Thursday, 8 May 2025
NewsFeed

ค้าปลีกยักษ์มะกัน ยกเลิกนโยบายใส่หน้ากาก 'พนักงาน-ลูกค้า' แต่มีเงื่อนไข ต้องฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนเสียก่อน

ไม่นานมานี้ บรรดาธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ของอเมริกา ต่างทยอยยกเลิกนโยบายใส่หน้ากากอนามัยตามคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ ซีดีซี มากขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม วอลกรีน, โฮลฟู้ดส์ และโครเกอร์ ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือมากมาย เช่น ฟู้ด 4 เลสส์, ราล์ฟส์, แฮร์รี่ ทีเตอร์, คิง ซูปเปอร์, โครเกอร์, มาเรียโน่’ส และอื่น ๆ ได้ประกาศยกเลิกนโยบายใส่หน้ากากอนามัยขณะใช้บริการแล้ว

อย่างไรก็ดี วอลกรีน ซึ่งเป็นเชนร้านขายยาขนาดใหญ่ ระบุว่าจะยกเลิกนโยบายใส่หน้ากากเฉพาะลูกค้าที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วเท่านั้น ส่วนพนักงานของร้านยังจะต้องใส่หน้ากากอนามัยขณะทำงานต่อไป ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วก็ตาม

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ห้างทาร์เก็ต, โฮมดีโพ และเบสท์บาย ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในร้านของตัวเองอีกต่อไป หลังจากที่ธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา อย่างวอลมาร์ท รวมถึง เทรดเดอร์โจส์ และคอสท์โก รวมถึงเชนร้านกาแฟอย่างสตาร์บัคส์ ก็ได้ประกาศยกเลิกนโยบายใส่หน้ากากอนามัยไปก่อนแล้ว

โดยทาร์เก็ต แถลงว่าธุรกิจของตนได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของ ซีดีซี อย่างใกล้ชิดเสมอมา และจะปฏิบัติตามคำแนะนำฉบับปรับปรุง เรื่องการใส่หน้ากากอนามัย ที่ซีดีซี เสนอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วไม่จำเป็นจะต้องใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทาร์เก็ตระบุชัดว่ายังคงแนะนำอย่างจริงจังสำหรับพนักงานและลูกค้าที่ยังไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่าให้ใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ในธุรกิจของตัวเองต่อไป และว่าทาร์เก็ตทุกสาขา จะยังคงเข้มงวดในมาตรการรักษาความปลอดภัย และการทำความสะอาด-ฆ่าเชื้อโรค เหมือนเดิม

ที่ผ่านมา ทาร์เก็ต พยายามสนับสนุนให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 นอกจากจะจัดให้มีการฉีดที่ร้าน ซีวีเอส ทุกสาขาที่ตั้งอยู่ในทาร์เก็ตแล้ว ยังจ่ายค่าแรงตามปกติในช่วงที่พนักงานลาไปฉีดวัคซีน อีกทั้งยังให้เบิกค่ารถ (Lyft) ไปฉีดวัคซีนได้สูงสุดถึงเที่ยวละ 15 ดอลลาร์ด้วย

ส่วนห้างเบสท์บาย แถลงเมื่อวันอังคารที่ 18 พฤษภาคมว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเข้ามาใช้บริการในร้านอีกต่อไป หากไม่ขัดกับกฎหมายหรือระเบียบของแต่ละท้องที่ ส่วนพนักงานของเบท์บายนั้น หน้ากากจะเป็นเพียงทางเลือกเท่านั้น ยกเว้นพนักงานที่จะต้องออกไปทำงานที่บ้านของลูกค้า จำเป็นจะต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาไม่ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ก็ตาม

ทั้งนี้ การปฏิบัติตามคำแนะนำฉบับปรับปรุงของ ซีดีซี ของธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหลายนี้ กำลังสร้างความสับสนให้กับประชาชนในรัฐแคลิฟอร์เนียพอสมควร เพราะเมื่อวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ประกาศคำแนะนำประชาชนฉบับล่าสุด สวนทางกับคำแนะนำของ ซีดีซี ว่า จะยังไม่ยกเลิกคำสั่งเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ จนกว่าจะถึงวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งรัฐตั้งเป้าว่าจะยกเลิกคำสั่งทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยจะให้เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนในการใช้ “คอมมอนเซนส์” หรือสามัญสำนึกในการดูแลและป้องกันตัวเองและสังคม ไม่ให้มีการระบาดของโควิด-19 ขึ้นมาอีก

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4678677292149577&id=214201575263860


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

พกยาบ้า รอลูกค้าในกระท่อมกลางนา ถูกตำรวจรวบถึงที่ สารภาพสิ้น ซื้อขายผ่านช่องทางเฟซบุ๊ค

เมื่อเวลา 10.0 น.วันที่ 19 พ.ค. 2564 พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ จงกลรัตน์ ผกก.สภ.เวฬุวัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น  พร้อมด้วย พ.ต.ท.ปรเมษฐ์ ปัดทุมแฝง รอง ผกก.สส.สภ.เวฬุวัน จ.ขอนแก่นนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกันจับกุม นายอนุชา อนุศรี หรือต้อง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 ม.7 ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พร้อมของกลาง ยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน จำนวน 10 ถุง รวมยาบ้า 2,000 เม็ด ซึ่งห่ออยู่ในกระดาษไขและพันด้วยเทปกาวอีกชั้นหนึ่ง และโทรศัพท์มือถือวีโว่สีดำ จำนวน 1 เครื่อง


พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ จงกลรัตน์ ผกก.สภ.เวฬุวัน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบกลุ่มวัยรุ่นมั่วสุมเสพย่าบ้าและขายยายบ้าที่กระท่อมกลางทุ่งนาฝั่งทิศใต้บ้านโคก ม.12 ต.สำราญ  จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบจากนั้นจึงไปตรวจสอบ เมื่อถึงกระท่อมนาดังกล่าวพบนายอนุชา หรือต้อง อนุศรี นั่งอยู่เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้น พบยาบ้าทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าสะพายข้างสีดำ ที่นายต้องสะพายอยู่ จึงทำการคุมตัวมาทำการสอบสวน
"นายต้อง ให้การรับสารภาพว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของตัวเองจริง เพราะช่วงโควิด-19ระบาด หางานทำไม่ได้ ว่างงาน ไม่มีรายได้ เพื่อนแนะนำให้รับยาบ้ามาขาย จึงได้ทำการติดต่อซื้อขายยาบ้าจากนานแมนหรือเซียงผี โดยการติดต่อกันทางโทรศัพท์มือถือ และทาง Facebook Messenger ( ขอสงวนชื่อ “Mraphlslt Tamuang) โดยล่าสุดได้ติดต่อกันเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาได้ติดต่อซื้อยาบ้าจำนวน จำนวน 2,000 เม็ด ในราคามัดละ 40,000 บาท  โดยให้นำยาบ้ามาส่ง ด้วยการวางซุกซ่อนไว้ที่หลังโรงเรียนบ้านโคกนางามปลาเซียม ต.สำราญ อ.เมืองขอนแก่น จากนั้นก็ส่งข้อความมาบอกจุดที่ซุกซ่อนยาบ้าไว้เพื่อให้ไปรับ เมื่อรับแล้วยังไม่ต้องจ่ายเงิน โดยให้นำยาบ้ามาจำหน่ายก่อน ชำระเงินภายหลัง โดยโอนเงินค่ายาบ้าเข้าทางบัญชีแห่งหนึ่ง (ธนาคารกสิกรไทย หมายเลขบัญชี 0863786606 ชื่อบัญชี “ณัฐกานต์ อึ้งทอง”)"


พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์  กล่าวต่ออีกว่า  ผู้ต้องหายังรับสารภาพอีกว่า กระทำการในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว   2 ครั้ง โดยนำยาบ้ามาขายต่อในราคาเม็ดละ 50 บาท ถ้า 10 เม็ด จะจำหน่ายในราคา 300 - 500 บาท ส่วนโทรศัพท์มือถือก็เอาไว้เพื่อติดต่อซื้อขายยาบ้ากับลูกค้ายาบ้า และก่อนจะถูกจับกุมได้เสพยาบ้า จำนวน 3 เม็ด ขณะนั่งรอลูกค้ามารับยาบ้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ดังกล่าว อย่างไรก็ตามภายหลังการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 1. (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)  


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวตรวจค้นในกระท่อมกลางทุ่งนาของนายต้อง อยู่นั้น  ได้มีนายอัษฏาวุธ  สุขยี่ดา  หรือต้น อายุ 26 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 321 ม.9 ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น มาหานายต้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจค้น พบยาบ้าจำนวน 27 เม็ดในถุงพลาสติสีน้ำเงินอยู่ในกระเป๋ากางเกง  จึงได้จับกุมตัวไปสอบสวนซึ่งจากการสอบสวน นายต้น ให้การรับสารภาพว่ายาบ้า27 เม็ด นำมาส่งให้ลูกค้า ที่นัดไว้ โดยรับยาบ้ามาจากเอเย่นชาว สปป.ลาว ที่ให้เครือข่ายนำมาส่งให้ที่บ้านครั้งละ 1,000-2,000เม็ด  เมื่อขายหมดจึงให้จ่ายเงิน  ซึ่งได้ทำการรับยาบ้ามาขายตั้งแต่ต้นปี  โดยใช้กระท่อมนาแห่งนี้เป็นจุดนัดพบ ทั้งเสพและขายยาบ้า  โดยก่อนจะถูกจับ มีลูกค้านัดรับยาบ้าที่กระท่อม ขณะเดินทางมาถึง ไม่พบลูกค้า แต่พบตำรวจจึงถูกจับกุมตัวได้  อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนรับตัวพร้อมของกลางไปดำเนินคดีตามกฏหมายในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย


 

ปะทะเดือด !! ล่าพรานป่าไหวตัวหลบหนีทัน คาดชำนาญพื้นที่ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ยึดปืนลูกซอง และซากสัตว์ป่า อ.บ้านไร่

วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ( Smart Patrol) ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่12(นครสวรรค์) ได้รับรายงานจากสายข่าวแจ้งมาว่า จะมีกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อจะเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ท้องที่ตำบลคอกควาย อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี หลังได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่วางแผนโดยได้ลาดตระเวนไปเฝ้าระวังในพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้งมา

จนเวลา 20.30 น. ได้ยินเสียงปืน 1 นัด ห่างจากจุดพักแรมระยะประมาณ 400 เมตร​ เช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนชุดดังกล่าว ได้เข้าตรวจสอบ ณ จุดที่ได้เสียงปืน พบรอยเท้าคนเป็นรอยใหม่ 1 รอย​ จึงทำการค้นหา​ จนเวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ได้พบชายต้องสงสัยไม่ทราบชื่อ จำนวน 2 คน อยู่​บริเวณโป่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าขอตรวจค้น แต่ชายต้องสงสัยไม่ยอม และได้หันปากกระบอกปืนมาหาเจ้าหน้าที่ และยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ จำนวน 1 นัด

เจ้าหน้าที่ได้เข้าที่กำบังและยิงอาวุธปืนตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง หลังจากเสียงปืนสงบลง เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ อย่างละเอียด ไม่พบชายต้องสงสัยทั้ง 2 คน ดังกล่าว คาดว่าอาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีไป จากนั้นได้ร่วมกันตรวจสอบสถานเกิดเหตุโดยรอบ พบของกลางในที่เกิดเหตุ หลายรายการ ดังนี้

1.อาวุธปืนลูกซองเดี่ยว ไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอก2.เครื่องกระสุนลูกซอง จำนวน 4 นัด3.เป้สนาม 2 ใบ 4.เปลสนาม 2 ผืน5.ผ้ายางกันฝน 1 ผืน6.ไฟฉายคาดศีรษะ 3 อัน7.มีด 2 เล่ม8.ซากหมูป่า 1 ซาก 9 ซาก ลิงกัง 2 ซาก 10 ซาก อีเห็น 1 ซาก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกตรวจยึดและนำของกลางส่งสถานีตำรวจภูธรบ้านไร่ อำเภอบ้านไร่


ภาพ/ข่าว  ภาวิณี ศรีอนันต์ รายงาน

ทหารเรือจับ 2 วัยรุ่น พร้อมยาบ้า ไอซ์และกัญชา ขณะกำลังขนย้ายริมฝั่งแม่น้ำโขง

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 พ.ค.ที่สถานีเรือ นรข.บึงกาฬ ต.วิศิษฐ์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ น.ต.วชิรวิทย์ ใจสัตย์ หน.สน.เรือบึงกาฬ พ.ต.อ.วิชยานนท์ นิติกุล ผกก.สภ.เมืองบึงกาฬ พ.ต.อ.เอกนรินทร์ สุวรรณทา ผกก.ตม.บึงกาฬ นายพงษ์ชัย ศิลปอาชา นายด่านศุลกากรบึงกาฬ พ.ต.ท.พลสันติ์ คมขาว ผบ.ร้อย ตชด.244 พ.ต.ท.ปิยะณัฐ ปะโสทะกัง สว.ส.รน.4 กก.11 บก.รน. พ.ต.ต.นิคสัน ดียา สว.สส.สภ.เมืองบึงกาฬ นายชัยณรงค์ สุระดะนัย ป้องกันจังหวัดบึงกาฬ นางกมลนิตยกานต์ หาญคำหล้า ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม 2 หนุ่มสาววัยรุ่นพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 15,979 เม็ด ยาไอซ์จำนวน 2 ก้อน (น้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม) กัญชาแห้งห่อหุ้มด้วยพลาสติกใส จำนวน 10 แท่งน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกลางดึกวานนี้ น.ต.วชิรวิทย์ ใจสัตย์ หน.สน.เรือบึงกาฬ ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่บ้านห้วยดอกไม้ ต.โคกก่อง อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ จึงได้รายงานให้ น.อ.ราฆพ เทวะประทีป ผบ.นรข.เขตหนองคาย ทราบพร้อมสั่งการให้ชุดสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สน.เรือบีงกาฬ ประสานตำรวจ สภ.เมืองบึงกาฬ ตำรวจน้ำบึงกาฬ ตชด.244 ทหารพรานที่ 2210 ด่านศุลกากรบึงกาฬ และฝ่ายปกครอง อ.เมืองบึงกาฬ วางแผนจับกุม จนกระทั่ง จนท.ชุดชุ่มเฝ้าตรวจได้ใช้กล้องตรวจการณ์กลางคืนตรวจพบเรือหางยาวเครื่องยนต์ติดท้ายแล่นเข้ามาจอดริมตลิ่งแม่น้ำโขงบริเวณที่ จนท.ดักชุ่มอยู่ จากนั้นคนขับเรือได้ขนย้ายวัตถุต้องสงสัยขึ้นมาวางไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในขณะเดียวกันบนฝั่ง จนท.ได้ตรวจพบแสงไฟจากรถ จยย.ต้องสงสัย วิ่งเข้ามาจอดบริเวณกระท่อมริมฝั่งแม่น้ำโขงโดยมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งมาด้วยกัน จากนั้นดับเครื่อง ชายคนขับได้เดินลงไปที่ตลิ่งแม่น้ำโขงบริเวณที่เรือหางยาวจอดอยู่ สักพักได้ยินเสียงเรือแล่นข้ามกลับไปยังฝั่ง สปป.ลาว ไม่นานชายต้องสงสัยได้เรียกหญิงสาวที่นั่งซ้อนมาให้ลงไปหาที่ริมแม่น้ำโขง ทั้ง 2 คน ได้ช่วยกันขนย้ายวัตถุต้องสงสัยขึ้นมาบนฝั่ง

เมื่อเห็นดังนั้น จนท.จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมทราบชื่อต่อมานายเอนามสมมติ อายุ 16 ปี ชาว ต.วิศิษฐ์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ และ น.ส.เจนจิรา ประทุมมา อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 145 ม.11 บ้านหนองแซง ต.นาตาล อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยพบเป็นยาบ้าจำนวน 15,979 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 2 ก้อน (น้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม) กัญชาแห้งห่อหุ้มด้วยพลาสติกใส จำนวน 10 แท่งน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม และรถจักรยานยนต์ ตราอักษรฮอนด้า รุ่นเวฟ สีน้ำเงิน-ดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เงินสดจำนวนหนึ่ง และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง จึงคุมตัวมาสอบสวนที่สถานีเรือบึงกาฬ และแจ้งข้อหาว่า "ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน-ยาไอซ์) และยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย" ทั้ง 2 คนรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาอ้างว่ามีคนว่าจ้างให้มารับยาเสพติดจำนวนดังกล่าว จึงนำตัวพร้อมของกลางทั้งหมดส่ง พงส.สภ.เมืองบึงกาฬ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว เกรียงไกร พรมจันทร์

รวบ 2 โจ๋ พาสาวส่งข้ามแดนไปเมียนมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการลาดตระเวณในพื้นที่ อ.แมสาย จ.เชียงราย

เวลา 23.00 น.วันที่ 13 พ.ค.64 เจ้าหน้าที่ทหาร จากกองร้อยทหารม้าที่ 3 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง ภายใต้การอำนวยการของ พ.อ.สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผบ.ฉก.ม.3 นำโดย ร.อ.พิสิฐ อภิเดช ผบ.ร้อย.ม.3 บก.ควบคุมที่ 2 ฉก.ม.3  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.แมสาย จ.เชียงราย ได้ทำการลาดตระเวณในพื้นที่รับผิดชอบตามช่องทางท่าข้าม ในพื้นที่รับผิดชอบ จนกระทั่งถึงบริเวณท่าข้ามกะหล่ำ บ้านเหมืองแดงใต้ ม. 1 ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้พบชาย หญิง 2 คน เดินอยู่บริเวณท่าข้ามดังกล่าวจึงได้เรียกตัวเพื่อทำการสอบสวน

ทราบชื่อคือ นายบุญเก่ง ขอสงวนนามสกุล อายุ 16 ปีชาวบ้านป่าเหมือด หมู่ 5 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ น.ส.วลัยพร   แก้วทักษิณ อายุ 22 ปี ชาวบ้าน น้ำจำ หมู่ 5 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยนายบุญเก่งไดรับสารภาพว่าจะไปส่ง น.ส.วลัยพร  ข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้เดินเท้ามาจากในหมู่บ้านเหมืองแดงเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจพบของเจ้าหน้าที่ โดยได้ร่วมกับนายทวี  ขอสงวนนามสกุล อายุ 17 ปี  เป็นบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน อาศัยอยู่ที่ ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ว่าให้ไปส่ง น.ส.วัลยพร โดยได้รับการติดต่อมาจากนายหนุ่ม ชาวเมียนมา ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามจับกุมนายทวี มาเพื่อสอบสวน

จากการสอบถามทราบว่า นายบุญเก่ง ได้รับการติดต่อจากนายหนุ่ม สัญชาติเมียนมา   โดยนายหนุ่มจะให้นำคน จากฝั่งไทยข้ามไปยังประเทศเมียนมา  จึงได้ติดต่อให้ นายทวี  ไปรับ น.ส.วลัยพร  มาส่งให้กับตน บริเวณพื้นที่ บ้านเหมืองแดงใต้ ม.1  จากนั้นนายบุญเก่ง ได้พา น.ส.วลัยพร ได้เดินลัดเลาะตามเส้นทางในหมู่บ้านเหมืองแดงใต้ เพื่อที่จะไปยังริมลำน้ำสาย เพื่อที่จะข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมาแต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้เสียก่อน หลังสอบปากคำแล้วทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา ส่ง สภ.แม่สาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว ณัฐวัตร ลาพิงค์

จับตาค่าเงินบาท-ทองคำ เริ่มปรับตัวดีขึ้น

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยแนวโน้มเงินบาทว่า ในช่วงนี้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่ากว่าปกติ เนื่องจากตั้งแต่เดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ ถือเป็นฤดูกาลของการจ่ายเงินปันผล ทำให้มีเงินบางส่วนไหลออกนอกประเทศไปบ้าง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น โดยได้มีการประเมินว่า ในช่วงกลางปี เงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะทยอยแข็งค่าขึ้นอย่างช้า ๆ จนถึงสิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 29.75 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19

ด้านตลอดทองคำนั้น น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (วายแอลจี) กล่าวว่า ในระยะนี้ราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นของราคาที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 28,200 บาท หากสามารถผ่านระดับสูงสุดสัปดาห์นี้ที่ 1,889 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ 

ทั้งนี้อยากให้นักลงทุนระมัดระวังแรงขายทำกำไรในระยะสั้น เพราะราคาได้ปรับขึ้นมามากพอสมควรแล้ว หากต้องการเข้าซื้อแนะนำรอจังหวะย่อลงมาที่แนวรับ 1,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวรับถัดไป 1,830 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 27,450-27,150 บาท ต่อบาททองคำ

สธ. เปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ณ สถาบันการแพทย์บางรัก

กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก ณ สถาบันการแพทย์บางรัก ระยะแรกเป็นวัคซีนซิโนแวคล็อตที่ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 5 แสนโดส ฉีดคนจีนที่พำนักในประเทศไทยตามรายชื่อของสถานทูต ตลอดจนนักเรียนไทย และบุคลากรของหน่วยงานที่ไปศึกษา หรืออบรมที่ต่างประเทศ ให้บริการได้อย่างน้อยวันละ 180 คน

วันนี้ 20 พฤษภาคม 2564 ที่สถาบันการแพทย์บางรัก กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล 
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย Mr. Yang Xin อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก ณ สถาบันการแพทย์บางรัก 

นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลจีนมายาวนาน โดยที่ผ่านมาท่านอุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้ช่วยประสานงานให้ไทยสามารถสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคมาใช้ในระยะเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อเกิดการระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 ช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต และปกป้องกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้า เพื่อรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยมีวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนทยอยนำเข้ามาฉีดให้กับคนในประเทศก่อนที่จะได้รับวัคซีนหลักตามแผนในเดือนมิถุนายน 2564 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-20 พฤษภาคม นำเข้ามารวม 5.5 ล้านโดส นอกจากนี้ รัฐบาลจีน ได้บริจาควัคซีนให้อีกจำนวน 1 ล้านโดส ได้รับแล้ว 5 แสนโดส เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ซึ่งวัคซีนที่ได้รับบริจาคล็อตนี้ จะฉีดให้กับคนจีนที่ถือพาสปอร์ตจีนที่สถานทูตส่งมา จำนวนกว่า 100,000 คน และจะใช้ฉีดให้กับคนไทย เช่น นักเรียนไทย และบุคลากรของหน่วยงานที่ไปศึกษาหรืออบรมที่ต่างประเทศ รวมทั้งชาวต่างชาติในระยะต่อไป 

“ตามที่รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนทุกคนในแผ่นดินไทยเพื่อความปลอดภัย เป็นการช่วยเติมเต็มการบริการวัคซีนให้เกิดความครอบคลุมในทุกกลุ่มประชากร รวมถึงชาวต่างชาติที่จะได้รับการฉีดที่เร็วขึ้น ช่วยให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทยเร็วขึ้นด้วย” นายอนุทินกล่าว 

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก (Bangrak Vaccination and Health Center) โดยใช้พื้นที่ชั้น 11 ของสถาบันการแพทย์บางรัก ซึ่งเป็นอาคารใหม่ของกรมควบคุมโรค มีตู้เย็นสำหรับการจัดเก็บวัคซีน เครื่องสำรองไฟ  ครุภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ในการดูแลผู้ที่มารับการฉีดวัคซีน และจัดระบบบริการ 8 ขั้นตอนตามมาตรฐานกรมควบคุมโรค ให้บริการได้อย่างน้อยวันละ 180 คน

นายกฯ ประชุมสภากลาโหม สั่งเข้มตามชายแดนสกัดโควิด-19 กระจายวัคซีนกำลังพลด่านหน้าทั่วถึงแล้ว ให้หน่วยขึ้นตรงเร่งสร้างความเชื่อมั่นฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ไปยังหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม 

โดยภายหลังการประชุมพ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบนโยบายหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงทุกเหล่าทัพสนับสนุนกำลังพลสายแพทย์ช่วยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ที่ตั้งขึ้นมาภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ด้านความมั่นคง และศูนย์ปฎิบัติการบริหารสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐของกระทรวงกลาโหม และศูนย์บูรณาการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวมถึงสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ตกค้างและติดตามข่าวสารที่มีการบิดเบือน ทั้งนี้ขอให้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานอย่างระมัดระวัง เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขกำหนด เพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว และให้ทุกหน่วยสร้างการรับรู้ในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในเรื่องการฉีดวัคซีน รวมถึงกำลังพล และครอบครัวด้วย ขณะที่ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนให้กำลังพล ตอนนี้กระจายไปยังทั่วถึงแล้ว

พ.อ.วีรยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการป้องกันลักลอบหนีเข้าเมือง และการลักลอบขนสินค้าตามแนวชายแดน ให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม เฝ้าระวังตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด โดยให้กองกำลังป้องกันแนวชายแดนประสาน การปฎิบัติกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นการทำผิดกฎหมาย หากตรวจพบว่ามีข้าราชการมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องจะลงโทษทางวินัยและอาญาโดยไม่มีการละเว้น ส่วนการรับทหารเกณฑ์ผลัดที่ 1 ปี 2564 และการฝึกทหารใหม่ให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม และเหล่าทัพเตรียมการสำหรับการรับทหารใหม่ ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย คำนึงถึงมาตรการสาธารณสุข และปฎิบัติตามระเบียบ ตามหลักสูตรทหารใหม่อย่างเคร่งครัด ระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการฝึก ส่วนการลงโทษทหารที่ทำผิดวินัยให้เป็นไปตามระเบียบทหารเท่านั้น

รมว.สุชาติ ประสานทูต กรุงเทลอาวีฟ ส่ง 2 ศพแรงงานกลับมาตุภูมิ ถึงไทย 26 พ.ค.นี้

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือการนำศพแรงงานไทยที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในอิสราเอลกลับประเทศไทยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้แสดงความเสียใจกรณีแรงงานไทยเสียชีวิตและห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บ จึงได้สั่งการให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ และในวันนี้ผมได้โทรศัพท์ประสานพูดคุยกับ น.ส.พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ 

ซึ่งจากการประสานทราบว่า ศพของแรงงานไทยจำนวน 2 ราย คือ นายวีรวัฒน์ การันบริรักษ์ อายุ 44 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และ นายสิขรินทร์ สงำรัมย์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ จะมาถึงประเทศไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ โดยบริษัทที่แรงงานไทยทำงานอยู่จะรับผิดชอบในการจัดส่งศพไปจนถึงบ้านของแรงงาน ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 8 ราย ขณะนี้ยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 ราย คือ นายอัตรชัย ธรรมแก้ว อายุ 28 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนที่เหลืออีก 7 รายได้กลับไปที่พักคนงานทั้งหมดแล้ว

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า มีแรงงานไทย อีก จำนวน 5 คนที่แจ้งความประสงค์กับสถานเอกอัครราชทูต โดยจะเดินทางกลับในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังได้สั่งการให้ฝ่ายกงสุล ประสานให้ทางการอิสราเอลดูแลคนงานไทยเป็นอย่างดี ซึ่งในเบื้องต้นเมื่อวานนี้ (19 พ.ค.64) ได้ให้จิตแพทย์เข้าไปพูดคุยกับคนงานในพื้นที่ที่มีการระเบิด 

ทั้งนี้ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ได้มาบรรยายสรุปถึงสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจกับท่านทูตฯ ในกรณีที่แรงงานไทยเสียชีวิตจำนวน 2 ราย และบาดเจ็บอีก 8 ราย จากเหตุระเบิดในครั้งนี้ ขณะเดียวกันท่านทูต ยังได้รายงานกับนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลว่า กรณีการเกิดเหตุระเบิดในครั้งนี้ ระบบไซเรนไม่มีเสียงดังขึ้น และที่หลบภัยยังมีน้อยเกินไป ซึ่งขอให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลรับจะไปดำเนินการ

ขณะที่แรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลอยู่แล้วในขณะนี้ และยังไม่ประสงค์จะแจ้งการเดินทางกลับประเทศไทย หากแรงงานไทยรายได้ประสงค์จะขอให้ย้ายออกจากพื้นที่อันตราย ท่านทูตก็ยินดีที่จะดำเนินการให้ตามที่ร้องขอต่อไป

“บิ๊กตู่” สั่งคุมเข้มชายแดน ต้องให้มั่นใจ ไม่มีโควิดสายพันธุ์ใหม่ข้ามมาพร้อมผู้ลักลอบข้ามแดน ย้ำฟันเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สั่งการฝ่ายความมั่นคง ทหารและตำรวจ ในที่ประชุมสภากลาโหม ให้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดคุมเข้มเฝ้าระวังและสกัดกั้นชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ที่อาจเข้ามาพร้อมโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยให้มีมาตรการคัดกรองโรคเข้มข้นต่อเนื่องควบคู่กันไป ทั้งนี้ให้ประสานสืบจับกุมทำลายเครือข่ายและดำเนินการทางกฎหมายกับนายทุน ผู้ลักลอบและนำพาอย่างจริงจัง  ทั้งนี้ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐในทุกระดับเข้าไปเกี่ยวข้อง จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ภาพรวม การปฏิบัติของหน่วยงานความมั่นคง ทหารและตำรวจ ที่ผ่านมา ได้เพิ่มกำลังสกัดกั้นและความถี่การลาดตระเวนมากขึ้น ร่วมกับการวางเครื่องกีดขวาง จัดตั้งจุดตรวจและกวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดนและพื้นที่ชั้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ธ.ค.63 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมทั้งสิ้น 2,122 ครั้ง สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้ จำนวน 18,039 คน เป็นผู้นำพา  243 คน (ชาวเมียนมา 8,010 คน ลาว 1,345 คน กัมพูชา 5,977คน มาเลเซีย 37 คน ชาวไทย 1,851 คน และสัญชาติอื่น ๆ 576 คน )  

โดยเป็นการจับกุมในพื้นที่ชายแดนได้กว่า 15,000 คน และพื้นที่ตอนในเกือบ 3,900 คน ซึ่งจากสถิติผลการจับกุมรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พบมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้านและความต้องการแรงงานจากภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการสู้รบในเมียนมา มีผลให้การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้มากขึ้น ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามฝ่ายความมั่นคง ยังคงให้ความสำคัญและปฏิบัติงานร่วมกันโดยไม่ประมาท โดยเฉพาะการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนด้านมาเลเซียและเมียนมา ที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการข้ามมาของโควิด-19 สายพันธ์ที่ยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทยพร้อมกับผู้ลักลอบเข้าเมือง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top