Sunday, 30 June 2024
NewsFeed

‘เพจดัง’ ชี้!! ‘เด็กไทย’ เรียนเลขโหด โจทย์ยาก เครื่องคิดเลขก็ห้ามใช้ ในยุคเร่งคนให้ทันชาติอื่น เพื่อพาไทยสู่ประเทศเทคโนโลยีขั้นสูง

(13 มิ.ย.67) จากเพจ ‘สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

เห็นว่านี่คือข้อสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียน ม.1 โรงเรียนสวนกุหลาบ

ทำกันได้ไหมครับ 555

เด็กไทยเรียนเลขกันโหดมาก ดู ๆ แล้วเด็กสมัยนี้เรียนเลขกันหนักกว่าสมัยผมเรียนมัธยมอีก

ตอนผมไปเรียนต่อมัธยมที่นิวซีแลนด์ตอน ม.4 จำได้ว่าไม่ต้องเรียนเลขอะไรใหม่เลยจนถึง ม.6 ที่นั่น

คือเลขที่เรียนถึง ม.4 ไทย ใช้ได้จนเกือบจบมัธยมที่นิวซีแลนด์ นี่คือตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

ที่ต่างกันคือที่ไทยห้ามนักเรียนใช้เครื่องคิดเลข แต่ที่นิวซีแลนด์นักเรียนทุกคนต้องมีเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์พกติดตัวและต้องใช้ให้คล่อง

ที่นั่นไม่เน้นคิดเลขในหัวเร็ว เน้นให้นักเรียนเข้าใจวิธีแก้โจทย์ เข้าใจตรรกะ (เพราะเลขหลัก ๆ แล้วคือการฝึกให้คิดตามตรรกะ) แล้วไปกดเครื่องให้คิดตัวเลขออกมาให้

ม.ปลายนิวซีแลนด์ ให้นักเรียนเลือกวิชาเรียนตามความสนใจ ไม่ได้แบ่งว่าเป็นสายวิทย์ สายศิลป์เลข ศิลป์ภาษา แล้วเรียนวิชาบังคับตามแต่ละสาย

จำได้ว่าวิชาสายวิทย์ผมเลือกเรียนฟิสิกส์กับเคมี แต่ไม่เรียนชีวะเพราะไม่ชอบท่องจำเผ่าพันธ์สัตว์ต่าง ๆ ไม่ชอบกระปุกสัตว์ดอง ไม่ชอบผ่าซากตัวอะไรก็ตาม

วิชาอื่นที่เลือกเรียนจะหนักไปทางวิชาที่เกี่ยวกับการอยู่ด้วยกันของคนในสังคมพวก เศรษฐศาสตร์ บัญชี ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์

น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในการทำงานเรามักจะเจอฝรั่งที่รู้หลายเรื่อง มองอะไรหลายด้าน และมักจะสรุปประเด็นปัญหาเรื่องใหม่ ๆ ได้ดี เพราะถูกเทรนมาให้มองหลายมุม

‘นายกฯ’ ควง ‘ชัชชาติ’ ล่องเรือตรวจ ‘คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู’ รับปาก!! ประสานสื่อต่างประเทศ แชะภาพโปรโมตมุม Unseen

(13 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข ‘คลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู)’ และตรวจติดตามความก้าวหน้าการจัดขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค และความก้าวหน้าในการประดับตกแต่งเรือพระที่นั่ง ณ กองบังคับการกองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงบริเวณสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร รับฟังบรรยายสรุปโครงการพัฒนาคลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู) โดยสำนักการระบายน้ำ
ณ บริเวณท่าเทียบเรือสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ จากนั้น นายกรัฐมนตรีล่องเรือตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข (คลองโอ่งอ่าง)

โดยเดินทางจากท่าเทียบเรือสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ ไปยังท่าเทียบเรือสะพานหัน (คลองโอ่งอ่าง) โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและกรุงเทพมหานครรายงานถึงความคืบหน้าในการดำเนินการซึ่งมีความคืบหน้าไปเกือบ 100% แล้วโดยเฉพาะช่วงเวลาเย็นและค่ำเมื่อมีการเปิดไฟประดับจะทำให้มีความสวยงามของคลองเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี 

ทั้งนี้ เมื่อเดินทางถึงท่าเทียบเรือสะพานหัน คลองโอ่งอ่าง นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมพื้นที่บริเวณสะพานหัน และพบปะกับผู้ค้าขายริมคลองโอ่งอ่าง โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงเรื่องของการค้าขายจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าบริเวณตลาดริมคลองโอ่งอ่าง 

ขณะที่ผู้นำชุมชนริมคลองโอ่งอ่างได้ขอให้ทางรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คลองโอ่งอ่างกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากมีบางช่วงซบเซา อย่างไรก็ตามขณะนี้บรรยากาศเริ่มจะกลับมามีประชาชนและนักท่องเที่ยวทยอยกลับมาเดินเพิ่มมากขึ้น แต่ยังต้องการให้นายกและรัฐบาลช่วยผลักดันและประชาสัมพันธ์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ขณะที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทีมงาน ช่วยประสานให้ช่างภาพโดยเฉพาะสื่อต่างประเทศมาช่วยถ่ายภาพและนำเสนอ โดยเฉพาะมุมที่เป็น Unseen ของคลองโอ่งอ่างเพื่อเผยแพร่ไปยังทั่วโลกเนื่องจากบางมุม ที่เป็น Unseen ยังไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควรและยังไม่ได้ถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ให้เป็นที่รู้จักเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

ขณะเดียวกันปลัดกรุงเทพมหานครได้ขอให้นายกฯ รัฐมนตรี กลับมาเยี่ยมชมและล่องเรือเพื่อดูทัศนียภาพยามเย็นที่คลองโอ่งอ่างเพื่อดูถึงความสวยงาม อีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากช่วงเย็น-ค่ำ จะมีการประดับไฟในจุดต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะกลับมาอย่างแน่นอนพร้อมจะพาช่างภาพจากสื่อต่างประเทศมาเยี่ยมชมด้วย

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างเดินเยี่ยมชมและพบปะกับประชาชนริมคลองโอ่งอ่างได้มีชาวบ้านเข้ามาทักทายถ่ายรูปและมอบพวงมาลัยเพื่อเป็นกำลังใจให้กับนายกรัฐมนตรีตลอดเส้นทางก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะร่วมถ่ายรูปที่สะพานคลองโอ่งเป็นที่ระลึก

จากนั้น เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข (คลองบางลำพู) โดยออกเดินทางจากท่าเทียบเรือสะพานหัน ไปยังท่าเทียบเรือบริเวณพิพิธภัณฑ์บางลำพู (คลองบางลำพู) เขตพระนคร โดยมีประชาชนสองฝั่งคลองได้ออกมาโบกไม้โบกมือต้อนรับและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านตะโกนทวงถามว่าเงินดิจิทัลของเราเมื่อไหร่จะได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรียิ้มรับพร้อมบอกว่า ‘ปลายปี’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากขึ้นเรือ นายกรัฐมนตรีเดินเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บางลำพู โดยมัคคุเทศก์น้อยนำเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และของดีจาก ชุมชนเขียงนิวาสไก่แจ้ โดยเฉพาะการปักดิ้นบนของที่ระลึก ก่อนออกเดินทางไปยังกองบังคับการ กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

Krungthai COMPASS วิเคราะห์เหตุ 'Subaru-Suzuki' หยุดผลิตในไทย สันดาปดรอป ทำตลาดยากขึ้น ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง 5 ปี

(13 มิ.ย.67) Krungthai COMPASS วิเคราะห์ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ค่ายรถยนต์ Subaru และ Suzuki ตัดสินใจหยุดสายการผลิตในไทยนั้น มาจาก…

1) การทำตลาดที่ยากขึ้นกว่าในอดีต สะท้อนจากยอดขายและส่วนแบ่งตลาดที่ปรับตัวลงต่อเนื่องในระยะหลัง จากการที่ผู้บริโภคไทยให้ความสนใจรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ลดลงต่อเนื่อง

ซึ่งเมื่อหันกลับมามองโมเดลรถยนต์ที่ทั้ง Subaru และ Suzuki ใช้ทำตลาดในไทย พบว่าล้วนมีแต่รถยนต์ ICE แทบทั้งนั้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่ 2) ปัญหาการขาดทุนที่สะสมอย่างต่อเนื่อง โดย 5 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) ค่ายรถยนต์ทั้ง 2 ต้องเผชิญกับผลขาดทุนสุทธิสะสมรวมกันถึง 3,781 ล้านบาท

โดยในเบื้องต้นประเมินว่า เฉพาะเหตุการณ์ครั้งนี้อาจกระทบภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ไทยไม่มาก เนื่องจากทั้ง 2 ค่ายรถยนต์มีสัดส่วนการผลิตไม่สูงนัก โดยคาดว่าการผลิตรถยนต์ลดลงราว 6,500 คัน ในปี 2568 จากคาดการณ์เดิมที่ 1,800,000 คัน เหลือ 1,793,500 คัน

อย่างไรก็ดี นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนแรกว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องจับตาต่อไปว่าจะมีค่ายรถยนต์รายอื่น ๆ ต้องหยุดสายการผลิตซ้ำรอยกับ Subaru และ Suzuki หรือไม่ เมื่อการแข่งขันจากยานยนต์ไฟฟ้ารุนแรงขึ้นต่อเนื่อง

ดีลเลอร์ควรพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจต่อไป ทั้งการเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับทั้ง 2 ค่ายรถยนต์ต่อไป หรือจะ Diversity ไปเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับค่ายอื่น ๆ

สำหรับเต็นท์รถมือ 2 มีความเสี่ยงที่อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงในกรอบ -1.4% ถึง -0.4% ตามการปรับลดราคาขาย Subaru และ Suzuki มือ 2 ลงตามราคามือ 1 ที่ลดลง ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับอัตรากำไรสุทธิโดยเฉลี่ยของธุรกิจซึ่งค่อนข้างบางที่ 1.2% เต็นท์รถรายใดไม่สามารถปรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้ลดลงได้ตามกำไรขั้นต้นที่หายไปก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขาดทุนได้

'ก้าวไกล' สะอึก!! ถูกปาดหน้าคะแนนนิยมสมรสเท่าเทียม หลัง ‘โพล’ เช็กเสียงสังคม ‘เพื่อไทย’ ผู้ผลักดันเป็นรูปธรรม

(13 มิ.ย.67) ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าแผนกวิจัย สำนักวิจัย มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 1,100 คน ในช่วงวันที่ 3-6 มิ.ย.67 ถึงกรณีสมรสเท่าเทียม โดยมีพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ผลักดัน ทั้งนี้การสำรวจจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศพบว่าสังคมไทยให้การยอมรับความหลากหลายทางเพศ และมีความเห็นด้วย กับการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมของพรรคเพื่อไทย และคู่รักหลากหลายทางเพศควรได้รับสิทธิตามกฎหมายเช่นเดียวกับสิทธิที่คู่สมรสชายหญิง

โดยการสำรวจนั้นได้ถามถึงว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการผลักดันกฎหมายรับรองการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมของพรรคเพื่อไทย โดยผลสำรวจ พบว่า เห็นด้วย 82.5% ไม่แน่ใจ 8.9% และ ไม่เห็นด้วย 8.5%

นอกจากนั้นยังได้สำรวจต่อว่ายอมรับได้หรือไม่หากมีเพื่อนร่วมงานเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) พบว่า ยอมรับได้ 91.4% และไม่สามารถยอมรับได้ 8.6% พร้อมทั้งถามต่อว่า หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) พบว่า ยอมรับได้ 85.9% ไม่สามารถยอมรับได้ 7.9% และยังไม่แน่ใจ 6.2%

พร้อมทั้งถามถึงกรณีที่คู่รักหลากหลายทางเพศควรได้รับสิทธิตามกฎหมายเช่นเดียวกับสิทธิที่คู่สมรสชายหญิงได้รับหรือไม่ พบว่า ควรได้รับสิทธิทุกอย่างเหมือนกัน 56.2% ควรได้รับสิทธิบางอย่าง 38.4% และ ไม่ควรได้รับสิทธิใด ๆ 5.5%

‘สุริยะ’ เร่งดัน ‘พ.ร.บ.ตั๋วร่วม’ ใช้ภายในปี 68 พร้อมสานต่อนโยบาย รฟฟ. 20 บาท ตลอดสาย

(13 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาโดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม

นายสุริยะ เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมที่ผ่านมา และผลการศึกษาโครงการศึกษาจัดทำแผนการกำกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผน การขนส่งและจราจร (สนข.) โดยผลการศึกษาด้านนโยบายและแผนได้กรอบแนวทางและข้อเสนอแนะโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม สำหรับระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โครงสร้างค่าโดยสารร่วมและส่วนลดค่าโดยสารการเดินทางข้ามระบบ และอัตราค่าธรรมเนียมทางการเงินในระบบตั๋วร่วม แผนปฏิบัติการด้านการกำกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม แผนการลงทุนและการพัฒนาระบบตั๋วร่วม แผนพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเดินทางและค่าโดยสาร แผนและแนวทางการติดตามประเมินผล

นายสุริยะ กล่าวต่อไปว่า สำหรับด้านกฎหมายได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนแผนดังกล่าวให้ไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฯ ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ในระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้ สนข. เร่งรัดการเสนอร่าง พ.ร.บ. ฯ เพื่อกระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในปี 2568 พร้อมทั้งให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน การพัฒนาและการส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม รวมถึงการส่งเสริมและอุดหนุนประชาชนผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้ระบบขนส่งด้วยความสะดวก โดยมีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผล ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนลดข้อจำกัดจากสัญญาสัมปทานเดิม

ทั้งนี้ นายสุริยะ เผยว่า ได้มอบหมายให้ สนข. กรมการขนส่งทางราง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร ดำเนินการออกประกาศที่เกี่ยวข้อง ภายหลังจาก พ.ร.บ. ฯ มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม

สำหรับร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ประกอบด้วย 7 หมวด และบทเฉพาะกาล (45 มาตรา) ดังนี้
การกำหนดคำนิยาม (มาตรา 1 - 4)
-หมวด 1 คณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (มาตรา 5 - 13)
-หมวด 2 การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (มาตรา 14 - 23)
-หมวด 3 การดำเนินงานในการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (มาตรา 24)
-หมวด 4 อัตราค่าโดยสารร่วม (มาตรา 25 - 28)
-หมวด 5 กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม (มาตรา 29 - 34)
-หมวด 6 การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต (มาตรา 35 - 36)
-หมวด 7 โทษทางปกครอง (มาตรา 37 - 40)
-บทเฉพาะกาล (มาตรา 41 - 45)

“กระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วนั้น จะสามารถสนับสนุนการดำเนินงานการพัฒนาและส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายในเดือนมีนาคม 2569 ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก มีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผล ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างยั่งยืน เพื่อความอุดมสุขของประชาชนอย่างแท้จริง” นายสุริยะ กล่าว 

'อัยรดา โฆษกรวมไทยสร้างชาติ' ผนึกกำลัง 'ลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ' เพิ่มพื้นที่สีเขียวเขต 'บางนา-พระโขนง' และพื้นที่ใกล้เคียง

(13 มิ.ย. 67) ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตผู้สมัคร สส.เขตบางนา-พระโขนง ขอบคุณคณะลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ หลังมอบต้นคลอเดีย จำนวน 116 ต้น เพื่อส่งมอบต่อให้กับหน่วยงานราชการ, อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสม.), ชุมชนเขตบางนา, ชุมชนเขตพระโขนง และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อนำต้นคลอเดียไปปลูกและเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน

“โครงการคณะลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ มีความตั้งใจทำโครงการเพาะปลูกต้นคลอเดีย เนื่องจากคณะลูกบ้านกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มจิตอาสาเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยกิจกรรมดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 24-25 ก.พ. 2567 โดยคณะลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ เป็นผู้เพาะต้นคลอเดีย เมื่อโตในระดับนึง จึงนำมาส่งต่อให้เบียร์เป็นตัวแทน เพื่อกระจายมอบให้กับหน่วยงานราชการ, ทสม., ชุมชนในเขตบางนา-พระโขนง และพื้นที่ใกล้เคียง เป้าหมายของคณะลูกบ้านซิตี้โอม ศรีฯ มีจุดมุ่งหมายตรงกัน เพื่อต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และจะเป็นก้าวต่อไปที่พวกเราจะร่วมมือกันขยายพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น และพวกเราขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดมลพิษ พร้อมช่วยให้อากาศในกรุงเทพฯ สะอาดมากขึ้น” ว่าที่ร.ต.อ.หญิง อัยรดา ย้ำ

อย่างไรก็ตาม ต้นคลอเดียขณะนี้ ได้ถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานราชการ, ทสม., ชุมชนเขตบางนา, ชุมชนเขตพระโขนง และพื้นที่ใกล้เคียงเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา

‘บางกอกแอร์เวย์ส’ อัดเงินลงทุน 2,300 ล้านบาท ปรับปรุง 2 สนามบิน ‘สมุย-ตราด’ รับนักท่องเที่ยว

(13 มิ.ย.67) นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2567-2569 บริษัทฯ มีแผนลงทุนพัฒนาศักยภาพการให้บริการสนามบิน 2 โครงการ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารของสนามบินสมุย วงเงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา และเตรียมการขออนุญาต รวมถึงการออกแบบในรายละเอียดต่าง ๆ โดยคาดว่า จะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี แล้วเสร็จภายในปี 2568

ในเบื้องต้นได้วางแผนปรับปรุงสนามบินเพื่อเพิ่มจำนวนพื้นที่พักคอย (Boarding gate) ภายในอาคารผู้โดยสาร จากเดิม 7 อาคาร เพิ่มเป็น 11 อาคาร และเพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอิน จำนวน 10 เคาน์เตอร์ รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ด้วย โดยเมื่อโครงการปรับปรุงสนามบินสมุยฯ แล้วเสร็จ จะช่วยรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้สนามบินสมุยมีผู้โดยสารขาเข้าอยู่ที่ 2 ล้านคนต่อปี และขาออก 2 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันมีผู้โดยสารขาเข้าอยู่ที่ 1 ล้านคนต่อปี และขาออก 1 ล้านคนต่อปี

ขณะเดียวกัน การปรับปรุงสนามบินสมุยดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองเที่ยวบินได้ 73 เที่ยวบินต่อวัน จากในปัจจุบันมีเที่ยวบินอยู่ที่ 50 เที่ยวบินต่อวัน สำหรับในขณะนี้ สนามบินสมุยมีจำนวนสายการบินที่เปิดให้บริการรวม 2 สายการบิน คือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และสายการบินสกู๊ต (วันละ 1 เที่ยวบิน และเตรียมเพิ่มเป็นวันละ 2 เที่ยวบินในเร็ว ๆ นี้) นอกจากนี้ ล่าสุดยังมีสายการบินของประเทศทิเบตสนใจเปิดเที่ยวบินมายังสนามสมุยด้วย ซึ่งตอนนี้ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แล้ว

นอกจากนี้ โครงการพัฒนาสนามบินตราด วงเงินลงทุนประมาณ 700-800 ล้านบาท ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการฯ คาดว่า จะเริ่มดำเนินก่อสร้างต้นปี 2568 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1-2 ปี แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2569 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว จะใช้พื้นที่ประมาณ 200-300 ไร่ จะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ อยู่ห่างจากพื้นที่สนามบินเดิมเล็กน้อย สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 200 กว่าคนต่อเที่ยวบิน จากปัจจุบันรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 100 คนต่อเที่ยวบิน ส่วนอาคารผู้โดยสารแห่งเดิม จะปรับปรุงเป็นอาคารคลังสินค้า (Cargo)

ส่วนสนามบินตราด จะดำเนินการขยายระยะทางวิ่ง (Runway) จาก 1,800 เมตร ขยายเป็น 2,000-2,100 เมตร เพื่อให้รองรับเครื่องบินไอพ่นขนาดเล็ก รวมถึงเครื่องบินโบอิ้ง 737, แอร์บัส เอ320, แอร์บัส เอ319 จากปัจจุบันรองรับได้แค่เครื่องบิน ATR72-600 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสนามบินตราดนั้น เนื่องจากบริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มศักยภาพของสนามบินตราดให้สามารถรองรับผู้โดยสารในเที่ยวบินที่เดินทางมาจากต่างประเทศได้ในอนาคต โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ติดต่อและสนใจที่จะเดินทางมายังสนามบินตราด พร้อมทั้งจะพัฒนาให้เป็นสนามบินนานาชาติ (International Airport) และคาดหวังจะพัฒนาให้คล้ายกับสนามบินสมุยด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องมาพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และความนิยมของผู้โดยสารต่อไป

นายพุฒิพงศ์ ยังกล่าวถึงเผยแผนการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ว่า จากข้อมูลของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ใน มิ.ย. 2567 คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของการเดินทางทางอากาศในปี 2567 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นที่ 17.2% และในปี 2567 อุตสาหกรรมการบินจะสามารถกลับมาสู่ระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ได้ แสดงให้เห็นถึงความต้องการเดินทางว่ามีแนวโน้มเติบโตได้ดี บริษัทฯ จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินงานในหลายมิติ เพื่อตอบสนองความต้องการในการเดินทางในช่วงที่จะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว

ทั้งนี้ จากยอดการสำรองที่นั่งบัตรโดยสารล่วงหน้า (Advance Booking) ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สในทุกเส้นทาง พบว่า ยอดจองล่วงหน้าช่วง มิ.ย. - ธ.ค. 2567 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่วนไตรมาส 2 มีการเติบโตขึ้น 3% และไตรมาส 3 ซึ่งถึงเป็นช่วงพีคซีซั่นของเส้นทางสมุย  มีอัตราเติบโตขึ้น 11% โดยเส้นทางสมุยยังเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วน 65% ขณะที่ไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีนั้น มียอดการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 35%

นายพุฒิพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 นั้น ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาภายในว่า จะมีการปรับเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ผลมาจากจำนวนผู้โดยสารที่มีแนวโน้มที่ดี แต่ในเบื้องต้นยังคงเป้าหมายเดิมไว้ โดยจะมีผู้โดยสาร 4.5 ล้านคน มีจำนวนเที่ยวบิน 48,000 เที่ยวบิน ขณะที่อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) อยู่ที่ 86% จากในช่วงไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 80 กว่า % และไตรมาส 2 อยู่ที่ 76-78% โดยมีเป้ารายได้ผู้โดยสารรวม 17,800 ล้านบาท จากราคาบัตรโดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวบินประมาณ 3,900 บาทต่อที่นั่ง

ปัจจุบันสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส มีเครื่องบินทั้งสิ้นจำนวน 24 ลำ แบ่งเป็น เครื่องบินแอร์บัส เอ320 จำนวน 3 ลำ, เครื่องบินแอร์บัส เอ319 จำนวน 11 ลำ และเครื่องบิน ATR72-600 จำนวน 10 ลำ โดยในปี 2567 มีแผนปลดระวางเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 จำนวน 1 ลำ และจะจัดหาเครื่องบินแอร์บัส เอ319 เพิ่มจำนวน 2 ลำ เพื่อเป็นการรองรับอุปสงค์การเดินทางที่คาดว่าจะเติบโตขึ้น

นายพุฒิพงศ์ ระบุว่า ในปีนี้ บริษัทฯ จะจัดทำเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และออกประกาศเชิญชวนผู้ผลิตเครื่องบินเข้าร่วมเสนอราคาเครื่องบินที่จะนำเข้าเพิ่มฝูงบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สในอนาคต โดยในเบื้องต้นมีความต้องการประมาณไม่ต่ำกว่า 20 ลำ อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะทยอยรับมอบเครื่องบินในจำนวนดังกล่าวภายใน 2-3 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ในช่วง 3-5 ปีนี้ สายการบินบางกอกแอร์เวย์สมีเครื่องบินรวมประมาณ 30 ลำ

เปิดชีวิตปัจจุบัน 'เด็กเก่ง' จากรายการ 'IQ180' หลังผ่านไป 30 ปี ประกอบอาชีพอะไรกันบ้าง

(13 มิ.ย.67) สำหรับรายการ IQ180  คือรายการที่คัดเอานักเรียนเก่ง ๆ จากทุกโรงเรียน มาตอบคำถามทางวิชาการแข่งกัน เพื่อชิงเงินรางวัล ซึ่ง ดำเนินรายการโดย อาจารย์ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ที่คัดนักเรียนเก่ง ๆ จากชั้นมัธยมศึกษาของแต่ละโรงเรียนมาแข่งกัน เพื่อตอบโจทย์ปัญหาด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และรอบสุดท้ายจะเป็นคณิตคิดเร็ว เพื่อวัดทักษะของนักเรียนแต่ละคน

โดยทาง เฟซบุ๊ก ‘จอห์น ดิกเกิล’ ได้ร่วมย้อนอดีตของรายการ IQ180 ระบุว่า แม้จะเป็นรายการวิชาการ แต่กลับเต็มไปด้วยความสนุก ความตื่นเต้น และความลุ้นระทึก วัดเชาว์ปัญญาของนักเรียนแต่ละโรงเรียนว่าจะสุดยอดแค่ไหน กลายเป็นรายการในตำนานที่ติดตราตรึงใจ และอยู่ในความทรงจำของคนในยุค 90

ทั้งนี้ในการแข่งขันจะมีทั้งหมด 3 รอบ รอบแรกวิชาภาษาไทย รอบ 2 วิชาวิทยาศาสตร์ และรอบสุดท้ายวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งทางรายการจะมีแนวทางให้นักเรียนอ่านมาก่อน เวลาตอบจะได้ไม่ตอบเหวี่ยงแห และจะสังเกตได้เลยว่าแต่ละคนจะตอบเร็วมากเพราะอ่านมาแล้ว แต่สำหรับตนนั้นถูกรายการโทรหาก่อนที่จะอัดรายการไม่กี่ชั่วโมง ตนก็เรียกแท็กซี่จากดาวคะนองไปช่อง 5 และไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน พอไปถึงก็ลงแข่งเลย แต่โชคดีที่ชนะมาได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนมาถามว่า ส่วนนักเรียนที่เคยไปเข้าแข่งขันในรายการนี้ พอโตขึ้นไปแล้วทำอาชีพอะไร ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นอาจารย์ที่คณะเภสัชกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , พนักงานระดับจัดการอุตสาหกรรมในโรงงาน ที่มีคนงานระดับ 1,000 คน เงินเดือนดีมาก , เพื่อนตนเป็นแชมป์รายการนี้หลายสมัย ปัจจุบันทำงานเป็นทันตแพทย์ , ผู้บริหารงานด้านการแพทย์และพยาบาล หรือบางคนได้เป็นแพทย์ก็มีไม่น้อย 

เอกฉันท์!! 'ร่างพรบ.นิรโทษกรรม' 65% ต่อ 35% ไม่เห็นด้วยนิรโทษกรรม คดีอาญามาตรา 112

จากกรณีที่ เว็บไซต์รัฐสภา เปิดรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 รัฐธรรมนูญ ของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. …. ที่ น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน ร่วมกันเสนอ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายนั้น

ล่าสุด (13 มิ.ย.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

มันจบละครับ.. ไม่เห็นด้วย 65.0% 🔴

สรุปผลการรับฟังความเห็น ร่างพรบ.นิรโทษกรรม ฉบับประชาชน

ผลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 88,565 
✅ เห็นด้วย 35%
❌ ไม่เห็นด้วย 65% 
ซึ่งคิดเป็นจำนวนสูงถึง 57,567คน

สำหรับกระบวนการพิจารณาต่อไป ร่างนี้จะถูกนำเสนอให้มีการปรับแก้ ยังไม่จบครับ.. รอติดตามกันต่อไปครับ

ขอบคุณที่แสดงสิทธิตามกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ..นอนหลับฝันดีครับทุกท่าน

‘บีโอไอ’ ชี้ Q1/67 ต่างชาติแห่ลงทุน ‘ไทย’ เพิ่มขึ้น 94% มูลค่า 228,207 ลบ. สะท้อน!! ความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย

(13 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวภายหลัง บีโอไอ และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการลงทุนของอาเซียน ว่า…

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพและความพร้อมหลายด้านที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะขั้นสูง รวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนเชิงรุกจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

โดยที่ผ่านมารัฐบาลและบีโอไอได้เดินหน้าออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการลงทุนในโครงการสำคัญของบริษัทรายใหญ่จากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตัวเลขการลงทุนทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปี ด้วยมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 8.48 แสนล้านบาท เติบโต 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น FDI กว่า 6.63 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 72%

ทั้งนี้ บีโอไอเชื่อว่ากระแสการลงทุนจากต่างประเทศจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปี 67 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 724 โครงการ เพิ่มขึ้น 94% มูลค่าเงินลงทุนรวม 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top