Tuesday, 2 July 2024
NewsFeed

‘เกาะอังกฤษ’ เสน่ห์หาย มหาเศรษฐีแห่หอบเงินหนี ผลจากภาวะเศรษฐกิจ - แนวโน้มเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

‘สหราชอาณาจักร’ กลายเป็นประเทศในโซนยุโรป ที่มีมหาเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ (2024) ที่มีการย้ายออกสุทธิมากถึง 9,500 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มที่จะย้ายออกเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง หลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในปีนี้ 

จากรายงานการสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานของ The Henley Private Wealth Migration ประจำปี 2024 พบว่าอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มหาเศรษฐีอยากจะย้ายออกมาเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีนในปีนี้ แถมมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติการย้ายถิ่นแบบ Exodus หรือการทิ้งถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งในปีนี้ มีเศรษฐีในอังกฤษ ย้ายออกไปประเทศอื่นแล้วถึง 9,500 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีเศรษฐีย้ายออก 4,200 ราย นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว

ถึงแม้ว่าจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีคนระดับเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลก ซึ่งมีตัวเลขการย้ายออกสุทธิอยู่ที่ 15,200 รายในปีนี้ แต่หากเทียบกับตัวเลขในอดีตที่อังกฤษเคยติดอันดับกลุ่มประเทศที่มีมหาเศรษฐีอยากย้ายเข้ามากที่สุด เป็นจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียมที่ใครต่อใครสนใจที่จะย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับอังกฤษ

‘Henley’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานระบุว่า ช่วงระหว่างปี 1950 - 2000 ถือเป็นยุคทองของสหราชอาณาจักร ที่ครอบครัวชนชั้นสูง ตระกูลเศรษฐีทั่วทั้งยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และ ตะวันออกกลาง นิยมย้ายถิ่นมาลงหลักปักฐานในอังกฤษเป็นจำนวนมาก 

แต่ในวันนี้กลับไม่ใช่แล้ว กลุ่มคนที่มีทรัพย์สินมั่งคั่งในอังกฤษเริ่มมองหาประเทศทางเลือกอื่น ๆ ในการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากตัวเลขประชากรระดับเศรษฐีของอังกฤษลดลงถึง 8% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับจำนวนประชากรเศรษฐีในประเทศเศรษฐกิจหลักของกลุ่มชาติตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ เยอรมัน ที่มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึง 15% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มมากถึง 62% 

แต่อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เสน่ห์ของประเทศอังกฤษหายไป ไม่ชวนดึงดูดกลุ่มเศรษฐี นักลงทุนให้มาอยู่ได้อย่างที่แล้วมา?

แรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ผลพวงจากผลประชามติ Brexit ซึ่งในช่วงปี 2017 - 2023 หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปแล้ว มีตัวเลขประชากรเศรษฐีในอังกฤษย้ายถิ่นไปแล้วถึง 16,500 ราย และตัวเลขการย้ายถิ่นของคนกลุ่มนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกปี 

แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำเศรษฐีอังกฤษหอบเงินหนี ‘ฮานนาห์ ไวท์’ CEO ของสถาบันวิเคราะห์ยุทธศาสตร์รัฐบาล เผยว่าการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ของเศรษฐีจะยิ่งเร่งสปีดเร็วขึ้นกว่าเดิมหลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

จากผลโพลหลายสำนักในอังกฤษชี้ตรงกันว่าพรรคแรงงาน ฝ่ายซ้าย ที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์ฝ่ายรัฐบาล ถึง 46% ต่อ 21% มีโอกาสคว้าชัยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่สูงมาก 

โดยพรรคแรงงานมีนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวด โดยเน้นการเก็บภาษีเพิ่มในกลุ่มคนต่างด้าว ลดช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษี ยกเลิกการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงเรียนเอกชน และเพิ่มภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยบุคคลที่ไม่ได้ถือวีซ่าผู้อาศัยในอังกฤษ อีกทั้งขึ้นภาษีที่ดินเป็น 40% สำหรับที่ดินที่มีราคาสูงกว่า 325,000 ปอนด์ เพื่อนำภาษีเหล่านั้นมาลงให้กับกองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ของชาวอังกฤษ 

ด้วยปัจจัยด้านนโยบายในการจัดเก็บภาษีคนรวย บวกกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อในประเทศ และ การถูกยกเลิกสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก EU ทำให้เศรษฐีในอังกฤษตัดสินใจย้ายออกอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นับเป็นความท้าทายที่สาหัสทีเดียวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษ ในการฟื้นฟูประเทศ เรียกบรรยากาศที่เคยดึงดูดกลุ่มเศรษฐีมีเงินทั่วโลก ที่เคยหอบทรัพย์สินหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานใน ‘ดินแดนแห่งผู้ดี’ เช่นในอดีต

เชียงราย การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา – ไทย ครั้งที่ 99 (TBC– 99) 

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 พันเอก ณฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย–เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ พันโท อ่องลินอู ผู้บังคับกองพันเคลื่อนที่เร็วที่ 133/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา – ไทย (TBC) ฝ่ายเมียนมา จังหวัดท่าขี้เหล็ก เป็นประธานร่วม ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา-ไทย ครั้งที่ 99 (TBC – 99) โดยฝ่ายเมียนมา เป็นเจ้าภาพ  โดยมี ณ โรงแรม 1G1 จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

โดยในห้วงเวลาประมาณ 08.30 นาฬิกา ได้มีการพบปะพัฒนาสัมพันธ์และมอบของที่ระลึกระหว่าง พันเอก ณฑี ทิมเสน ประธานฯ ฝ่ายไทย และ พันเอก ตู๋ล่า ส่อ หวิน โซ ผู้บังคับการกองบังคับการยุทธศาสตร์ท่าขี้เหล็ก พร้อมทั้ง พันโท อ่องลินอู ประธานฯ ฝ่ายเมียนมา บริเวณกลางสะพานมิตรภาพ ข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อำเภอแม่สายฯ

หลังจากนั้น ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมฯ ณ ห้องประชุมโรงแรม 1G1 จังหวัดท่าขี้เหล็กฯ โดยมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) จากหน่วยงานต่างๆ ของทั้งไทยและเมียนมา เข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นทั้ง 2 ฝ่าย ได้ประสานความร่วมมือ และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อขจัดเงื่อนไขและปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย โดยในวันนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน การขอความร่วมมือต่างๆ เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเมียนมา, การติดตั้งเครื่องเตือนภัยน้ำท่วมเพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ การแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณด่านพรมแดน รวมถึงงานด้านความมั่นคง และด้านอื่นๆ อีกทั้งยังได้มีการขอบคุณที่ทั้ง 2 ฝ่าย ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันที่ผ่านมา การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาต่างๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้สำเร็จอย่างดียิ่ง สำหรับบางปัญหาที่อยู่เหนือกว่าอำนาจที่คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) ไม่สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ ก็จะนำเรียนหน่วยเหนือ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป            

หลังจากจบการประชุมฯ ได้มีการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และในห้วงบ่าย ฝ่ายเมียนมา ได้นำบุคลากรของฝ่ายไทย เดินทางศึกษาวัฒนธรรม/เยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ของฝ่ายเมียนมา และยังมีการแข่งขันกอล์ฟเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ และในห้วงเย็น ฝ่ายเมียนมาได้ส่งฝ่ายไทย บริเวณกลางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 เพื่อเดินทางกลับไทย ต่อไป ซึ่งจากการจัดประชุมฯ ดังกล่าว ทำให้ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายเมียนมา มีความสัมพันธ์ที่ดี และแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนี้สืบต่อไป

ภาพ/ข่าว สันติ วงศ์สุนันท์
หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

‘อีลอน มัสก์’ ทำนายอนาคต การพูดคุยผ่าน ‘มือถือ’ จะล้าสมัย มนุษย์จะสื่อสารกันผ่านความคิด ด้วยการฝังชิปในสมองแทน

(19 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โทรศัพท์มือถือจะกลายเป็นสิ่งล้าสมัยในอนาคต และจะถูกแทนที่ด้วยชิปที่จะถูกฝังลงในสมองของมนุษย์โดยตรงแทน จากคำทำนายเมื่อเร็ว ๆ นี้ของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี

บริษัทด้านเทคโนโลยีประสาท Neuralink ของ มัสก์ ทำการฝังชิปสมองเป็นครั้งแรกในตัวของนายโนแลนด์ อาร์โบห์ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก วัย 30 ปี ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขั้นตอนการผ่าตัดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการใส่ชิปคอมพิวเตอร์ขนาดพอ ๆ กับเหรียญดอลลาร์ เข้าไปในพื้นที่ของสมองซึ่งควบคุมความเคลื่อนไหว จากนั้นชิปถูกใช้บันทึกและถ่ายทอดสัญญาณสมองแบบไร้สายไปยังแอปพลิเคชันหนึ่งที่ถอดรหัสความเคลื่อนไหวตามเจตนาของผู้ป่วย

คำทำนายล่าสุดของ มัสก์ เป็นการตอบโต้ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยบัญชีล้อเลียนชื่อว่า ‘ไม่ใช่ อีลอน มัสก์’ ในวันอาทิตย์ (16 มิ.ย. 67) ซึ่งข้อความดั้งเดิมเขียนว่า "คุณจะติดตั้ง Neuralink interface (เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์) ในสมองของคุณ เพื่อเปิดทางให้คุณควบคุม X phone ใหม่ ผ่านทางความคิดหรือไม่?"

อีลอน มัสก์ ตอบกลับคำถามดังกล่าว โดยบอกว่า "ในอนาคตจะไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีเพียงแค่ Neuralink"

ในเอกสารประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว Neuralink ระบุว่าโครงการ PRIME (Precise Robotically Implanted Brain-Computer Interface) เป็นการทดลองระดับคลินิก เพื่อศึกษาความปลอดภัยของกระบวนการฝังชิปลงในสมองของมนุษย์ด้วยหุ่นยนต์ และความปลอดภัยของตัวชิปเอง

เป้าหมายของการพัฒนาการฝังส่วนต่อประสานสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ไร้สายอย่างสมบูรณ์ จะเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้มนุษย์มีขีดความสามารถในการควบคุมเคอร์เซอร์คอมพิวเตอร์ หรือคีย์บอร์ดผ่านทางความคิด จากนั้นมันจะเปิดทางสำหรับการบำบัดเชิงปฏิวัติสำหรับคนที่ป่วยพิการทางกายต่าง ๆ อย่างเช่นอัมพาตและตาบอด เช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ อย่างเช่นโรคอ้วน ออทิสติก ซึมเศร้า และโรคจิตเภท

ระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2018 มัสก์ เคยบ่งชี้ว่าด้วยเทคโนโลยี Neuralink มันอาจทำให้วันใดวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถสื่อสารกันโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ และมีความเป็นไปได้ของการบรรลุเป้าหมายสถานะของการอยู่ร่วมกันกับปัญญาประดิษฐ์

สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ อนุมัติการทดลองฝังชิปเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว หลายสัปดาห์หลังการผ่าตัดเมื่อเดือนมกราคม มัสก์เปิดเผยว่าบุคคลรายดังกล่าว ‘ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ’ และมีศักยภาพในการเคลื่อนเมาส์คอมพิวเตอร์ไปรอบๆ จอผ่านความคิด

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม Neuralink ยอมรับว่าพวกเขาประสบกับปัญหาทางเทคนิคบางประการ หลังสายไฟขนาดเล็กจิ๋วที่ฝังลงไปในสมองเคลื่อนที่หลุดจากตำแหน่ง

กระนั้นก็ตามทางสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ได้ไฟเขียวให้ทดลองกับมนุษย์เป็นครั้งที่ 2 ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อเดือนที่แล้ว โดยที่การทดลองครั้งถัดไป ซึ่งกำหนดไว้ในเดือนมิถุนายน จะมีการแก้ไขปรับปรุงในกระบวนการต่างๆ โดยที่ชิปจะถูกฝังลึกเข้าไปในสมองมากกว่าเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้มันหลุดออกมา

'โค้ชหนุ่ม' ยกเคสหญิงมีปัญหาการเงินรุม แต่พอแนะวิธีไหนไปก็บอกว่า 'ทำไม่ได้'  แต่สุดท้ายฉีกตำรา 'แก้ทุกข์' ด้วยการมีสามีต่างชาติที่รายได้สูงและยังไม่ตาย

(19 มิ.ย.67) จากเพจ 'Money Coach' โดย 'โค้ชหนุ่ม' จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ได้แชร์เรื่องราวของเคสผู้หญิงรายหนึ่งที่ประสบปัญหาการเงิน แต่ไม่ยอมทำตามคำแนะนำ แต่เธอคนนั้นแก้ปัญหาด้วยการมีสามีชาวต่างชาติที่รายได้สูงและยังมีชีวิตอยู่ ว่า...

เรื่องจริง...ยิ่งกว่านิยาย 

ทำหน้าที่เป็นมันนีโค้ชมาหลายปี ต้องบอกเลยว่าเจอเรื่องการเงินที่ไม่น่าเชื่อและไม่คิดว่าจะเป็นไปได้มากมาย หลายเรื่องฟังดูคล้ายนิยาย พูดไปใครก็คงคิดว่าโค้ชแต่งเรื่องขึ้นมา แต่พอทำหน้าที่นี้นานเข้า คุยกับคนมากเข้า ก็ยิ่งมั่นใจว่า “ถ้าเป็นเรื่องการเงิน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”

ตอนเริ่มต้นทำงานให้คำปรึกษาใหม่ ๆ ผมได้เจอสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เธอมาขอคำปรึกษาเรื่องหนี้ เราเจอกันในงานสัมมนาของพรรคการเมืองหนึ่งที่มีโครงการช่วยคนปลดหนี้ 

ครั้งแรกที่ได้เห็นงบการเงินของเธอแล้วบอกได้คำเดียว “มันหนักมาก” รายได้ของเธอมีส่วนต่างจากรายจ่ายร่วม ๆ เท่าตัว ทรัพย์สินมีบ้านอยู่ 1 หลัง ที่ปลอดภาระ 

เธอเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเธอสบาย รายได้ส่วนตัวน้อยก็อยู่ได้ เพราะสามีเป็นคนหารายได้หลัก แต่พอสามีเสียชีวิตไป การเงินเธอก็พลอยแย่ไปด้วย

ผมเองพยายามให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา แต่ดูเหมือนเธอจะติดขัดไปหมด โน่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ไม่ถนัด 

สิ่งเดียวที่เธอพูดตลอดเวลาเจอกันคือ โค้ชต้องช่วยพี่นะ! ห้ามทิ้งพี่นะ! แต่ก็ไม่ทำอะไร แนะนำให้ขายบ้านเอาเงินส่วนหนึ่งมาชำระหนี้ แล้วเอาส่วนหนึ่งไปตั้งหลักใหม่ เธอก็ไม่ทำ อ้างว่าไม่อยากขายความหลังเก่า ๆ กับสามี (เธออยู่คนเดียว ไม่มีลูก) แนะนำให้หาธุรกิจ หารายได้เพิ่ม เธอก็อ้างว่าอายุเยอะแล้วเริ่มต้นใหม่คงไม่ง่าย ทั้งที่อายุแค่ 40 กว่า

คุยทุกอย่างให้คำแนะนำทุกทาง เธอก็ไม่ยอมทำตามเลยจนช่วงหนึ่งเธอเริ่มหายไปจากชีวิตผม (กลายเป็นผมโดนทิ้งซะเอง 555)

ผ่านไปได้ร่วมครึ่งปี เธอติดต่อกลับมาครับ พร้อมกับเล่าว่า เธอเคลียร์ปัญหาทางการเงินทั้งหมดได้แล้ว

งงสิครับ!! หนี้ตั้งเยอะตั้งแยะ รายได้ก็ไม่มี ทรัพย์สินก็ไม่มี หลุดจากปัญหาได้ยังไง (ตอนนั้นแอบคิดว่า ... ถูกหวยแหง ๆ)

ซึ่งก็จริงครับ พี่เค้าถูกหวยจริง แต่ไม่ได้ถูกหวยกองสลาก แต่เป็นหวยมนุษย์ครับ พี่แกได้แฟนเป็นชาวต่างชาติที่มาทำงานเมืองไทย ... เรียกว่าเจอกันปุ๊บ อยู่กินด้วยกันปั๊บ สบายไปเลยครับ

อย่างไรก็ดี เธอขอบคุณผมที่อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนคอยให้ปรับทุกข์ในช่วงที่มีปัญหา แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะช่วยอะไรพี่เขาไม่ได้เลยก็ตาม (เจ็บจี๊ด 555)

นาฬิกาหมุนไป ชีวิตคนเราก็หมุนตาม ...

ผ่านไปร่วม 2 ปี เรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น สามีต่างชาติที่เป็น EXPAT เสียชีวิต คุณพี่ของผมท่านนี้จึงกลับมาพร้อมกับน้ำตาและคำว่าเสียใจ 

ไม่ใช่! กลับมาพร้อมกับความลำบากทางการเงินอีกครั้ง เพราะรายรับประจำจากสามีหายไป ข้าวของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม รถยนต์ของสามี ล้วนแล้วแต่เป็นของประจำตำแหน่ง เงินทองที่สามีเคยให้ก็ไม่เคยเก็บ และแทบจะหมดไปทันทีที่ได้มา

และเหมือนเดิมครับ ถ้าปัญหาหนี้ไม่หนักหน่วงจะไม่มีทางนึกถึงผม ครั้งนี้ก็เช่นกัน

คุณพี่กลับมาพร้อมกับปัญหาใหญ่ไม่แพ้กับครั้งก่อน พอสามีจากไป เธอก็เริ่มใช้ชีวิตหยิบยืม และต้องรอจนบ่มได้ที่ เป็นหนี้จนหันหน้าพึ่งใครไม่ได้ 

แล้วก็เหมือนเดิม โจทย์ยากโคตร ไม่มีรายได้ หนี้เต็มตัว ทรัพย์สินใด ๆ ไม่มี บ้านหลังเก่าเธอขายไปตั้งแต่เจอสามีใหม่ได้ไม่นาน ... (ไหนบอกอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี) และสุดท้ายก็ใช้เงินจนหมด

แล้วที่ยังเหมือนเดิมอีกเรื่องก็คือ ให้แนะนำอะไรไปก็มีข้ออ้าง พี่แก่เกินไปที่จะเริ่มต้น ทำกิจการอะไรก็ไม่ได้มันเสี่ยง ฯลฯ 

เมื่ออะไร ๆ ยังเหมือนเดิม ผลลัพธ์จึงเหมือนเดิม ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้ตามคาด และบอกตรง ๆ ว่าแอบเบื่อนิด ๆ เวลาเห็นคำถามทางอีเมล์จากพี่เขา เพราะรู้สึกว่าให้คำปรึกษาไปแล้วดูดพลังผมอย่างมาก เพราะสำหรับพี่เขา “อะไร ๆ ก็ไม่ได้”

สุดท้ายเหมือนละคร Remake เธอหายไปจากชีวิตผมพักใหญ่ ๆ ด้วยเห็นว่าไอ้โค้ชการเงินแห่งสารขัณฑ์คงช่วยอะไรฉันไม่ได้อีกตามเคย

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับอีเมล์จากเธอ พร้อมด้วยภาพสวย ๆ ของชายหญิงคู่หนึ่งยืนกอดกัน ด้านหลังเป็นวิวภูเขาในต่างประเทศ ลุคดูดีมีสกุลมาก ๆ

ใช่ครับ! มันเป็นหนัง Remake โดยสมบูรณ์ เธอแต่งงานใหม่อีกครั้งกับชาวต่างประเทศ และคราวนี้ย้ายไปอยู่กับเค้าเสียเลย และแน่นอน ชีวิตเธอผ่านพ้นปัญหาหนี้และกลับมาสุขสบายอีกครั้ง

และก็เหมือนเคย นิยายเรื่องนี้ จบด้วยความไร้ความสามารถของ THE MONEY COACH อีกครั้งหนึ่ง

- จบบริบูรณ์ -

‘ชาวบ้านแม่น้ำคู้’ ผวา!! ‘โจ๋เขมร’ ตั้งแก๊งไล่ทำร้ายคนไทย-เพื่อนร่วมชาติ ต้องวิ่งหนีเข้าป่าเอาชีวิตรอด ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีใครกำราบ

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย. 67) ที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งที่แม่น้ำคู้ซอย 3 ในพื้นที่ ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง หลังทราบข้อมูลจากชาวบ้านว่ามีคนไทยและกัมพูชา ถูกกลุ่มวัยรุ่นชาวกัมพูชาไล่ทำร้ายร่างกายจนต้องวิ่งหนีเข้าป่าเพื่อเอาชีวิตรอด

ทั้งนี้ ที่บริเวณห้องเช่าดังกล่าว มีห้องพักอยู่ติดกันกว่า 20 ห้อง พบชาวบ้านกว่า 20 คนอยู่ในอาการผวา พร้อมจับกลุ่มคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพบรถจักรยานยนต์ 1 คันยี่ห้อ ฮอนด้าเวฟ สีบรอนซ์-ดำ มีรอยคล้ายถูกมีดฟันที่ตัวรถ ตะกร้าหน้ารถบิดเบี้ยวและชิ้นส่วนแตกหลุดออกมา

ด้าน น.ส.ศิริพร (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปีให้ข้อมูลว่า ตนและแฟนออกไปทำธุระกับเพื่อน พอแยกกันตนกับแฟนถึงห้องแล้วแต่เพื่อนแฟนยังไม่ถึง ภายหลังทราบว่าถูกกลุ่มวัยรุ่นชาวกัมพูชาไล่ทำร้ายและหนีเอาชีวิตรอดมาได้ ตอนนี้ชาวบ้านแม่น้ำคู้ต้องอยู่แบบหวาดผวา วัยรุ่นกัมพูชากลุ่มนี้มีอยู่กว่า 10 คน เกเรมาก พวกเขาก่อเหตุไล่ทำร้ายคนไทยและไล่ทำร้ายคนชาติเดียวกันด้วยมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นมีใครมาจัดการได้

นายสุริยะ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 19 ปีผู้เสียหาย เล่าว่า ตนได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปหาน้อง พอถึงกลางซอยแม่น้ำคู้ 3 แถวร้านสะดวกซื้อ มีวัยรุ่นกัมพูชาขี่รถตามมาและตบที่ต้นคอจนตนตกใจ เมื่อหันไปก็เห็นคล้ายกับมีอาวุธด้วย ตนจึงรีบขี่รถหนี แต่คิดว่าคงหนีไม่พ้นจึงทิ้งรถ หนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าจนรอดมาได้

ผู้เสียหายอีก 1 รายชื่อนายวิทย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี เป็นแรงงานชาวกัมพูชา ซึ่งขี่รถผ่านมาพอดีก็ถูกกลุ่มวัยรุ่นชาติเดียวกันขี่ตามไล่ทำร้ายร่างกายเช่นกัน จนต้องทิ้งรถ จยย.วิ่งหนีเข้าป่าจึงรอดมาได้ ส่วนรถถูกมีดฟันได้รับความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทั้งคนไทยและชาวกัมพูชาที่พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าดังกล่าวต่างใช้ชีวิตกันอย่างหวาดผวา และได้เตรียมแจ้งความที่ สภ.ปลวกแดง เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมอยากฝากให้ สภ.ปลวกแดง เร่งจัดการกับกลุ่มกัมพูชากลุ่มนี้เพราะเป็นอันตรายต่อชุมชนอย่างมาก 

‘อนุทิน’ แท็กทีมลูกพรรค สวมใส่เสื้อ ‘สีเหลือง’ ร่วมใจแสดงความจงรักภักดี ขณะประชุมสภาฯ

(19 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ โดยมีนาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธาน สภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ในวาระแรก โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งหายจากอาการป่วยโควิด-19 เป็นวันแรก ได้นำทีมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง 

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้นำทีมรัฐมนตรี และสส.พรรคภูมิใจไทย ส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีเหลืองเข้าร่วมประชุม ซึ่งจะใส่ในวันพิจารณางบประมาณ 2 วันคือวันที่ 19 และวันที่ 21 มิ.ย.นี้ 

'สุริยะ' มั่นใจ 'โปรเจกต์แลนด์บริดจ์' เกิดแน่ หลังประธานดูไบเวิลด์ จ่อพบนายกฯ 1 ก.ค.นี้

(19 มิ.ย.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน หรือ แลนด์บริดจ์ โดยระบุว่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับผู้บริหารบริษัท Dubai Port World (DP World) เพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ล่าสุดสุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัท และผู้บริหารของ DP World ประสานจะเดินทางมาหารือกับนายกฯ ในวันที่ 1 ก.ค.นี้

โดยกระทรวงฯ เตรียมความพร้อมนำคณะผู้บริหารของ DP World ลงพื้นที่จริงเพื่อสำรวจศักยภาพของการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งการประสานงานของทาง DP World ในครั้งนี้ ตอกย้ำได้ว่าโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการที่ต่างชาติแสดงความสนใจร่วมทุน และจะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจริง 100% ภายในรัฐบาลนี้ โดยหากมีการลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์ จะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนลงระบบเศรษฐกิจมากถึง 1 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ดี DP World ถือเป็นบริษัทชั้นนำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเชี่ยวชาญโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า การดำเนินงานท่าเรือ การขนส่งสินค้าทางทะเลและเขตการค้าเสรี ก่อตั้งปี 2548 ให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ 70 ล้านตู้ โดยมีเรือนำเข้า 70,000 ลำต่อปี คิดเป็น 10% ของปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก และมีพื้นที่ให้บริการในท่าเรือ 82 แห่งใน 40 ประเทศ

ขณะที่ DP World เคยมีความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมในการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจภาคใต้ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2551 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างบันทึกความเข้าใจในการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าเพื่อศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนาท่าเรือฝั่งทะเลอันดามันและสะพานเศรษฐกิจเชื่อมท่าเรือฝั่งอ่าวไทย

ทั้งนี้ มีการลงนามระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และ DP World เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2551 ซึ่งอยู่ช่วงนายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลพรรคพลังประชาชนที่ต่อมาถูกยุบพรรค และกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย โดยการลงนามครั้งนั้น สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม DP World มาลงนามด้วยตัวเอง

สำหรับ โครงการแลนด์บริดจ์ มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.001 ล้านล้านบาท จะแบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งระนอง 330,810 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งชุมพร 305,666 ล้านบาท และโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ 358,517 ล้านบาท โดย สนข.ศึกษาพบว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าในการลงทุน มีผลตอบแทนการลงทุนโครงการวัดจาก Internal Rate of Return (IRR) สูงกว่า 10% ต่อปี อีกทั้งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในพื้นที่ภาคใต้จาก 2% เป็น 10% ต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปี

ขณะที่สถานะปัจจุบันโครงการผ่านการศึกษาและเปิดรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน รวมทั้งกระทรวงคมนาคมได้จัดโรดโชว์นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างเร่งผลักดัน พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ. SEC) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ และเป็นปัจจัยบวกสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนทั้งด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ ตลอดจนการจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้

ทั้งนี้ สนข.ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมาที่กระทรวงคมนาคมแล้ว เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาเห็นชอบภายในเดือน ก.ย.นี้ ก่อนเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 หลังจากนั้นมีเป้าหมายออกประกาศเชิญชวนนักลงทุนภายในไตรมาส 4 ปี 2568 พร้อมเปิดประมูลได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ก่อนจะเริ่มเวนคืนที่ดินในไตรมาส 4 ปี 2569 และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 เพื่อเปิดให้บริการในปี 2573

สมุทรปราการ-มอบมงกุฎพร้อมสายสะพายให้แก่ 'หนูน้อยผ้าไทย' ในการประกวด Miss Modern Phathai 2024

(19 มิ.ย.67) เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา โดยท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา 

พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาลฯ หัวหน้าส่วนราชการเทศบาลตำบลแพรกษา ร่วมแสดงความยินดีและร่วมมอบมงกุฎพร้อมด้วยสายสะพายกับ หนูน้อยผ้าไทย ในการประกวด Miss Modern Phathai 2024 

เนื่องด้วยที่ผ่านมา ทางเทศบาลตำบลแพรกษา โดย นางอรัญญา  สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้อำนวยความสะดวกเอื้อเฟื้อสถานที่ในการจัดการประกวด MISS MODERN PHATHAI 2024 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา 

และในวันนี้ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้ให้เกียรติมอบมงกุฎพร้อมด้วยสายสะพายแก่ “หนูน้อยผ้าไทย” ในการประกวด Miss Modern Phathai 2024 ทั้ง 2 รุ่น จำนวน 3 รางวัล ได้แก่

- รุ่น Junior  คือ ด.ญ. เจสสิก้า  พรมด้วง และ ด.ญ. ชิชา  เสียงใหญ่ และรุ่น Teenage คือ ด.ญ. พิชญาภา  อินทกุล โดยได้จัดพิธีมอบภายในสำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

'รอยเตอร์' แฉ!! สหรัฐฯ ฮั้วชาติพันธมิตร ส่งชื่อ รง.ผลิตชิปจีนลง ‘บัญชีดำ’ พร้อมเพิ่มแรงกดดันคู่ค้าจีน หยุดส่งออกเครื่องมือผลิตชิปก้าวหน้าให้ด้วย

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐฯ ส่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเดินทางไปญี่ปุ่น หลังจากที่เข้าพบกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ในความพยายามโน้มน้าวชาติพันธมิตรทั้งสองให้ช่วยกัน ‘เตะสกัด’ จีนไม่ให้เข้าถึงศักยภาพในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง 

อลัน เอสเตเวซ (Alan Estevez) หัวหน้าฝ่ายนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ พยายามสานต่อข้อตกลงในปี 2023 ระหว่างทั้ง 3 ชาติเพื่อจำกัดการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปไปยังจีน ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าอาจถูกนำไปใช้เพื่อยกระดับศักยภาพกองทัพแดนมังกร

สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการจำกัดการส่งออกชิปและเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูงของผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันอย่าง Nvidia และ Lam Research ไปยังจีนมาตั้งแต่ปี 2022

เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นซึ่งมีผู้ผลิตชิปรายสำคัญอย่าง Nikon Corp และ Tokyo Electron เริ่มปรับตัวขานรับนโยบายของสหรัฐฯ ด้วยการจำกัดส่งออกเครื่องมือ 23 ประเภท ตั้งแต่เครื่องจักรที่ใช้สำหรับติดฟิล์มลงบนซิลิคอนเวเฟอร์ เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้กัดลายแผงวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋ว

หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มควบคุมการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปแบบ Deep Ultraviolet Lithography (DUV) ของบริษัท ASML ไปยังจีน ในขณะที่สหรัฐฯ ก็จำกัดการขายเครื่องมือ DUV ให้โรงงานของจีนบางแห่งด้วย โดยอ้างว่าเป็นเพราะระบบของ ASML นั้นใช้ชิ้นส่วนและองค์ประกอบบางอย่างจากสหรัฐฯ

ปัจจุบัน ASML ถือเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทำชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

นอกจากนี้ แหล่งข่าวของรอยเตอร์ยังเปิดเผยว่า วอชิงตันกำลังเจรจากับชาติพันธมิตรเพื่อเพิ่มรายชื่อโรงงานผลิตชิปจีนอีก 11 แห่งลงใน ‘บัญชีจำกัดการค้า’ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 5 แห่ง ซึ่งก็รวมถึงบริษัท SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ ยังต้องการที่จะควบคุมอุปกรณ์ผลิตชิปเพิ่มเติมอีก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว

ล่าสุด โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

สหรัฐฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยือนเนเธอร์แลนด์เมื่อเดือน เม.ย. ในความพยายามกดดันให้ ASML หยุดให้บริการเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างแก่จีน และสหรัฐฯ เองก็มีกฎห้ามไม่ให้บริษัทอเมริกันมอบบริการด้านเครื่องไม้เครื่องมือแก่โรงงานระดับก้าวหน้าของจีนด้วย

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวชี้ว่า ASML ยังคงมีสัญญามอบบริการแก่จีนอยู่ และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็ไม่สามารถใช้อำนาจนอกอาณาเขต (extraterritorial scope) ที่จะไปสั่งยุติสัญญาด้วย

สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยังไม่ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน

ปีที่แล้วบริษัท หัวเว่ย (Huawei) ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Huawei Mate 60 Pro ที่ใช้ชิป 7 นาโนเมตรุ่นก้าวหน้าที่สุดของ SMIC จนกลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะเติบโตก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีให้ได้ แม้จะถูกสหรัฐฯ กีดกันทุกทางก็ตาม

'SCB EIC' เผยผลสำรวจ!! Gen Y ไทย สถานะการเงินไม่สู้ดี ลูกจ้างยันฟรีแลนซ์มีรายได้ต่ำ 30,000 แถมไม่มีเงินเก็บสำรอง

(19 มิ.ย.67) BTimes รายงานว่า นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเผชิญความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ มีดังนี้...

ในด้านภาคครัวเรือน ปรากฏว่า ผลการสำรวจ SCB EIC Consumer survey เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 พบว่า ผู้บริโภคคนไทยราว 70% มีเงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 3 เดือน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนที่สำคัญ เกือบทั้งหมดของคนกลุ่มนี้ ไม่มีเงินสำรอง ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 31 ถึง 40 ปี (เจนวาย) มีอาชีพเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน และประกอบอาชีพอิสระ

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีมากกว่า 1 ใน 3 หรือกว่า 33% ไม่มีประกันชนิดใดเลย จึงเป็นความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดสะท้อนความเปราะบางสูงของผู้บริโภคกลุ่มนี้

สำหรับภาคธุรกิจนั้น โดยรวมมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่บางกลุ่มธุรกิจยังคงมีสถานะเปราะบางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก หรือ Small Business ที่มีภาระหนี้สูงมากขึ้น ท่ามกลางปัญหาโครงสร้างของภาคการผลิตไทย 

ทั้งนี้ SCB EIC คาดการณ์ว่า แม้รัฐบาลจะมีมาตรการการเงินเน้นช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลากว่ามาตรการจะมีผลช่วยเหลือในภาพกว้าง 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top