Friday, 9 May 2025
NewsFeed

"พิจารณ์" จัดหนัก งบลวงพรางกองทัพ ชี้ มีงบผูกพันซื้ออาวุธต้องจ่ายกว่า 2 หมื่นล้าน ถาม จะดีกว่าไหมถ้าจะมี รบ. ใหม่ ที่จัดงบประมาณเห็นหัวปชช.มากกว่านี้

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่กำลังจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาว่า งบประมาณจะลดลงเหลือ 3.1 ล้านล้านบาท หรือลดลง 5.7% จากปี 64 ซึ่ง 5 อันดับแรกของกระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุด พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือพูดได้ว่าการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์ ยังเป็นเหมือนเดิม แม้เราจะอยู่ท่ามกลางวิกฤติโควิด

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ได้เผยแพร่ภาพเปรียบเทียบถึงงบประมาณด้านสาธารณสุขว่าเพิ่มขึ้นและมากกว่ากลาโหม ทั้งยังพยายามอธิบายอีกว่า กลาโหมลดงบประมาณลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบ 63-65 ซึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่ออย่างน่าละอาย เพราะมันเป็นการลวงว่าลด แต่ไม่ได้ลด หากย้อนกลับไปในปีงบ 63 งบกลาโหม 2.317 แสนล้าน ถูกตัดลดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งที่ 1 เพื่อการจัดทำ พ.ร.บ.โอนงบประมาณกลางปี โดยนำเงินจากหลายกระทรวงไปรวมกันเป็นงบกลางแก้โควิด กระทรวงกลาโหมสามารถลดงบประมาณได้ถึงเกือบ 2 หมื่นล้าน ทำให้สุดท้ายงบในปีนั้นลดลงมาเหลือ 2.137 แสนล้าน

ในครั้งนั้น กระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงที่ตัดลดงบได้มากที่สุด แสดงให้เห็นว่าแผนงานมีความสำคัญเร่งด่วนน้อย สามารถเลื่อนออกไปก่อนได้และเบิกจ่ายไม่ทัน แต่พอมาปี 64 กระทรวงกลาโหมของบมากถึง 2.236 แสนล้าน ก่อนที่จะถูกตัดลดในชั้นกรรมาธิการ ทำให้คงเหลือได้รับงบประมาณ 2.145 แสนล้าน หรือเพิ่มขึ้น 1 พันล้านบาทจากปี 63 ดังนั้น จึงเป็นการแอบอ้างอย่างหน้าด้านว่า กลาโหมลดงบจากปี 63 ที่ 2.317 แสนล้าน เหลือ 2.145 แสนล้าน เพราะในความเป็นจริงคือ งบเพิ่มขึ้นในปี 64

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับใน ร่าง พ.ร.บ.งบ 65 แม้งบกลาโหมจะลดลง 5.24% แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าภาพรวมงบประมาณทั้งหมดที่ลด 5.66% อีกทั้งงบบุคคลกรของกลาโหมกลับเพิ่มขึ้น 1.7% แสดงให้เห็นว่า ถึงกองทัพอยากจะลดงบยังไงก็ลดไม่ลง ด้วยกำลังทหารที่มากเกินกว่าจะจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ ตามเอกสารงบประมาณเล่มขาวคาดแดงของกลาโหม ด้วยข้ออ้างด้านความมั่นคง จึงทำให้ไม่สามารถเห็นรายการอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบยอดงบประมาณในโครงการผูกพันข้ามปีของเอกสารงบประมาณปี 63-64-65 ทำให้เชื่อได้ว่า กองทัพเรือยังคงเดินหน้าจัดซื้อเรือดำน้ำต่อไป แม้ประเทศชาติจะอยู่ในวิกฤติงบประมาณ มิหนำซ้ำเมื่อส่องดูงบซื้ออาวุธแบบปีเดียว กองทัพบกตั้งงบเพิ่มขึ้น 9.23% และ กองทัพเรือเพิ่มขึ้นถึง 2.6 เท่า จากปี 64 ในส่วนของงบซื้อยุทโธปกรณ์ที่ผูกพันข้ามปี ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือ ยังมีโครงการใหม่ที่ผูกพันงบตั้งแต่ปี 65-67 รวมมูลค่าโครงการตลอด 3 ปี อีก 9,073 ล้านบาท โดยเป็นปีงบ 65 จำนวน 882 ล้าน และ 933 ล้าน ตามลำดับ นอกจากนั้น ทั้ง 3 เหล่าทัพบวกกับกองบัญชาการกองทัพไทย ยังมีงบซื้อยุทโธปกรณ์ที่ผูกพันข้ามปี ค้างตั้งแต่ปี 60-69 อีก 70 โครงการ และเป็นงบที่ต้องจ่ายในปีงบ 65 กว่า 24,218 ล้าน 

“ผมเชื่อว่าการระบาดของโควิด-19 จะยังไม่จบจนกว่าเราจะได้วัคซีนครบจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จะดีกว่าไหมถ้าเราจะจัดลำดับความสำคัญใหม่ ไม่ซื้อเรือดำน้ำแต่นำงบไปเพิ่มให้กับงบบัตรทองที่ถูกตัดไป 1,800 ล้านบาท จะดีกว่าไหมถ้าเราจะยอมทนใช้อาวุธเก่าไปอีกสักปี เพื่อนำงบไปช่วยนักเรียนที่ต้องเลิกเรียนกลางคันเพราะพ่อแม่ตกงานผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาซึ่งถูกตัดงบไป 432 ล้านบาท จะดีกว่าไหมถ้าเราจะไม่ซื้ออาวุธใหม่ที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศผู้ผลิตอาวุธ แต่นำเงินไปลงทุนอบรมทักษะใหม่ ๆ ให้คนที่ตกงานจากภาคท่องเที่ยว ให้พวกเขาหางานใหม่ได้ง่ายขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าเราจะมีรัฐบาลใหม่ ที่จัดงบประมาณแบบเห็นหัวประชาชนมากกว่านี้” นายพิจารณ์ กล่าว

“จุรินทร์” แจงยิบ พ.ร.ก.เงินกู้ 7 แสนล้าน นำไปใช้ในสามส่วน เตรียมพร้อมถก งบฯ 65 เชื่อไม่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ศูนย์ลานกีฬาชุมชนห้วยขวาง เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงรายละเอียดกระแสข่าวที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้เพิ่มติม วงเงิน 700,000 ล้านบาทว่า วงเงินดังกล่าว จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 30,000 ล้านบาทแรก จะใช้สำหรับแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม, การจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ และ 400,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมชดเชยเยียวยาเพิ่มเติม และ 270,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นก็มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และรัฐบาลก็ต้องเข้าไปกำกับดูแลให้เป็นไปตามนี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยทั้งในการแก้ปัญหาโควิด และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปในเวลาเดียวกัน กับการใช้งบประมาณประจำปี ซึ่งเป็นการไปเสริมกัน ส่วนว่าครม.เห็นชอบต่อ พ.ร.ก.ดังกล่าวแล้วหรือไม่นั้น ขอให้นายกรัฐมนตรี หรือโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจง

นายจุรินทร์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2565 วาระแรก ในวันที่ 31 พ.ค.-2 มิ.ย.นี้ ว่า โดยมั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ แม้ฝ่ายค้าน จะเตรียมการอภิปรายอย่างเข้มข้น เพราะฝ่ายค้าน มีหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว และเมื่อมีการพิจารณางบประมาณ ฝ่ายค้านก็จะต้องตรวจสอบติดตามตามปกติ ซึ่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ก็จะมีหน้าที่ชี้แจงรายละเอียดงบประมาณของแต่ละกระทรวง โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา นายกฯ ก็ได้มีการกำชับให้แต่ละกระทรวงได้ลงลึกไปดูในรายละเอียด และทำหน้าที่ชี้แจงในส่วนงบประมาณของแต่ละกระทรวงโดยรัฐมนตรีเป็นผู้ทำหน้าที่หลัก ส่วนท่านนายกฯ ก็จะได้ชี้แจงในภาพรวม

เมื่อถามถึงความกังวลในการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ที่สภาฯขึ้นได้  รองนายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ประธานสภาฯ ทราบอยู่แล้ว และได้มีการสั่งการ เตรียมการมาโดยลำดับอยู่แล้ว ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกติกาที่ได้กำหนดไว้ ก็คิดว่ามีความปลอดภัยในระดับที่น่าจะมั่นใจได้ 

เมื่อถามว่าได้กำชับให้ ส.ส.ของพรรคทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าประชุมสภาฯ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องฉีดวัคซีน หรือมีใบรับรองผลการตรวจโควิด ซึ่งประธานสภาฯก็ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบแล้ว สำหรับผู้ติดตาม ส.ส. ผู้ช่วยรัฐมนตรีจะต้องฉีดวัคซีนอย่างไรนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ต้องลงทะเบียนหมอพร้อมให้เป็นไปตามคิว เพราะพรรคไม่มีนโยบายให้ใครไปลัดคิว และใช้สิทธิพิเศษอะไร

พล.อ.ประวิตร พอใจผลงาน ไม่มีพื้นที่ประกาศภัยแล้งปี 63/64 ประชุม กอนช. สั่ง กองทัพ ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ช่วยขับเคลื่อน 10 มาตรการ รับมือฤดูฝนปี 64 มุ่งช่วยเหลือ ปชช./เกษตรกร/อุตสาหกรรม เน้นสร้างการรับรู้ปชช.มากขึ้น ควบคู่ระวังโควิด-19 ขอให้ทุกคนปลอดภัย

เมื่อ 19 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ผอ.กอนช. ได้เป็นประธาน การประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับ ผวจ.ทั่วประเทศ ณ ห้องประชุม กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ สทนช. 

ที่ประชุมได้รับทราบ สถานการณ์แหล่งน้ำทั่วประเทศ ณ 11 พ.ค. 64 มีปริมาณน้ำทั้งประเทศ 38,620 ล้าน ลบ.ม. (47%) ปริมาณน้ำใช้การ 14,537 ล้าน ลบ.ม. และรับทราบ การขับเคลื่อน 10 มาตรการรับมือสถานการณ์ฤดูฝนปี 64 ซึ่งผ่าน ครม.แล้ว ได้แก่

1.) การคาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และฝนน้อยกว่าค่าปกติ

2.) การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก

3.) ทบทวน,ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่-กลาง และเขื่อนระบายน้ำ

4.) ซ่อมแซม,ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ำ

5.) ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ

6.) ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา

7.) วางแผนเครื่องจักรเครื่องมือ ประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนพื้นที่น้อยกว่าค่าปกติ

8.) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ และปรับปรุงการส่งน้ำ และฝนน้อยกว่าค่าปกติ

9.) การสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ และ

10.) การติดตามประเมินผล  

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำทุกจังหวัด ที่ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จนกระทั่งไม่มีพื้นที่ประสบภัยแล้งเลย ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามนโยบายของรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายให้ สทนช., กห.,มท., กษ., ทส., กทม. และทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นในการขับเคลื่อนทั้ง 10 มาตรการ เพื่อรองรับฤดูฝนปีนี้ ให้เกิดการเชื่อมโยงกันทั้ง 76 จังหวัดไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมสร้างการรับรู้ และการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และปลอดภัยกัน ทุกคน

โฆษก กมธ.ติดตามเงินกู้แก้ปัญหาโควิด19 หนุนรัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 7 แสนล้านบาท แต่ต้องปรับเปลี่ยนกลไกการบริหารงบ ให้การใช้เงินเกิดประสิทธิภาพดีขึ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้จาก พ.ร.ก.จำนวน 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูปัญหาโควิด-19 กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาโควิด-19 ว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินก้อนนี้มาใช้ ตนก็เห็นด้วย เพราะการระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่ 3 มีผลกระทบไม่ใช่เฉพาะเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลกู้รอบแรกมาแล้ว 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยา ฟื้นฟู และด้านสาธารณสุข ตามที่ได้มีการติดตามเงินกู้ก้อนนี้ก็มีการเบิกจ่ายเกือบเต็มวงเงินกู้แล้ว

ดังนั้นหากจะต้องกู้มาอีก 7 แสนล้านบาท รัฐบาลจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลไกในการใช้เงิน ทั้งเรื่องของหน่วยงานที่จะควบคุมเงินกู้ การตรวจสอบ การเบิกจ่าย ที่จะต้องทำให้ให้การใช้เงินเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไปถึงมือประชาชน และสามารถที่จะฟื้นฟู เยียวยาได้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นการขับเคลื่อนการแก้ไขทางเศรษฐกิจก็จะไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังและกำหนดไว้ 

“ถ้ามีความจำเป็นก็ต้องกู้ แต่ประเด็นที่สำคัญ คือ กลไกที่รัฐบาลจะต้องทำอย่างไรให้การใช้เงินกู้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาจากที่ตนเป็นกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินกู้ ต้องยอมรับว่าการใช้เงินยังล่าช้า เบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และยังไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประชาชน มีหลายโครงการที่ทำแล้วไม่สำเร็จ และหลายโครงการที่จะต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เบิกจ่ายงบล่าช้าเนื่องจากความไม่ชัดเจนของโครงการ เเละที่สำคัญการใช้จ่ายงบเงินกู้ไม่เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนก็ไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลและพี่น้องประชาชนคาดหวังไว้" นายอัครเดช กล่าว

ศ.ดร.กนก เชื่อ รัฐคุมโควิด-19 บุกเรือนจำได้ เหตุเป็นพื้นที่ปิด ห่วงเด็ก ไร้วัคซีน จี้รัฐเร่งนำเข้าวัคซีนสำหรับเด็ก แนะ ศธ.เพิ่มหลักสูตรใช้ชีวิตในยุคโควิด

ศ.ดร.กนก เชื่อ รัฐคุมโควิด-19 บุกเรือนจำได้ เหตุเป็นพื้นที่ปิด ห่วงเด็ก ไร้วัคซีน จี้รัฐเร่งนำเข้าวัคซีนสำหรับเด็ก แนะ ศธ.เพิ่มหลักสูตรใช้ชีวิตในยุคโควิด เชื่อมระบบ ออนไลน์ ออนไซด์ และ ออนแฮนด์ ห่วง เวป ครูพร้อม ไม่พร้อมจริง เหตุขาดการบูรณาการ ย้ำต้องตั้ง War Room ในศธ. บริหารในภาวะวิกฤต วอน ระดมฉีดวัคซีน ให้ครู 4 แสนคน

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่พุ่งสูงมากกว่าหนึ่งหมื่นคนในเรือนจำทั่วประเทศว่า ภาครัฐน่าจะควบคุมได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิด การควบคุมสถานการณ์ทำได้ง่ายกว่าพื้นที่เปิด แต่ยังต้องตระหนักว่าการแพร่ระบาดยังเป็นวิกฤต ซึ่งสิ่งที่เป็นห่วงคือการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทำให้ติดเชื้อเร็ว รุนแรง การเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่สำคัญคือ เรายังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก จึงขอฝากไปยังรัฐบาลว่า ต้องเร่งนำเข้าวัคซีนสำหรับเด็กได้แล้ว เพราะกว่าจะนำเข้าได้จริงต้องใช้เวลา 

“ทางกระทรวงศึกษาธิการ ตัดสินใจเลื่อนเปิดเทอมไปเป็นวันที่ 14 มิถุนายน จากเดิมกำหนดวันที่ 1 มิถุนายน ผมก็คิดว่าจะทำให้มีเวลาเตรียมเรื่องการเรียนการสอนมากขึ้น แต่ถ้าพูดตรง ๆ มีสองเรื่องที่ผมเห็นว่าน่าห่วงคือ เรื่องการเรียนรู้ของนักเรียนที่ต้องไม่เสียโอกาสจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการใช้ชีวิตของนักเรียน ทั้งอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียน ควรมีการสอนเพิ่มเพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักว่าควรใช้ชีวิตในภาวะวิกฤตเช่นนี้อย่างไร ซี่งในขณะนี้ถือว่ารมว.ศึกษาธิการ กำหนดนโยบายภาพรวมดีแล้ว คือไม่ทำแบบตัดเสื้อโหล ให้โรงเรียนแต่ละแห่งมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนแต่ละแห่ง แต่มีสิ่งที่น่าห่วงคือเวปครูพร้อมที่กระทรวงศึกษาธิการเพิ่งเปิดตัวให้บริการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะกลายเป็นเวปครูไม่พร้อม เพราะความสามารถของเวปที่จะรองรับคนจำนวนมากเข้าไปดู อาจเกิดปัญหาได้ จึงอยากให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย” ศ.ดร.กนก กล่าว 

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุด้วยว่า ตัวเลขนักเรียนที่ สพฐ.ดูแลเฉพาะชั้นประถมและอนุบาลมีมากถึง 6.5 ล้านคน ถ้าพ่อแม่ครึ่งหนึ่งเฮละโลเข้าไปดูในเวปครูพร้อม จะพร้อมจริงหรือไม่ ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ และอย่าเข้าใจว่าเวปครูพร้อมคือคำตอบของทุกอย่าง เพราะเป็นเพียงการให้ข้อมูล ไม่ใช่การสอน ต้องมีระบบอื่นเข้าไปประกอบ เช่น ระบบออนไลน์ ออนไซด์ ออนแฮนด์ ระบบเหล่านี้สัมพันธ์กับเวปครูพร้อมหรือไม่ หรือว่าไปคนละทาง ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะเป็นปัญหา สร้างความสับสนได้ รมว.กระทรวงศึกษาธิการต้องบอกกับข้าราชการให้ชัด ถึงการบริหารในภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้เกิดวิกฤตด้านการเรียนการสอน จะทำงานแบบเดิมไม่ได้ เป็นพื้นฐานที่รัฐมนตรีต้องเปลี่ยนแนวคิด การกระทำของข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ถ้ายังทำแบบเดิมทุกอย่างจะไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ 

“ส่วนเรื่องระบบออนไลน์ต้องปรับใหม่ โดยครูต้องอัดคลิปในทุกชั่วโมงที่สอนประมาณครึ่งชั่วโมง นำคลิปไปแขวนที่เวปครูพร้อม ในรายวิชา ซึ่งนักเรียนสามารถเปิดดูได้ เท่ากับนักเรียนได้ฟังบรรยายก่อนเข้าห้องเรียน จากนั้นเชื่อมสู่ออนไซด์ คือ เมื่อนักเรียนมาโรงเรียนก็สามารถถามครูที่ห้องเรียนในสิ่งที่สงสัยได้ ขณะที่ครูสามารถตั้งคำถามกับนักเรียน นำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันได้ ดังนั้นสองระบบนี้จึงต้องออกแบบคู่ขนานกัน แต่น่าเสียดายที่กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ทำตรงนี้ ส่วนออนแฮนด์นั้นใช้กับกรณีเด็กที่ด้อยโอกาส โดยครูต้องไปเยี่ยมที่บ้าน เอาเอกสารไปแจก แต่กระทรวงศึกษาธิการก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร และที่อยากฝากรัฐบาลคือ การระดมฉีดวัคซีนให้ครูสี่แสนคน ก่อนเปิดเทอม และขอฝากถึงรมว.ตรีนุช ให้ตั้ง War Room ในกระทรวงศึกษาธิการได้แล้ว เพื่อติดตามผลการเรียนการสอนทุกวัน จะได้สั่งการแก้ปัญหาได้ทันท่วงที จึงจะเป็นการบริหารในภาวะวิกฤต” ศ.ดร.กนก กล่าว

กสม. ชี้ผู้ต้องขังคือกลุ่มเปราะบาง หวั่นกระทบสิทธิในเรือนจำหลังสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนัก  แนะรัฐบาลฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันและลดความรุนแรง

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำหน้าที่แทนประธานกสม. เปิดเผยว่า ในการประชุม กสม. ด้านการบริหาร เมื่อวันที่ 18 พพฤษภาคม 2564 กสม. มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสิทธิในสุขภาพและชีวิตของผู้ต้องขังในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 อันเนื่องมาจากสภาพความแออัดของเรือนจำและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังที่ต้องอาศัยในพื้นที่ปิดเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับและแพร่กระจายเชื้อ ประกอบกับเรือนจำต่าง ๆ ยังขาดแคลนอุปกรณ์ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค รวมทั้งบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่ดูแลผู้ต้องขังได้อย่างทั่วถึง 

ผู้ต้องขังถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ประกอบกับองค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้ประกาศแนวปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องขังว่า รัฐควรให้ความใส่ใจพิเศษต่อบุคคลที่ถูกคุมขังซึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นในการติดโรคในกรณีมีการแพร่ระบาดและการติดเชื้อเกิดขึ้นแล้ว และการเว้นระยะห่างทางสังคมยากที่จะกระทำได้ โดยรัฐควรมีมาตรการพิเศษสำหรับทุกคนในการแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อวิกฤติโดยเร็ว ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต กสม. จึงมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคส่วนต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการ ดังนี้

1.) ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาและดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำอย่างทั่วถึง ทั้งนี้หลังจากที่ได้มีการตรวจคัดกรอง แยกและรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อแล้ว

2.) ขอสนับสนุนให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตาม 10 มาตรการเชิงรุกในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำที่ได้ประกาศไว้ และควรพิจารณาเพิ่มเติมให้มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำและครอบครัวอย่างเข้มงวด

3.) ขอให้กรมราชทัณฑ์ทำความเข้าใจกับญาติของผู้ต้องขังถึงข้อจำกัดเรื่องสิทธิในการเข้าเยี่ยม การเปิดเผยข้อมูลความเจ็บป่วยของผู้ต้องขังที่ติดเชื้อแก่ญาติ และเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารหรือเข้าเยี่ยมผ่านระบบ Video Conference เพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องขังได้รับเชื้อโควิด-19 จากบุคคลภายนอก 

“กสม. ขอให้สังคมเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นทางด้านสาธารณสุขที่รัฐควรต้องเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ผู้ต้องขัง และตระหนักว่าผู้ต้องขังต่างก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกัน” นายสุวัฒน์ กล่าว

‘ธนกร’ ขอบคุณ ‘พี่เบิร์ด-อั้ม-ชมพู่’ ช่วยรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน เหน็บ ‘ช่อ’ จิตใจทำด้วยอะไร ไม่ช่วยแล้วยังเล่นการเมืองบนชีวิตประชาชน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ทวิตเตอร์กรณีที่ชมพู่ น.ส.อารยา เอ ฮาร์เก็ต นักแสดงชื่อดัง รีวิวการฉีดวัคซีนซิโนแวคในอินสตาแกรมว่า อยากเชิญชวนไปดูคลิปดาราและการแสดงออกทางการเมือง รวมทั้งตั้งคำถามว่า ดารามีชื่อเสียงได้มาจากรัฐบาลหรือประชาชนว่า ตนผิดหวังกับน.ส.พรรณิการ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่นการเมืองแบบไม่สนใจชีวิตของประชาชนเลย ปากก็บอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ทำการเมืองใหม่สร้างสรรค์ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกมันตรงข้ามโดยสิ้นเชิง การที่ดารานักแสดงหลายคนออกมาช่วยรณรงค์ให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนก็เพื่อช่วยประเทศชาติและประชาชนให้ฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ เป็นการรับผิดชอบต่อสังคม แต่น.ส.พรรณิการ์กลับออกมากระแนะกระแหน ออกมาด้อยค่าคนทำความดี ตรรกะวิบัติอย่างยิ่ง ไม่สมควรที่จะเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนเลย ที่ผ่านมาเครือข่ายของคณะก้าวหน้าก็ออกมาโจมตีรัฐบาลเช้า กลางวัน เย็น บิดเบือนข้อมูลวัคซีน แต่สุดท้ายส.ส.พรรคก้าวไกลเองก็ยังวิ่งไปฉีดเป็นลำดับแรก ๆ

นายธนกร กล่าวอีกว่า ตนอยากรู้จริง ๆ ว่า จิตใจ น.ส.พรรณิการ์ทำด้วยอะไร นอกจากไม่เคยคิดช่วย ยังเล่นการเมืองบนชีวิตของประชาชน วันนี้ตนเชื่อว่าพี่น้องคนไทยทั้งประเทศได้เห็นธาตุแท้ของน.ส.พรรณิการ์และเครือข่ายแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และศิลปินดารานักแสดงทุกคนที่ออกมาฉีดวัคซีน พร้อมทั้งช่วยเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ออกมาฉีดวัคซีน 

ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทย เชื่อมั่นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทุ่มเทแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างเต็มที่ พล.อ.ประยุทธ์ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ให้ได้ ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคนที่ให้ความร่วมมือดีมาก ตนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายช่วยกัน เราจะผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สมาคมแม่บ้าน บก.ทท. สนับสนุนสิ่งของอุปโภคบริโภค มอบให้ชาวชุมชนรถไฟมักกะสันที่เดือดร้อนจากโควิด-19

พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ จึงได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน นั้น

กองบัญชาการกองทัพไทย โดย กรมกิจการพลเรือนทหาร จัดกำลังพล และจิตอาสาพระราชทาน นำสิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภค จำนวน 600 ชุด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย นำไปแจกจ่ายให้กับชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน จำนวน 600 ครัวเรือน ณ จุดประสานงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)

กองบัญชาการกองทัพไทย ยังคงเคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือนร้อน โดยจะใช้ทุกศักยภาพที่มีในการดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมทั้งจะดำเนินการช่วยเหลือในพื้นที่อื่น ๆ อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย


 

ชาร์จ แมเนจเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจ 5 ปี จับมือพันธมิตร สร้าง Ecosystem ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการใช้งานทั้งกลุ่มชาร์จตามบ้าน-ชาร์จที่จุดหมายปลายทาง-ชาร์จตามสถานี ปักหมุดเบอร์หนึ่งธุรกิจชาร์จรถ EV ครบวงจร 

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า “SHARGE มองว่าภายใน 5 ปี การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมาจากทั้งปัจจัยที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกและการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมเร่งหาทางลดการสร้างมลภาวะ ในประเทศไทยเองก็พบว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาเรือนกระจกมาจากภาคการขนส่งถึง 27% ประเทศไทยจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดการตื่นตัวในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการขนส่งจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว (BEV) ที่จะเข้ามาช่วยลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์โดยตรง ซึ่งรถ BEV จะกลายเป็นเป้าหมายหลักของการขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์สันดาปมาสู่รถ EV อย่างยั่งยืนนั่นคือการมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับเพียงพอต่อการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหัวชาร์จได้อย่างทั่วถึง 

SHARGE จึงได้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อเข้ามาสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศต่อการเติบโตของรถ EV ด้วยการเป็นผู้ให้บริการด้านการชาร์จรถ EV อย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบของการจำหน่ายอุปกรณ์ชาร์จสำหรับติดตั้งตามที่อยู่อาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์ รวมถึงการพัฒนาสถานีชาร์จ (EV Charging Station) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินว่าภายใน 5 ปี (ปี 2563-2568) SHARGE จะสามารถสร้างยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท จากการขายเครื่องชาร์จ 16,000 เครื่อง โดยเป้าหมายรายได้ดังกล่าวจะมาจากการขายอุปกรณ์ให้กับโครงการที่พักอาศัย 30% และ 70% มาจากยอดขายไฟฟ้า จากหัวชาร์จที่กระจายอยู่ 250 แห่ง ให้บริการหัวชาร์จในแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ตลอดเส้นทางกรุงเทพ หัวหิน พัทยา และเขาใหญ่ ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้ SHARGE ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ครองส่วนแบ่งการตลาดผู้ให้บริการด้านธุรกิจการชาร์จรถ EV ในทุกรูปแบบมากกว่า 30% 

ภายใต้โรดแมป 5 ปี จะดำเนินผ่านกลยุทธ์ ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO’ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

• NIGHT : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐฯ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า

• DAY : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน  โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%

• ON THE GO : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด

สำหรับกลยุทธ์การเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้ง 3 กลุ่มนั้น SHARGE ได้จับมือกับพันธมิตรที่หลากหลายกลุ่มธุรกิจเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากที่สุด รวมถึงจัดหาโซลูชันการชาร์จ EV ให้กับพันธมิตร เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบเฉพาะเจาจง โดยเริ่มจากกลุ่ม NIGHT ที่ได้ร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย 5 ราย ในการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จให้กับโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภททั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ทำให้ปัจจุบันมีหัวชาร์จครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 25,000 ครัวเรือน ที่อยู่ในแผนที่จะมาใช้บริการติดตั้งอุปกรณ์จากชาร์จ ซึ่งจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จตามที่อยู่อาศัยนี้จะสนับสนุนให้ SHARGE ก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของผู้ให้บริการได้ 

ส่วนกลยุทธ์การเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่ม DAY นั้น SHARGE ได้จับมือกับศูนย์การค้าและค่ายรถยนต์ชั้นนำกว่า 7 ราย (ศูนย์การค้า 5 แห่ง ค่ายรถยนต์ 2 แห่ง) ในการติดตั้งหัวชาร์จที่ศูนย์การค้าและโชว์รูม ซึ่งล่าสุดได้ทำการติดตั้งหัวชาร์จที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และเซ็นทรัล ชิดลม และดูแลงานด้านระบบการให้บริการการชาร์จแบบครบวงจรให้กับโชว์รูมรถยนต์ปอร์เช่ โดยภายในปีนี้จะติดตั้งเพิ่มอีก 10 แห่งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นหัวชาร์จแบบชาร์จเร็ว (Quick Charge) 8 แห่ง

ขณะที่กลุ่ม ON THE GO ได้ร่วมมือกับพันธมิตรคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการพัฒนาสถานีชาร์จและร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านสถานีบริการน้ำมัน 1-2 รายรายในการปรับปรุงสถานีแบบเดิมให้กลายเป็นสถานีชาร์จรถ EV ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมสำหรับเปิดให้บริการ ครอบคลุมไปถึงหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่, เชียงราย, ชลบุรี, ระยอง, อยุธยาและภูเก็ต 

จุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือเราเป็นผู้ให้บริการ Total Solution ในด้าน ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM’ เชื่อมโยงผู้ใช้บริการทั้งรูปแบบ NIGHT, DAY, ON-THE-GO ด้วยแอปพลิเคชัน SHARGE ที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานอย่างครอบคลุมทุกพฤติกรรมการใช้งาน อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถ EV ในการค้นหาและจองสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั้งของชาร์จ และเครือข่ายพันธมิตรในแหล่งไลฟ์สไตล์ทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสามารถจ่ายค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชันได้ 

“อย่างไรก็ดีเป้าหมายการเติบโตยอดขายของ SHARGE นั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่คาดว่าจะมีการใช้รถ EV รวมทุกประเภทในปี 2568 ที่ 1,055,000 คัน และชาร์จได้คาดการณ์ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะสนับสนุนให้ตลาดอุปกรณ์ชาร์จรถ EV ขยายไปสู่มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาทในเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ มองว่าการเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Ecosystem) เพื่อส่งเสริมการใช้รถ EV เป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคในอนาคตอันใกล้” นายพีระภัทร กล่าว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมว.พม. เปิดกิจกรรม "เรามีเรา" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ปล่อยขบวนรถ ลงพื้นที่ 8 เขต กทม. ช่วยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19

วันนี้ 19 พฤษจิกายน 2564 ที่กระทรวง พม. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดตัว ( Kick Off) กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. เพื่อนำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเปราะบางในชุมชนจำนวน 8 พื้นที่ใน 8 เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

นายจุติ กล่าวว่า วันนี้กระทรวง พม. เปิดตัว ( Kick Off) กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. ลงไปยังชุมชนในหลายพื้นที่ เพื่อนำถุงยังชีพ น้ำดื่ม และเจลแอลกอฮอล์ ไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยการลงพื้นที่เป้าหมายให้ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขตในกรุงเทพฯ ซึ่งวันนี้ ขบวนรถ พม. ได้ลงพื้นที่นำร่อง 8 เขต ประกอบด้วย

1.) ศูนย์ประสานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร เขตราชเทวี

2.) อาคารเอนกประสงค์ วัดประชาระบือธรรม ถนนพระราม 5 เขตดุสิต

3.) หมู่บ้านเอื้ออาทร ศูนย์ สนง. ออมทรัพย์มั่นคง ถ.รามอินทรา 71 ซ.คู้บอน 27 แยก 37 เขตบางเขน

4.) โรงเรียนผู้สูงอายุแฟลต 64 ซ.ประชาสงเคราะห์ 19 เขตดินแดง

5.) ที่ทำการชุมชนโรงปูน เขตห้วยขวาง

6.) มัสยิดบางมะเขือ ซ.ปรีดี 4 สุขุมวิท 71 เขตวัฒนา

7.) ศูนย์ประสานงาน ชุมชนหมู่บ้านพลับพลา 30ไร่ ซ.รามคำแหง 21 เขตวังทองหลาง และ

8.) วัดพรหมสุวรรณสามัคคี เขตบางแค

นายจุติ กล่าวด้วยว่า สำหรับถุงยังชีพที่ประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นซึ่งนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและชาวชุมชน กระทรวง พม. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายที่ได้ร่วมมือร่วมใจบริจาคสิ่งของจำนวนมาก รวมทั้งเงินบริจาค ได้แก่  

1.) Mr. Tatsuya Nozaki ประธาน บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด

2.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

3.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

4.) สถาบันอนุสรีรวมใจให้กันและมูลนิธิพุทธรังษี

5.) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 62

6.) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 63

7.) บริษัท เอ - พลัส ชัพพลาย จำกัด 8.บริษัท ชาญกิจเทรดดิ้ง จำกัด

9.) เอ็มบีเค กรุ๊ป และ

10.) โลตัส

นายจุติ กล่าวอีกว่า ตนขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมกันในวันนี้ ในนามของรัฐบาลและในนามของตัวแทนประชาชนคนไทยที่วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนไทยไม่ทิ้งกัน เรายังจะต้องต่อสู้กับโควิด-19 ไปอีกสักพัก เพื่อเอาชนะมันไปด้วยกันทั้งประเทศให้ได้ สำหรับของที่มาบริจาคทุกบาททุกสตางค์หรือของทุกชิ้นที่ทุกคนเสียสละความสุขส่วนตัวมามอบให้กับคนที่ไม่มี ให้กับผู้ที่มีความอยากลำบากมากกว่า นี่เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญและน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เราจะนำสิ่งของที่ทุกท่านบริจาคมาทุกชิ้นไปมอบให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้เร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top