Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

'คลัง' เตรียมขาย 'หวยเกษียณ' ใบละ 50 บาท ลุ้นรางวัลใหญ่ทุกวันศุกร์ ส่วนสลากที่ไม่ถูก เก็บเป็นเงินออม ถอนออกมาใช้ได้ตอนอายุ 60 ปี

(6 มิ.ย. 67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยมีปัญหาประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณ แต่ไร้เงินเก็บ ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของไทย และปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการอัดงบประมาณในรูปแบบเบี้ยคนชราจำนวนสูง ๆ ซึ่งในที่สุดแล้วระบบงบประมาณไม่มีทางรับไหว

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงการคลังกำลังพิจารณานโยบาย ‘สลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ’ หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า ‘สลากเกษียณ’ หรืออย่างไม่เป็นทางการว่า ‘หวยเกษียณ’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบายที่รวมเอาลักษณะการชอบเสี่ยงดวงของคนไทยมาเป็นแรงจูงใจในการเก็บออมที่สามารถถอนเงินที่ซื้อสลากทั้งหมดออกมาได้ตอนเกษียณ (อายุ 60 ปี)

“ปัจจุบันการใช้งบประมาณสำหรับดูแลเบี้ยชราสูงถึงปีละหลายแสนล้านบาท แต่หวยเกษียณดังกล่าวใช้เงินงบประมาณมาดำเนินการ เฉลี่ยใช้งบเพียงสัปดาห์ละ 15 ล้านบาท คิดเป็นเดือนละ 60 ล้านบาท หรือปีละ 700 ล้านบาทเท่านั้น และขั้นตอนในการดำเนินการสามารถทำได้ด้วยการแก้ไขกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติเพิ่มเติม คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในปี 2568”

โดยหวยเกษียณมีรายละเอียดเบื้องต้น (สามารถเปลี่ยนได้ภายหลัง) ดังนี้

1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ออกสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท เพื่อขายให้กับสมาชิก กอช. ผู้ประกันตน ม. 40 และแรงงานนอกระบบ (กลุ่มเป้าหมายจะเพิ่มเติมภายหลัง) ซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน

2. สามารถซื้อสลากได้ทุกวัน แต่ออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันที โดยที่เงินค่าซื้อสลากถูกเก็บเป็นเงินออม แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม

3. รางวัลของ ‘ทุกวันศุกร์’ กำหนดดังนี้ (อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม)

- รางวัลที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
- รางวัลที่ 2 จำนวน 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล

4. ‘เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก’ (เงินสะสม) ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. โดย กอช. จะเป็นผู้บริหารจัดการเงินจำนวนดังกล่าว และเมื่อผู้ซื้อสลากอายุครบ 60 ปี จะสามารถถอนเงินทั้งหมดที่ซื้อสลากมาทั้งชีวิตออกมาได้

ทั้งนี้ ปัจจุบันสมาชิกกอช. มีอยู่ประมาณ 3 ล้านราย คาดว่าหากแก้ไขกฎหมายและออกผลิตภัณฑ์หวยเกษียณ จะสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาออมเงินเพิ่มเติม คาดว่าจำนวนสมาชิกจะเพิ่มขึ้นเป็น 16-17 ล้านราย สำหรับการดำเนินการดังกล่าว ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาต่อระบบการจำหน่ายสลากในปัจจุบัน

“นโยบายนี้จะเข้าแก้ไขปัญหาคนไทยแก่แต่จน แก่แต่ไม่มีเงินเก็บ เพราะการออมภาคสมัครใจในปัจจุบันไม่ได้ผล ต้องอาศัยการออมที่ผูกกับแรงจูงใจซื้อสลาก ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย กลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ไม่ถูกทุกบาททุกสตางค์จะถูกเก็บเป็นเงินออมยามเกษียณ ซื้อมาก ได้ลุ้นมาก มีเงินออมมาก”

'สุริยะ' แง้มข่าวดี 'ดูไบ พอร์ต เวิลด์' สนลุยแลนด์บริดจ์-ปธ.จ่อบินมาดูงานเอง พร้อมเผย!! หากร่างกม.แล้วเสร็จ เปิดประมูลโครงการได้ปลายปี 68 

(6 มิ.ย.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ว่า ได้เข้าพบหารือกับบริษัทประธานบริษัท 'ดูไบ พอร์ต เวิลด์' ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก มีธุรกิจเรือเดินสมุทรถึง 1,700 ลำ และบริหารท่าเรือในหลาย 10 ประเทศ   ซึ่งบริษัทดังกล่าวแสดงความสนใจที่อยากมาลงทุนในประเทศไทย โดยจะเดินทางมาประเทศไทยภายในเดือนนี้ ขณะนี้กำลังเคลียร์ตารางงานอยู่ 

ส่วนความพร้อมของประเทศไทยในโครงการนี้ยืนยันว่า ในแง่การศึกษาเบื้องต้นค่อนข้างชัดเจนว่ามีประโยชน์ต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยดูจากการที่มีบริษัทในต่างประเทศที่รัฐบาลได้ชักชวนก็ให้ความสนใจ แต่โครงการนี้สำคัญที่สุด คือภาคเอกชน ที่จะตัดสินใจในการลงทุน ว่าโครงการนี้จะเดินต่อไปได้หรือไม่ แต่เท่าที่พูดคุยบริษัทชั้นนำ จากกรุงโรม อิตาลี, ดูไบ และจีน มีบริษัทชั้นนำให้ความสนใจในโครงการนี้ จึงมั่นใจว่าโครงการนี้เกิดขึ้นแน่   

ทั้งนี้การเดินสายโรดโชว์แต่ละประเทศถือว่าสิ้นสุดแล้ว และเตรียมความคิดเห็นที่เดินทางไปแต่ละประเทศ มาลงในรายละเอียด ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. หรือ ร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ ก่อนนำเสนอสู่ ครม. และนำเข้าสู่สภาได้ในสมัยประชุมสภาสามัญนี้  

ทั้งนี้นายสุริยะ ยืนยัน เมื่อ ร่างกฎหมายแลนด์บริดจ์ แล้วเสร็จ จะสามารถเปิดประมูลโครงการได้ ในปลายปี 2568 

‘รัดเกล้า’ เผย ‘ครม.’ เห็นชอบมติเอเปกพัฒนาท่องเที่ยวใน ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ พร้อมหนุน ‘ท่องเที่ยวใส่ใจธรรมชาติ’ หวังดัน ‘ท่องเที่ยวไทย’ สู่เวทีระดับโลก

(6 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายน 2567 สาธารณรัฐเปรู ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปก ครั้งที่ 12 ขึ้น เพื่อให้ประเทศสมาชิกรับทราบและรับรองผลการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเอเปก ปี พ.ศ. 2563-2567 รวมทั้งมอบนโยบาย และกำหนดทิศทางการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยในการประชุมจะได้ร่วมกันรับรองร่างเอกสาร 3 ฉบับ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (4 มิ.ย. 2567) ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติแล้ว ได้แก่

1.ร่างถ้อยแถลงการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปก ครั้งที่ 12 
2.ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายหลักการในการป้องกันและลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 
และ 3.ร่างแนวคิดโครงการแพลตฟอร์มเอเปกเพื่อเผยแพร่โอกาสความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมใหม่ เพื่อรับมือกับความท้าทายในภาคการท่องเที่ยวในปัจจุบัน รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการและการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 

ในขณะที่ ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายฯ เป็นโครงการวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยสาธารณรัฐเปรู ซึ่งได้ระบุเกี่ยวกับปัญหาของการทำอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขยะอาหารในภาคการท่องเที่ยว และได้มีข้อเสนอแนะ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหลักการของเอเปกให้เป็นรูปธรรม และร่างแนวคิดโครงการฯ ที่มีเป้าหมายในการสร้างแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในภาคการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน การถ่ายทอดความรู้ การแลกเปลี่ยนโอกาสด้านความร่วมมือที่มีอยู่ และการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ทั้งนี้ ร่างเอกสารฯ จำนวน 3 ฉบับ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของเขตเศรษฐกิจเอเปก เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นการแสดงถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว และกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อย่างครอบคลุมและยั่งยืน รวมถึงยังเป็นการสนับสนุนบทบาทเด่นของประเทศไทยในเวทีนานาชาติด้วย

“โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงการท่องเที่ยวในหลายทิศทาง ทั้งแนวความคิดที่มีต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และใส่ใจรับผิดชอบ และรูปแบบที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวทางหลักของการประชุมนี้ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมใหม่ เพื่อรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมเดินหน้ากับเอเปกส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประเพณี สร้างงาน กระจายรายได้ให้แก่ท้องถิ่น” นางรัดเกล้ากล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอบคุณพี่น้องประชาชน ร่วมใจเปิดทางให้ตำรวจนำส่งอวัยวะหัวใจ ดวงที่ 97 ระยะทางเกือบ 300 กม. ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเศษ ถึงที่หมายทันเวลา

วันนี้ (6 มิถุนายน 2567) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ขอขอบคุณตำรวจจราจรในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ระยอง และชลบุรี , ตำรวจทางหลวง , ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ที่ร่วมอำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่งโรงพยาบาลศิริราช ดวงที่ 97 และขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีตลอดเส้นทางในการเปิดทางให้กับรถฉุกเฉิน จึงนำส่งได้ทันเวลาทำให้ภารกิจส่งต่อชีวิตใหม่ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี พร้อมกันนี้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรทุกนายที่มีส่วนร่วมในภารกิจนี้อย่างอย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรกำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด
 
โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 12.20 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลงานจราจร สั่งการให้ตำรวจจราจรและตำรวจทางหลวงตลอดเส้นทางตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลต้นทางใน จ.จันทบุรี ถึงโรงพยาบาลศิริราช ได้ร่วมกันอำนวยความสะดวกการจราจร โดยทำหน้าที่รถนำให้แก่รถพยาบาลของโรงพยาบาลศิริราช ในการนำส่งหัวใจที่ได้รับการบริจาคไปปลูกถ่ายให้กับผู้รอรับบริจาค เพื่อส่งต่อโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับผู้ป่วย และด้วยความร่วมมือในครั้งนี้จากตำรวจจราจรทุกทางร่วมทางแยก และความร่วมมืออย่างเต็มที่จากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนที่เปิดทางให้ จึงใช้เวลาเดินทางทั้งหมดเพียง 2 ชั่วโมง 19 นาที ในระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร นำส่งถึงมือแพทย์ที่รออยู่ในห้องผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยทันเวลา 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า กรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้นับเป็นรายที่ 97 แล้ว ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ ซึ่งการนำส่งอวัยวะหัวใจนั้น ถือเป็นภารกิจที่สำคัญ เนื่องจากผู้บริจาคอวัยวะหัวใจ และครอบครัวของผู้บริจาคยอมมอบบริจาคหัวใจ เพื่อส่งต่อโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับผู้รอรับบริจาค ซึ่งระยะเวลานับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่ายผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา 

ทั้งนี้ ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้ สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ และหากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197

ย้อนภารกิจปิดทองหลังพระ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ วีรบุรุษผู้ปิดฉากมหากาพย์ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ตัวจริง

(6 มิ.ย. 67) ‘โฮปเวลล์’ เป็นโครงการคมนาคมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2533 สมัยรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และ มนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โครงการนี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพฯ’ โดยรูปแบบโครงการเป็นโครงการก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และรถไฟฟ้ายกระดับ บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศประกอบด้วย โครงสร้างยกระดับทางรถไฟขึ้นไปเหนือผิวการจราจร เพื่อลดจุดตัดกับทางรถยนต์ (Grade Crossing) เพื่อลดปัญหาการใช้รถยนต์ต้องหยุดรอรถไฟ ก่อสร้างคร่อมทางรถไฟที่มีอยู่ ในระยะทางรวม 60.1 ก.ม. 

‘โฮปเวลล์’ มาจากชื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่จากฮ่องกงของ ‘กอร์ดอนวู’ ซึ่งเป็นผู้ยื่นขอสัมปทานเพียงรายเดียว รัฐบาลไทยได้เซ็นสัญญากับโฮปเวลล์เมื่อ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 โดยมีการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นคู่สัญญา สิ่งที่โฮปเวลล์ได้รับคือสัมปทานเดินรถและเก็บค่าผ่านทางพร้อมสิทธิ์ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใต้ทางรถไฟยกระดับและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สองข้างทางเนื้อที่กว่า 600 ไร่ ระยะยาว 30 ปี โดยเสนอผลตอบแทนให้รัฐบาล 53,810 ล้านบาท

โครงการ ‘โฮปเวลล์’ ใช้วิธีการก่อสร้างแบบเทิร์นคีย์คือออกแบบไปและก่อสร้างไปด้วยพร้อมกัน โดยการรถไฟฯ สนับสนุนด้านการประสานกับหน่วยงานรัฐจัดหาพื้นที่ก่อสร้างและพัฒนา ส่วนโฮปเวลล์จะออกแบบรายละเอียดก่อสร้าง จัดหาเงินทุนโครงการ 6,000 ล้านบาท วางแผนการเงินจ่ายค่าตอบแทนรายปีและผลกำไรให้การรถไฟฯ ตลอดแนวเส้นทาง 60.1 ก.ม. ถูกตัดแบ่งการก่อสร้าง 5 ระยะ ช่วงที่ 1 ยมราช-ดอนเมือง 18.8 ก.ม. ช่วงที่ 2 ยมราช-หัวลำโพง-หัวหมาก และมักกะสัน-แม่น้ำเจ้าพระยา 18.5 ก.ม. ช่วงที่ 3 ดอนเมือง-รังสิต 7 ก.ม. ช่วงที่ 4 หัวลำโพง-วงเวียนใหญ่ และยมราช-บางกอกน้อย 6.7 ก.ม. และช่วงที่ 5 วงเวียนใหญ่-โพธิ์นิมิตร และ ตลิ่งชัน-บางกอกน้อย 9.1 ก.ม.

แต่การก่อสร้างตามโครงการฯ เป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากประสบปัญหาในการส่งมอบพื้นที่บริเวณริมทางรถไฟ กอปรกับเศรษฐกิจของไทยในระยะนั้นไม่เติบโตเหมือนในช่วงแรกของรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ทำให้แนวโน้มการลงทุนธุรกิจในอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลง ปัญหาเรื่องจุดตัดกับโครงการถนนยกระดับวิภาวดีรังสิต (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และการก่อสร้างล่าช้าจนอัตราคืบหน้าของงานไม่เป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้กับรัฐบาล ซ้ำร้าย พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย (วิกฤตต้มยำกุ้ง) ทำให้บริษัทโฮปเวลล์หยุดการก่อสร้างอย่างสิ้นเชิง หลังดำเนินการก่อสร้างเป็นเวลา 7 ปี และมีความคืบหน้าเพียง 13.77 % ขณะที่ตามแผนงานกำหนดไว้ว่าควรจะมีความคืบหน้า 89.75% กระทรวงคมนาคมจึงได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2541 ในสมัยรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ (ชวน 2) เป็นนายกรัฐมนตรี และ ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมี ‘สราวุธ ธรรมศิริ’ เป็นผู้ว่าการการรถไฟฯ 

อันเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ เมื่อ ‘โฮปเวลล์’ ยื่นเรื่องต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เพื่อฟ้องกลับและเรียกร้องค่าเสียหายในการยกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นค่าใช้จากการเข้ามาลงทุนเป็นเงิน 56,000 ล้านบาท ในขณะที่การรถไฟฯ ก็เรียกร้องค่าเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงการ เป็นเงินกว่า 200,000 ล้านบาท คณะอนุญาโตตุลาการประกอบด้วย นายสมศักดิ์ บุญทอง รองอัยการสูงสุด ในฐานะตัวแทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย, รองศาสตราจารย์วีระพงษ์ บุญโญภาส อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนจากโฮปเวลล์ฯ และนายถวิล อินทรักษา อดีตผู้พิพากษา เป็นประธานคณะอนุญาโตตุลาการ ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องคืนเงินชดเชยให้โฮปเวลล์โฮลดิงส์ เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม เป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำระไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38,749,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท ให้กับบริษัทฯ

ต่อมา เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 สมัยรัฐบาล ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ซึ่งมี ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม มีคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมจ่ายค่าชดเชยให้โฮปเวลล์ 11,888 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญายังไม่จบ มีการนำคดีขึ้นศาลปกครองกลางเพื่อให้ศาลชี้ขาด ต่อมา 13 มีนาคม พ.ศ. 2557 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ 2 ฉบับ และให้ปฏิเสธการบังคับตามคำชี้ขาด ทำให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้โฮปเวลล์ ขณะที่ ‘โฮปเวลล์’ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดจนมามีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดเมื่อ 22 เมษายน พ.ศ. 2566 ให้รัฐจ่ายค่าชดเชยให้โฮปเวลล์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด

แต่กลางปี พ.ศ. 2562 ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้มอบหมายให้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ได้เข้าไปทำการ สะสาง ตรวจสอบ ตรวจทาน และเรียบเรียงเอกสารต่างๆ ที่หมักหมมมานานกว่าสามสิบปี เปลี่ยนมาหลายรัฐบาล จนขึ้นใจทุกขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้เอาจริงๆ แล้ว ต้องมีคนรับผิดอีกหลายคน ด้วยความร่วมมือของ ‘สุทธิรักษ์ ยิ้มยัง’ (ยิ้ม) เจ้าหน้าที่อนาบาล (นิติกร) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ที่อุทิศตน เสียสละ และทุ่มเท ในการรวบรวม อ่าน และเตรียมการข้อมูลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าไว้หมดเมื่อนานมาแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และทีมงานซึ่งทำภารกิจนี้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่

จนสามารถสรุปข้อเท็จจริงแล้วนำเสนอต่อศาลปกครองสูงสุดได้ว่า เนื่องจาก ‘โฮปเวลล์’ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 จนกระทั่งวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ‘โฮปเวลล์’ ถึงได้ยื่นคำร้องต่ออนุญาโตตุลาการให้วินิจฉัยชี้ขาด ก่อนที่จะฟ้องร้องคดีจนถึงศาลปกครองในเวลาต่อมา ตามกฎหมายแล้วการจะยื่นคำร้องต่ออนุญาโตฯ หากไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้เฉพาะ จะต้องทำภายใน ‘5 ปี’ นับแต่วันที่มีการโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา แต่ ‘โฮปเวลล์’ กลับยื่นคำร้องหลังได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาถึง 6 ปีกับ 10 เดือนเศษ ซึ่งน่าจะเลยกำหนดระยะเวลา หรือหมด ‘อายุความ’ ที่จะสามารถยื่นคำร้องได้ตามกฎหมาย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 5/2564 ตามคำร้องของกระทรวงคมนาคมและ ร.ฟ.ท. ที่ยื่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินว่า มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด โดยมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565 จึงมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำร้องของกระทรวงคมนาคมและ ร.ฟ.ท. ที่ขอให้นำคดีนี้มารื้อฟื้นใหม่ไว้พิจารณา และที่สุดเมื่อ 18 กันยายน พ.ศ. 2566 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชดใช้คดีโฮปเวลล์ 2.7 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้พิจารณาคดีใหม่ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565 โดยศาลปกครองกลางเห็นว่า โฮปเวลล์ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการปิดฉากมหากาพย์ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ที่ยาวนานกว่า 33 ปีได้สำเร็จในที่สุด

‘ชัชชาติ’ สั่งสอบปม ‘ซื้อเครื่องออกกำลังกาย’ แพงเกินเหตุ ลั่น!! ผิดเป็นผิด หากพบทุจริตพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย

(6 มิ.ย.67) จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก ชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย เปิดเผยถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของ กทม. โดยพบเห็นความผิดปกติในการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อแพงจริง โดยเป็นการจัดซื้อของ ศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ และศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ รวมกัน 2 ที่เกือบ 10 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ศูนย์วารีภิรมย์ 4,999,990 บาท และ ศูนย์วชิรเบญจทัศ วงเงิน 4,998,800 บาทนั้น

ที่ศาลาว่าการกทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. และนายต่อภัสร์ ยมนาค ผู้พัฒนาระบบ actai.co แถลงกระบวนการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายในศูนย์กีฬาฯ

นายชัชชาติ กล่าวว่า กทม.ทราบเรื่องการถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องการจัดซื้อที่มีความผิดปกติจาก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว จากการสุ่มตรวจของ สตง. ซึ่งยอมรับว่าจากข้อมูลบางส่วนพบการจัดซื้อมีราคาสูงกว่าท้องตลาด แต่ขั้นตอนทางฝ่ายสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม.ชี้แจงว่า เป็นไปตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง ปี 2560 มีการทำ TOR ผ่านขบวนการ e-bidding เรียบร้อยแล้ว

การจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ให้อำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบในการอนุมัติวงเงินแตกต่างกันไปตามลำดับตำแหน่ง ผู้บริหารกทม.ไม่สามารถเข้าไปสั่งการนอกเหนือ พ.ร.บ.กำหนดไว้ได้ และยืนยันฝ่ายบริหาร กทม.ไม่เคยสั่งการให้ทุจริต

ทั้งนี้ กรณีการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย กทม.ได้ตั้งคณะกรรมการป้องกันการทุจริต ตรวจสอบและรายงานข้อมูล ให้ สตง.รับทราบแล้ว ถ้าตรวจสอบพบคนที่กระทำความผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เราเอาจริงเอาจัง ไม่ยอมรับต่อการทำผิด ข้อมูลที่ออกมาเชื่อว่าประชาชนรับไม่ได้ หากราคาเกินไป อธิบายไม่ได้ คงต้องมีคนรับผิดชอบ

นายชัชชาติ กล่าวด้วยว่า โครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายดังกล่าว คณะกรรมการได้ตรวจรับมาแล้ว จึงไม่อยากให้โทษผู้ว่าฯ คนเก่า ไม่เกี่ยวกับโครงการเก่า เป็นโครงการในสมัยนี้ มีบางโครงการที่ถูกตัด จึงต้องใส่โครงการใหม่เพิ่มตามงบประมาณ การจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายมีมานานแล้ว หลายผู้ว่าฯ ราคาอาจจะอ้างอิงมาจากสมัยก่อน แต่การซื้ออยู่ในงบประมาณที่เราอนุมัติ ดังนั้น จึงไปโทษคนอื่นไม่ได้

ส่วนราคาเครื่องออกกำลังกายแพงหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้ อาจเป็นการชี้นำ หากเกิดข้อสงสัย ต้องมีการตรวจสอบและชี้แจง และจะขยายการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ในระดับโครงสร้างเพื่อให้โครงการอื่นมีความโปร่งใส เนื่องจากปัญหาทุจริตมีมานานและฝังรากลึก

“ผมไม่กลัว เพราะไม่เคยสั่งให้ทำอะไรผิด ไม่เคยบอกให้ทำอะไรไม่ดี เรายินดีให้ตรวจสอบ ผมยืนแก้ผ้าให้ดูได้เลย เพราะไม่เคยกลัว ผิดก็ต้องผิด เพราะไม่เคยสั่งให้ทำผิด เราไม่กลัวที่จะไปสอบทุกคน ฝ่ายบริหารยืนยันว่าไม่เคยไปสั่งให้ทำไม่ดี เราเน้นความโปร่งใส” นายชัชชาติ กล่าว

ด้านนายศานนท์ กล่าวว่า เรื่องการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายในศูนย์กีฬาฯ มีการจัดซื้อจัดจ้างมาตั้งแต่เดือน มี.ค.65 ก่อนที่ผู้บริหาร กทม.ชุดนี้จะเข้ามา ราคาประมาณ 600,000 บาท ตลอดจนปี 66 และ 67 มีการจัดซื้อ และมาเกิดเรื่องตามข่าวในปี 67

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวและโครงการอื่น ๆ มีรายละเอียดจำนวนมาก จำเป็นต้องช่วยกันตรวจสอบหลายฝ่าย โดยในปี 2568 กทม.มีแผนจัดทำร่างโครงการ Open Bangkok โดยร่วมกับ https://actai.co เพื่อสามารถตรวจสอบได้ทั่วถึง ให้ทุกโครงการ ตรวจสอบได้ เช่น หากพบการเสนอราคาต่ำเกินกว่า 40% ประชาชนสามารถร้องเรียนเพื่อตรวจสอบได้

ขณะที่นายต่อภัสร์ กล่าวว่า เว็บไซต์ actai.co เป็นการเชื่อมข้อมูลกับกรมบัญชีกลาง เพื่อเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่าง ๆ ทั้งหมดโดยละเอียด เช่น สัญญา งบประมาณ ประวัติผู้เสนอราคา สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 5 ปี เมื่อประชาชนเข้าไปค้นหาและรับทราบข้อมูลแล้วพบว่ามีความเสี่ยง สามารถนำข้อมูลไปร้องเรียนเพื่อการตรวจสอบต่อไปได้ โดยเว็บไซต์ดังกล่าว เป็นเพียงการนำเสนอ เปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนเท่านั้น ในอนาคตอาจมีการเชื่อมโยงข้อมูลทรัพย์สินนักการเมืองเพิ่มเติม

นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบัน สตง. สุ่มตรวจโครงการของ กทม. ซึ่ง กทม.ให้ข้อมูลทั้งหมด 9 โครงการที่มีการตรวจสอบซึ่งอยู่ในส่วนของสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) ซึ่ง กทม.พร้อมให้ความร่วมมือ ส่วนผลการตรวจสอบเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยการป้องปรามการกระทำทุจริตได้เน้นย้ำตามนโยบายของผู้ว่าฯ มาตลอด

'อลงกรณ์' ชี้ ประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะอับจนทางเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลไร้แผนรับมือ

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์อดีตรัฐมนตรีและส.ส.6สมัยโพสต์ในเฟสบุ๊ควันนี้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศโดยชี้ว่า “ประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะอับจนทางเศรษฐกิจเพราะรัฐบาลไม่มีแผนรับมือที่ชัดเจนไม่มีแผนแม่บทในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจรวมทั้งแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ทั้งที่รัฐบาลทำงานมาเกือบปี ล่าสุดเพิ่งเรียกประชุม“ครม.เศรษฐกิจ”

ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่มีแผนหรือมาตรการใดๆออกมาอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะมีสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังทรุดหนักมาหลายเดือนแล้วเช่นตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้เติบโตเพียง 1.5 %ต่ำที่สุดในอาเซียนและต่ำกว่าปี2566ที่ขยายตัว 1.9 %

ในขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)น้อยกว่าอินโดนีเซีย7เท่า มาเลเซีย6เท่าและเวียดนามกว่า2เท่าโดยปี 2566 เอฟดีไอ.ไหลเข้าอินโดนีเซีย 21,701 ล้านดอลลาร์, มาเลเซีย 18,500 ล้านดอลลาร์, เวียดนาม 8,255 ล้านดอลลาร์ และไทย 2,969 ล้านดอลลาร์ 

เมื่อไม่มีการลงทุนใหม่ๆก็ไม่มีการจ้างงานเพียงพอต่อลูกหลานที่จบออกมาในแต่ละปี ส่วนมูลค่าการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์สร้างรายได้หลักของประเทศก็โดนเวียดนามและมาเลเซียแซงหน้าไปแล้วโดยการส่งออก 4 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 94,274 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่เวียดนามมีมูลค่า 123,928 ล้านดอลลาร์ และมาเลเซียมีมูลค่า 100,836 ล้านดอลลาร์สะท้อนถึงภาวะถดถอยของขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย

นอกจากนี้เรายังมีปัญหาโคลนติดล้อ นั่นคือ“หนี้สาธารณะ” ณ 31 มี.ค. 2567 มีจํานวน
11,474,153 ล้านบาท คิดเป็น 63.67% ของ GDP โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกว่า 10,087,188 ล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลยังมีแผนก่อหนี้เพิ่มขึ้นกว่าล้านล้านบาทในปีงบประมาณ2567-2568แต่ไม่มีแผนสร้างรายได้ที่จับต้องได้

“ประเทศต้องการการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวไปพร้อมๆกันโดยมีแผนและกลไกที่เป็นรูปธรรม รัฐบาลจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียวไม่ได้ 

ผมเคยเสนอนายกรัฐมนตรีให้หยุดหรือลดการเดินสายทั้งในและต่างประเทศลงบ้างแล้วหันมาจัดทำแผนแม่บทในการกอบกู้และปฏิรูปเศรษฐกิจโดยเร่งด่วนให้แล้วเสร็จแต่ก็ไม่ฟังกันจนเศรษฐกิจเริ่มชะงักงัน ถ้ารัฐบาลยังทำงานแบบที่ผ่านมา คนที่เดือดร้อนลำบากที่สุดคือประชาชนและประเทศไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในการแข่งขันระดับโลกไม่สามารถก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางที่ติดหล่มมากว่า20ปี“

CHANGAN เร่งดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV  คาด!! ดีลในประเทศเบื้องต้น 3,600 ล้านบาท จาก 67 บริษัท

(6 มิ.ย.67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 บีโอไอ และบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด ได้ร่วมกันจัดงาน ‘CHANGAN Sourcing Day’ ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ สำหรับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ฉางอาน จำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ Interior and Exterior Group, Stamping Group, Sealing and Sound Absorption Group, Aluminum Die-Casting Group, Suspension System Group และ Electrical Parts Group โดยการจัดงานในครั้งนี้ มีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมงานเพื่อรับฟังนโยบายการจัดซื้อชิ้นส่วนและหลักเกณฑ์การเข้ามาเป็น Supplier ของบริษัท จำนวนกว่า 400 คน จาก 233 บริษัท โดยในจำนวนนี้ มีบริษัทที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเจรจาธุรกิจในครั้งนี้จำนวน 78 คู่ ครอบคลุมชิ้นส่วนหลักๆ ตามความต้องการของฉางอาน เช่น High Voltage Harness, Outside Door Handle, E-Drive, Cross Car Beam (Die Casting), Intelligent Thermal, Outside Door mirror และ Headlining/Carpet ซึ่งจากการประเมินผลเบื้องต้น พบว่าการเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ จะเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 3,600 ล้านบาท จาก 67 บริษัท

ทั้งนี้ ฉางอาน เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตยานยนต์อันดับต้นๆ ของจีน มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์มากกว่า 40 ปี ยอดขายสะสมกว่า 26 ล้านคัน และในปี 2566 มียอดขายทั่วโลกมากกว่า 2.55 ล้านคัน อีกทั้งเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรม โดยมีบุคลากรในทีมวิจัยและพัฒนากว่า 18,000 คน เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ฉางอาน ได้ประกาศแผนสร้างฐานการผลิตในไทย โดยมีเงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาแห่งแรกของบริษัทที่อยู่นอกประเทศจีน และเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และแอฟริกาใต้ โรงงานจะตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง กำลังการผลิตรวม 100,000 คันต่อปี และจ้างงานกว่า 2,000 คน โดยได้วางศิลาฤกษ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2568 นี้ 

‘ที่ผ่านมา บีโอไอได้จัดกิจกรรม Sourcing Day ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 4 ราย ได้แก่ BYD, NETA, MG และ BMW ได้ทำให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 42,000 ล้านบาท โดยการจัดงาน CHANGAN Sourcing Day ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศใน Tier ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดซื้อชิ้นส่วน การว่าจ้างผลิต หรือการร่วมมือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาสู่ผู้ประกอบการไทย ซึ่งบริษัท ฉางอาน ได้แสดงถึงความตั้งใจจริงที่จะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ โดยได้ประกาศเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากถึงร้อยละ 60 ภายในปีแรก และจะเพิ่มถึงร้อยละ 80 ภายใน 5 ปีอีกด้วย’ นายนฤตม์ กล่าว

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมหารือข้อราชการสำคัญ ที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดนราธิวาส

วันนี้ 6 มิ.ย.67 เวลา 09.40 น. ที่ห้องรับรอง ศาลากลางจังหวัดนราธิวาส แห่งที่ 2 ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และคณะ เดินทางมาพบปะ ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม 
ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดนราธิวาสจังหวัดนราธิวาส  เพื่อหารือข้อราชการในพื้นที่   โอกาสที่เดินทางมาตรวจเยี่ยม ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดนราธิวาส และ ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดนราธิวาส  โดยมีพลเรือตรี มรุเดช  บุญนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานฝ่ายอำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2  นาวาเอก ธัชธรรม์ ณ สงขลา  รองผู้อำนวยการรักษาความมันคงภายในจังหวัดนราธิวาส   นาวาเอก กาจ บุญวิทยา รองผู้อำนวยการศูนย์รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดนราธิวาส และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับ

พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ  รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการในพื้นที่ และรับทราบปัญหาอุปสรรค ข้อขัดข้อง และเพื่อตรวจติดตามสถานการณ์ ของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลซึ่งมีนายกรัฐมนตรีฯ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ  โดยนายกรัฐมนตรี ได้เน้นเน้นย้ำ  เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด การป้องกันการลักลอบขนย้ายยาเสพติดทางทะเล  ให้ร่วมกันป้องกันและแก้ปัญหาดังกล่าวให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

นอกจากที่ทางกองทัพเรือ ได้ติดอาวุธทางปัญญา ได้จัดการอบรมเรื่องการประชาสัมพันธ์ ให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับทางภาครัฐ

พร้อมกล่าวอีกว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ได้มอบนโยบายให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ทุกหน่วย ดำเนินการจัดโครงการบำเพ็ญประโยชน์เก็บขยะบริเวณชายหาด  บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม 

ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม  ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า อยากให้มีการบูรณาการร่วมกันในเรื่องการซักซ้อมแผนทางทะเล  ควบคู่กับการให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ที่เป็นภาคีเครือข่าย เกี่ยวกับการใช้อาวุธ การป้องกันตัว ขณะปฏิบัติหน้าที่ ในการทำงานร่วมกับศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่

สำหรับศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล  มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภายใต้การบังคับบัญชา ของนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศรชล. โดยมุ่งเน้นความมั่นคงทางทะเลแบบองค์รวม จึงมีการบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานหลักของ ศรชล. 7 หน่วยงาน ในการบังคับใช้กฎหมายในทะเล และให้ความคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล สำหรับผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ คือ การช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวในทะเล, การส่งกลับผู้เจ็บป่วยสายแพทย์ การบูรณาการหน่วยงานทางทะเลและหน่วยงานความมั่นคงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล, การทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง ,การส่งเสริมการท่องเที่ยว, การสร้างความตระหนักรู้ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อตอบสนองภารกิจในการจัดการแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานของรัฐในการป้องกัน ปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

บลูเทคซิตี้ "ร่วมแจกข้าวกล่อง"ในโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชนุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร

วันนี้( 06 มิ.ย 67 )ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานเปิดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชนุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร  ประจำปีงบประมาณ 2567 พร้อมด้วย นางสาวกมลชญา ประเสริฐสิน นายอำเภอบางปะกง ,นายดนัย ปัญจพิทยากุล เกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้นำชุมชน ประชาชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก 
ซึ่งจังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินการ จัดเก็บข้อมูลวิเคราะห์ถึงปัญหาด้านการเกษตรในพื้นที่ เพื่อจัดให้บริการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในรูปแบบบูรณาการ งานบริการวิชาการเกษตรทุกสาขาการสาธิตส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกร จัดนิทรรศการความรู้ทางการเกษตรเครื่องมือ อุปกรณ์เข้าช่วยในการปฏิบัติงาน ณ จุดเดียวในรูปแบบให้บริการเคลื่อนที่ ในวันนี้เปิดให้บริการคลินิกเกษตร ได้แก่ คลินิกพืช คลินิกดินคลินิกข้าว คลินิกปศุสัตว์ คลินิกประมง คลินิกชลประทาน คลินิกสหกรณ์คลินิกบัญชี คลินิกกฎหมาย คลินิกส่งเสริมการเกษตร และคลินิกทั่วไปโดยมีเกษตรกรในพื้นที่ตำบลเขาดิน และตำบลใกล้เคียงของอำเภอบางปะกง เข้าร่วมงาน จำนวน ๑๐๐ ราย

ทั้งนี้บลูเทค ซิตี้ ได้เข้าร่วมโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชนุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยการ นึกข้าวกล่อง จำนวน 200 กล่อง มาแจกฟรี ให้กับผู้ที่มาเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ จึงมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top