Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

‘บิ๊กป้อม’ ยันจุดยืน ‘พปชร.’ ปกป้องสถาบัน ค้าน!! ‘กม.นิรโทษกรรม’ หากรวม ‘ม.112’

(19 ก.ค. 67) ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่าตนได้รับมอบหมายจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เกี่ยวกับจุดยืนของพรรคต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม พรรคมีมติคัดค้านการรวมคดี 112 ร่วมอยู่ในร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะเป็นการฝ่าฝืนบรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ที่ระบุว่า “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดการกระทำความผิด บุคคลที่หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และเป็นกฎหมายคุ้มครองที่ไม่ให้มีการละเมิดพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของรัฐและเป็นสถาบันหลักของประเทศ ตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้”

ดังนั้น การให้ผู้กระทำความผิดที่ถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่มาออกกฎหมายเพื่อให้นิรโทษกรรมความผิดดังกล่าว จึงเป็นการขัดต่อคำวินิจฉัยต่อศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ดังนั้น การที่จะเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมีมาตรา 112 ร่วมด้วย โดยมีเจตนาทางการเมืองไม่ได้ ถือเป็นการมีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรมและอ่อนแอ นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

“การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้ผู้กระทำผิดในมาตรา 112 เป็นการออกกฎหมายที่มีความร้ายแรงมากกว่าการเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ด้วยซ้ำ เราจึงคัดค้านไม่เห็นด้วย และพล.อ.ประวิตร ก็มีนโยบายชัดเจนที่จะปกป้องสถาบัน จึงต้องมาบอกให้ชัดเจนว่าพรรคพลังประชารัฐ ขอคัดค้านเรื่องนี้และท่านยังกำชับว่าหากมีการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาฯ ในวาระ 1 ไม่ว่าจะกี่ฉบับ สส.พรรคพลังประชารัฐทุกคน จะลงมติไม่เห็นด้วยทุกฉบับ เพื่อให้ร่างกฎหมายที่จะมีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ตกไปตั้งแต่วาระ 1 ”

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่พรรคเพื่อไทยอาจจะให้รวมมาตรา 112 กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เข้าไปด้วย นายไพบูลย์ กล่าวว่า ใครจะอย่างไรก็สุดแล้วแต่ แต่พรรคพลังประชารัฐ เราจะคัดค้านทุกวิถีทางที่จะไม่ให้มีการเห็นชอบร่างกฎหมายนิรโทษกรรมมาตรา 112 ส่วนเรื่องพรรคไหนจะทำแบบไหนก็แล้วแต่ เราไม่เกี่ยว แต่พรรคเราแน่วแน่ และมั่นคงในหลักการนี้ 

ถามต่อว่า ที่ระบุว่าการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม โดยรวมมาตรา 112 ร้ายกว่าการเสนอแก้มาตรา 112 หากพรรคการเมืองดึงดันที่จะให้มี 112 จะส่งผลต่อสถานะของพรรคการเมืองเหมือนกรณีของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตนได้พยายามย้ำไปแล้วในประเด็นนี้ ขอให้แต่ละพรรคการเมืองไปตีความเอาเอง

‘สนธิ’ ปั้น!! ‘Thaitimes’ โซเชียลคนไทย ใช้งานได้เหมือน ‘เฟซบุ๊ก’ ไม่ปิดกั้นข้อมูลดี แต่ผู้ไม่หวังดีต่อ ‘ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์’ บล็อกเรียบ

(19 ก.ค.67) จากช่วงหนึ่งของรายการ SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง EP.251 ได้เปิดเผยว่า…

กำลังทำแอปพลิเคชันที่ฟังชันเหมือนเฟซบุ๊กทุกประการ แต่มีอิสระมากกว่า สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี แอปพลิเคชันนี้มีชื่อว่า ‘Thaitimes’ หรือเวลาของคนไทย โดยทีมพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดกั้นอิสระ เพราะทุกวันนี้ถูกผูกขาด ปิดกั้นจากแพลตฟอร์มต่างประเทศ แต่แพลตฟอร์ม Thaitimes จะไม่มีเรื่องพวกนี้ โดยสามารถพูดเรื่องวัคซีน หรือเรื่องอื่น ๆ ที่หากใครมีข้อมูลลึก ๆ จากต่างประเทศก็สามารถเผยแพร่ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือความจริงจะปรากฏในแอปพลิเคชันชื่อ ‘Thaitimes’

สำหรับกฎการใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes มีอยู่ข้อเดียวคือรัก ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’ ใครที่ไม่หวังดีต่อพระมหากษัตริย์หรือสถาบันกษัตริย์ มาใช้ Thaitimes ไม่ได้ 

นายสนธิระบุว่า “ตอนนี้เราพร้อมแล้ว พร้อมจริง ๆ อยากให้ลองเข้ามาใช้กันได้แล้ว ดาวน์โหลดที่แอปสโตร์และเพลย์สโตร์ ฟรี ค้นหาคําว่า Thaitimes จากนั้นใช้แค่อีเมลในการสมัครเข้าใช้จะเป็น Hotmail หรือ Gmail ก็ได้” 

สำหรับฟังชันของแอปฯ Thaitimes ใช้งานได้เหมือนเฟซบุ๊กทุกประการ ทั้งโพสต์รูป โพสต์วิดีโอ หรือท่านใดอยากขายของ ก็สามารถมาขายได้เลย เพราะเรามีฟังชัน คอมเมนต์ อีโมจิ อินบ็อกซ์ หรือหากพบข้อบกพร่อง ที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ก็แจ้งกลับมาได้เลย เรามีทีมเทคนิคพร้อมแก้ปัญหาตลอดเวลา

นายสินธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้แล้ว ผมยังลงคลิปพิเศษจากรายการความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2 ณ หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ ท่านผู้ชมดาวน์โหลดลงทะเบียนใน Thaitimes แล้วสามารถเสิร์ชหาเพจ SONTHIX ได้เลย”

“อยากให้ท่านผู้ชมเข้ามา เพราะอีกหน่อยในอนาคต เมื่อประชาคมของเราเพิ่มเยอะขึ้น อาจจะต้องไลฟ์ผ่าน Thaitimes ส่วนช่องทางเฟซบุ๊กก็ไว้ใช้แจ้งเตือนข่าวสาร ในเมื่อเฟซบุ๊กปิดกั้น เราก็หนีมาอยู่ที่ Thaitimes กันนะ และขอย้ำว่า การใช้ Thaitimes จะต้องไม่ใช้ในทางเรื่องลามก และไม่ทำลายชาติ ทำลายบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้สามารถโพสต์ แชร์ได้หมด” นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย

ดาวน์โหลดแอปฯ Thaitimesได้แล้วทั้งใน iOS และใน android
iOS : https://apps.apple.com/th/app/thaitimes-social/id6502225132
Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.thaitimes.app2&pcampaignid 

“เชียงราย”ตม.เชียงรายไล่ล่าระทึกจับกุมขบวนการขนแรงงานเถือนพม่าเข้าไทย”

ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตม.จว.เชียงราย ได้สืบทราบว่า นายปั่นติ๊ลุงจอยหรือตี๋ใหญ่กับพวก มีพฤติการณ์ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันพาคนต่างด้าวเข้าสู่พื้นที่ตอนในโดยใช้รถยนต์กระบะหลายคัน หมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน จากการเฝ้าสังเกตุและจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบตรวจจับทะเบียนยานพาหนะ (LPR) ปรากฎข้อมูลยานพาหนะของกลุ่มขบวนการที่มีการใช้งานหมุนเวียนรับ-ส่ง คนต่างด้าว โดยมีการหมุนเวียนกันทำหน้าที่รับตัวคนต่างด้าวไปส่งยังจุดพักคอยและมีการนำคนต่างด้าวไปพำนักไว้ที่ ตั้งอยู่บ้านพักไม่ทราบเลขที่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองจ.เชียงราย ก่อนจะนำส่งไปยังพื้นที่ตอนใน โดย พล.ต.ท.อิทธิพล  อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , สั่งการให้ทำการสืบสวนจับกุมเพื่อตัดตอนเครือข่ายขบวนการดังกล่าว

กระทั่งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2567 เวลาประมาณ 05.00น. พ.ต.ท.มนตรี  อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.กฤษณ์ สมณาศักดิ์ สว.ตม.จว.เชียงราย บูรณาการร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยวเชียงราย ชุดสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 สกัดจับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อฟอร์ดสีดำทะเบียน จง-4043เชียงใหม่ โดยมีนายแขก ลุงปันอายุ33ปี เป็นผู้ขับขี่และ รถยนต์กระบะยี่ห้อรีโว่แคป สีขาวทะเบียน ยท-6515 จังหวัดเชียงใหม่มีนายจายเล็ก ไม่มีนามสกุล อายุ38ปีและรถยนต์นำต้นทางเป็นรถยนต์โตโยต้ารีโว สีดำ ทะเบียนยท-1575 เชียงใหม่ โดยมีนายปั่นติ๊ ลุงจอย อายุ51ปี ได้ที่บริเวณริมถนนบริเวณหลักทางหลวงสาย ๑๑๘  (เชียงราย-เชียงใหม่) บริเวณหลัก กม.๑๕๐ ช่องทางมุ่งหน้าจังหวัดเชียงใหม่ ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว จว.เชียงราย พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ทั้งสามคันซึ่งนั่งโดยสารอัดแน่นซ้อนทับกันบริเวณที่นั่งผู้โดยสารตอนหน้า และที่นั่งผู้โดยสารตอนหลังรวมจำนวนทั้ง3คันรวม25คนโดยมีเด็กผู้ติดตาม2คน

โดยในการนำส่งในแต่ละครั้งจะเก็บค่าใช้จ่ายจากบุคคลต่างด้าวเป็นเงิน 7,000บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน โดยส่วนใหญ่ยอมรับว่าจะเข้าไปทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.อิทธิพล  อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. มีนโยบายให้หน่วย ตม.ทั่วประเทศบูรณาการการปฏิบัติในการสืบสวนจับกุมกลุ่มขบวนการลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมาย อย่างเข้มงวดและจริงจัง การจับกุมเครือข่าย นายยุรนันท์ ฯ ในครั้งนี้ เป็นความสำเร็จจากการบูรณาการร่วมกันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ร่วมกันสืบสวนติดตามพฤติการณ์จนทราบว่า กลุ่มเครือข่ายนายยุรนันท์ฯ ร่วมกันขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยใช้วิธีการหลบเลี่ยงจุดตรวจ ด่านตรวจ และมีการปรับเปลี่ยนแผนประทุษกรรมให้ยากต่อการสืบสวนจับกุม
สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือโทร. 1178

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สาย/รายงาน

เช็กเสียง!! ‘โหวต - ไม่โหวต’ วาระพิจารณางบ 67 อุ้ม ‘เงินดิจิทัล’ พบ 4 สส. ก้าวไกล ไม่ลงมติ!! 2 ใน 4 'แด๊ดดี้' กับ ‘จิรัฏฐ์’

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.67) สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ เพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยในการลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ปรากฏว่ามีจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม 461 เสียง ผลการลงมติเห็นด้วย 297 เสียง ไม่เห็นด้วย 164 เสียง งดออกเสียงและไม่ลงคะแนนไม่มี 

โดยจากการตรวจสอบพบว่าเสียงของพรรคฝ่ายค้านที่หายไป คือ พรรคก้าวไกล มีผู้ที่ไม่ได้กดบัตรลงคะแนน 4 คน ประกอบด้วย ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ สส.บัญชีรายชื่อ, ‘จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์’ สส.ฉะเชิงเทรา, ‘จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม’ สส.เชียงราย และ ‘ปรีดี เจริญศิลป์’ สส.นนทบุรี

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ได้ร่วมโหวต 10 คน อาทิ ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ สส.สงขลา และเลขาธิการพรรค, ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ สส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรค  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไฮไลต์ที่สำคัญพบว่า มี สส.ฝ่ายค้านโหวตสวนมติของพรรค ได้แก่ 3 สส.ของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ซึ่งก่อนหน้านี้มีพฤติการณ์โหวตลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง และมีข่าวที่จะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย ‘สุภาพร สลับศรี’ สส.ยโสธร, ‘หรั่ง ธุระพล’ สส.อุดรธานี และ ‘อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์' สส. อุดรธานี รวมถึงยังมี ‘ปรีดา บุญเพลิง’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ‘สุรทิน พิจารณ์’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ และ ‘กฤดิทัช แสงธนโยธิน’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคใหม่ ที่โหวตเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ของรัฐบาล 

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล พบว่าพรรคเพื่อไทย มี สส. 7 คน ไม่ได้โหวต อาทิ ‘สุทิน คลังแสง’ รมว.กลาโหม, ‘เกรียง กัลป์ตินันท์’ รมช.มหาดไทย, ‘ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง’ สส.บัญชีรายชื่อ, ‘พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์’ สส.บัญชีรายชื่อ, ‘วันนิวัติ สมบูรณ์’ สส.ขอนแก่น, ‘วิลดา อินฉัตร’ สส.ศรีสะเกษ  

ด้าน พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้โหวต 2 คน ได้แก่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, ‘สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล’ สส.พระนครศรีอยุธยา รมช.ศึกษาธิการ สำหรับพรรคพลังประชารัฐ มีผู้ไม่ได้มาร่วมโหวต 6 คน ได้แก่ ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ รมว.เกษตรและสหกรณ์  เลขาธิการพรรค, ‘ขวัญเรือน เทียนทอง’ สส.สระแก้ว, ‘สะถิระ เผือกประพันธุ์' สส.ชลบุรี, ‘นเรศ ธำรงทิพยคุณ’ สส.เชียงใหม่ และ ‘ทวี สุระบาล’ สส.ตรัง  

พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน คือ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’  รมช.พาณิชย์, ‘อนุชา นาคาศัย’ สส.ชัยนาท, ‘จิรวุฒิ สิงห์โตทอง’ สส.ชลบุรี และ ‘นิติศักดิ์ ธรรมเพชร’ สส.พัทลุง และพรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน คือ ‘พาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์’ สส.นครปฐม และพรรคประชาชาติ 1 คน คือ ‘พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง’ รมว.ยุติธรรม พรรคเสรีรวมไทย 1 คน ได้แก่ ‘มังกร  ยนต์ตระกูล’  

นอกจากนี้ ประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้ง 3 คน ก็ไม่ได้ร่วมโหวต ประกอบไปด้วย ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ สส. พรรคประชาชาติ ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2

เชียงใหม่-ททท.เชียงใหม่ ชูเสน่ห์ไทย Must Try มวยไทย ผ่านกิจกรรม “AMAZING MUAY THAI @CHIANG MAI”

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมแถลงข่าวการจัดงาน AMAZING MUAY THAI @ CHIANG MAI พร้อมด้วย นางพัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ นายสุทธินันท์ ฤทธิ์บริรักษ์ Chief Executive Officer ONE MUAY THAI โดยมี เลขานุการนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่  ผู้อำนวยการ สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย ภาค 5  หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าของยิมมวย ครูมวย และผู้มีเกียรติร่วมงาน ณ ลานกิจกรรมข่วงประตูท่าแพ 

นางพัศลินทร์  เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า ททท.เชียงใหม่ จับมือ กกท. ภาค 5 และ กกท.จังหวัดเชียงใหม่ และ ค่ายยิมมวยดังที่ได้มาตรฐานในจังหวัดเชียงใหม่ และแพลตฟอร์มออนไลน์ NOW MUAY THAI  จัดกิจกรรมอเมซิ่ง มวยไทย @ เชียงใหม่ (Amazing Muay Thai @ Chiang Mai)  ชูเสน่ห์ไทย Must Try มวยไทย  จัดโปรโมชั่นสำหรับ นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม – 15 กันยายน 2567  โดยมอบส่วนลดพิเศษให้กับผู้ที่ซื้อคอร์สฝึกซ้อมมวยไทยที่เข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 10 ค่ายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 

สำหรับกิจกรรม Amazing Muay Thai @ Chiang Mai ททท. สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการร่วมกับพันธมิตร กกท.และ NOW MUAY THAI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ออนไลน์ ดำเนินการโดยคนไทยที่รวบรวมค่ายมวยและยิมมวยในจังหวัดหลักของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว กลุ่มความสนใจพิเศษ กลุ่มผู้ชื่นชอบกีฬามวยไทย ที่จะเดินทางมาเพื่อเรียนรู้ ฝึกซ้อมทักษะวิธีการชกมวยไทย

ซึ่งแคมเปญ Amazing Muay Thai @ Chiang Mai นี้มีเป้าหมายสำคัญที่จะเชิญชวนนักท่องเที่ยว มาสัมผัสประสบการณ์ของมวยไทย ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีความเก่าแก่และมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมไทย กิจกรรมในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมให้มวยไทยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับเจ้าของยิมมวยและครูมวยทุกท่าน โดยเรามุ่งเน้นที่จะขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น  

มวยไทย ยังเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกีฬาผ่าน Sub-Culture สอดคล้องกับนโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ของรัฐบาล ซึ่งตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว (Tourism Hub) ผลักดันการท่องเที่ยวไทยให้ก้าวสู่ระดับชั้นนำในฐานะ “High Value Destination” ที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดในภารกิจของ ททท. คือการสร้างประสบการณ์อันทรงคุณค่าผ่านการท่องเที่ยว ตามแนวคิดเสน่ห์ไทย 5 Must Do in Thailand 

อีกทั้งมุ่งเน้นที่จะขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น เจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ต้องการประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่สนใจการเรียนมวยอย่างจริงจังเท่านั้น ด้วยการทำให้มวยไทยเป็นกิจกรรมทางเลือกที่สร้างสรรค์และเพื่อสุขภาพ เราเชื่อมั่นว่าจังหวัดเชียงใหม่จะสามารถประกาศศักดาเป็นเมืองของมวยไทย และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสประสบการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับทุกท่านอย่างยั่งยืนและเติบโตในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประกาศให้ทุกคนได้ทราบถึงแคมเปญนี้ จะช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้กับเจ้าของยิมมวยและครูมวยที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท่องเที่ยวให้กับจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการใช้มวยไทยเป็นตัวเชื่อมให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาสร้างรายได้ให้กับประเทศ

ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาร่วมกิจกรรม ไม่น้อยกว่า 200 คน สำหรับกิจกรรมอเมซิ่ง มวยไทย @ เชียงใหม่ (Amazing Muay Thai @ Chiang Mai)  เป็นการนำเสนอขายเสน่ห์ไทย 5 Must Do คือ (Must Taste, Must Try , Must buy ,Must seek, Must see) กีฬามวยไทย อยู่ในเสน่ห์ไทย Must Try  ของจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทาง มาเพื่อฝึกซ้อมมวยไทย หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย (expat) และยังเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในช่วงกรีนซีชั่น 

ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถคลิ๊กเข้าไปสมัครและรับส่วนลดผ่านเวปไซด์ www.nowmuaythai.com ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

นภาพร/เชียงใหม่   

'แบงก์ชาติ' ชี้!! 'แบงก์พาณิชย์' ทยอยใช้ Biometric ยืนยันตัวตนร่วม OTP สร้างความปลอดภัยแก่ลูกค้าจากภัยไซเบอร์ ที่นับวันจะซับซ้อนมากขึ้น

(19 ก.ค. 67) ตามที่ ‘ธนาคารกลางสิงคโปร์’ ประกาศให้ธนาคารในประเทศสิงคโปร์ ยุติการใช้รหัส OTP (One Time Password) ทำธุรกรรมทางการเงินภายในอีก 3 เดือน โดยจะหันมาออก ‘ดิจิทัล โทเคน’ ผ่านแอปพลิเคชันของแต่ละธนาคารแทน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลและสวมรอยทำธุรกรรมในรูปแบบ ‘ฟิชชิ่ง’ ซึ่งจะช่วยเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ และการยืนยันตัวตนนั้น

จากกรณีดังกล่าว ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การใช้ระบบ OTP ของธนาคารพาณิชย์ไทยในปัจจุบัน ยังมีความสามารถเพียงพอรองรับ และป้องกันการหลอกลวงในการทำธุรกรรมออนไลน์หรือไม่ และในอนาคต ธปท. มีแนวทางให้ธนาคารพาณิชย์ เพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยของลูกค้าจากภัยไซเบอร์ ที่นับวันจะหลากหลาย และซับซ้อนมากขึ้นในอนาคตอย่างไร

ด้าน น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2566 การยืนยันตัวตนผ่าน mobile banking ของไทย ได้ทยอยเปลี่ยนจากการใช้ PIN ร่วมกับ One-Time-Password (OTP) ที่มาจาก SMS มาเป็นการใช้ PIN ร่วมกับรูปใบหน้า (Facial recognition) ซึ่งเป็น Biometric ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า และถือเป็นการยืนยันตัวตน 2 ชั้น ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ดี การใช้ SMS ส่ง OTP ยังคงใช้ในบางธุรกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต เป็นต้น

สำหรับการใช้งาน Mobile Banking ให้มีความปลอดภัย นั้น ธปท. ได้กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง เช่น การห้ามใช้โทรศัพท์ที่ผ่านการ Root/Jailbreak เข้าใช้งาน mobile banking

นอกจากนี้ ธปท. ได้ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัย ป้องกันภัยหลอกลวงธุรกรรมออนไลน์ ติดตามรูปแบบภัยต่าง ๆ อีกทั้งมีการประสานความร่วมมือ กับ ‘ศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร’ (TB-Cert) อย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภัยจากแอปดูดเงิน ได้แก่ การตรวจจับการแก้ไข application, การติดตั้งโปรแกรมแปลกปลอมที่ขอสิทธิ์ accessibility, การป้องกันการแก้ไข mobile banking application ของธนาคาร เป็นต้น

ยโสธร ผู้อำนวยการองค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึกลงพื้นที่ยโสธร

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 เวลา 14.00 น. ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พลเอก เดชนิธิศ เหลืองามชำ และคณะเดินทางไปพบปะเยี่ยมเยือนทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก ที่โรงเรียนอนุบาลตำบลกุดชุม อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร มีเครือข่ายแม่บ้านองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก  มีนาง สิริภัทร เพียรสมผล รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึก รับผิดชอบพื้นที่ 3 จังหวัด ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กล่าวรายงาน โดย พลเอก เดชนิธิศ เหลืองามชำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ ทหารผ่านศึก เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งพบปะเยี่ยมเยือนสมาชิกเกษตรกรรมทหารผ่านศึกหมู่บ้านนักรบไทย และมอบของที่ระลึกให้แก่สมาชิก ยโสธร 

ทหารผ่านศึกนอกประจำการ 8.272 นาย มีเครือข่าย 9 เครือข่าย ครบทั้ง 9 อำบล มีนาย บัวสอน มาสขาว เป็นทหารผ่านศึกนอกประจำการ / บัตรชั้น 3 อายุ 70 ปี เป็นแกนนำเครือข่ายทหารผ่านศึก ระดับอำเภอเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารผ่านศึกแล้ว ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และเพื่อรับทราบปัญหา  ความเดือดร้อน  แลกเปลี่ยนเสนอความต้องการ เพื่อที่จะให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกมีความมั่นคง เข้มแข็ง  ร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันไว้ ให้การสนับสนุนช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทหารผ่านศึกและครอบครัว  เพื่อให้มีสวัสดิการ ดูแลรักษาสุขภาพ อยู่คู่บ้านเมืองสังคมอย่างมีความผาสุก องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกพร้อมที่จะดูแล อำนวยความสะดวกด้านสวัสดิการอย่างครอบคุม ขอให้ความมั่นใจว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน

โอกาสนี้ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้กล่าวว่า พี่น้องทหารผ่านศึกทุกท่านคงทราบดี ขอให้ตระหนักถึงความมั่นคง การพัฒนาของประเทศชาติของเรา ให้เกิดความรักสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านยาเสพติด ช่วยกันเป็นกำลังอันสำคัญที่ดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังนั้น  ผมจึงขอให้ พี่น้องทหารผ่านศึกทุกท่าน มีความรัก ความสามัคคี ร่วมมือกับทางราชการ ช่วยกันแก้ไขปัญหาของชาติ เพื่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา เกิดความสงบสุข สามัคคีมีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกันตลอดไป
ชัยยะยโสธรรายงาน

9 หุ้นโรงไฟฟ้าปรับตัวลงยกแผง 'BGRIM' ร่วงหนักสุด หลัง 'พีระพันธุ์' สั่งตรึงค่าไฟไว้ราคาเดิมที่ 4.18 บาท

(19 ก.ค. 67) ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น. หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงยกแผง หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีคำสั่งให้ตรึงค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2567 ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยเท่าเดิม

1.หุ้น BGRIM ร่วง 9.01% หรืออยู่ที่ 2.00 บาท  หรือระดับราคาอยู่ที่ 20.20 บาท
2.หุ้น GPSC ร่วง 6.13% หรืออยู่ที่ 2.50 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 38.25 บาท
3.หุ้น IRPC ร่วง 1.21% หรืออยู่ที่ 0.02 บาท  หรือระดับราคาอยู่ที่ 1.63 บาท
4.หุ้น EGCO ร่วง 0.97% หรืออยู่ที่ 1.00 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 102.50 บาท
5.หุ้น BANPU ร่วง 0.96% หรืออยู่ที่ 0.05 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 5.15 บาท
6.หุ้น EA ร่วง 0.94% หรืออยู่ที่ 0.05 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 5.25 บาท
7.หุ้น RATCH ร่วง 0.86% หรืออยู่ที่ 0.25 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 28.75 บาท
8.หุ้น GUNKUL ร่วง 0.81% หรืออยู่ที่ 0.02 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 2.46 บาท 
9.หุ้น BPP ร่วง 0.81% หรืออยู่ที่ 0.10 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 12.30 บาท 

ขณะที่ หุ้น GULF ปรับบวกเพิ่ม 1.68% หรือเพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 45.50 บาท

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ได้เปิดเผยผ่านเพจกรุงเทพธุรกิจ ว่า ก่อนหน้านี้ กกพ. มีแผนที่จะขึ้นค่าไฟฟ้า อีก 20-40 สตางค์ หลังต้นทุนปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ล่าสุด นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ออกมาบอกว่า ไม่ยังไม่ขึ้นค่าไฟ แต่จะยังคงยึดราคาเดิมที่ 4.18 บาท ทำให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าได้รับผลลบ เพราะไม่สามารถขึ้นค่าเอฟทีได้ ในงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2567 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผลกระทบเชิงเซนติเมนระยะสั้น แต่ยังคงสะท้อนไม่แน่นอนในอนาคต ขณะที่ประมาณการก็ไม่ได้มีการคิดว่าจะมีการปรับขึ้นค่าไฟ โดยในปีหน้าอาจจะมีการปรับประมาณการณ์ดาวน์ไซด์ ซึ่งก็ยังคงต้องติดตาม เนื่องจากรัฐบาลยังคงยื้ออยู่เพื่อไม่ให้มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า

'ชัชชาติ' โชว์ฟาดเต็มคำ 'หมอคางดำ' ฝีมือ 2 เชฟเก่ง ชู!! กำจัดด้วยการเพิ่มมูลค่า อีก 6 เดือนมาดูกันอีกที

(19 ก.ค. 67) ที่สำนักงานเขตบางขุนเทียน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำคณะผู้บริหาร กทม. คณะผู้บริหารเขตบางขุนเทียน และสื่อมวลชนร่วมกิจกรรม BKK Food Bank และสาธิตการทำเมนูอาหารด้วยปลาหมอคางดำ จากนายชุมพล แจ้งไพร (เชฟชุมพล) และนายเมธัส ปาทาน (เชฟชีส) 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัชชาติได้แจกสิ่งของให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ผ่านโครงการ BKK Food Bank ซึ่งประกอบด้วยสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงเมนูอาหารที่ทำจากปลาหมอคางดำ และปลาสดเพื่อให้ชาวบ้านนำไปประกอบอาหาร จากนั้นได้ชมการสาธิตการทำเมนูอาหารจากฝีมือทั้ง 2 เชฟ และได้ชิม พร้อมกับให้คะแนนปลาหมอคางดำทอดเกลือ 10 เต็ม 10 ซึ่งได้เชิญชวนสื่อมวลชนร่วมรับประทานด้วย โดย 5 เมนู ได้แก่ ปลาหมอคางดำราดซอสเปรี้ยวหวาน ปลาหมอคางดำทอดเกลือ ฉู่ฉี่ปลาหมอคางดำ แกงส้มปลาหมอคางดำ และปลาร้าจากปลาหมอคางดำ 

ทั้งนี้ เชฟชุมพล รังสรรค์เมนู Fine Dining ปลาหมอคางดำราดพริกสมุนไพร และเชฟชีส เมนู Fine Dining ปลาหมอคางดำราดซอสมะขาม

นายชัชชาติกล่าวว่า การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น เขตบางขุนเทียน ทุ่งครุ บางบอน และพื้นที่ปริมณฑล ตามนโยบายของกรมประมงที่ออกมา 6 มาตรการ คือการกำจัด การปล่อยปลาผู้ล่า การเพื่อมูลค่า การแบ่งแยกโซน การหาแนวร่วม และการใช้เทคโนโลยีอย่างการทำหมัน  ในวันนี้ได้มากำจัดปลาหมอคางดำ 3 ใน 6 มาตรการหลัก ได้แก่ กำจัดจากแหล่งน้ำ สร้างเพิ่มมูลค่า และหาแนวร่วมภาคเอกชน โดยมีเอกชนในพื้นที่ช่วยซื้อปลาหมอคางดำจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 20 บาท จำนวน 1 ตัน มาทำเมนูต่างๆส่งต่อให้กลุ่มเปราะบาง  รวมถึงแจกปลาสดให้กับ 4 ชุมชน 

“การไปเรียกว่าเอเลี่ยนสปีชี่ส์ฟังแล้วดูน่ากลัว คนไม่กล้ากิน แต่พอกินแล้วก็อร่อยเหมือนปลาธรรมดา เป็นการเร่งการบริโภค สร้างแรงจูงใจในการเพิ่มมูลค่า และอีก 6 เดือนจะมาดูกันอีกครั้งเพราะได้หมักปลาร้าเอาไว้” นายชัชชาติเผย

นายชัชชาติกล่าวว่า ในพื้นที่เขตอื่น ๆ ก็ให้สำรวจเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเพิ่มเติม แต่ไม่ระบาดเยอะมากเหมือนในพื้นที่บางบอน ทุ่งครุ บางขุนเทียน ส่วนในบึงมักกะสัน ที่ชาวบ้านจับปลากันนั้น พบปลาหมอคางดำเพียงแค่ 20% ซึ่งหากจะตัดต้นตอของปลาหมอคางดำ ก็ทำได้ยาก เพราะในแหล่งน้ำมีปลาทุกชนิด แต่ตอนนี้ถ้าช่วยกันจับ ก็จะช่วยลดประชากรของปลาหมอคางดำไปได้

สำหรับในพื้นที่เขตบางขุนเทียน มีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ลงทะเบียนไว้ 800 ราย จากทั้งหมด 900 ราย ซึ่งรอการจัดสรรงบประมาณเงินเยียวยาจากทางกรมประมง เนื่องจากว่ามีการแพร่ระบาดในหลายจังหวัด 

ด้านนายชุมพล แจ้งไพร หรือ เชฟชุมพล กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเหมือนปลานิล แต่เนื้อกระด้างกว่า เพราะมีความต้านทานสูง มีโปรตีนสูง ปลาตัวเล็กสามารถทำปลาร้าได้ และเชื่อว่าอีก 3 เดือนหาจับไม่ได้ และราคาจะขึ้นด้วย

ด้านนายเมธัส ปาทาน หรือ เชฟชีส กล่าวว่า ปลาหมอคางดำกินได้ แม้จะมีรสชาติน้อยกว่าปลาทั่วไป แต่คนไทยปรุงรสชาติเข้มข้น จัดจ้าน ก็สามารถทานได้เหมือนกับปลานิล ปลากะพง และจากการสังเกตปลาตัวใหญ่จะเป็นปลาตัวเมีย ส่วนปลาตัวผู้ ตัวจะเล็กกว่า

สวทท.ร่วมปฐมนิเทศ The Media รุ่นที่ 5

นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ นายสมชาย จรรยา,นางสาวเจนกิจ นัดไธสง และนางปัทมาภรณ์ ธรรมทัต ร่วมงานปฐมนิเทศ “หลักสูตร The Media (New Era) รุ่นที่ 5” ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ณ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ชั้น 19 โดยมีพลตำรวจเอก ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฏหมาย) เป็นประธานเปิดงานปฐมนิเทศครั้งนี้

หลักสูตร The Media รุ่นที่ 5 บริหารหลักสูตรโดยดร.ธีรพล มั่นพิริยะกุล ผอ.หลักสูตร The Media และสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร The Media ขึ้น เพื่อเสริมทักษะการใช้สื่อทั้ง online/  offline เพื่อการดำเนินธุรกิจ และการวางแผนกลยุทธ์ ที่ได้เรียนรู้จากผู้สร้างสื่อและผู้ใช้สื่อที่ประสบความสำเร็จตัวจริง ทั้งในวงการวิทยุโทรทัศน์ ในวงการ Social media และInfluencerชื่อดัง ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับนานาชาติด้วย โดยนอกจากเนื้อหาทฤษฎีแล้วยังเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง ตามโจทย์จริงที่จะได้รับจากหลักสูตร เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรม สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากหลักสูตรสามารถนำไปปฎิบัติจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม ในการสร้างยอดขายสินค้าและบริการ สร้างการรับรู้และเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร อย่างมีประสิทธิภาพทันสมัย และถูกกฎหมาย อย่างมีจริยธรรม นอกจากนี้ยังมีการศึกษาดูงานนอกสถานที่ ที่จะทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบในภาพรวมอีกด้วย

เจนกิจ นัดไธสง สวทท.68 รายงาน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top