Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

‘รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง’ ชี้!! สอนประวัติศาสตร์ต้องไม่บิดเบือนหรือสร้างนิทานหลอกเด็กให้รังเกียจชังชาติบ้านเกิด

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย. 67) รองศาสตราจารย์ อัศวิณีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“การสอนประวัติศาสตร์…ผู้เรียนมาย่อมสอนได้…ไม่มีข้อห้าม เพียงต้องสอนตามความจริงที่เกิด ไม่บิดเบือนเรื่องราวประวัติศาสตร์ เปิดกว้างการตั้งคำถาม แล้ววิเคราะห์ด้วยเหตุและผล ไม่พยายามสร้างเรื่องใหม่ เป็นนิทานหลอกเด็ก สร้างความก้าวร้าว ให้เยาวชนรังเกียจชาติบ้านเกิด 

ตรงกันข้าม หากมองกลับกัน สังคมปัจจุบันเกิดปัญหามากมาย จากใคร? ที่พยายามสอนบิดเบือนความจริง ยุยงเยาวชนให้เกิดความก้าวร้าวจนเอาไม่อยู่ สอนไม่ได้

ใครอันตรายมากกว่ากัน ระหว่างการสอนจาก…ผู้ที่เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติ กับผู้ที่บ่อนทำลายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ที่พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติให้เยาวชนเข้าใจผิด”

'นายกฯ' ส่งไม้ต่อ 'สุริยะ' เตรียมพร้อมรับท่องเที่ยว ช่วงไตรมาส 4 ผุดเส้นทางรถไฟเที่ยวพิเศษ เจาะกลุ่มมุ่ง 'วัฒนธรรม-ธรรมชาติ'

(5 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง หารือร่วมกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า หลังจากออกมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวแล้ว ได้เตรียมพร้อมเรื่องการเดินทางต่อ โดยบ่ายวันเดียวกันนี้ มีการหารือหลายเรื่อง โดยเรื่องแรกหารือกับทั้งกระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานไทย (AOT), การบินไทย, เวียตเจ็ทแอร์ไลน์ และการรถไฟฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วง Low Season เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องบริหารทั้งจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอ รวมไปถึงให้ทาง AOT เตรียมพร้อมรองรับสายการบิน ตลอดจนนักท่องเที่ยว นักเดินทางที่เพิ่มขึ้นด้วย

"ผมได้สั่งการให้การรถไฟฯ เพิ่มเส้นทางการเดินรถไฟใหม่ ๆ ตลอดจนจัดรถไฟเที่ยวพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย หรือการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เสน่ห์ของการเดินทางโดยรถไฟน่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกเยอะเลยครับ" นายกฯ กล่าว

'วีระศักดิ์' มั่นใจ!! พ.ร.บ.อากาศสะอาด แก้ปัญหา PM 2.5 อยู่หมัด คาด!! มีผลบังคับใช้ 'วันอากาศสะอาดสากล' 7 ก.ย.นี้

(5 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด วาระประเทศไทย..วาระโลก : แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ลดโลกเดือด’ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ร่วมชมบูธนิทรรศการของภาคีเครือข่ายด้านการรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด กล่าวว่า อากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา รัฐบาลกำหนดให้การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่อง ฝุ่น PM 2.5 ที่นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เศรษฐกิจและสังคมโดยรวมโดยตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนหรือคณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM 2.5 ทั้งระบบ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ถอดบทเรียนเพื่อหาทางป้องกันในฤดูฝุ่นที่จะมาถึงระหว่างที่กำลังรอ พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดซึ่งคณะกรรมาธิการกำลังเร่งพิจารณา

‘พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ บริหารจัดการเชิงพื้นที่กำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดครอบคลุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทุกรูปแบบ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคคมนาคมขนส่ง ภาคการเผาในที่โล่ง ภาคป่าไม้ และหมอกควันข้ามแดนมีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เครื่องมือหรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกภาคส่วนขณะนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด อยู่ระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งกลับสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ ให้ทันบังคับใช้ ในไตรมาส 4 ปีนี้เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย’ นายจักรพล กล่าว

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่าจากข้อมูลล่าสุดของระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ หรือ Health Data Center (HDC) กระทรวงสาธารณสุขเก็บข้อมูลจากเขตสุขภาพทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ พบว่า เฉพาะปี2567 มีผู้ป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศ รวมกว่า 4,400,000 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ 8 จังหวัดภาคตะวันตก และ 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือโซนใต้ มีผู้ป่วยฯ มากกว่า 400,000 คน สะท้อนความรุนแรงของฝุ่นพิษPM2.5สสส. ตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพในทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ปฏิบัติงานกลางแจ้ง ผู้มีความเสี่ยงและป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคไม่ติดต่อ(NCDs) จึงยกระดับการดำเนินงานด้านปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เรื่อง ‘การลดผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม’ เป็น 1 ใน 7 ยุทธศาสตร์หลัก 10 ปี (2565-2574)

‘สสส.มุ่งขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ด้วยการเสนอนโยบาย สร้างสรรค์งานวิชาการ เสริมหนุนประชาสังคม และสื่อสารสังคมมีผลงานที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศวอ.), เสริมหนุนเครือข่ายสภาลมหายใจ 15จังหวัดสานพลังภาครัฐ ท้องถิ่นเอกชน ประชาสังคม ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน, สร้างโมเดลต้นแบบ Low Emission Zoneใน 5 เขตของกรุงเทพฯ, จัดทำห้องเรียนสู้ฝุ่นที่ก้าวกระโดดไปมากกว่า 600 โรงเรียน,จัดทำต้นแบบห้องปลอดฝุ่น1,000 ห้องทั่วประเทศ, จัดเวทีวิชาการระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM 2.5 เพื่อระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศ สรุปข้อเสนอและนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และร่าง พ.ร.บ.กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ 1 ใน 7 ร่างที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการนับเป็นข่าวดีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่างกฎหมายทั้ง 7 ฉบับ ที่มีสาระสำคัญในการกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทุกมิติ’ นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภาและประธานคณะทำงานพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภากล่าวว่าเมื่อ พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่มีผลบังคับใช้ จะนำไปสู่การออกกฎหมายลูก ระเบียบ มาตรการต่างๆ ซึ่งจะเป็น 1 ในเครื่องมือสำคัญป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยปัจจุบันพื้นที่ที่มีการเผาใหญ่ที่สุด อยู่ในเขตป่า 64%โดยเฉพาะป่าอนุรักษ์ รองลงมาคือพื้นที่การเกษตร 26.8% โดยเฉพาะนาข้าว ที่มีการเผาฟางช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวทั้งที่สามารถใช้ปรุงดิน เลี้ยงสัตว์ แปลงเป็นชีวมวลได้จึงต้องส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าฟางข้าวทั้งระบบ ตั้งแต่การแปรรูป การขนส่ง และการตลาด ซึ่งจะช่วยลดการเผาได้

ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์กรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืนและผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าการแก้ปัญหาฝุ่นควันมีความซับซ้อนเกินกำลังกรมควบคุมมลพิษหน่วยงานเดียว ต้องอาศัยหลายหน่วยงาน หลายเครื่องมือ ไม่สามารถจัดการได้เฉพาะในช่วงฤดูฝุ่น 3 เดือนแต่ต้องดำเนินการต่อเนื่องทั้งปี ด้วยสูตร 8-3-1 คือ 8 เดือนช่วงดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขออกแบบกลไก วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง ลดการเผา 3 เดือนช่วงเผชิญเหตุ การเฝ้าระวังจุดความร้อน การบังคับใช้กฎหมาย และ 1 เดือนช่วงฟื้นฟู เยียวยา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เชื่อว่า พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด จะช่วยอุดช่องว่างการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะเรื่องกลไกการทำงาน ระบบงบประมาณ ลดปัญหาความล่าช้า โดยหวังว่าวันที่ 7 ก.ย. ‘วันอากาศสะอาดสากล’  พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้แล้ว

‘พิธา’ เชื่อมั่นศาลตัดสิน ‘เป็นธรรม’ ปมก้าวไกลกบฏ-ยุบพรรค ชี้!! คดีนี้ทำพรรคอ่อนแรงระยะสั้น แต่เป็นแต้มต่อระยะยาว

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกล ที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครอง จากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

นายพิธา กล่าวว่า ตนยังคงเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาและวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่า การกล่าวหาตนและพรรคก้าวไกล ว่าเป็นกบฏหรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลเสนอ คือความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า คดียุบพรรค จะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการติดเทอร์โบ (turbocharge) ให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว โดยยกตัวอย่างสถานการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้พลังของพรรคอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบติดเทอร์โบได้ในการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่า แนวคิดแบบก้าวหน้า กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ในสภา มาครองเพิ่มขึ้นเป็น 151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง

“ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวคิดแบบก้าวหน้าคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมือง หรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ” นายพิธา กล่าว

นอกจากนี้ นายพิธายังกล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รออาญา ขณะเดียวกันในช่วงกลางเดือนก่อน น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 28 ปี ก็เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วง ระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ก่อนการพิจารณาคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า หากพวกเราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับอนุญาตให้อภิปรายเรื่องหลักความได้สัดส่วนของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างมีวุฒิภาวะ โปร่งใส และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะคลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ผลักเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ให้จนมุม

“หากเรามีพื้นที่ในการพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันได้ในรัฐสภา ก็จะไม่เกิดการกดดันให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ เลือกวิธีการประท้วงที่ทำร้ายตัวเอง รวมถึงคนที่พวกเขารักด้วย” นายพิธา กล่าว

‘พีระพันธุ์’ เกาะติดมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 67 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ครั้งที่ 1/2567 เพื่อช่วยยกระดับทุนทางวัฒนธรรมและส่งเสริมอุตสาหกรรมทัศนศิลป์ของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยในภาพรวม

ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 นั้น ประกอบด้วย 4 มาตรการ ดังต่อไปนี้

1. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ เพื่อส่งเสริมตลาดการซื้อขายศิลปะ ซึ่งจะทำให้ศิลปินในประเทศไทยผลิตงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น และส่งเสริมการจัดแสดงงานศิลปะในประเทศไทย อันจะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น จึงเสนอให้ผู้มีเงินได้แต่ไปรวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถหักลดหย่อนค่าซื้องานศิลปะด้านจิตรกรรมหรือประติมากรรมในราชอาณาจักร ในลักษณะการยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้องานศิลปะดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทในปีภาษี สำหรับการซื้องานศิลปะตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569

2. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ศิลปินในการสร้างงานศิลปะ และส่งเสริมงานศิลปะของศิลปินไทย จึงเห็นควรบรรเทาภาระภาษีให้แก่ศิลปินในประเทศไทย โดยเสนอให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากรที่เป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระประณีตศิลปกรรม สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 60 เป็นการถาวร โดยไม่กำหนดประเภทศิลปิน

3. มาตรการลดหรือยกเว้นอากรขาเข้างานศิลปะ เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนในการผลิตงานศิลปะ และลดต้นทุนในการนำเข้างานศิลปะเพื่อนำมาจัดแสดงงานศิลปะระดับประเทศและระดับนานาชาติในประเทศไทย จึงเสนอให้มีการลดหรือยกเว้นอัตราอากรสำหรับงานศิลปะ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ

4. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมรถยนต์โบราณ (Classic Cars) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการสนับสนุนการจัดกิจกรรมสำหรับรถยนต์โบราณ เช่น การประกวดรถยนต์โบราณ การจัดแสดงนิทรรศการรถยนต์โบราณ การจัดขบวนคาราวานรถยนต์โบราณ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยทุกระดับ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตหรือบูรณะ (Restoration) รถยนต์โบราณในประเทศ เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย จึงเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้ารถยนต์โบราณ (Classic Cars) และมีการยกเว้นอากรขาเข้าสินค้ารถยนต์โบราณเฉพาะรถยนต์นั่งเท่านั้น (ไม่รวมถึงรถจักรยานยนต์และรถอื่น ๆ)

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการศึกษารายละเอียด ผลประโยชน์ และผลกระทบ ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การคลัง และสังคม รวมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละมาตรการอย่างรอบคอบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

‘รัฐบาล’ ห่วงใยความปลอดภัยเด็ก ขณะใช้บริการ ‘รถโรงเรียน’ กำชับ!! กรมขนส่งฯ รุดตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐาน

(6 มิ.ย. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงนี้อยู่ระหว่างโรงเรียนเปิดเทอม ประกอบกับมีฝนตกทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และมีข่าวปรากฏบนโลกโซเชียลบ่อยครั้งเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุของรถโรงเรียน รัฐบาลห่วงใยเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กและนักเรียน

นายคารม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก กำชับและสั่งการให้สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศไทย ตรวจสอบความปลอดภัยและการให้บริการของรถโรงเรียน และรถที่รับจ้างรับส่งนักเรียนในพื้นที่รับผิดชอบทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถ และพนักงานขับรถต้องนึกถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ นักเรียนทุกคนที่โดยสารมากับรถ และตัวรถที่ใช้รับส่งนักเรียนต้องมีสภาพที่แข็งแรงต้องชำระภาษีรถประจำปีอย่างถูกต้อง พร้อมที่จะให้บริการรับส่งนักเรียนได้อย่างปลอดภัย สำหรับการนำรถยนต์ส่วนบุคคลทั้งในลักษณะรถสองแถวและรถตู้มาใช้รับส่งนักเรียน กรมการขนส่งทางบกกำหนดให้ต้องผ่านการรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา และต้องขออนุญาตใช้รถให้ถูกต้อง นำรถเข้าตรวจสภาพ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 

นายคารม กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ทางราชการกำหนด ซึ่งจะได้รับอนุญาตครั้งละ 1 ภาคการศึกษาเท่านั้น (ไม่เกินวัน ปิดเทอมของแต่ละภาคการศึกษา) ภายในรถต้องมีเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับช่วยเหลือนักเรียนเมื่อมีอุบัติเหตุ เช่น ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก ที่นั่งผู้โดยสารต้องยึดแน่นมั่นคงแข็งแรง กรณีเป็นรถสองแถวหากมีทางขึ้นลงอยู่ ด้านท้ายต้องปรับปรุงตัวรถให้มีประตูและที่กั้นป้องกันนักเรียนตกหล่นจากรถ ส่วนรถตู้ต้องจัดวางที่นั่งเป็นแถวตอนตามความกว้างของตัวรถเท่านั้น ห้ามดัดแปลงสภาพรถ ห้ามเพิ่มเบาะที่นั่งหรือการต่อเติมกระบะท้ายเพื่อให้รับนักเรียนได้มากเกินจำนวนบรรทุกที่ปลอดภัย ต้องมีป้าย สีส้มสะท้อนแสง มีข้อความ ‘รถโรงเรียน’ ให้เห็นชัดเจน พร้อมติดไฟสัญญาณสีเหลืองไว้ที่ด้านหน้า และด้านท้ายของตัวรถ หากพบการฝ่าฝืนจะพิจารณาสั่งเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้ใช้รถทันที และไม่สามารถขออนุญาตได้อีกจนกว่าจะพ้น 1 ปีไปแล้ว

โล่งใจ!! 'ทุเรียนไทย' ยังอร่อย-ครองใจชาวจีนเสมอ  แม้มีข่าวกุ 'ทุเรียนเหงียน' ถูก-ดี ไทยซื้อต่อมาส่งจีน

ไม่นานมานี้ นายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมการค้าดิจิทัลไทยและเคยทำงานในมูลนิธิแจ๊คหม่า อาลีบาบา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'วันนี้คุณได้มีส่วนช่วย ดิสเครดิต ประเทศตัวเองรึยัง?' ระบุว่า...

สืบเนื่องจากประชุมออนไลน์กับทีม สภาการค้าจีน มีประเด็นที่ผมโดนถามว่า ทุเรียนไทยที่ส่งออกมาให้จีน เอาของเวียดนามมาสวมจริงไหม 

ผมก็ตอบว่าไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด แต่คิดว่ามีใน % น้อย เพราะปกติเราเคยนำเข้าทุเรียนจากเพื่อนบ้านมาทั้งแปรรูป และบริโภค ในภาวะฝนแล้ง อยู่แล้ว แต่ปีนี้อาจจะนำเข้ามามากหน่อย แต่ส่วนใหญ่กว่า 95% ทุเรียนที่ส่งให้จีน จะเป็นของไทยซะส่วนมาก

สืบได้ความว่า สื่อต่างชาติปล่อยข้อมูล ให้สื่อไทยงับ คนไทยแชร์ และเอามาแปลต่อเป็นจีน เพื่อดิสเครดิต และทิ้งทวนว่า ครั้งหน้าคนจีนควรซื้อทุเรียนเวียดนามไปเลยจะได้ราคาดีกว่า เพราะคุณภาพไม่แตกต่างกัน

... พอจบประชุม เพื่อน ๆ ในออนไลน์ฝั่งจีน ก็บอกว่า อย่าคิดมากไป ของไทยอร่อยกว่ามาก แต่จะทำยังไงให้คนจีนที่เหลือเชื่อ ก็คงต้องรอให้กระแสข่าวนี้ตกไปก่อน... 

สงสารชาวสวนทุเรียนปีนี้ โดนภัยแล้ง และโดนคนไทยด้วยกัน ดิสเครดิต โดยไม่รู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมการค้าเพื่อนบ้าน

'สาว' โพสต์ตัดพ้อ ถูกพ่อแม่ตัดขาด เพราะไม่มีเงินเปย์น้องสาว ด้าน 'ชาวเน็ต' เมนต์สนั่น!! เวรกรรมมาในรูปแบบของครอบครัว

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘สตาร์วาไรตี้’ โพสต์ข้อความเรื่องราวของหญิงสาวรายหนึ่งที่เป็นพี่คนโต ได้ออกมาเปิดใจทั้งน้ำตา หลังพยายามหาเงินส่งเสียให้น้องเรียนต่ออเมริกา จ่ายให้หมดทั้งค่ากินอยู่ ค่าช้อปปิ้ง ค่าอาหาร ค่าเที่ยว แต่พอจ่ายไม่ไหวกลับถูกพ่อแม่ตัดขาด หาว่าขี้งก ไม่รักน้อง อกตัญญู โดยระบุว่า…

ผู้ใช้ Tiktok รายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอระบายความอัดอั้นตันใจ หลังถูกพ่อแม่ตัดขาด เหตุเพียงเพราะเธอไม่สามารถจ่ายเงินค่าสิ้นเปลืองให้กับน้องสาวที่ไปเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาได้ แต่น้องสาวกลับไม่เห็นใจเธอ

หลายครั้งที่เธอต้องจ่ายหนี้แทนน้องสาว รวมทั้งยังต้องจ่ายช้อปปิ้ง ค่าอาหาร ค่าเที่ยวสถานบันเทิงจนเธอเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว พอบอกว่าให้น้องสาวรับผิดชอบรายจ่ายของตัวเอง เอง เธอกลับถูกครอบครัวต่อว่า หาว่าขี้งก ไม่รักน้อง อกตัญญู

เธอมาอยู่จุดนี้ได้ก็เพราะครอบครัว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เธอต้องตอบแทนให้ครอบครัวบ้าง เป็นความรับผิดชอบของเธอที่ต้องดูแลพ่อแม่ และน้องสาว เธอบอกว่าเธอนั้นรักครอบครัวมาก เธอสามารถทำให้ได้ทุกอย่าง

แต่มันกลายเป็นว่าตอนนี้การขอนั้นไม่มีขอบเขต มันเกินจุดที่เธอจะรับไหว และเธอรู้สึกว่าตนเองเป็นแค่กระเป๋าเงินที่กำลังถูกครอบครัวรุมถลุงใช้เท่านั้น

ท่ามกลางชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

รถดีเซลรางฯ ‘KiHa 40’ และ ‘KiHa 48’ จาก ‘ญี่ปุ่น’ ถึงไทยแล้ว!! เร่งขนย้ายไป ‘แหลมฉบัง’ เตรียมดัดแปลง เพื่อนำไปใช้งานต่อไป

(ุ6 มิ.ย. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก LIM-Catalogue ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า ‘ในที่สุด... รถดีเซลราง KiHa 40 และ KiHa 48 (キハ40和キハ48系気動車) จาก JR East (JR東日本) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 20 คัน ที่ให้ รฟท. ฟรีๆ ได้เดินทางมาถึงท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง จ.ชลบุรี ในช่วงเช้า ตี 5 ของวันนี้แล้วครับผม’

ซึ่งเดินทางมาโดยเรือ Jutha Malee (จุฑามาลี)

ต่อจากนี้ไป ก็จะเป็นการผ่านพิธีศุลกากร ชำระภาษีต่างๆ รวมไปถึงขนรถดีเซลรางชุดนี้ไปไว้ที่สถานีรถไฟแหลมฉบัง พร้อมทั้งนำชุดแคร่ไปทำการแปลงล้อ จากขนาด 1.067 เมตร ให้เป็นขนาด 1.000 เมตร

ก่อนจะนำแคร่มาใส่กับรถดีเซลรางเหล่านี้ พ่วงขบวนลากไปตรวจสภาพ และซ่อมแซมต่อไป

อาลัย!! 'พลเรือเอก นายแพทย์ หม่อมเจ้า ปุสาณ สวัสดิวัตน์' เจ้านายที่มีพระชนม์อยู่เป็นองค์สุดท้ายของราชสกุลสวัสดิวัตน์

(6 มิ.ย. 67) ม.จ.จุลเจิม ยุคล โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ขอแสดงความอาลัยต่อ ราชตระกูล สวัสดิวัตน์ ต่อการสิ้นชีพิตักษัย ของ พลเรือเอก นายแพทย์ หม่อมเจ้า ปุสาณ สวัสดิวัตน์

ทั้งนี้ พลเรือเอก หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ เป็นเจ้านายฝ่ายหน้าที่ชันษาสูงที่สุดในปัจจุบัน และเป็นเจ้านายที่มีพระชนม์อยู่เป็นองค์สุดท้ายของราชสกุลสวัสดิวัตน์

อีกทั้งหม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ ยังเป็นหนึ่งในพระอนุวงศ์ผู้ใหญ่ที่ครั้นถึงเทศกาลสงกรานต์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชสำนักผู้ใหญ่ เชิญเครื่องสรงน้ำสงกรานต์ไปพระราชทาน เป็นการแสดงพระราชกตัญญุตาธรรมตามโบราณราชประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

>>ในด้านการทรงงานและกรณียกิจ

พลเรือเอก หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ ทรงจบการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และทรงสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อปี พ.ศ. 2505

ทรงเข้ารับราชการตั้งแต่ พ.ศ. 2505 โดยทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนายแพทย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ กรมแพทย์ทหารเรือ ต่อมาเป็นรองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และเป็นนายแพทย์ประจำสำนัก กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นต้น

พ.ศ. 2534 เป็นราชองครักษ์พิเศษ และวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552 ได้รับพระราชทานพระยศ พลเรือเอก เป็นกรณีพิเศษ และแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษประจำกองบังคับการกรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ กองนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และงานพิเศษ พ.ศ. 2528

หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ เป็นแพทย์ไทยที่นำวิทยาการด้านรังสีวิทยามาใช้ในการตรวจวิเคราะห์ และวินิจฉัยอาการป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้วิทยาการด้านรังสีวิทยาประเมินอาการของโรคได้อย่างแม่นยำ

ทรงเป็นแพทย์ไทยท่านแรกที่ได้นำเครื่องมืออัลตราซาวนด์มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ทำให้วิทยาการด้านนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วประเทศ เป็นที่ยอมรับและนิยมใช้โดยทั่วไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top