Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำชับทุกหน่วยเดินหน้าการป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธปืน การรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ และยกพวกทะเลาะวิวาท

วันนี้ (5 มิถุนายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2567 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และตำแหน่งเทียบเท่า , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองจเรตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งผู้บัญชาการหน่วยต่างๆ ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ที่ตั้ง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้สั่งการในที่ประชุมให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมด้านต่างๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ได้แก่

การป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน แม้มีการจับกุมผู้ค้าและลักลอบขนยาเสพติดรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงพบผู้เสพและคนคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติดปรากฏอยู่โดยตลอด จึงให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดกวดขันจับกุมยาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยในชุมชน ตำบล หมู่บ้าน และให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 คัดเลือกสถานีตำรวจต้นแบบที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่จนไม่มีผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ได้สำเร็จ เสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ เพื่อพิจารณามอบรางวัลต่อไป และให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จัดทำข้อมูลเป้าหมายผู้กระทำความผิด ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน เพื่อกำหนดแผนระดมกวาดล้าง อาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ทุกหน่วยจัดทำเป็นฐานข้อมูล OPEN DATA ที่สามารถแลกเปลี่ยนและเรียกใช้งานได้ รวมทั้งให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 กำหนดเป้าหมายในแผนการตั้งจุดตรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ มุ่งเน้นการกวดขันจับกุมในความผิดยาเสพติดและอาวุธปืน และให้สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจรวบรวมผลการปฏิบัติในห้วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอในที่ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งต่อไป

การป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ และยกพวกทะเลาะวิวาท ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 จัดทำข้อมูลกลุ่มแก๊งเด็กวัยรุ่นในพื้นที่ที่มีพฤติการณ์รวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ กลุ่มยกพวกตีกัน และให้แต่ละหน่วยจัดทำฐานข้อมูล OPEN DATA เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึง รับรู้ และเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ รวบรวมช่องทางเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าว

นอกจากนี้ กรณีพนักงานสอบสวนไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจจนเกิดปัญหาการร้องเรียนผ่าน                         สื่อออนไลน์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ มอบหมายให้จเรตำรวจประชาสัมพันธ์ให้ร้องเรียนผ่านระบบทางเว็บไซต์ http://www.jcoms.police.go.th/ และสรุปผลการร้องเรียนและการดำเนินการให้ทราบ

รวมทั้งกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดีจัดทำข้อมูล Infographic และสื่อวิดีโอ วิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ และให้สำนักงานงบประมาณและการเงินซักซ้อมทำความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยง

‘วิทยาลัยฯ โปลิเทคนิคลานนาฯ’ จัดกิจกรรมรับน้อง ใช้เวลาแค่ 30 วินาที อาจารย์ให้โอวาทกระชับ รุ่นพี่ปรบมือต้อนรับ น้องๆ ยกมือไหว้อบอุ่น

(5 มิ.ย. 67) อาจารย์ฉลวย พันธ์ทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่ กล่าวให้การต้อนรับและให้โอวาทกับนักศึกษาใหม่ ทั้งระดับ ปวช.และปวส. จำนวน 1,700 คน ที่เข้ามาเรียนในวิทยาลัยเป็นปีการศึกษาแรก

ก่อนมีกิจกรรมรับน้องที่เรียกว่า ใช้เวลาสั้นที่สุดในสถาบันการศึกษาของไทย โดยนักศึกษารุ่นพี่ทั้งหมดรวมกว่า 2,400 คน ปรบมือต้อนรับ นักศึกษารุ่นน้องทั้งหมดที่ยืนเข้าแถว ก่อนจะยกมือไหว้กล่าวสวัสดีรุ่นพี่ เป็นอันจบพิธี

นายประสิทธิ์ ชูดวง รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษา ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ที่วิทยาลัยได้จัดขึ้นเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 30 ปี รูปแบบการรับน้องใหม่จะแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นโดยนักศึกษาทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องกว่า 4,100 คน จะรวมตัวกันที่สนามฟุตบอล เพื่อรับฟังโอวาทจากคณาจารย์

หลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมการต้อนรับน้องใหม่ โดยรุ่นพี่จะปรบมือต้อนรับ ส่วนรุ่นน้องจะยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำขอบคุณ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดใช้เวลาเพียง 30 วินาที

ทั้งนี้ กิจกรรมรับน้องใหม่ของวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่จัดขึ้น เพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ซึ่งทางคณาจารย์ได้ปลูกฝังให้นักศึกษาทุกคนมีความรัก ความสามัคคี ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้นักศึกษารุ่นพี่นำรุ่นนักศึกษาใหม่ไปรับน้องนอกสถาบัน ซึ่งถือว่าผิดระเบียบของวิทยาลัยและอาจจะเกิดความสูญเสียได้ในที่สุด

สตม. รวบหนุ่มใหญ่ออสซี่ โยงคดีเก่ามาเฟียในภูเก็ต หนีกบดานหมู่บ้านหรูกลางเมืองพัทยา พบประวัติอาชญากรรมเพียบในออสเตรเลีย

กก.สส.บก.ตม.3 ควบคุมตัว Mr.Grey (นามสมมติ) อายุ 52 ปี สัญชาติออสเตรเลีย ซึ่งถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นผู้มีพฤติการณ์เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมชาวต่างชาติ ในพื้นที่ จว.ภูเก็ต สร้างความเดือดร้อนให้กับคนในพื้นที่ และเป็นผู้มีประวัติอาชญากรรมเคยก่อเหตุมีโทษจำคุกที่ออสเตรเลียในคดียาเสพติดและความผิดอื่นๆ ที่เป็นภัยต่อสังคม รวมทั้งมีหมายจับในข้อหาลักลอบค้าสารเสพติดและมีสารเสพติด ไว้ในครอบครอง นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ได้ทำการจับกุมตัวชายชาวอังกฤษพกพาอาวุธปืนเข้าผับ ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลพบว่า Mr.Grey มีพฤติการณ์เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมชาวต่างชาติกลุ่มดังกล่าวในพื้นที่ จว.ภูเก็ต ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวต่างชาติในพื้นที่ จึงได้ร่วมกับ ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนจนปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่า Mr.Grey เป็นบุคคลผู้มีประวัติอาชญากรรม และมีโทษจำคุกที่ออสเตรเลียหลายคดี ทั้งคดียาเสพติดและความผิดอื่นๆ ที่เป็นภัยต่อสังคม รวมทั้งมีหมายจับที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในประเทศออสเตรเลียในข้อหาลักลอบค้าสารเสพติดและมีสารเสพติดไว้ในครอบครอง จึงได้รายงานพฤติการณ์ดังกล่าวของ Mr.Grey ไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ บก.ตม.6 เพื่อพิจารณาดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522

ต่อมาจากการพิจารณาของ บก.ตม.6 เห็นว่า Mr.Grey มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือเป็นบุคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ Mr.Grey ต่อมา Mr.Grey ได้ไหวตัวและหลบหนีออกจากพื้นที่ จว.ภูเก็ต ภายหลัง กก.สส.ตม.3 ได้สืบสวนจนกระทั่งทราบว่าได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จว.ชลบุรี จึงใช้เทคนิคทางการสืบสวนจนพบว่า Mr.Grey หลบมาพักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จึงได้เข้าแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร (ตม.83) และควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อดำเนินการตามกระบวนการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

'Time Out’ ยก 'กรุงเทพฯ' เมืองที่ดีที่สุดอันดับ 6 ของโลกในด้านอาหาร ปลื้ม!! ราคาเป็นมิตรต่อ นทท. พร้อมแนะนำ 'ส้มตำ' อาหารที่ต้องลอง

(5 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปลื้มข่าวดี 'Time Out' นิตยสารอันดับโลกด้านไลฟ์สไตล์ สถานที่ท่องเที่ยว และนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดของเมืองในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับ วัฒนธรรม การเดินทาง อาหาร และความบันเทิง ประกาศว่า ไทยครองอันดับ 6 ของโลก ในหมวดหมู่ The world’s 20 best cities for food หรือ 20 เมืองที่ดีที่สุดในโลกในด้านอาหาร (https://www.timeout.com/travel/worlds-best-cities-for-food) โดยในการจัดลำดับทางนิตยสารสอบถามไปยังผู้คนท้องถิ่นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารนอกบ้าน เพื่อจัดอันดับเมืองหลวงแห่งอาหารในปี 2024 นี้ 

นายชัยกล่าวว่า นิตยสาร Time Out ได้ระบุว่าการรับประทานอาหารเป็นส่วนหนึ่งของการทำความรู้จักแต่ละเมือง ส่วนที่ทำให้อาหารยอดเยี่ยม ไม่ใช่เพียงแค่คำชม และดาวมิชลิน (Michelin Star) แต่คือ ตัวเลือกของอาหาร คุณภาพ ราคา การสำรวจครั้งนี้จึงเป็นการสอบถามไปยังหลายพันคนเพื่อกล่าวถึงการรับประทานอาหารนอกบ้านในบ้านเกิดของตัวเอง ให้คะแนน ด้านคุณภาพ ราคา จากนั้น ทีมบรรณาธิการและนักเขียนทั่วโลกเป็นผู้สรุปผลการสำรวจ 

โดยกรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้ครองที่ 6 ของโลก The world’s 20 best cities for food โดยในนิตยสารได้ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของ Street Food และมีราคาย่อมเยาที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก มีความหลากหลาย ทั้งรับประทานจากจานร้อนริมถนน หรือเสิร์ฟในเรือบริเวณตลาดน้ำ อาหารที่ต้องลองคือ ส้มตำ นอกจากนี้ กรุงเทพฯ มีร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ถึง 34 แห่ง และมีถึง 8 ร้านได้รับรางวัล Asia’s 50 Best Restaurants 2024 (https://www.timeout.com/bangkok/restaurants/asias-50-best-restaurants)

ในโอกาสนี้ นิตยสาร Time Out เชิญชวนให้ผู้อ่านเดินทางมารับประทานอาหารที่กรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหารที่ดีที่สุดของโลก ในฐานะหัวใจของอาหาร Street Food ตอนนี้กรุงเทพฯ มีย่านใหม่ บรรทัดทอง แข่งขันกับย่านคลาสสิกที่ถนนเยาวราช รวมทั้งมีร้านอาหาร Fine Dining ซึ่งได้รับรางวัล Michelin stars และ Asia’s 50 Best Restaurants 2024 ข้างต้น

“นายกรัฐมนตรีภูมิใจในศักยภาพ มนต์เสน่ห์ ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย นักท่องเที่ยวที่ได้มาสัมผัสวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ อาหาร ผลไม้ กรุงเทพฯ และประเทศไทยต่างมีความชื่นชม ไทยมีความหลากหลาย ตอบโจทย์กระแสการท่องเที่ยว และความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งอีกสิ่งที่น่าภูมิใจคือ ไทยมีศักยภาพในการเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมระดับโลก โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนให้ปีหน้า 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ของไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม ชิม ช้อป ซึ่งนอกจากเชื่อมั่นว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจแล้ว เชื่อว่าจะขยายกิจกรรมออกไปทั้งในเมืองหลัก และเมืองรอง สร้างอาชีพ พัฒนาวิถีชีวิตพี่น้องประชาชน” นายชัยกล่าว

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส ปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ ลงตรวจสอบแรงงานต่างด้าว ขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันแก้ไขปัญหาการลักลอบทำงานของคนต่างด้าว และการค้ามนุษย์

วันนี้ 5 มิ.ย.67 เวลา 08.00 น. ว่าที่ร้อยตรี  ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายและปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ด้านการตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว ประจำปี 2567 โดยรับนโยบายจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ถ่ายทอดสดทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Facebook Live และดำเนินการตามนโยบาย ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ให้นายจ้าง สถานประกอบการ มีกำลังแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมป้องกัน แก้ไขปัญหาการลักลอบทำงานของคนต่างด้าว การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานทางความมั่นคงในพื้นที่ จ.นราธิวาส ร่วมบูรณาการความร่วมมือกันขับเคลื่อนนโยบายฯ โดยครั้งนี้มีหัวหน้าส่วนในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว ร่วมในพิธีฯ

สำหรับในภาพรวมจังหวัดนราธิวาส มีคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย จำนวนทั้งสิ้น 1,975 คน ซึ่งมีทั้งคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย (ชั่วคราว) และคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี (คนต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา) โดยจะเห็นได้ว่าผลการดำเนินการ
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ดำเนินการไปแล้วคิดเป็นร้อยละ 87.13

ซึ่งจังหวัดนราธิวาส นับเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานในพื้นที่ จึงต้องบังคับใช้กฎหมายตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 จะต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว รวมทั้งปราบปราม จับกุม  และดำเนินคดีกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนสถานประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

‘รทสช.’ ย้ำจุดยืน ‘กม.นิรโทษกรรม’ ไม่นับรวม ม.112 พร้อมเสนอร่าง ‘พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข’ ฉบับของตัวเอง

(5 มิ.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบ ‘แนวหน้าออนไลน์’ ในประเด็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ว่า จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือไม่เห็นด้วยกับการนับรวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และจริง ๆ พรรคก็ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข หรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับของรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งไม่มีทั้งคดี ม.112 คดีทุจริต และคดีอาญาร้ายแรง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย การพิจารณาเรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องคุยกัน เพราะในกรรมาธิการก็มีตัวแทนอยู่ อย่างพรรคชาติไทยพัฒนาก็มีนายนิกร จำนง ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนายเจือ ราชสีห์ ซึ่งแสดงจุดยืนว่าต้องไม่มีเรื่องคดี ม.112 คดีทุจริต และคดีอาญาร้ายแรง เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

“นิรโทษกรรมคดีการเมือง เราเข้าใจบรรยากาศสลาย ยุติธรรมขัดแย้ง เดินหน้าด้วยความสามัคคี พวกคดีการเมืองนิรโทษได้ก็นิรโทษกันไป แต่ต้องไม่แตะเรื่อง 112 เรื่องทุจริต เรื่องคดีอาญาร้ายแรง เพราะถ้าแตะเรื่องเหล่านี้ แทนที่มันจะนิรโทษเพื่อความปรองดอง ความรักความสามัคคี มันจะนิรโทษแล้วนำไปสู่ความแตกแยก แล้วปัญหาเดี๋ยวมันจะปะทุขึ้นอีก เราก็แสดงจุดยืนของเราชัดเจน” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าว ต่อไปว่า อย่าให้การนิรโทษกรรมครั้งนี้ย้อนกลับไปเกิดปัญหาแบบตอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ตนก็มีประสบการณ์ ในเวลานั้นเป็น สส. อยู่แล้วก็ออกไปชุมนุม เพราะการออกกฎหมายนิรโทษกรรมในเวลานั้นขัดกับหลักนิติรัฐ-นิติธรรม หากเป็นแบบนั้นประเทศก็เสียหายและสร้างความแตกแยก ในเมื่อมีบทเรียนแล้วก็ควรจะเรียนรู้ ซึ่งตนก็เชื่อว่าทุกฝ่ายวันนี้เรียนรู้กันเยอะแล้ว อย่างในฝั่งของตนหลายคนก็มีคดีติดตัว ถูกจำคุกอยู่ก็มี ดังนั้นเดินไปข้างหน้าดีกว่า อย่ากลับไปอยู่ในวังวนจุดเดิม

เพราะหากย้อนไปมองในอดีต เวลานั้นมีเพียงเรื่องคดีทุจริต ยังไม่มีเรื่องคดี ม.112 ยังเป็นเรื่องแล้ว หากใส่คดี ม.112 เข้าไปอีกก็จะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ส่วนคำถามที่ว่า พรรคเพื่อไทยจะไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล เพื่อให้มีเสียงพอผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมความผิด ม.112 จะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องนี้แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีเพียง 36 เสียง แต่ก็ยิ่งต้องยึดหลักให้ดีและต้องสู้ ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรครวมไทยสร้างชาติก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลจะต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับการแก้ไขมาตรา 112

แต่หากเขาจับมือกันขึ้นมาแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ เพราะตัวเลขในสภาเป็นคณิตศาสตร์ พรรคหนึ่งมีร้อยกว่า อีกพรรคหนึ่งก็มีร้อยกว่า บวกกันเกิน 250 เขาก็ตั้งรัฐบาลได้ แต่ตนก็คิดว่าที่มีการตกลงกันของฝั่งรัฐบาลแล้วประกาศต่อสาธารณะ เท่าที่ได้พูดคุยทุกฝ่ายก็ยังยืนยันข้อตกลงนั้นอยู่ ไม่มีใครคิดแตกแถวแม้แต่พรรคเพื่อไทย ยังไม่มีสัญญาณที่ชี้ว่าจะยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้ ดังนั้นก็ต้องรักษาบรรยากาศกันไปแบบนี้ก่อน

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยให้ข่าวว่าจะมีการพิจารณาว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจะนับรวมความผิด ม.112 ด้วยหรือไม่ คือการส่งสัญญาณอะไร เรื่องนี้คงต้องไปถามพรรคเพื่อไทย แต่เราทำการเมืองจะไปคิดถึงเพื่อนมากไม่ได้ เราต้องทำตัวเราให้ชัดเจนจะดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังยืนบนสัญญาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก็เดินไปแล้วหากมีปัญหาก็พูดคุยกัน เจรจากัน เตือนกันว่าอย่าไปทำแบบนั้นเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมีปัญหา ส่วนที่พูดกันว่าท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทย มาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตนก็อยากให้เพลา ๆ การคาดการณ์หรือข่าวลือลงบ้าง

“ตราบใดที่ยังไม่เห็นท่าทีชัดเจน จะพรรคไหนก็แล้วแต่ เราจะไปบอกว่าเป็นท่าทีของเขาก็ไม่ได้ อันนี้แฟร์ ๆ นะ เพราะฉะนั้นวันนี้เมื่อยังไม่มีท่าทีในลักษณะนั้น เราก็ต้องยึดตามคำมั่นสัญญาเดิม มันเบสิกมาก มันแค่นั้นเอง ฉะนั้นสำหรับรวมไทยสร้างชาติเราก็เดินตามสัญญาเดิม ไม่มีสัญญาใหม่ ไม่มีสัญญาณใหม่ ฉะนั้นก็เดินไปตามนี้” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

‘รัฐบาล-Aerosoft’ มอบความสุขให้คอบอลชาวไทย  เตรียมแถลงถ่ายทอดสด ‘ยูโร 2024’ ให้ชมฟรี!!

(5 มิ.ย.67) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 มิถุนายน เวลา 11.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 (UEFA EURO 2024) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นางสาวจิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด (Aerosoft) ในฐานะผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารมว.คมนาคม บุตรชายนายโกมล ตัวแทน ปตท.พร้อมกลุ่มสปอนเซอร์ ร่วมแถลงข่าวดังกล่าว

แหล่งข่าวยังได้เปิดเผยอีกว่า การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร จะถ่ายทอดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล คาดว่าเป็นสถานีโทรทัศน์ NBT ซึ่งถือเป็นสื่อกลางในการรับลิขสิทธิ์การแข่งขันให้ประชาชนคนไทยได้รับชม ตามที่นายเศรษฐา เคยมีดำริที่ต้องการส่งมอบความสุขให้คนไทย

ย้อนกลับไปก่อนวันที่ 11 มิ.ย.64 มีคำถามกันหนาหูในหมู่คนไทยว่า จะมี 'ยูโร 2020' มาให้รับชมทางฟรีทีวีหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีการประกาศอย่างชัดเจนจากหน่วยงานใดๆ ว่าจะมีการนำลิขสิทธิ์สัญญาณการถ่ายทอดสด 'ฟุตบอลยูโร 2020' มาเผยแพร่ในช่วงนั้น

เหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ดูนิ่งๆ ไป เพราะต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในตอนนั้น ทางภาครัฐบาลไม่สามารถนำงบภาษีที่เก็บจากประชาชนมาคืนความสุข ด้วยการไปร่วมประมูลซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทีวีพูล) หรือผ่านช่องทางอื่นได้ ต้องเป็นช่องทีวีเอกชนเท่านั้น ถึงจะสามารถประมูลฟุตบอลยูโร มาถ่ายทอดสดให้คนไทยได้ดูกัน เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเอกชนรายใดขอซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาถ่ายทอด จนคนไทยส่วนใหญ่น่าจะไปหวังพึ่งลิงก์เถื่อนที่ดูไปสะดุดไป อย่างไร้อรรถรส

อย่างไรก็ตาม ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2020 ตลอด 51 นัด ก็เกิดขึ้นได้ จากผู้สนับสนุนหลักอย่าง บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย รองเท้ายี่ห้อ 'แอโร่ซอฟ' ภายใต้ ‘นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการ ผู้ที่ตั้งใจจะมอบความสุขให้แก่คนไทยในยามโรคระบาดยังไม่จางหาย ได้รับชมกันเต็มอิ่มทุกนัดแบบไม่สะดุด

โดยในส่วนของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในครั้งนั้น ทางแอโร่ซอฟ เป็นภาคเอกชนรายเดียวในการทุ่มงบ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดจากทางสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปหรือ 'ยูฟ่า' เพื่อให้คนไทยได้รับชมการถ่ายทอดสดฟรีทุกนัดตลอด 1 เดือน (11 มิ.ย. - 11 ก.ค.64) ทางช่อง NBT2HD SPORT

ยิ่งไปกว่านั้น 'เวลาแอร์ไทม์' หรือช่วงเวลาที่สามารถนำไปสร้างรายได้จากโฆษณาตลอดช่วงถ่ายทอดสดทั้งหมดนั้น ทาง 'แอโร่ซอฟ' ของ คุณโกมล ก็ไม่ได้นำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ใดๆ หากแต่นำเวลาเหล่านั้นมาช่วยผู้ประกอบการรายย่อยคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ด้วยการเปิดโอกาสให้โปรโมทสินค้าและธุรกิจแบบฟรีๆ ตลอดซีซั่นบอลยูโร 2020 อีกด้วย

สำหรับ ‘นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย รองเท้ายี่ห้อ 'แอโร่ซอฟ' ถือเป็นอีกผู้ใหญ่ใจดีของสังคมไทย และเป็นบุคคลที่มักเข้ามาช่วยเหลือเรื่องใหญ่ๆ ในสังคมไทยแบบไม่ออกหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้บริจาคเงิน จำนวน 100 ล้านบาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ประกอบด้วย อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและตา (Face Shield) จำนวน 3,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจไฮโฟลว์ (Airvo 2) จำนวน 10 ชิ้น ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ในการรักษา

‘ชาวต่างชาติ’ แชร์คลิป ‘คนไทย’ ลุกทำงานรดน้ำต้นไม้กลางถนน ตอนตี 4 ลั่น!! ดูแลดีกว่าอังกฤษ เพราะปล่อยให้แห้งตาย แนะ ทุกคนควรมาเห็น

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘BKKWheels’ ได้แชร์คลิปวิดีโอติ๊กต็อกของชาวต่างชาติรายหนึ่ง ขณะเดินอยู่ริมถนนประเทศไทย และระหว่างนั้นได้มีรถรดน้ำต้นไม้กำลังทำงานอยู่กับพนักงาน ตอนตี 4 พร้อมบอกชาวโลกที่บอกประเทศไทยเป็นโลกที่สามควรมาเห็นสิ่งนี้ โดยระบุว่า…

“ตอนนี้เป็นเวลาตี 4 คนเหล่านี้ (พนักงานรดน้ำต้นไม้) กำลังขับรถรดน้ำทั้งหมด คุณสามารถเห็นพุ่มไม้ตรงกลางถนนนั้น…”

“อังกฤษไม่เป็นแบบนี้ ที่อังกฤษจะปล่อยให้แห้งตายหมด คนที่บอกว่าไทยเป็นประเทศโลกที่สาม พวกเขาดูแลประเทศของเขาได้ดีกว่าอังกฤษดูแล…คนที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศโลกที่สาม คุณควรมาที่นี่ มาเยี่ยมชม และเห็นสิ่งที่เป็นแบบนี้”

พร้อมบอกทิ้งท้ายฝากให้ทุกคนลองคิดทบทวนในการตัดสินใจอีกครั้ง

‘อย.’ พบ ‘ไซบูทรามีน’ ในอาหารเสริมยี่ห้อดัง ดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์ ชี้!! มีฤทธิ์ต่อจิต-ประสาท ส่งผลร้ายแรงต่อระบบหัวใจ-หลอดเลือด

(5 มิ.ย. 67) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผ่านช่องทางออนไลน์จากเฟซบุ๊กเพจชื่อร้าน ‘ITCHA XS by เบนซ์ พรชิตา - เพจหลัก’ ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยฉลากระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ 

“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อิชช่า เอ็กซ์เอส (ตรา อิชช่า) อย.10-1-03464-5-0018 ผลิตโดย : บริษัท คาร์บีบ๊อค แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด เลขที่ 41/160-161 ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางแค เขตบางแค จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10160 จัดจำหน่ายโดย : บริษัท ไบโอ จีโนมิคส์ จำกัด 30 ซอยสุขุมวิท 61 (เศรษฐบุตร) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10110 น้ำหนักสุทธิ : 10 แคปซูล (6.26 กรัม)…วันที่ผลิต MFG : 10/01/2024 วันหมดอายุ EXP : 09/01/2026”

ผลการตรวจวิเคราะห์พบ ‘ไซบูทรามีน’ (Sibutramine) ซึ่งมีรายงานถึงผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นอาหารที่น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรืออนามัยของประชาชน และเพื่อป้องกันผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประชาชน

จึงประกาศเตือนให้ประชาชนระมัดระวังในการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว ทั้งนี้ อย. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด

หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : [email protected] ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

'สุริยะ' โต้ปม 'ฐากร' อ้าง!! 'ขรก.คมนาคม' เรียกรับส่วย 'ผู้รับเหมา-ข้าราชการ' ยัน!! 'ข้อมูลไม่ชัดเจน-ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง' แต่ถ้าพบผิดจริง ฟันไม่เลี้ยง

(5 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย ได้กล่าวอ้างถึงมีข้าราชการระดับสูง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมฯ หนึ่ง ในสังกัดกระทรวงคมนาคม เรียกรับผลประโยชน์จากผู้รับเหมาที่ชนะประมูลในอัตราร้อยละ 12 จากมูลค่างานทั้งหมด พร้อมทั้งสั่งการให้ผู้อำนวยการระดับสำนักแต่ละพื้นที่เป็นผู้ดำเนินการ โดยแต่ละพื้นที่จะต้องส่งผลประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2567 อย่างน้อยมูลค่า 20 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเรียกรับผลประโยชน์รวม 1,000 ล้านบาท นั้น 

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดรับฟังทุกปัญหาและข้อร้องเรียน หรือเบาะแสต่างๆ เพื่อนำมาพิจารณาและค้นหาข้อเท็จจริง ส่วนจากการกล่าวอ้างดังกล่าว ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่ในฐานะที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต้องขอขอบคุณสำหรับข้อมูล ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้รับมานั้น ไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้นโยบายสำคัญไว้ต่อรัฐมนตรีและข้าราชการทุกคนทุกหน่วยงานว่า ต้องไม่มีการทุจริต และต้องดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่นายฐากร กล่าวอ้างมานั้น มีหลายประเด็นที่ยังเป็นข้อสังเกต คือ นายฐากร เคยทำหน้าที่อยู่ในสำนักงบประมาณกว่า 17 - 18 ปี และยังเคยดำเนินงานในกระทรวงคมนาคมในยุคนั้นด้วย และจากที่ระบุว่า ในสมัยนั้น มีการเรียกเก็บส่วยอย่างที่กล่าวว่า คือ ข้าราชการร้อยละ 6 นักการเมืองร้อยละ 6 แต่ทำไมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น และเหตุใดจึงไม่ออกมาเผยความจริงต่อสาธารณชน 

นอกจากนี้ ในประเด็นที่นายฐากร ระบุว่า ผู้อำนวยการสำนักทางหลวง และผู้อำนวยการเขตทางหลวง รวม 2 คน ซึ่งนายฐากร เคยดำเนินงานในกระทรวงคมนาคม ควรรู้ว่า ทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าว เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงมองว่าหลายสิ่งที่ระบุและกล่าวอ้างมานั้น ยังไม่ตรงข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน กรณีที่มีผู้อำนวยการสำนักทางหลวงไปร้องเรียนที่พรรคไทยสร้างไทยนั้น โดยตนต้องการให้ผู้อำนวยการสำนักทางหลวงท่านดังกล่าว มาชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์อย่างไร และหากเป็นความจริง ตนจะสั่งปลดอธิบดีกรมทางหลวงในทันที

“เมื่อนายกรัฐมนตรีให้นโยบายมา ก็ได้กำชับไปตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวงคมนาคม ยันอธิบดี ซึ่งท่านปลัดกระทรวงก็ช่วยสอดส่องเรื่องนี้ด้วย เรื่องของพฤติกรรมทุจริตที่รัฐบาลนี้รับไม่ได้ พร้อมระบุว่าบุคคลในหน่วยงานภายใต้สังกัดที่ผมดูแลอยู่ คงจะคุมทุกคนไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีพฤติกรรมที่ส่งมาและมีข้อมูลชัดเจน ผมก็คงไม่ปล่อยไว้ ต้องมีการดำเนินการ ขณะเดียวกันก็อยากให้คนที่กล่าวหา คิดถึงขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่เขาทำงานก็จะเสียกำลังใจ ถ้าไปกล่าวหาแล้วไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน” นายสุริยะ กล่าว

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากกรณีที่นายฐากรกล่าวหามานั้น จะไปดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริง และพร้อมชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปฏิบัติตามนโยบายนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากกรณีดังกล่าว ถูกหยิบยกมาในการอภิปรายพิจารณางบประมาณฯ นั้น ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา และเชื่อว่า สามารถชี้แจงได้ อีกทั้ง ตนยังได้สั่งการตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนว่า ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top