Thursday, 8 May 2025
NewsFeed

'กรณ์' ติงกู้เพิ่ม 7 แสนล้านต้องใช้ให้คุ้ม! พุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก แทนหว่านแจก

กรณ์ สะท้อนเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายผู้ประกอบการ กรอบเงินกู้ชนเพดาน เงินกู้ 7 แสนล้าน สำคัญอยู่ที่ว่า 'ใช้ถูกทางหรือไม่' ต้องพุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก SMEs ร้านอาหาร และภาคบริการ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีมติออกเงินกู้อีก 700,000 ล้านว่า นับเป็นรัฐบาลที่ออก พรก. กู้เงินฉุกเฉินนอกระบบงบประมาณ ถึงสองครั้งเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ โดยครั้งแรกสมัย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ตนเป็น รมว.คลัง เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจโลก Hamburger สำเร็จด้วย พรก.ไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นไวเป็นอันดับ 2 ของโลก และอีกครั้งในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุงเหตุแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้เพราะโครงการไม่พร้อม 

นายกรณ์ กล่าวว่า มาถึงรัฐบาลนี้ออก พรก.พิเศษกู้เงินแก้วิกฤตโควิดสองรอบ (1ล้านล้าน+7แสนล้าน) รวม 1.7 ล้านล้านบาท เท่ากับ 10% ของ GDP รอบล่าสุดนี้ ก้อนแรก 7 แสนล้านคือการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณปี 2565 ก้อนสองอีก 7 แสนล้านโดยออกเป็นพรก.พิเศษ รวม 1.4 ล้านล้าน รวมสองปี การกู้ทั้งหมดของ ‘64 และ ‘65 รวมเกือบ 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของ GDP สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ยังตกต่ำ และฟื้นช้าเพราะวัคซีนยังไม่เรียบร้อยดี คนไทยยังกลับไปทำมาหากินยังไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องกู้ และกู้โดยไม่มีทางเลือกอื่น

อย่างไรก็ตามหากถามว่า การกู้ครั้งใหม่นี้มีผลต่อเสถียรภาพทางการคลังหรือไม่ คำตอบคือในสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงิน คำตอบคือ ไม่กู้ไม่ได้อยู่ดี โดยที่ ‘ภาระต่องบประมาณ’ ยังรับได้อยู่ (สัดส่วนงบดอกเบี้ยและงบคืนเงินต้น เทียบกับงบรายจ่ายโดยรวมของรัฐบาล) แต่นั่นเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยช่วงนี้ต่ำมาก และเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่นจะปรับขึ้น เพราะสัญญาณเงินเฟ้อเริ่มกลับมาจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆเช่น สหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป ทั้งหมดจะไม่เป็นปัญหาหากเศรษฐกิจเราฟื้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้า GDP เราโตได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2-3% ไปอีก 4-5 ปี เราอาจจะเริ่มมีปัญหา ดังนั้นการใช้เงินจึงต้องเข้าเป้า และนี่คือ โจทย์ที่สำคัญที่สุด ต้องกู้แต่ต้องใช้เงินกู้ให้คุ้มที่สุด

“รอบแรก 1 ล้านล้านบาทผมให้แค่ 6/10 คะแนน จากส่วน 'เยียวยา' ผมถือว่ารัฐบาลทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ‘เราไม่ทิ้งกัน’ หรือ ‘คนละครึ่ง’ ฯลฯ แต่ที่หัก 4 คะแนน ผมว่าผิดเป้า เพราะเอาไป ‘ฟื้นฟู’ ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียเยอะ และเบิกจ่ายช้ามาก ไม่สมกับเป็น ‘งบฉุกเฉิน’ ตามนิยามของ ‘พรก.’ รอบใหม่นี้ไม่ควรแจกแนวเดิม และไม่ควรมีเรื่องฟื้นฟูไม่เป็นเรื่องอีกเลย แต่ต้องยิงให้เข้าเป้า นั่นคือเป้าหมายหล่อเลี้ยงผู้ประกอบการขนาดเล็ก SMEs ร้านอาหาร ธุรกิจภาคบริการทั้งระบบให้อยู่รอดจนถึงการฉีดวัคซีนครบตามเป้า” อดีต รมว.คลัง กล่าว

นายกรณ์ กล่าวาว่า พรรคกล้า เราเสนอทางออกไปหลายครั้งเพื่อแก้ปัญหา อย่างล่าสุดเราเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อช่วยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร แต่ก็ถูกกระทรวงการคลังปฏิเสธ ส่วนในเงินกู้ 7 แสนล้านใหม่ มีส่วนที่กันไว้เพื่อการฟื้นฟูสูงถึง 270,000 ล้าน ตรงนี้ก็จะนำไปสู่ความผิดพลาดซํ้ากับปีที่ผ่านมา ตรงนี้ต้องปรับ และสำคัญที่สุดที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องเร่งทำคือ 'ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ' มิเช่นนั้นเงินกู้ทั้งหมดนี้ก็จะถูกละลายหายไปโดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวังมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือ เสียงสะท้อนจากเฮือกสุดท้ายของผู้ประกอบการ รวมไปถึงกรอบเงินกู้ที่ล้นชนเพดานแล้ว

“รมว.ดีอีเอส” เผย ประสาน ตร.เอาผิด “สมศักดิ์ เจียม” ผิดพ.ร.บ.คอมพ์ฯ-ม.112 ชี้ ลากตัวมาดำเนินคดีได้ ไม่ว่าในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน หรือช่องทางอื่นที่มี 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการป้องกันเฟกนิวส์ว่า ได้ให้มีการศึกษาเกี่ยวการปรับแก้กฎหมาย หรืออาจจะออกกฎกระทรวงหรือออกประกาศ ออกระเบียบในส่วนของการกระทำผิดเกี่ยวกับการนำข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาเวลาขอแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ปิดกั้นหรือดำเนินคดีค่อนข้างจะช้า ก่อนหน้านี้มีการขอไปยังเฟซบุ๊กให้ปิด 12,259 ยูอาร์แอล แต่ปิดให้แค่ 5,740 ยูอาร์แอล หรือไม่ถึงครึ่ง 

โดยอ้างว่าไม่เข้าเกณฑ์และไม่ผิดกฎหมายของประเทศเขา จึงมีแนวคิดที่จะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การทำงานเข้มข้นขึ้น เพราะเราต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องเฟคนิวส์ หรือการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียที่เข้าข่ายผิดกฎหมายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 

“ขณะนี้มีเฟกนิวส์ต่าง ๆ ออกมามาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอยากเตือนคนที่กำลังตั้งใจจะทำร้ายบ้านเมืองด้วยการปล่อยเฟกนิวส์เพื่อปั่นป่วนกันเองขอให้หยุด เพราะที่ผ่านมาเรามีคณะติดตามเรื่องนี้คอยรวบรวบพยานหลักฐานไว้หมด หากพบว่ากระทำผิดจะดำเนินการปิดกั้นและดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงขอให้เคารพกฎหมายด้วย” นายชัยวุฒิ กล่าว 

เมื่อถามถึงกรณีมีข่าวว่าจะประสานกับตำรวจให้ล่าตัวนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ออกมาโพสต์ข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันก่อนหน้านี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ที่ผ่านมาดีอีเอสได้มีการแจ้งไปยังเจ้าของแฟลตฟอร์ม ขอให้ปิดกั้นข้อมูลที่สร้างความตื่นตระหนกและไม่เป็นความจริงมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะเพจของนายสมศักดิ์ หรือเพจของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์เท่านั้น ซึ่งกรณีของนายสมศักดิ์นั้น ดีอีเอสได้ประสานไปยังตำรวจให้ดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว และตนเชื่อมั่นว่าในที่สุดจะดำเนินคดีเอาตัวคนผิดมาลงโทษในเมืองไทย โดยใช้กลไกส่งตัวผู้ร้ายข้ามและช่องทางอื่นที่มีตามกฎหมายระหว่างประเทศ

พิมรี่พาย แจง แค่ โทนี่ พูดถึง 5 วินาทีต้องเจออะไรบ้าง บริจาคของหน่วยงานโดนตีกลับ ไม่รับของ-กลัวมีปัญหา ขอตั้งโรงพยาบาลสนามที่คลองเตยก็ไม่ได้

กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาใน Clubhouse โดยตอนหนึ่ง นายทักษิณ ได้พูดในประเด็นว่าภายในเรือนจำเขามีสนามฟุตบอล มีโรงอาหาร เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวได้หรือไม่ หรือถ้าตั้งมันแพง ก็ไปขอ “พิมรี่พาย” ตั้งให้ ทำให้ พิมรี่พาย ต้องออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวระหว่างไลฟ์สดขายของ ว่าขออย่าลากพิมรี่พายไปเกี่ยวข้อง

ล่าสุด ในช่วงเย็นวันเดียวกัน (19 พ.ค. 64) พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ก็ได้ออกมาไลฟ์ชี้แจงถึงกรณีนี้อีกครั้งว่า ไม่เคยคิดจะพูดเรื่องนี้แต่ต้องพูดให้เข้าใจ พิมรู้ดีว่าพิมไม่ได้เป็นคนที่พิเศษหรือวิเศษไปกว่าใคร รู้ดีว่าตัวเองแตะต้องได้ เพราะเป็นแค่แม่ค้าธรรมดา เป็นคนธรรมดา ทุกคนวิจารณ์ได้ แต่ยอมรับตามตรง แค่ 5 วินาทีที่คุณทักษิณพูดถึง แค่ 5 วินาทีนี้ไม่มีใครรู้ว่าเราต้องเจออะไรบ้าง

เมื่อเช้าพิมซื้อของบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ โดยไม่ได้ทำเป็นคอนเทนต์ แค่ต้องการช่วยหลังบ้าน ซื้อของไป 2 แสนกว่า แต่แค่คุณทักษิณพูดถึง 5 วินาทีเมื่อคืน ของบริจาคถูกส่งไปตอนเช้า 9 โมง โดยไม่ประสงค์ออกนาม หน่วยงานนั้นให้เอาของกลับ ไม่รับของจากฉัน กลัวมีปัญหา นี่แค่ชม 5 วินาทีเอง”

“ฉันโดนอำนาจมืดข่มขู่จะตรวจสอบกี่ครั้งรู้หรือไม่ ฉันโดนแอคหลุมมาด่าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ผลกระทบจากการที่คุณทักษิณพูดถึงฉัน เพียงต้องการแซะรัฐบาลและขบขัน แต่ผลกระทบที่ตามมาฉันโดนอะไรบ้าง ฉันอยู่ในสังคมนี้ฉันรู้ต้องทำอย่างไร”

“ทำไมถึงไม่อยากให้โยงการเมือง เพราะฉันขยับตัวไม่ได้เลย ถ้าขยับจะถูกมองทำในเจตนาไม่ได้ ธุรกิจพิมทำอย่างสุจริตและเสียภาษี ระวังตัวที่สุด รู้มั้ยฉันให้คนไปขอตั้งโรงพยาบาลที่คลองเตย รออยู่ 2 อาทิตย์ เขาไล่ฉันกลับมา แถมยังต้องแบกรับภาระลูกน้องอีกหลายชีวิต แต่พอถูกโยงว่ามีปัญหา ความจริงโดนโยงมาหลายครั้ง แต่พูดไม่ได้”

“ความจริงพิมเพิ่งมารวยแค่ 2 ปีนี้เอง โดยจนมาก่อน เป็นแม่ค้าตลาดนัด เรียนก็ไม่จบ ทำให้เข้าใจคนจนดี จึงช่วยเพราะเข้าใจหัวอกคนจน เข้าใจความลำบากและความทุกข์ ทำให้คิดตอบแทนคืนให้สังคมบ้าง ยิ่งคุณทักษิณพูดถึง 5 วินาที มีเอฟเฟคมากมาย ท่านพูดขบขำกดดันรัฐบาล แต่ทำให้เราซวย ซึ่งเดือดร้อนจากคำพูดของท่านจริงๆ รอบนี้พูดถึงพิมแล้วฉันจะอยู่อย่างไร”

 

ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/hotclip/467364


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สมาคมประกันฯ ดึงเอกชนแจกประกันแพ้โควิดฟรี 11.5 ล้านสิทธิ

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้จัดโครงการฉีดช่วยชาติ หมอพร้อมฉีด ประกันวินาศภัยพร้อมดูแล โดยมีการมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองการแพ้วัคซีนให้กับประชาชนทั่วไปฟรี 11.5 ล้านสิทธิ เพื่อสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด โดยสามารถเลือกลงทะเบียนรับสิทธิฟรี ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ และมีเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่แต่ละบริษัทกำหนด

ทั้งนี้บริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วม ได้แก่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย 2 ล้านสิทธิ, บมจ.ทิพยประกันภัย 2 ล้านสิทธิ, บมจ.เมืองไทยประกันภัย 2 ล้านสิทธิ, บมจ.วิริยะประกันภัย 2 ล้านสิทธิ, บมจ.สินทรัพย์ประกันภัย 1 ล้านสิทธิ, บมจ.สินมั่นคงประกันภัย 1 ล้านสิทธิ, บมจ.อาคเนย์ประกันภัย 1 ล้านสิทธิ, บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ 500,000 สิทธิ
 
“สมาคมประกันวินาศภัยไทย และภาคธุรกิจประกันวินาศภัย มีความเชื่อมั่นว่าการมอบกรมธรรม์ประกันภัยแพ้วัคซีน จำนวน 11.5 ล้านสิทธิ์ในครั้งนี้จะกระจายไปสู่ประชาชนในทุกภาคส่วนของสังคมและสร้างความมั่นใจในการเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด”

เกษตรกร เฮ! จุรินทร์ ชง ครม.อนุมัติ ! จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาแล้ว 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา เพื่อช่วยเกษตรกรชาวนานั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแก้ไขนำเรื่อง ขออนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอังคาร 18 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา 

" ล่าสุด ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ จำนวน 82 แปลง เนื้อที่ 422 กว่าไร่ ในอัตราไร่ละ 125,000 บาท เป็นเงิน 52,785,937 บาท และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิจำนวน 22 แปลง เนื้อที่ 206-2-02 ไร่ ในอัตราไร่ละ 45,000 บาทเป็นเงิน 9,292,725 บาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ " นางมัลลิกา กล่าว 

นางมัลลิกา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นโครงการที่ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบโดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาจังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งสิ้น 104 แปลง เนื้อที่ 628 กว่าไร่ เป็นเงิน 62,078,662 บาท 

"เป็นเรื่องที่พิจารณากันมายาวนานจนสำเร็จในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีมอบรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์เป็นผู้รับผิดชอบ และล่าสุดเกษตรกรชาวนาดีใจมากเพราะรัฐบาลนี้จริงใจใส่ใจแก้ไขปัญหาแม้จะเป็นเรื่องยืดเยื้อมาหลายยุค แล้วเมื่อวาน นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่าเกษตรกรติดป้ายขอบคุณนายกฯ รองนายกฯ จุรินทร์ และรัฐมนตรีเฉลิมชัย กันว่อนเลยที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งก็ดีใจกับเกษตรกรด้วยเพราะเขาก็สู้อดทนกันมานาน " นางมัลลิกา กล่าว

เปลี่ยนแล้ว! ไม่เรียก "วอร์คอิน" ให้เรียก "ออน ไซด์" แทน ย้ำ! 3 ช่องทาง ลงทะเบียนฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องการเน้นย้ำให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ

1.) ระบบหมอพร้อม ซึ่งที่ผ่านมาเปิดให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคลงทะเบียน ขณะนี้มียอดลงทะเบียนแล้ว 7.4 ล้านคน โดยเป็นการลงทะเบียนในกรุงเทพมหานครแล้วกว่า 8 แสนคน และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปอายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 31 พ.ค.นี้ ซึ่งข้อดีคือประชาชนสามารถเลือกวันเวลาและสถานที่ได้เอง

2.) การลงทะเบียน ณ จุดบริการ หรือ On-site Registration ช่องทางนี้ปรับจากการเรียกว่า วอร์คอิน (Walk in) เนื่องจากหากใช้คำว่าวอร์คอินแล้ว อาจเกิดความเข้าใจผิดว่าทุกคนที่เดินทางไปจะได้ฉีดในวันนั้น จนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ แต่การลงทะเบียน ณ จุดบริการ จะมีระบบรองรับและแจ้งประชาชนเมื่อเดินทางไปลงทะเบียนว่า มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการในวันนั้นหรือไม่ หากพร้อมฉีดแต่วัคซีนไม่พอในวันนั้นก็สามารถทำการลงทะเบียนเพื่อนัดฉีดในวันอื่นได้ โดยไม่ต้องเสียเวลามารอฉีดอีกในวันต่อไปแต่สามารถมาฉีดได้เลยตามที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว และขอย้ำว่าช่องทางนี้เป็นการบริการเสริม และสำหรับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางกทม.ได้จัดให้มีการกระจายจุดบริการวัคซีนทั่วพื้นที่ในโรงพยาบาล สถานพยาบาล และหน่วยงาน จำนวน 231 แห่ง 

นอกจากนี้ยังได้เตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลอีก 25 แห่ง โดยเตรียมความพร้อมจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางมาสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ได้เปิดทดลองระบบแล้ว 4 แห่ง ได้แก่

(1.) เซ็นทรัล ลาดพร้าว

(2.) สามย่านมิตรทาวน์

(3.) เดอะมอลล์ บางกะปิ และ

(4.) บิ๊กซี บางบอน 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ถ้าหากในแต่ละจุดที่บริการ มีวัคซีนเพียงพอในแต่ละวัน และมีวัคซีนสำรองเนื่องจากมีคนที่นัดแล้วแต่ไม่ได้มาฉีดตามนัดอยู่บ้าง รัฐบาลก็มีแผนในการเปิดการฉีดวัคซีนแบบวอร์คอินได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและความรุนแรงนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งมีการระบาดในหลายคลัสเตอร์ในหลายพื้นที่ และเป็นสาเหตุให้นายกรัฐมนตรีมีความจำเป็นต้องตัดสินใจปรับแผนเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนบริการหลักยังเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม และการวอร์คอินจะเป็นการบริการเสริมในช่วงนี้

3.) การจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ หรือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ เน้นจัดสรรวัคซีนไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต เช่น บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่น ๆ เพื่อให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด

โดยประชาชนกลุ่มนี้สามารถติดต่อนัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรือ อสม. ได้โดยตรง หรือหากเป็นกลุ่มบุคคลหรือสมาคมที่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถยื่นเรื่องต่อกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังมีนโยบายให้เตรียมการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.นี้ โดยกระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และภาคเอกชนจะร่วมมือกัน สนับสนุนให้บุคลากรกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม การผลิต และภาคบริการ ฟื้นตัวได้โดยเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมในกทม. ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือนนี้ (มิ.ย.-ก.ค.64) และฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศให้ครบ 50 ล้านคนภายในปี 2564

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศบค.โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ข่าวดีสำหรับคนฉีดวัคซีน AstraZeneca ป้องกันโควิดสายพันธุ์อินเดียได้สูงถึง 97.38%

สำนักข่าวหลายแห่ง รายงานอ้างอิงการศึกษาเบื้องต้นจากโรงพยาบาล Indraprastha Apollo ในเมืองเดลี ประเทศอินเดีย พบว่า หลังจากจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 (ตามข่าวบอกว่าเป็นวัคซีนของ AstraZeneca แต่บางข่าวก็ไม่ระบุ) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล จำนวน 3,235 คน มีผู้ติดเชื้อเพียงแค่ 85 คน หรือไม่ถึง 3% และป่วยแบบมีอาการต้องเข้าโรงพยาบาลเพียง 0.06% และไม่มีใครป่วยหนักหรือเสียชีวิตเลย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า AstraZeneca ป้องกันโควิดสายพันธุ์อินเดียได้ดีมาก

ส่วน Sinovac นั้นไม่มีการศึกษาที่อินเดีย (เพราะฉีดแต่ AstraZeneca) แต่ผู้เชี่ยวชาญชาวอินโดนีเซียได้ให้สัมภาษณ์ว่า เชื่อว่า Sinovac น่าจะป้องกันสายพันธุ์อินเดียได้เช่นกัน (หรืออย่างน้อยก็ไม่ป่วยหนักหรือเสียชีวิต)

 

ที่มา : https://www.birminghammail.co.uk/.../astrazeneca-vaccine

https://voi.id/.../ahli-sebut-vaksin-sinovac-masih-dapat

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4601520763196860&id=100000169455098&sfnsn=mo


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ชีวานนท์’ มอบชุด PPE ให้บุคลากรทางการแพทย์ ป้องกันติดเชื้อช่วงสถานการณ์โควิดระบาด

นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน พร้อมด้วย ‘นายโกสินธ์ จินาอ่อน’ บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์ ‘นางสาวทัศนี ศรศิริ’ ผู้นำจิตอาสา มอบชุด PPE จำนวน 100 ชุด ให้กับ บุคคลากรทางการแพทย์ ‘สถาบันราชประชาสมาสัย’กรมควบคุมโรค ณ หมู่ 7 ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

เนื่องด้วยการระบาดระลอก 3 ของ ‘เชื้อไวรัสโควิด-19’ จึงทำให้มีผู้ป่วยในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วน และยิ่งโดยเฉพาะกับบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นหน้าด่าน และเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ที่จะต้องสัมผัสกับผู้ป่วย ให้การรักษา ผู้ป่วย รวมทั้งยังป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส Covid-19 ไปสู่ประชาชนอื่นได้

อีกทั้งยังเสียสละเวลา แรงกาย แรงใจ ในการผลัดเวรประจำการ เพื่อดูแลประชาชนคนไทย อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล และ คณะ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นกำลังใจ และขอเป็นตัวแทนประชาชนคนไทยคนหนึ่งขอขอบคุณ ‘บุคลากรทางการแพทย์’ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทุกภาคส่วน รวมถึงจิตอาสาทุกท่าน ที่ได้เสียสละเวลามาดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนคนไทย และมนุษยชาติ เป็นอย่างดี

ท้ายนี้ขอเชิญชวนพี่น้อง ประชาชนคนไทย เจ้าของสถานประกอบการ ห้าง ร้าน ภาคเอกชนได้โปรดมาร่วมกัน ‘คนละไม้-คนละมือ’ ส่งกำลังใจ และเป็นกำลังใจสนับสนุนตามกำลังที่พึงมีให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ภาครัฐทุกภาคส่วน เพื่อคนไทยต้องปลอดภัยจากภัยร้าย โควิด-19 นี้ ไปด้วยกัน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กกร. รับเศรษฐกิจซบเซา หั่นจีดีพีปีนี้คาดโตเหลือ 0.5-2%

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่าที่ประชุมมีมติปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2564 ลงมาอยู่ที่ 0.5-2% จากเดิมคาดไว้โต 1.5-3% สอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลงเฉลี่ยอยู่ที่ต่ำกว่า 2%

ทั้งนี้ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกเดือนเม.ย. มีแนวโน้มรุนแรงกว่าที่คาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า 3 เดือน และส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิม โดยเฉพาะธุรกิจบริการดำเนินกิจการได้อย่างจำกัดจากมาตรการควบคุมโรค ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้แรงงาน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 และ 3 เป็นอย่างมาก

“ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ ดังนั้น จีดีพีจะโตได้ 2% การเร่งฉีดวัคซีนดูจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในไตรมาส 4 โดยปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชนเพื่อลดความสับสน และบริหารจัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ”นายสุพันธุ์ กล่าว

โดยทาง กกร.หวังว่ารัฐบาลจะเร่งผลักดันพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 7 แสนล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลมีเม็ดเงินเพียงพอ และดำเนินโครงการด้านสาธารณะสุข มาตรการเยียวยาชดเชยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและมีความไม่แน่นอนสูง

นอกจากนี้ ควรเร่งรัดมาตรการช่วยเหลือด้านกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ให้เข้ามาพยุงกำลังซื้อได้ในเดือนมิ.ย. และพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 90,000 ล้านบาท เป็น 180,000 ล้านบาท

นายสุพันธุ์ กล่าวว่าเมื่อรวมเม็ดเงินของประชาชนที่นำออกมาใช้จ่ายคู่กับเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่งเสริมมาตรการดึงกำลังซื้อจากประชาชนที่มีเงินออม โดยสนับสนุนมาตรการนำรายจ่ายจากการซื้อสินค้าไปหักภาษีเงินได้ในวงเงิน 30,000-50,000 บาทต่อราย จะจูงใจให้ประชาชนในกลุ่มนี้นำเงินฝากมาใช้จ่ายอย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อแนวโน้มส่งออกของไทยในระยะต่อไป ซึ่งทาง กกร.ได้ปรับประมาณการการส่งออกปีนี้ขยายตัว 5-7% จากเดิมคาดไว้ที่ 4-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1-1.2% เห็นได้จากเศรษฐกิจและมูลค่าการนำเข้าของคู่ค้าหลักในไตรมาส 1/2564 ฟื้นตัวได้ตามคาด เช่นเดียวกับอุปสงค์ในประเทศเศรษฐกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลดีมายังการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกให้ขยายตัวได้ถึง 8.2% ไม่รวมการส่งออกทองคำ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้การภาคการผลิตและการส่งออกยังเติบโตได้ แต่พบปัญหาติดขัดคือการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และปัญหาค่าระวางเรือระดับสูง จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือส่วนนี้

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ประเด็นรัฐบาลกู้เงินนั้น หากพิจารณาเพดานหนี้สาธารณะของไทยในปัจจุบันถือเป็นนโยบายที่กำหนดในอดีต ดังนั้นประเด็นเพดานหนี้สามารถดำเนินการอย่างยืดหยุ่นได้ในสถานการณ์ปัจจุบันเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่ผ่อนคลาย เพื่อเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบการเงินที่กู้มาก็มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยกกร. มีคณะทำงานย่อยเพื่อพิจารณาหนี้สาธารณะจะมีการหารือและเสนอความเห็นต่อรัฐบาลในเร็ว ๆ นี้

ปริญญ์ สานต่อ นโยบายจุรินทร์ เดินหน้า “แจกข้าวกล่อง 40,000 กล่อง-อาสา ปชป.ช่วยหมอพร้อม-ขยายผลช่วยหางาน” เร่งบรรเทาปัญหาปากท้องชาวบ้าน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับนายปพนชัย สุวรรณทศ และทีมงานปชป. บึงกุ่ม ลงพื้นที่ชุมชนสุวรรณประสิทธิ์ 2-3 เขตบึงกุ่ม เดินหน้าโครงการ ”ข้าวกล่องเดลิเวอรี่ 40,000 กล่อง ส่งตรงถึงบ้าน” และ “อาสา ปชป. ช่วยหมอพร้อม” พร้อมแนะนำการสร้างงาน สร้างอาชีพในโลกยุคใหม่ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ของท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ทำให้ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องกักตัวอยู่บ้าน ขาดรายได้ และไม่สามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออาหารได้ด้วยตนเอง เป็นปัญหาปากท้องครั้งสำคัญที่ต้องเร่งให้การช่วยเหลือ ทีมปชป.จึงอาสาลงพื้นที่กทม.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเดินหน้าแจกข้าวกล่องถึงบ้านประชาชน ช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค ในการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด พร้อมทั้งรณรงค์ให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครฉีดวัคซีน สานต่อโครงการข้าวกล่องเดลิเวอรี่ 40,000 กล่องและโครงการอาสา ปชป. ช่วยหมอพร้อม ทั้งนี้ยังมีผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเสี่ยงหลายคนที่ยังเข้าไม่ถึงการลงทะเบียน “หมอพร้อม” ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงทํางานเชิงรุก นําทีมอาสาสมัคร ลงพื้นที่ช่วยเหลือ เพราะการได้ฉีดวัคซีนจะช่วยบรรเทาอาการป่วยถ้าติดเชื้อโควิด-19 

“การนําข้าวกล่องและถุงยังชีพมาแจกเป็นการช่วยเหลือที่ทำในระยะสั้น แต่การสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ประชาชนยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ในระยะยาว ครั้งนี้เราจึงไม่ได้มาเพื่อแจกอาหารเพียงอย่างเดียว แต่มาแจกงาน ช่วยคนตกงาน แนะนำการเข้าถึงงานในโลกยุคใหม่ด้วย เพื่อให้ทุกคนยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้ ผ่านโครงการ “เรียนจบ พบงาน” ที่จะช่วยยกระดับแรงงานฝีมือให้กับคนในชุมชนและช่วยฝึกผู้ประกอบการยุคใหม่ให้พร้อมสู้กับยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นโครงการที่ทีมเศรษฐกิจทันสมัยปชป. ได้ดำเนินการมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว สามารถช่วยคนให้มีงานทำได้มากมาย ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อได้ทางเฟซบุ๊กเพจ เรียนจบพบงาน หรือแอดไลน์ไอดี prinnpa


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top