Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! อย่าเพิ่งด่วนสรุป ‘ยุบก้าวไกล’ เหตุยิ่งสู้ยิ่งมั่นใจขึ้น ย้ำ!! ถ้ายุบจริง ตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น

(17 ก.ค. 67) ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยไม่มีการไต่สวน ว่า คดีนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นปัญหาทางข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องคู่กรณีอยู่ในสำนวนด้วย

ซึ่งน่าจะหมายถึงคำร้องของพยาน คือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงคำร้องที่พรรคได้ยื่นเป็นข้อโต้แย้งทั้งที่เป็นพยานหลักฐานของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่อย่างน้อยแม้ไม่มีการไต่สวน แต่เรามีพยานเพิ่มเติม และมีการสรุปข้อเท็จจริงเข้าไปด้วย

นายชัยธวัช กล่าวว่า เราเสียดายที่ไม่มีการไต่สวน ซึ่งในมุมมองเราเห็นว่าข้อเท็จจริงยังมีอยู่ควรไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนข้อกฎหมายเรามั่นใจในข้อกฎหมายที่เราสู้ไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นกระบวนการยื่นคำร้องของกกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราอาศัยเอกสารหลักฐานของ กกต.เอง เพื่อมาเพิ่มน้ำหนักว่ากระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร

ส่วนข้อกฎหมายอื่น ๆ เราก็มั่นใจว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้พรรคก้าวไกลเตรียมทำคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 24 ก.ค.นี้ โดยจะส่งเป็นเอกสารเนื่องจากไม่มีการไต่สวนหน้าบัลลังก์

เมื่อถามว่า วันที่ 7 ส.ค. พรรคก้าวไกลจะเดินทาง ไปที่ศาลหรือส่งทนายไป นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันว่าจะทำอย่างไร เพราะวันที่ 7 ส.ค. ตรงกับวันพุธซึ่งเป็นวันประชุมสภาฯ

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า หากมีการเปิดไต่สวนจะทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ให้ได้สัดส่วนของข้อกล่าวหา และโทษในคดีนี้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ได้รวบรวมคำร้องเพิ่มเติม ก็น่าจะเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ของเราได้ จึงยังไม่กังวลอะไร และเรายังมั่นใจการต่อสู้ทางข้อกฎหมายอยู่

เมื่อถามว่า การที่ศาลไม่เปิดไต่สวนมองว่าเป็นการเร่งรัดหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า อยู่ที่ดุลพินิจของศาล เราก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาส เรามองในแง่ดีของทุกฝ่ายด้วยว่าหากเปิดไต่สวนเพื่อให้คู่กรณีได้มีการต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ก็จะเป็นผลดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัยด้วย

เมื่อถามว่า มีการเตรียมพร้อมที่จะรับผลหากออกมาทางลบหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่เตรียมอะไร ต้องหารือในพรรคก่อนว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันฟังคำวินิจฉัยจะทำอย่างไร แต่ไม่มีใครหวั่นไหว เพราะระยะเวลานานแล้ว คดีนี้ใช้เวลาหลายเดือนแล้ว ทุกคนนิ่งหมดแล้ว จึงไม่ได้เตรียมใจยอมรับอะไร ยังเตรียมมาทำงานในวันที่ 8 ส.ค.อยู่

“ขณะนี้ทุกอย่างภายในพรรคนิ่ง แม้ว่าศาลจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย และยิ่งใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ทางพรรคได้ทำไปเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ก็จะยิ่งมั่นใจ อย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะยิ่งสู้คดีเรายิ่งมั่นใจมากขึ้น” นายชัยธวัชกล่าว

เมื่อถามว่า มีการเตรียมตั้งพรรคใหม่เอาไว้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะคุยกันเรื่องนี้ ขอรอคำวินิจฉัยของศาลก่อน ตอนนี้ยังมีโอกาสอยู่ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีโอกาส และถ้ายุบจริงเราตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เราเตรียมทำงานอย่างเดียว

‘สส.รวมไทยสร้างชาติ’ จี้!! กทม. เร่งแก้ปัญหา ‘คลองช่องนนทรี’ หลังปล่อย ‘เน่า-รก-ร้าง’ ไม่สมเป็นสวนแลนด์มาร์กกลางกรุง

(17 ก.ค.67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตามที่ตนได้ลงพื้นที่สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้มาจากการรับข้อร้องเรียนจากประชาชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ ประกอบกับสื่อต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการขาดการบำรุงรักษาของคลองช่องนนทรี 

โดย นายเกรียงยศ เปิดเผยว่า ในการพัฒนาคลองช่องนนทรีมีเป้าหมายในการพัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพมหานคร เป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพเป็นจุดถ่ายทำภาพยนตร์ โดยมีโมเดลจากคลองชองกเยชอน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่ฟื้นฟูจากคลองที่ถูกเมินเป็นแลนด์มาร์กของเมือง 

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ พบว่าคลองช่องนนทรีขาดการดูแลรักษาหลาย ๆ ประการ อาทิ น้ำเน่าเสียซึ่งปรากฏการเผยแพร่ผ่านสื่ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การปรับปรุงภูมิทัศน์ผ่านต้นไม้ต่าง ๆ ถูกปล่อยรกร้าง ขาดการดูแลรักษาทำให้พืชบางส่วนแห้งตาย มีหญ้าและวัชพืชขึ้นรก เห็นได้ชัดว่าขาดการดูแลความสะอาดของพื้นที่ในภาพรวม

“เมื่อสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของสวนสาธารณะคลองช่องนนทรีขาดเสน่ห์ จึงไม่มีผู้เข้ามาใช้งาน ดังนั้น หากไม่มีการแก้ปัญหาย่อมจะทำให้สวนสาธารณะคลองช่องนนทรีกลายเป็นสวนสาธารณะที่ไม่เป็นสาธารณะเพราะไม่มีผู้ใช้งาน จึงขอฝากไปยังกรุงเทพมหานครให้บำรุงรักษาโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้งบประมาณจากภาษีประชาชนที่ใช้ไปในโครงการต่าง ๆ อย่างคุ้มค่า โดยตนจะนำปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหา”

ทั้งนี้ สวนสาธารณะคลองช่องนนทรีได้มีการศึกษาและเริ่มทำสัญญาในสมัยที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีเจตนารมณ์ทำให้พื้นที่คลองช่องนนทรีเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กกลางเมืองไม่แพ้คลองชองกเยชอนของเกาหลีใต้

'ซีอีโอ GAC' ลั่น!! ไทยไม่ใช่แค่ฐานประกอบรถยนต์ แต่เป็นฐานสำคัญ 'เพิ่มยอดขาย-ขยายบริการทั่วประเทศ'

(17 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเจิง ชิ่งหง ประธานบริษัท GAC กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่ 85,000 ตารางเมตร เพื่อมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาทั่วโลก โดยโรงงานแห่งนี้ จะช่วยดึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านการขาย การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเช่นเดียวกับโรงงานในประเทศจีน ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ โดย AION ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาทั้งหมด 6 แนวทาง ซึ่งรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิต การขยายสายผลิตภัณฑ์ และการกำหนดแนวทางของตลาดในเรื่องฐานการผลิตและจำหน่ายทั่วประเทศ

โรงงานผลิตรถยนต์ GAC AION ในประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศของ GAC AION จากปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 แห่งในประเทศจีน มีกำลังการผลิต 500,000 คันต่อปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 120% ทั้งยังมียอดการผลิตและจำหน่ายอยู่ใน 3 อันดับแรกของอุตสาหกรรม

“เมื่อเปิดโรงงานแห่งนี้ขึ้นอีก 1 แห่ง จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับบริษัท ในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และยังมีแผนสร้างฐานการผลิตและการจำหน่ายใน 7 พื้นที่ทั่วโลก และไม่เพียงแค่การประกอบรถเท่านั้น แต่เราจะนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย พร้อมวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การจำหน่ายและการบริการเป็นไปได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ” 

ด้านนายหม่า ไห่หยาง ผู้จัดการทั่วไป GAC AION ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึงแนวคิดหลักว่า ‘คุณภาพต้องมาก่อน’ และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีคุณภาพและชาญฉลาดแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยจุดเด่นด้านการผลิตที่ก้าวหน้าระดับโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้บริษัทพร้อมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มาพร้อมกับความสามารถที่รอบด้าน เทคโนโลยีอันเหนือชั้น และมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นการเผยโฉมในครั้งนี้ พร้อมกันกับการเผยโฉมรถ AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ในประเทศจีนด้วย

เพื่อตอกย้ำความสำคัญของตลาดในประเทศไทย รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและทันสมัยที่สุดสู่ตลาดโลก โดยผลิตขึ้นตามหลักการ 8 จุดเด่นหลัก ได้แก่ ดีไซน์ที่โดดเด่น, พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง, เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว, ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับโลก, เทคโนโลยี AI อัจฉริยะ, มีระยะทางวิ่งไกลและทนทานต่อสภาพอากาศ, เทคโนโลยีชาร์จเร็วอัจฉริยะ, แบตเตอรี่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์เชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ถือว่ามีข้อได้เปรียบด้านการผลิตอัจฉริยะชั้นนำของโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้หุ่นยนต์ร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ GAC AION จะไม่มีข้อบกพร่อง และมีการสลับแบบเรียลไทม์ของการกำหนดค่า 10W+ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลายพันคน เราใช้ ‘การรวมการจัดเก็บแสง การชาร์จ และการเปลี่ยน’ การใช้พลังงานอย่างครอบคลุมเพื่อมอบ ‘โซลูชั่น AION’ สำหรับการเปลี่ยนแปลงสีเขียวของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

และคาดว่าในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาขึ้นในประเทศไทย ผลักดันให้เกิดการจ้างงาน สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับประเทศไทย และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ GAC AION ประกาศว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณสำหรับการลงทุนโรงงานแห่งนี้ไว้ที่ 2,300 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะมีกำลังผลิตที่ 20,000 คันต่อปี และสามารถเพิ่มสูงสุดเป็น 70,000 คันต่อปีในอนาคต

ไวรัล ‘สาวญี่ปุ่น’ ชวนระวัง ‘ชากุหลาบ’ จากร้านดังในไทย แม้ลวดลายบนแก้วจะน่ารัก แต่ดื่มแล้วท้องเสียหนักมาก

(17 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ‘ชากุหลาบ’ ที่บรรจุในแก้วลายเดียวกับชื่อเมนูจากร้านชาชื่อดังของไทย ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เป็นเมนูสุดท้าทายที่ใครดื่มก็เหมือนได้ดีทอกซ์ขับของเสียออกจากร่างกาย ออกฤทธิ์เร็วทันใจ ถึงขนาดที่ว่ามีการแปะเตือนไว้ในแอพฯ สั่งอาหารต่าง ๆ

โดยล่าสุดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ได้โพสต์ลง x เตือนนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย และอยากลองกินชากุหลาบนี้ดูสักครั้ง โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“วันก่อนดื่มชากุหลาบแล้วท้องเสียหนักมาก เพิ่งรู้ว่าดังเมื่อหลายปีก่อนว่าช่วยดีทอกซ์ แต่มันไม่มีคำเตือนที่หน้าร้าน นักท่องเที่ยวอาจจะถูกหลอกด้วยแก้วลายกุหลาบที่ดูน่ารัก”

ซึ่งโพสต์ของสาวญี่ปุ่นรายนี้ก็กลายเป็นไวรัล มีคนเข้ามาคอมเมนต์มากมาย บางคนก็ถามว่า “แก้วน่ารักขนาดนี้ อันตรายจริงเหรอ?” เจ้าของโพสต์เลยตอบว่า “หน้าตาน่ารักแต่น่ากลัว เพราะกุหลาบน่ะมีหนาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะท้องเสียนะ”

คนญี่ปุ่นหลายคนที่รู้จัก ชากุหลาบ ก็เข้ามาคอมเมนต์ว่าเคยเห็นคลิปวิดีโอที่คนดื่มมันแล้ววิ่งเข้าห้อง 20 – 30 นาที บางคนก็บอกว่าเคยดื่มแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นนะ อาจจะขึ้นอยู่กับบุคคล

อย่างไรก็ตามโพสต์นี้ยังกลายเป็นไวรัลในโซเชียลของไทยอีกด้วย เหตุเพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยก็ประสบปัญหาแบบเดียวกัน

‘อัครเดช รวมไทยสร้างชาติ’ หนุน ‘ร่าง พ.ร.บ.งบเพิ่มเติม 67’ แนะรัฐใช้ข้อมูลยุคลุงตู่ ช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแม่นยำ-รวดเร็ว

(17 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกรวมไทยสร้างชาติ อภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ว่า มีความสำคัญที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะเป็นเงินที่รัฐบาลจะต้องจัดสรร ส่งตรงไปประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ประกอบกับที่ผ่านมางบประมาณรายจ่ายปี 2567 ก็เกิดความล่าช้าไป 6 เดือน ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีปัญหา เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน เพราะเศรษฐกิจของประเทศส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ เมื่องบประมาณล่าช้าเงินขาดหายไปจากระบบ และกว่าเงินงบประมาณจะได้ใช้ และกว่าเศรษฐกิจฟื้นก็ต้องใช้เวลา รัฐบาลจึงจำเป็นต้องทำให้เม็ดเงินเติมเข้าไปในระบบให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งให้เศรษฐกิจฟื้น

“ระบบเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้ ที่เมื่อขาดน้ำ ขาดปุ๋ย ก็ไม่ได้เฉาตายทีเดียว แต่จะค่อย ๆ เฉาไปเรื่อย ๆ จนตายในที่สุด ถ้ารัฐบาลไม่เร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ล่าช้าจากงบประมาณปี 67 และถึงแม้ว่าจะมีการใช้จ่ายของภาครัฐจากเงินงบประมาณมาแล้ว แต่กว่าจะผ่านบริษัทผู้รับเหมา ลงไปยังร้านค้า ไปยังภาคการผลิตและภาคแรงงานรวมไปถึงการหมุนไปสู่มือพี่น้องประชาชนต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าเงินจะหมุนเข้าเต็มระบบ รัฐบาลจึงต้องมีการกระตุ้นให้เม็ดเงินไปถึงมือประชาชนผู้บริโภคให้รวดเร็วและแม่นยำ ดังนั้นเงินจากพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จึงมีความสำคัญ“ นายอัครเดช กล่าว 

นายอัครเดช ยังได้ฝากไปถึงรัฐบาล ว่า จะต้องกำหนดวิธีการในการใช้งบประมาณให้ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ใช่ใช้วิธีการแจกแบบหว่านแห หรือแจกปูพรม เพราะหากแจกจ่ายไปยังประชาชนที่มีฐานะอยู่แล้วเขาก็จะไม่ได้มีการใช้เงินเพราะจะเป็นเงินเก็บ ทำให้เงินไม่หมุนเวียน ดังนั้นอยากแนะนำให้รัฐบาลลองไปดูฐานข้อมูลเดิมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยทำในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ฐานข้อมูลจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร รวมไปถึงโครงการคนละครึ่ง เพื่อให้เงินงบประมาณนี้ไปถึงมือประชาชนผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวดเร็ว และแม่นยำ เพื่อจะได้ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในนามพรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ปี 2567 ฉบับนี้

‘SCB EIC’ ชี้!! ‘แก่ก่อนรวย’ ในสังคมไทยยังน่าห่วง คนใกล้เกษียณมีสินทรัพย์น้อย-วัยทำงานหนี้สินรุมเร้า

(17 ก.ค. 67) SCB EIC เผยผลสำรวจ ‘SCB EIC Consumer survey 2023’ ว่า ในระยะสั้นปัญหาแก่ก่อนรวยของสังคมไทยยังน่าห่วง โดยพบว่า กลุ่มวัยทำงานใกล้เกษียณ (51-60 ปี) ส่วนใหญ่ยังมีสินทรัพย์น้อย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายหลังเกษียณ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสะสมสินทรัพย์ของกลุ่มนี้ คือ ปัญหาภาระหนี้ โดย 56% ของครัวเรือนที่มีหนี้พบว่ามีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูง

ในระยะยาว SCB EIC มองว่าปัญหาการออมนับเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความพร้อมหลังเกษียณ ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า ในภาพรวมคนวัยทำงานที่สามารถออมเงินได้ทุกเดือนยังมีไม่ถึงครึ่ง และอีกราว 1 ใน 4 ที่ไม่สามารถออมได้เลย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะเหลือเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถออมได้สม่ำเสมอ สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาภาระรายจ่ายสูงแต่รายได้ต่ำ โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 31 - 50 ปี ที่มีปัญหาภาระหนี้มากกว่ากลุ่มอื่น เพราะได้เริ่มก่อหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้

SCB EIC ประเมินว่า พฤติกรรมการออมจะส่งผลอย่างมากต่อปัญหาแก่ก่อนรวยของคนไทย โดยเฉพาะคนอายุมากและรายได้ต่ำ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามีวินัยการออมน้อยที่สุด ขณะที่คนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี พบว่าสามารถเริ่มออมสม่ำเสมอได้ตั้งแต่ช่วงรายได้ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ได้ตั้งแต่รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน กลับพบว่ายังขาดวินัยการออม ส่วนหนึ่งเพราะใช้จ่ายตามกระแสสังคมมาก ซึ่งจะต่างจากคนอายุมากกว่าที่ส่วนใหญ่เริ่มมีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ตั้งแต่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป

สำหรับผลสำรวจด้านการลงทุน พบว่าคนอายุน้อยที่มีเงินลงทุนมีสัดส่วนต่ำกว่าคนอายุมากกว่า และยังไม่ค่อยมีสินทรัพย์อื่นนอกจากเงินสดหรือเงินฝาก แม้ว่าคนรุ่นใหม่ดูจะสนใจและต้องการลงทุนมากกว่ากลุ่มคนอายุมากกว่า แต่ปัญหาขาดแคลนเงินลงทุนและความรู้ความเข้าใจในการลงทุนสินทรัพย์ทางการเงินยังเป็นอุปสรรคสำคัญของคนรุ่นใหม่

นโยบายช่วยเหลือและกระตุ้นการออมจึงต้องออกแบบให้เหมาะสมกับคนทำงานต่างวัยในแต่ละกลุ่มรายได้ เพื่อให้ปรับการออม พร้อมนับถอยหลังใช้ชีวิตหลังเกษียณได้ดีขึ้น

>>กลุ่มที่ต้องดูแลเร่งด่วน 

1.1. กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐต้องส่งเสริมให้เริ่มออมเร็วที่สุด ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการออมตามระดับรายได้ในการออมภาคบังคับ พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินการลงทุนด้วยการสอดแทรกเข้าไปในช่องทาง Social media ต่าง ๆ

1.2.กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี รายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐควรช่วยออมและลดภาระผ่านช่องทางภาษีที่จูงใจ เช่น สิทธิลดหย่อนภาษี รวมถึงการต่ออายุเกษียณจาก 60 ปี เพื่อให้มีระยะเวลาหารายได้นานขึ้น

>>กลุ่มที่ต้องเพิ่มแรงจูงใจในการออม

2.1. กลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี รายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐและภาคการเงินควรเพิ่มการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพราะมีความเข้าใจการลงทุนสูงกว่าและรับความเสี่ยงได้มากกว่า

2.2.กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี รายได้สูงกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐควรส่งเสริมพฤติกรรมออมต่อเนื่องได้ถึงเป้าหมาย และเข้าถึงผลิตภัณฑ์การเงินที่ให้ผลตอบแทนเพียงพอกับรายจ่ายที่สูงขึ้น สำหรับวัยใกล้เกษียณ ภาครัฐควรช่วยลดความเสี่ยงฉุกเฉินให้เพิ่มเติม โดยช่วยจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงที่จำเป็น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดโครงการอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร

วันนี้ (17 กรกฎาคม 2567) เวลา 17.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะและเจริญพระพุทธมนต์สมโภชนาค พิธีมอบบาตรและผ้าไตร โครงการ “อุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ณ มณฑลพิธีลานพระศรีมหาโพธิ์ และพิธีบรรพชาและอุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดโครงการ “อุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยมีข้าราชตำรวจจากทั่วประเทศเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการฯ จำนวน 73 นาย เพื่อเทิดพระเกียรติ และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ซึ่งภายหลังการบรรพชาและอุปสมบทแล้ว คณะสงฆ์ทุกรูปจะศึกษาพระปริยัติธรรม ปฏิบัติศาสนกิจและปฏิบัติธรรม ณ วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 18-31 กรกฎาคม 2567 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ได้จัดโครงการอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจ รวม 22 โครงการ มีข้าราชการตำรวจเข้าร่วมอุปสมบท จำนวน 2,142 นาย โดยมุ่งหวังให้ข้าราชการตำรวจได้ร่วมแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้บำเพ็ญคุณงามความดี  ถือเป็นโอกาสที่จะได้สร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม และพัฒนาจิตใจ อันจะก่อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป

'รัฐบาล' ชวนคนไทยรับชม 'คุยกับเศรษฐา' 20 ก.ค.นี้ เปิด 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติรับปีมหามงคล

(18 ก.ค. 67) น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนเตรียมรับชมรายการ 'คุยกับเศรษฐา' ตอนพิเศษ ซึ่งจะออกอากาศในวันเสาร์ที่ 20 ก.ค.นี้ ทางช่อง NBT โดยในเทปที่ 2 นี้ นายกรัฐมนตรีจะมาบอกเล่าถึงการจัดทำ 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติในนามรัฐบาล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งทั้ง 10 โครงการ ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้อยู่ดีมีสุข 

นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการผลักดัน 10 โครงการเฉลิมพระเกียรตินี้มาโดยตลอด โดยนายกรัฐมนตรี จะใช้รายการนี้เป็นเวทีในการบอกเล่าความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่มีความเชื่อมโยงกับ ‘ป่า-น้ำ-คน’ ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบความเป็นมา และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับโดยตรงจากการจัดทำโครงการต่าง ๆ รวมถึงผู้ชมจะได้เห็นภาพความประทับใจในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมโครงการเฉลิมพระเกียรติในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป

“ขอเชิญชวนทุกท่านติดตามรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ ตอนพิเศษ เนื่องในโอกาสปีมหามงคลนี้พร้อมกัน ในวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.00 น. ทางช่อง NBT และ ททบ. 5 และจะรีรันอีกครั้งในเวลา 11.30 น. ทางช่อง 9 MCOT HD” น.ส.จิราพร กล่าว

(ศรีสะเกษ) พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ลงพื้นที่ ศรีสะเกษ พบปะเยี่ยมเยียนทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึก

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) ที่ หอประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลกระแชง ตำบลกระแชง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และคณะฯ ได้เดินทางมาพบปะเยี่ยมเยียนทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึก ด้วยความห่วงใยและระลึกถึง ตลอดจน รับทราบถึงความเป็นอยู่ ของทหารผ่านศึกในเขตพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมี พันเอก โถมวัฒน์ สว่างวิทย์ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศรีสะเกษ(ท)แทน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พันเอก นรพล จิตปัญญา สัสดีจังหวัดศรีสะเกษ พันเอก สุดใจ แพงพรมมา สัสดีจังหวัดสุรินทร์ พันโท จิรานุวัฒน์ ศรีหอม รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ มี นางสาวอณัญญา พรหมบุตร รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ กล่าวรายงาน เครือข่ายทหารผ่านศึกในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ในการดูแลรับผิดชอบของสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ 

สำนักงานฯ จึงได้ประสานแกนนำเครือข่ายทหารผ่านศึก โดยมี พันตรี อำพัน พิมพิลา นายกสมาคมทหารผ่านศึกจังหวัดศรีสะเกษ ในฐานะประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกระดับจังหวัด ได้นำทหารผ่านศึกจากพื้นที่ใน 22 อำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ มาร่วมให้การต้อนรับ จำนวน 350 นาย การเดินทางมาตรวจเยี่ยมของ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และคณะ ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้บรรดาทหารผ่านศึกแล้ว ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกและทหารผ่านศึก ที่จะพร้อมให้ความร่วมมือในทุกกิจกรรมขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ต่อไป

'โซเชียลจีน' สะพัด!! ข่าว 'ปธน.สี จิ้นผิง' อาจป่วยหนัก หลอดเลือดในสมองตีบ

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดข่าวลือแพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ของประเทศจีน แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันออกมาอย่างแน่ชัด ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ หรือ สโตรก ระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 ซึ่งเขาเป็นประธานการประชุม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกลาง 

ถึงแม้ว่าสื่อกระแสหลักของโลกยังไม่มีการรายงานข่าวนี้แต่อย่างใด และในปี 2565 ก็เคยเกิดข่าวลือว่า 'สี จิ้นผิง' ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ หลังจากเขาหายหน้าไปจากสาธารณะระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง

นางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวด้านสิทธิมนุษยชน เป็นต้นกำเนิดข่าวลือล่าสุดนี้ โดยเธอโพสต์บนยูทูบ อ้างคำพูดของนายจางหมิง ศาสตราจารย์และหัวหน้างานระดับปริญญาเอก ของคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ซึ่งจู่ ๆ ก็โพสต์ข้อความว่า “มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” โดยไม่ขยายความต่อแต่อย่างใด 

เธอยังอ้างรายงานของนายซู เสี่ยวโหว นักข่าวชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามบนยูทูบ 1.79 แสนคน ว่า จู่ ๆ 'สี จิ้นผิง' ก็เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบขณะร่วมประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 3 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เธออ้างด้วยว่ามีผู้ใช้งานยูทูบคนอื่น ๆ ก็รายงานข่าวไปในทำนองเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top