนุ่มสาวมากขึ้นเหมาะกับวัยของนักกีฬา

แบบเสื้อนี้เป็นแบบอนุรักษนิยมจัด ถ้าจะให้ดูดีตามคติจำเป็นมากต้องตัดให้พอดีตัว ไม่สามารถใส่แบบ โคร่ง ๆ หลวม ๆ oversized แบบที่นำมาโชว์นี้ได้มันทำให้ดูแย่ ไม่มีสง่าราศี ผิดหลักการของชุดไทยประจำชาติมาก

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากในการนำเสนอ คือการถ่ายภาพ ควรทำให้ดูทันสมัยกว่านี้ เพราะนี่คืองานระดับโลก ภาพที่ออกมาจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยด้อยกว่าชาติอื่นจริงไหมครับ

ถ้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ทางออกที่ดีกว่านี้คือนำแบบเสื้อนี้ให้ทีมผู้ฝึกสอนและคณะทำงานใส่ เท่านั้น ส่วนนักกีฬาทั้งหมดเปลี่ยนแบบไปใส่ชุดวอร์มของแกรนด์สปอร์ต ที่ออกแบบมาได้สวยงามทันสมัย ที่มีอยู่แล้วกับรองเท้าผ้าใบสีขาว นักกีฬาไทยจะดูดี เท่ทันสมัยมาก ๆ ในชุดของแกรนด์สปอร์ต เชื่อผม

นี่เป็นความเห็นและข้อแนะนำจากผม พีรมณฑ์ ชมธวัช ผู้เชี่ยวชาญด้านชุดไทยและผ้าไทย

‘ลิซ่า’ ปังไม่หยุด ‘ROCKSTAR’ ประสบความสำเร็จต่อเนื่อง กวาดยอดขายแตะ 1 แสนยูนิต ในสหรัฐฯ เทียบเท่ามูลค่า 4.6 ลบ.

(18 ก.ค. 67) ตามรายงานระบุว่า ‘ROCKSTAR’ ผลงานเดี่ยวล่าสุดของ ‘ลิซ่า’ ทำยอดขายได้ 100,000 ยูนิตในสหรัฐอเมริกา ตลาดเพลงที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ ROCKSTAR กลายเป็นเพลงที่ 4 ของลิซ่าที่ทำได้ตามหลัง ‘Lalisa’ และ ‘Money’ ที่เคยทำไว้ได้เมื่อปี 2021 รวมถึงเพลง ‘SHOONG!’ ที่ร่วมงานกับ แทยัง BigBang ก็ทำได้เมื่อปี 2024

การนับยอดขายแบบยูนิต เป็นการขายเพลงในรูปแบบดิจิทัล ที่ทำตามระบบ DSP (Digital Service Providers) ที่นับทั้งการสตรีมมิงและการดาวน์โหลดจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเพลง

โดยการดาวน์โหลดเพลง 1 ครั้ง นับเป็น 1 ยูนิต ส่วนการสตรีมมิง 1,500 ครั้ง จึงจะนับเป็น 1 ยูนิต อย่างไรก็ตามหากคิดเป็นตัวเงินที่การดาวน์โหลด 1 ครั้งใน iTunes จะมีราคา 1.29 ดอลลาร์ หรือประมาณ 46.34 บาท นั่นหมายความว่า 100,000 ยูนิตที่ทำได้ในอเมริกาก็มีมูลค่าอยู่ที่ 4.6 ล้านบาท

ROCKSTAR ของลิซ่านับว่าประสบความสำเร็จในตลาดอเมริกา ซึ่งเธอนับเป็นศิลปินที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่สามารถนำเพลงภาษาอังกฤษของเธอเข้ามาติดท็อปชาร์ตได้ โดยเปิดตัว Rockstar อยู่ที่อันดับ 70 บนชาร์ต Hot 100 ซึ่งเป็นการจัดอันดับเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ROCKSTAR กลายเป็นเพลงเดี่ยวที่ติดชาร์ตสูงสุดของลิซ่าบน Hot 100 โดยสามารถแซงหน้าเพลงก่อนหน้านี้ของเธอ LALISA (ซึ่งขึ้นสูงสุดที่อันดับ 84) และ MONEY (อันดับ 90) ได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ROCKSTAR ยังเดบิวต์ที่อันดับ 1 บนชาร์ต Global Excl. U.S. ของ Billboard อันดับ 4 บนชาร์ต Global 200 อันดับ 2 บนชาร์ต Rap Digital Song Sales อันดับ 7 บนชาร์ต Digital Song Sales หลัก และอันดับ 19 บนชาร์ต Hot Rap Songs

ขณะเดียวกัน ลิซ่ายังกลับเข้ามาในชาร์ต Artist 100 ของ Billboard อีกครั้งที่อันดับ 84 นับเป็นสัปดาห์ที่สองที่เธอปรากฏบนชาร์ตนี้

‘บ.กุลธรเคอร์บี้’ แจ้งหยุดกิจการชั่วคราว ในส่วนการผลิต รับ!! ขาดสภาพคล่องซื้อวัตถุดิบ กำลังเจรจาสถาบันการเงิน

(18 ก.ค. 67) นายฐิติศักดิ์ สิมะกุลธร กรรมการ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด แจ้งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 เรื่อง แจ้งหยุดกิจการชั่วคราว

โดยระบุว่า บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะบริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) สำหรับบริษัทย่อยยังคงปฏิบัติงานเหมือนเดิม ในระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 บริษัทจะทำการหยุดกิจการเป็นช่วง ๆ โดยพิจารณาจากจำนวนการผลิด และวัตถุดิบ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เนื่องจากการขาดสภาพคล่องในการซื้อวัตถุดิบ เพื่อผลิตและส่งมอบ เนื่องจากวัตถุดิบหลัก เช่น เหล็ก ทองแดง มีความจำเป็นต้องใช้วงเงิน working capital (LC) จากธนาคารในการซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคาร

โดยจ่ายเงินเดือนพนักงานที่หยุดปฏิบัติงาน 75% ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 เรื่องการหยุดกิจการชั่วคราว การหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะส่วนงานการผลิตที่ไม่มีวัตถุดิบ

ส่วนงานอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานประจำบางส่วน จะยังคงปฏิบัติงานอยู่ได้แก่ พนักงานดูแล (เครื่องจักร) ส่วนการผลิต ส่วนวิศวกรรมโรงงาน ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ ฝ่ายขนส่ง ฝ่ายวางแผนการผลิตและคลังสินค้า ฝ่ายปฏิบัติงานการเงิน ฝ่ายบัญชี ฝ่ายความปลอดภัยแผนกสรรหาและค่าจ้างเงินเดือน

รายงานความคืบหน้าแนวทางแก้ไข

1.เร่งดำเนินการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน เพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมให้เร็วที่สุด และอยู่รอการอนุมัติวงเงิน กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ออกหนังสือ SET ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลการหยุดกิจการชั่วคราวของ KKC ตามที่ บริษัทกุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) (KKC) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 รายละเอียดปรากฏตามข่าวของบริษัทวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.12 น. นั้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลดังกล่าวเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และขอให้ไช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ของ KKC

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างแก้ไขเหตุเพิกถอนกรณีส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์ โดยหลักทรัพย์ของบริษัทอยู่ระหว่างการเปิดให้มีการซื้อหรือขายชั่วคราวด้วยบัญชี Cash Balance เป็นระยะเวลา 1 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2567-26 กรกฎาคม 2567) และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของบริษัทตั้งแต่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนได้ วันที่ 17 กรกฎาคม 2567

ทั้งนี้ สำหรับ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) เป็นโรงงานคอมเพรสเซอร์แห่งแรกของไทย ผลิตคอมเพรสเซอร์อุปกรณ์ทำความเย็นในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศที่พาธุรกิจ มากว่า 40 ปี 

‘สาว’ โอด!! ถูกอดีตหัวหน้าขู่ฟ้อง หลังเขียนเหตุผลในใบลาออก จวก!! ‘สังคม Toxic-หัวหน้าไม่ค่อยมีวุฒิภาวะ-งานหนัก-ไม่ได้หยุด’

(18 ก.ค.67) จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวขอคำปรึกษาลงในกลุ่ม JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน หลังเขียนเหตุผลในใบลาออก แต่ทางหัวหน้าส่งข้อความมาบอก จะฟ้อง โดยรายละเอียดโพสต์ระบุว่า…

“ปกติเขียนเหตุผลในการลาออกยังไงกันหรอคะ พอดีลองเขียนความในใจไป หัวหน้าเลยจะฟ้องฝ่ายกฎหมาย แบบนี้ เขาฟ้องเราได้หรือเปล่าคะ เรากลับไปแก้ดีไหมคะ”

โดยเหตุผลการลาออก เจ้าของโพสต์ระบุในใบลาออกว่า สังคม Toxic หัวหน้าไม่ค่อยมีวุฒิภาวะ ทำงานหนักไม่มีวันหยุดพักผ่อน โดยหัวหน้าส่งข้อความมาบอกว่า พูดไม่เป็นความจริง พี่ขอส่งให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทนะ

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ ออกไป ชาวเน็ตแห่แสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ

“จริง ๆ การเขียน hr จะเก็บไว้เพื่อเป็น feedback นะคะ และไม่นำไปฟ้องหรอก หลายที่ก็แปลก รับความ
จริงไม่ได้ แต่ตอนสัมภาษณ์งานอยากให้ตอบตามจริงซะงั้น”

“อย่าไปกลัวครับ ดูท่าจะไม่มีจริง ๆ”

“เอาอะไรมาฟ้องมันความจริง แต่hrไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้นะคะ”

“เขียนเรื่องจริงทำเป็นรับไม่ได้”

‘เยอรมนี’ เล็งลดงบช่วยเหลือทางทหาร ‘ยูเครน’ ครึ่งหนึ่ง ขีดเส้น ปี 68 ท่ามกลางแนวโน้ม 'ทรัมป์' หวนเก้าอี้สมัย 2

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป วางแผนที่จะปรับลดการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า ท่ามกลางความวิตกกังวลในขณะนี้ว่าความสนับสนุนของสหรัฐต่อยูเครนอาจลดลง หากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ตามร่างงบประมาณประจำปี 2025 ของเยอรมนีที่รอยเตอร์เห็น เยอรมนีได้ปรับลดประมาณช่วยเหลือยูเครนลงเหลือ 4,000 ล้านยูโรในปี 2025 จากที่ให้อยู่ราว 8,000 ล้านยูโรในปี 2024

เยอรมนีหวังว่ายูเครนจะสามารถจัดหาความต้องการทางทหารส่วนใหญ่ได้จากเงินกู้ยืมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือ จี7 อนุมัติให้นำมาใช้จากสิ้นทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกยึดเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เงินอุดหนุนเพื่อนำไปใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อาจไม่ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่

ด้าน คริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนี กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า การจัดหาเงินทุนให้กับยูเครนสำหรับอนาคตอันใกล้ถือได้ว่ามีความมั่นคงแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณการดำเนินการของชาติในยุโรปและเงินกู้จากจี7

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้นำอียูเห็นพ้องกับแนวคิดในการจัดเงินกู้ยืมดังกล่าวให้กับยูเครน เพราะมองว่ามันจะทำให้โอกาสที่ยูเครนจะขาดเงินสนับสนุนในการทำสงครามกับรัสเซียลดน้อยลง หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง

ความหวั่นวิตกเกี่ยวกับท่าทีและจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐในอนาคต ถูกปลุกให้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศให้นายเจดี แวนซ์ ซึ่งมีจุดยืนคัดค้านการให้ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐต่อยูเครน พร้อมกับเตือนยุโรปว่าควรจะต้องพึ่งพาสหรัฐน้อยลงในการปกป้องภูมิภาคของตน

ฉลองสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี เอฟเคไอไอ.จับมือสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเซียขยายความร่วมมือ 2 ประเทศ

รายงานข่าวจากสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์แจ้งวันนี้ว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII-Thailand)และอดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้อำนวยการเอฟเคไอไอ.ฯ. และประธานสถาบันทิวาหารือความร่วมมือกับ นายชุนจี ควอน นายกสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเซีย(ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศจีน) และคณะ 

โดยเห็นพ้องที่เอฟเคไอไอ.และสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเซียจะร่วมมือทางด้าน การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์การเกษตร ภายใต้กรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์อีต้าอีลู่ (1แถบ1เส้นทาง)ของจีนและยุทธศาสตร์12อุตสาหกรรมใหม่(12 S-Curves)ของไทยเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปีในปีหน้าพร้อมกันนี้นายชุนจิตยังได้เชิญนายอลงกรณ์เยือนประเทศจีนอีกด้วย

“สมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน-เอเชีย มีสมาชิกมากว่า 20,000 บริษัททั่วประเทศจีนโดยสมาชิกของสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจจีน เอเชีย มีความต้องการที่จะไปลงทุนในประเทศไทย ในการพบหาคือครั้งนี้ยังมีนายปรพล อดิเรกสาร กรรมการ ด้านเศรษฐกิจสมาคมวัฒนธรรมเเละเศรษฐกิจไทย-จีน เเละ อดีตคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ดอน ปรมัตถ์วินัย) นายดาวิน หยาง นายกสมาคมการค้าอาเซียน-จีน นายดำรงศักดิ์ มนัสวานิช รองนายกสมาคมการค้าอาเซียน-จีน

พร้อมด้วยนักธุรกิจภาคเอกชนร่วมประชุมที่ห้องประชุมสวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์เมื่อ17 กรกฎาคมที่ผ่านมา”

‘เกษตรกร’ โอด!! ‘ปลาหมอคางดำ’ บุกฟาร์มกุ้ง-หอย จับได้ 2 ตัน แต่ไม่มีที่ไหนรับซื้อ จึงโยนทิ้งลงทะเล

(19 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 67 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสมุทรปราการ หรือ ศรชล.จังหวัดสมุทรปราการ ศรชล.ภาค 1 น.อ.ทิฆัมพร สมนึก รอง.ผอ.ศรชล.จว.สป. เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เช่น ประมงจังหวัด, อบต.คลองด่าน, เทศบาลตำบลคลองด่าน และภาคประชาชน เช่น สมาคมประมง จ.สมุทรปราการ, สมาคมประมงคลองด่าน รวมถึงผู้แทน สส.สมุทรปราการ เขต 8 พรรคก้าวไกล

ก่อนหน้านี้ นายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ เดินทางลงพื้นที่ไปดูจุดที่ชาวบ้านพบมีการระบาดของปลาหมอคางดำที่คลองตาเจียน หมู่ 6 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เพื่อสำรวจพื้นที่จริงและนำกลับมาเป็นข้อมูลในการประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจไม่เหมือนกัน โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที จึงได้ข้อสรุปเบื้องต้น

ขณะที่ เกษตรกรวังกุ้งรายหนึ่ง หมู่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ นำคลิปวิดีโอปลาหมอคางดำที่ถ่ายไว้จากบ่อเลี้ยงกุ้งมาให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมเปิดเผยว่า ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำเมื่อปลายปี 2566 แต่มาหนักสุดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ปลาหมอคางดำกิน-ทำลายกุ้ง-หอยที่เลี้ยงไว้หมดทั้งบ่อ

เกษตรกรกล่าวอีกว่า จับปลาหมอคางดำได้รวมประมาณ 2 ตัน แต่เวลานั้นไม่มีที่ไหนรับซื้อ และไม่มีใครให้ข้อมูลใด ๆ จึงจำเป็นต้องนำปลาหมดคางดำทั้งหมดทิ้งลงทะเลไป และต้องหยุดทำธุรกิจบ่อกุ้งก่อนอย่างไม่มีกำหนด

เกษตรกรกล่าวต่อว่า ส่วนการมาประชุมวันนี้เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพราะถ้าภาครัฐมีการรับซื้อที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม คิดว่าน่าจะทำให้ปลาหมอคางดำมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว ก็จะกลับมาประกอบอาชีพได้อีกครั้ง

นายพิชัย แซ่ซิ้ม นายกสมาคมการประมง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ได้รับรายงานว่ามีชาวประมงพื้นบ้านจับปลาหมอคางดำได้นอกเขต 3 ไมล์ทะเล หลังผ่าท้องพบเคยจำนวนมาก กังวลว่าหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดปัญหาหนักกับกลุ่มประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ อยากฝากถึงหน่วยงานภาครัฐช่วยเร่งดำเนินการหาวิธีแก้ไขอย่างรวดเร็ว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ขอให้ผ่อนผันกฎหมายการทำประมงขยายขนาดของเรือ จากไม่เกิน 3 ตันกรอส เป็นไม่เกิน 10 ตันกรอส พร้อมให้คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด เป็นผู้กำหนดทั้งรูปแบบ เครื่องมือ พื้นที่และขนาดเรือ เพื่อความคล่องตัวและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

จากนั้นได้พาผู้สื่อข่าวไปดูบริเวณปลายแม่น้ำเจ้าพระยา ปากอ่าวไทย จุดที่ชาวประมงทอดแหครึ่งชั่วโมง สามารถจับปลาหมอคางดำได้ประมาณครึ่งถังพลาสติกเป็นประจำทุกวัน นำมาเลลงพื้นให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมตั้งข้อสังเกตความห่วงใยว่าปลาหมอคางดำอาจไปทำลายสัตว์น้ำต่าง ๆ ในทะเลอ่าวไทยจนหมด และอาจขยายวงกว้างไปสู่ทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน สร้างปัญหาอย่างหนัก อาจทำให้สัตว์น้ำในทะเลลึกสูญพันธุ์ได้

นายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ยอมรับปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำของ จ.สมุทรปราการ ระบาดอยู่ในขั้นวิกฤต มีประชาชนแจ้งเข้ามาว่านอกจากพบที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ และ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ แล้ว ยังพบอยู่ในพื้นที่ของ อ.เมืองสมุทรปราการ และที่ ต.เปร็ง อ.บางบ่อ เพิ่มอีก ดังนั้น จึงต้องการให้ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทุกภาคส่วน จะได้เข้ามาร่วมกันจัดการกับปลาหมอคางดำให้หมดไป

นายสมพรกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องราคาที่รับซื้อตอนนี้มีความหลากหลายในแต่ละพื้นที่ ล่าสุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายให้ภาครัฐช่วยรับซื้อในราคาที่เหมาะสม คือ 15 บาทต่อกิโลกรัม ขณะนี้รอคำสั่งอย่างเป็นทางการ และพร้อมดำเนินการในทันที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top