Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

‘สหรัฐฯ’ จ่อโหวตร่างกม.คว่ำบาตร 'ศาลอาญาโลก' โต้หมายจับ 'เนทันยาฮู' ไม่หวั่น!! แม้ลบหลู่ระเบียบระหว่างประเทศที่ สหรัฐฯมีส่วนช่วยสร้างขึ้นมา

เมื่อวานนี้ (3 มิ.ย. 67) เว็บไซต์ The Hill รายงานว่า คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ผ่านร่างรับตัวกฎหมาย ด้วยคะแนน 9-3 โดยมีวัตถุประสงค์ในการคว่ำบาตร เจ้าหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี เป็นการตอบสนองต่อ อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ คาริม เอ. เอ. คาน กับข้อกล่าวหาและความพยายามในการออกหมายจับต่อ นายกรัฐมนตรี นายเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล และ ผู้นำของกลุ่มฮามาส ยายาห์ ซินวา ในฐานะอาชญากรสงคราม

อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของทำเนียบขาวก่อนหน้านี้นั้น ไม่ได้สนับสนุนตัวร่างกฎหมาย คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกของทำเนียบขาว ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อจุดยืนของทำเนียบขาวว่า แม้ว่าจะสนับสนุนการตอบโต้ข้อกล่าวหาที่เสนอโดยไอซีซี แต่ไม่ได้สนับสนุนการคว่ำบาตรต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

"เราปฏิเสธคำร้องของอัยการไอซีซี ในการออกหมายจับผู้นำอิสราเอล แต่การจะคว่ำบาตรไอซีซีนั้น เราไม่เชื่อว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพหรือเหมาะสม" คารีน กล่าว

นอกจากนี้มีรายงานว่าฝ่ายบริหารในทำเนียบขาว คัดค้านร่างกฎหมายนี้อย่างมาก และมีความเป็นไปได้สูงว่า หากตัวร่างสามารถผ่านสองสภาไปได้จนถึง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีความเป็นได้สูงว่าประธานาธิบดีไบเดนจะใช้อำนาจวีโต้ของตัวเอง ในการหยุดตัวกฎหมายเอาไว้

ถึงอย่างนั้น มาตรการอื่นที่เป็นตัวเลือกตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องด้วยสหรัฐฯ ไม่เคยลงสัตยาบันยอมรับอำนาจและหลักการของศาลอาญาระหว่างประเทศมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้ในทางปฏิบัติแล้ว สหรัฐฯ ไม่เคยอยู่ในอำนาจตุลาการของศาลอาญาระหว่างประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็ไม่ได้มอบเงินทุนสนับสนุนในการปฏิบัติงานของศาลอาญาโลก

โดยรายละเอียดของตัวร่างกฎหมาย ถูกนำเสนอโดยสมาชิกสภาคองเกรส จากรัฐเท็กซัสสังกัด พรรครีพับลิกัน ชิป รอย ด้วยการสนับสนุนจากสมาชิกคองเกรสคนอื่นๆ มากกว่า 60 คน โดยในด้านของรายละเอียดตัวกฎหมายประกอบด้วยมาตรการต่างๆ อย่าง การกีดกันการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินในสหรัฐฯ หรือ การเพิกถอนวีซ่าเข้าประเทศสหรัฐฯ และ มาตรการอื่นๆ โดยมีเป้าหมายเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่ทำการสืบสวน หรือ จับกุม พลเมืองในเขตอำนาจของสหรัฐฯ รวมไปถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ

มีรายงานว่า มีการคาดการณ์และคาดหวังว่าตัวร่างกฎหมายจะผ่านการโหวตไปในสภาคองเกรสไปอย่างง่ายได้ ด้วยที่พรรครีพับลิกันครอบครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีเสียงสนับสนุนของสมาชิกสภาคองเกรสอีกจำนวนหนึ่ง จากพรรคเดโมแครต ที่แสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวในการสนับสนุนอิสราเอลในสงครามกับฮามาส แต่ว่าจุดยืนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน อาจจะมีอิทธิพลต่อ สมาชิกสภาคองเกรสของพรรคเดโมแครตในการตัดสินใจ

แต่ในสภาสูงนั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม เนื่องด้วยที่สภาสูงของสหรัฐ อยู่ในการควบคุมของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าต่อให้ร่างกฎหมายจะผ่านสภาร่างมาได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกปัดตกโดยการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา

จิม แมคกอฟเวิร์น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครตจากมลรัฐแมสซาชูเซตส์ ให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า เป็นร่างกฎหมายที่แย่ โดยให้เหตุผลว่าศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นสถาบันที่สำคัญในการรักษา และ ปกป้องหลักการสิทธิมนุษยชนสากล โดยที่หลักศีลธรรม หรือ หลักการทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ไม่ควรส่งผลต่อการออกแบบนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในการเข้าไปขัดขวางศาลอาญาระหว่างประเทศในการทำหน้าที่โดยกำเนิดของตัวสถาบัน

โดยแมคกอฟเวิร์น ยังระบุด้วยว่า "ร่างกฎหมายนี้ จะเป็นการลบหลู่ระเบียบระหว่างประเทศ ซึ่งสหรัฐฯ มีส่วนช่วยสร้างมันขึ้นมา"

เรื่องนี้ยังคงต้องจับตา ตัวร่างกฎหมาย ที่จะเข้าสู่การประชุมและโหวตในสภาคองเกรส โดยคาดการณ์ว่าด่านแรกอย่าง สภาคองเกรสจะมีการโหวตภายในสัปดาห์หน้า

ชลบุรี-DSI ตรวจตู้ 17 คอนเทนเนอร์ ตกค้างพบเนื้อสุกรนำเข้าผิดกฎหมาย

DSI ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจตู้คอนเทนเนอร์ตกค้าง พบเนื้อสุกร ชิ้นส่วนสุกร ผิดกฎหมาย 10 บริษัท นำเข้า โดยมี 4 บริษัท เคยถูกดำเนินคดีไปแล้ว ด้านสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ อยากให้ DSI ขยายผลกลุ่มปลอดอากร ที่เป็นกลุ่มใหญ่รวมทั้งห้องเย็นที่จะนำหมูออกมาทุบราคา ตอนหมูมีราคาดีขึ้น

เมื่อวานนี้ 4 มิ.ย.67 ที่ท่าเทียบเรือ D ภายในท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคดีจับกุมขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย นายดิเรก คชารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่จากกรมประมง นายสัตวแพทย์ จิรภัทร อินทร์สุข หัวหน้าด่านกักกันสัตว์ชลบุรี และผู้แทนจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเปิดสำรวจตู้คอนเทนเนอร์ และดำเนินการกับตู้ของตกค้างประเภทซากสุกรแช่แข็งและตู้สินค้าควบคุมอุณหภูมิ (reefer container) อื่น ๆ จำนวน 17 ตู้คอนเทนเนอร์ ที่คงค้างภายในเขตท่าเรือแหลมฉบัง ที่ลักลอบนำเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู หมูสามชั้น เครื่องในหมู และปลา เข้าสู่ประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย โดยพบว่ามีทั้งหมด 10 บริษัท ที่นำเข้ามา โดยมี 4 บริษัท ที่เคยถูกดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนอีก 6 บริษัท เป็นบริษัท ที่ยังไม่ดำเนินคดี ทางด้านตัวแทนสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ อยากให้ DSI มีการสอบสวนขยายผล เกี่ยวกับการนำเข้าในรูปแบบของการปลอดภาษีอากร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก รวมถึงห้องเย็นในเขตปลอดอาการที่ทำเหมือนส่งออก แต่กลับนำชิ้นส่วนสุกรส่งกลับมากระจายตามห้องเย็นต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อนำหมูกลุ่มดังกล่าวออกมาทุบราคาตอนหมูเริ่มมีราคาดีขึ้น

นาย อานัน ไตรเดชาพงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า อยากให้ DSI ตรวจสอบขยายผลการที่มีเนื้อสุกรเถี่อนลักลอบเข้ามาในประเทศ ในเส้นทางเขตปลอดอากร เนื่องจากเข้ามาทางนี้ได้สิทธิพิเศษโดยการไม่เสียภาษี แล้วปล่อยออกมาสู่ท้องตลาด ซึ่งถือว่าเป็นภัยอย่างมาก เนื่องจากการลักลอบนำเนื้อสุกรเข้ามา มี 2 กลุ่ม คือกลุ่มสำแดงเท็จ และกลุ่มปลอดภาษีอากร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่มแรก เชื่อว่ากลุ่มนี้ยังคงมีอยู่ทำให้ราคาหมูยังไม่ดีขึ้น จากการรายงานของบริษัท หมูหลายๆ แห่ง เปิดเผยว่ามีหมูเหล่านี้ออกมาก่อกวนตลาด ทำให้ราคาหมูไม่ขึ้น ซึ่งต้องมีการตรวจสอบขยายผลและในขณะนี้ทางสมาคมได้ยื่น 6 ข้อเรียกร้องไปแล้ว โดยมีอยู่ข้อหนึ่งกล่าวถึง ว่ามีการนำเข้าย้อนหลังถึง 1 หมื่นล้าน และมีลูกค้าถึง 100 รายมีอยู่ 1 รายมีการนำเข้าถึง 6 พันล้าน ซึ่งรายงานตัวนี้ จากสื่อสาธารณะส่วนใหญ่ไม่ได้มีการขยายผล ซึ่ง DSI เปิดเผยว่ากำลังติดตามอยู่ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยให้สื่อรู้ ในส่วนของห้องเย็นในกลุ่มของเขตปลอดอากร ทำเหมือนส่งออกแล้วส่งกลับมาตามห้องเย็นต่างๆ ทั่วประเทศ เรื่องนี้ DSI ก็ได้ตามว่าห้องเย็นเหล่านี้มีที่ไหนบ้าง เพราะว่าพวกนี้อยู่ในเครือข่ายของการกระทำความผิด แล้วไปกระจายตัว พอเวลาหมูเริ่มจะมีราคาดีขึ้น ก็เอาหมูออกมาทุบราคา ซึ่งเป็นความเสี่ยงของหมู ตามกระบวนการต่างๆ ที่จะยกระดับราคาหมู จะทำได้ยาก ถ้ามีหมูในกลุ่มนี้อยู่

พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาตรวจตู้คอนเทนเนอร์ที่ลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรและชิ้นส่วนของเนื้อสุกรพวกตับหมู เซ่งจี้ หมูสามชั้น แต่มีตู้ที่ 17 ที่ตรวจพบว่าเป็นปลาและมีเนื้อหมูอยู่ด้านใน จำนวน 17 ตู้ มีทั้งหมด 4 บริษัท ที่ดำเนินคดีไปแล้ว ยังมีที่เหลืออีก 6 บริษัท ที่ยังไม่เคยถูกดำเนินคดี และมีการตรวจยึดในครั้งนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มีตู้ตกค้างทั้งหมด 90 ตู้ ซึ่งมี 74 ตู้ ที่ทางปศุสัตว์แจ้งความดำเนินคดีกับสภ.แหลมฉบัง ซึ่งมีการทำลายไปแล้ว ในส่วนนี้จะมีการประสานกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วน 16 ตู้ + 1 ตู้ในวันนี้ กรมศุลกากรฯ ได้ส่งให้ทาง DSI ดำเนินการโดยตรง จึงมาทำการเปิดตู้ดูว่าเป็นสินค้าอะไร เพื่อดำเนินคดี เบื้องต้นพบว่ามี 4 บริษัท ที่เราดำเนินคดีไปแล้ว และอีก 6 บริษัท ที่เราต้องทำการตรวจสอบดำเนินคดีสอบสวนขยายผล ต่อไป

ทำไม 'ไทย' ต้องนำเข้าน้ำมัน ทั้งที่ยัง 'ผลิตได้-ส่งออกด้วย'

เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 67) เว็บไซต์ศูนย์ข่าวพลังงาน ได้เผยแพร่บทความ ‘เขียนเล่าข่าว EP. 55 - ทำไมไทยยังต้องนำเข้าน้ำมัน แม้จะผลิตน้ำมันได้เองและมีน้ำมันส่งออก’ โดยระบุข้อความว่า…

คำถามเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน ซึ่งยังมีคนสงสัยและดูเหมือนจะยังไม่ได้รับคำตอบที่กระจ่างในใจสักที ว่าทำไมเราต้องนำเข้าน้ำมัน และทำไมถึงไม่สามารถขายน้ำมันในราคาถูกให้คนในประเทศใช้ได้ ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีแหล่งน้ำมันอยู่ในประเทศตัวเอง แถมยังมีการส่งออกอีกด้วย

คำตอบที่พยายามจะอธิบายให้คนที่ยังมีความสงสัยได้เกิดความกระจ่างในใจ ก็คือ ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากแหล่งผลิตในต่างประเทศมาใช้ ก็เพราะแหล่งน้ำมันที่เรามีอยู่ในประเทศนั้นผลิตน้ำมันดิบได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามาทดแทนให้เพียงพอต่อความต้องการใช้

ส่วนการที่เรามีน้ำมันส่งออกด้วยนั้น ก็เป็นน้ำมันจาก 2 ส่วน ส่วนแรกคือน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตในประเทศ ที่คุณภาพไม่เหมาะกับโรงกลั่นในประเทศ เพราะมีสารปนเปื้อนสูง และส่วนที่สอง คือน้ำมันสำเร็จรูป ที่โรงกลั่นน้ำมันกลั่นออกมามากเกินความต้องการใช้ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล

ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ระบุว่า ในปี 2566 ตัวเลขปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในประเทศ ทำได้ประมาณ 0.14 ล้านบาร์เรลต่อวัน เท่านั้น แต่ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ประมาณ 1.13 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าปริมาณที่ผลิตได้หลายเท่าตัว ดังนั้น จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบเข้ามาเติมความต้องการอีกประมาณ 0.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ส่วนข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงาน รายงานว่า การผลิตน้ำมันสำเร็จรูปที่มาจากโรงกลั่นในประเทศในปี 2566 นั้น มีกำลังผลิตรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 174 ล้านลิตรต่อวัน (น้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่มาจากน้ำมันดิบที่นำเข้า) ในขณะที่ความต้องการใช้อยู่ที่ 152 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งน้ำมันสำเร็จรูปส่วนที่เกินกว่าความต้องการใช้ก็ได้ทำการส่งออก อย่างไรก็ตามมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปที่ไม่ได้มาจากโรงกลั่นในประเทศเพื่อมาใช้ อีกประมาณเฉลี่ย 9 ล้านลิตร/วัน

โดยสรุป ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบได้เพียงประมาณ 10% ของปริมาณการใช้เท่านั้น และบางส่วนมีสารปนเปื้อนสูงเกินกว่าที่โรงกลั่นในประเทศจะรับได้ จึงจำเป็นต้องส่งออก ดังนั้นน้ำมันดิบส่วนที่ขาดจึงต้องมีการนำเข้าอีกกว่า 90% โดยประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากกลุ่มตะวันออกกลางประมาณ 57% ตะวันออกไกล 19% และแหล่งอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ลิเบีย ออสเตรเลีย อีกรวม 24%

การที่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบส่วนใหญ่กว่า 90% นั้นทำให้การกำหนดราคาขายต้องอ้างอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลก ดังนั้นเมื่อราคาตลาดโลกสูงขึ้น ราคาขายในประเทศก็ต้องปรับขึ้นตาม ในทางกลับกัน หากราคาตลาดโลกปรับลดลง ราคาขายในประเทศก็จะปรับลดลงด้วย เพียงแต่ว่าการปรับราคาอาจจะไม่ได้สะท้อนต้นทุนจริงแบบเรียลไทม์ เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องนำมาคิดคำนวณด้วยอีกหลายประการ เขียนอธิบายมาถึงบรรทัดนี้ ก็หวังว่าผู้อ่านจะมีข้อมูลและความเข้าใจเรื่องความจำเป็นในการนำเข้าน้ำมันมากขึ้น

ย้อนประวัติศาสตร์การล่มสลายของ ‘ราชอาณาจักรฮาวาย’ ถูกโค่นโดยนายทุน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘สหรัฐอเมริกา’


มลรัฐฮาวาย (Hawaii) เป็นมลรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่หมู่เกาะฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก ฮาวายได้รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกาเป็นมลรัฐลำดับสุดท้ายคือลำดับที่ 50 ในวันที่ 21 สิงหาคม 1953 โดยฮาวายอยู่ห่างจากชายฝั่งแผ่นดินใหญ่สหรัฐอเมริกาประมาณ 3,700 กม. (2,300 ไมล์) แต่เดิมฮาวายถูกเรียกว่า ‘หมู่เกาะแซนด์วิช’ (Sandwich Islands) ชื่อนี้ถูกตั้งโดย ‘เจมส์ คุก’ เมื่อเขาแล่นเรือมาพบเกาะในปี 1778) มีจำนวนประชากรราว 1,455,271 คน (ข้อมูลปี 2015) โดยมีนครโฮโนลูลูเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ ภาษาทางการของรัฐคือ ภาษาอังกฤษ และ ภาษาฮาวาย ฮาวายได้มีชื่อเล่นของรัฐว่า ‘รัฐอโลฮา’ (Aloha State) ซึ่งคำว่า ‘อโลฮา’ เป็นคำทักทายในภาษาฮาวาย มีความหมายถึง ‘สวัสดี’ หรือ ‘ลาก่อน’ (ใช้ตามแต่โอกาส)


อย่างไรก็ตาม มลรัฐฮาวายประกอบไปด้วยเกาะสำคัญๆ 8 เกาะ ซึ่งก็คือ (1) Ni’ihau, (2) Kauai, (3) Oahu เป็นที่ตั้งเมืองหลวงคือ นครฮอนโนลูลู เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ของสหรัฐฯ, (4) Maui, (5) Molokai เนื้อที่ 260 ตารางไมล์ ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมืองฮาวาย, (6) Lanai, (7) Kaho’olawe และ (8) Hawaii หรือ Big Island เป็นเกาะที่มีเนื้อที่มากที่สุดคือ 4,000 ตารางไมล์


(ธงชาติของราชอาณาจักรฮาวาย)

โดย มลรัฐฮาวาย แต่เดิมคือราชอาณาจักรฮาวาย (Kingdom of Hawaii) เป็นราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะฮาวาย ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี 1795 และล่มสลายไปประมาณปี 1893 - 1894 ราชอาณาจักรฮาวายก่อตั้งขึ้นโดย พระเจ้าคาเมฮาเมฮามหาราช หลังจากที่พระองค์ทรงชนะสงครามที่ยาวนานถึง 15 ปี พระองค์ได้ปราบดาภิเษกตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ราชอาณาจักรฮาวายมีระบอบการปกครองแบบมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่ปี 1795 จนกระทั่งปี 1840 และ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 1840 จนกระทั่งปี 1893 ราชวงศ์คาเมฮาเมฮาปกครองฮาวายในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1810 ถึงปี 1893 ราชอาณาจักรฮาวายปกครองโดยอีกสองราชวงศ์คือ ราชวงศ์คาเมฮาเมฮา และ ราชวงศ์คาลาคาอัว หลังจากพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 สวรรคต พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 2 พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรสก็ทรงปกครองฮาวายต่อมาตามลำดับ ช่วงเวลานี้สมเด็จพระราชินีลิโฮลิโฮ พระอัครมเหสีในพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ และมีคูฮินา นูอิทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล (คล้ายกับนายกรัฐมนตรี)


(พระเจ้าคาลาคาอัวที่ 1 แห่งราชอาณาจักรฮาวาย)

ทั้งนี้ พระเจ้าลูนาลิโลแห่งฮาวาย (ราชวงศ์คาลาคาอัว) ทรงไม่มีรัชทายาท รัฐสภาแห่งราชอาณาจักรฮาวายจึงต้องเลือกระหว่างสมเด็จพระราชินีเอ็มมา นาเอ รูก พระราชินีในพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 กับเดวิด คาลาคาอัว ในระหว่างการตัดสินนั้นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมากมาย จนในที่สุด ‘เดวิด คาลาคาอัว’ ก็ได้ครองราชย์บัลลังก์ฮาวาย ทรงพระนามว่า ‘พระเจ้าคาลาคาอัวที่ 1 แห่งฮาวายง เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคง พระองค์จึงต้องประกาศแต่งตั้งรัชทายาท พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงลีลีโอกาลานี พระขนิษฐาของพระองค์ให้เป็นรัชทายาทสืบบัลลังก์


(สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานีแห่งราชอาณาจักรฮาวาย)

การล่มสลายของราชอาณาจักรฮาวาย เกิดขึ้นภายหลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานีแห่งราชอาณาจักรฮาวายครองราชย์ ด้วยเพราะ นักธุรกิจชาวยุโรปและชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่างไม่พอใจการปกครองของพระองค์ เนื่องจากพวกเขาต้องการผนวกฮาวายให้เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะสามารถกอบโกยผลประโยชน์จากการค้าน้ำตาลในฮาวายให้ได้มาก ๆ  (สหรัฐฯ นำเข้าน้ำตาลจากฮาวายมากที่สุด โดยนายทุนใหญ่ ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นชาวอเมริกัน) จึงเริ่มกระบวนการการผนวกฮาวาย โดยเริ่มจากการจัดตั้ง ‘คณะกรรมาธิการความปลอดภัย’ ขึ้นเพื่อต่อต้านและต่อสู้กับสมเด็จพระราชินีฯ จนในที่สุดรัฐบาลสหรัฐได้ส่งเรือรบพร้อมนาวิกโยธินเข้ามายึดฮาวาย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเรือปืนหรือ Gunboat policy* ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานีและพระราชวงศ์ฮาวายไม่อาจต้านทานได้ การปฏิวัติฮาวาย เกิดขึ้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 1893 โดย ‘แซนฟอร์ด บี ดอล’ และพรรคพวกได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลฮาวายขึ้น เพื่อปกครองฮาวายจนกว่าจะถูกผนวกเข้ากับสหรัฐอเมริกา พวกเขาจับกุมพระราชินีและพระราชวงศ์และสั่งจำคุก จากนั้นก็ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ราชอาณาจักรฮาวายถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเมื่อ 7 กรกฎาคม 1898 โดยฮาวายได้รับการอนุมัติให้เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในสมัยประธานาธิบดีวิลเลียม แมกคินลีย์ จึงถือเป็นการสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการของราชอาณาจักรฮาวาย
*อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘นโยบายเรือปืนหรือ Gunboat policy’ https://thestatestimes.com/post/2024042211


(พิธีเชิญธงชาติสหรัฐฯ ขึ้นสู่ยอดเสาหน้าพระราชวังโอลานิ หลังจากสหรัฐฯ ยึดครองฮาวายได้สำเร็จ)

สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานี ทรงถูกจับกุมเมื่อ 16 มกราคม 1895 พระองค์ถูกตัดสินให้จำคุก 5 ปี ทำงานหนัก และปรับ 5,000 ดอลลาร์ โดยพระองค์ถูกขังในพระราชวังโอลานิ ผู้สนับสนุนพระองค์ถูกตัดสินจำคุกทั้งหมด รวมทั้งรัฐมนตรีโจเซฟ นาวาฮี เจ้าชายคาวานานาโคอา โรเบิร์ต วิลค็อก และเจ้าชายโจนาห์ คูฮิโอ พระองค์ทรงถูกกักบริเวณในที่พักเป็นเวลาหนึ่งปี และในปี 1896 สาธารณรัฐฮาวายก็คืนสิทธิการเป็นพลเมืองแก่พระองค์ หลังจากพ้นโทษ พระองค์ก็ทรงอาศัยอยู่ที่พระราชวังวอชิงตันจนกระทั่งเสด็จสวรรคตในเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1917 เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดสมอง พระบรมศพของพระองค์ได้รับการจัดพิธีฝังอย่างสมพระเกียรติในฐานะอดีตประมุขแห่งรัฐ โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ถูกบริจาคให้ "กองทุนสมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานีเพื่อเด็กกำพร้าและยากจน" ซึ่งกองทุนสมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานียังคงมีอยู่ในปัจจุบัน สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอกาลานีแห่งราชอาณาจักรฮาวายจึงเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายที่ปกครองราชอาณาจักรฮาวาย โดยครองราชย์เพียง 2 ปี


(Owana Kaʻōhelelani Mahealani-Rose Salazar หนึ่งในสองของผู้อ้างสิทธิสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ฮาวายในปัจจุบัน)


(Dennis ‘Bumpy’ Pu'uhonua Kanahele หนึ่งในสองของผู้อ้างสิทธิสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ฮาวายในปัจจุบัน)

อย่างไรก็ตาม ต่อมา (1) Owana Kaʻōhelelani Mahealani-Rose Salazar บุตรีของเจ้าหญิง Helena Kalokuokamaile Wilcox แห่งราชวงศ์ Kalokuokamaile และ (2) Dennis ‘Bumpy’ Pu'uhonua Kanahele ผู้นำชาตินิยมฮาวาย และมีตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐของกลุ่ม Nation of Hawai'i เป็นหัวหอกในการก่อตั้ง Pu'uhonua o Waimānalo หมู่บ้านวัฒนธรรมฮาวาย และโครงการฟื้นฟูการเกษตรแบบดั้งเดิมของ Lo'i kalo (taro paddy) ใน Waimānalo, Hawai'i Pu'uhonua ซึ่งภาษาฮาวายมีความหมายว่า ‘สถานที่ศักดิ์สิทธิ์’ หรือ ‘สถานที่หลบภัย’ โดยกลุ่ม Nation of Hawai'i ซึ่งทำหน้าที่บริหารหมู่บ้านถือว่าตัวเองเป็นรัฐบาลที่มีอธิปไตยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศโดยทำหน้าที่เป็นรัฐสืบต่อจากราชอาณาจักรฮาวายที่เป็นเอกราช ดังนั้นจึงไม่อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา โดย Kanahele ได้อ้างตัวเป็นผู้สืบเชื้อสายของพระเจ้าคาเมฮาเมฮามหาราช ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 Kanahele กลายเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของการเคลื่อนไหวเพื่ออำนาจอธิปไตยของฮาวาย ซึ่งต่อต้านกฎหมายของรัฐบาลกลางและความเป็นมลรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกาอย่างเปิดเผย ทั้งสองต่างก็เป็นผู้อ้างสิทธิในการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ฮาวายจนปัจจุบัน 

👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล 
 

'รมว.ปุ้ย' เยือนหูหนาน ศึกษา 'การหมุนเวียนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ'สร้างสัมพันธ์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างกันในอนาคต

ไม่นานมานี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้นำทีมอุตสาหกรรมประเทศไทย พบปะ นายเหมา เว่ยหนิง ผู้ว่าการมณฑลหูหนาน และเข้าพบกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหลายส่วน

งานนี้ รมว.ปุ้ย และทีมอุตสาหกรรมไทยได้มีโอกาสพบผู้บริหารของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก แบรนด์ SANY และ ZOOMLION ซึ่งแบรนด์คุ้นหูคุ้นตาในเมืองไทย มีผู้ประกอบการไม่น้อยเริ่มใช้เครื่องจักรกลแบรนด์นี้ และมีการลงทุนในประเทศไทยด้วย

นอกจากนี้ ยังไปเยี่ยมชมการผลิตระบบการจัดการพลังงาน ความปลอดภัย ระบบเมืองอัจฉริยะ กลุ่ม Wasion Holding Limited ซึ่งมีข้อดีหลายประการที่สามารถนำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมในเมืองไทยได้อย่างมากอีกด้วย

สำหรับมณฑลหูหนาน เป็นพื้นที่อุดมไปด้วยทรัพยากรต้นธารของอุตสาหกรรมสำคัญของโลกหลายชนิด ทั้งกลุ่มโลหะ อโลหะ โดยอุตสาหกรรมหลักของที่นี่คือ ยานยนต์สมัยใหม่ เทคโนโลยีดิจิทัล เทคโนโลยีหุ่นยนต์ 

"ปัจจุบัน จีนได้ประกาศใช้เศรษฐกิจวงจรคู่ขนาน (Dual Circulation) ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับ 'การหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ' (Internal Circulation) ควบคู่ไปกับ 'การหมุนเวียนเศรษฐกิจต่างประเทศ' (External Circulation) และมีความสอดคล้องกับประเทศไทย ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (ระหว่างปี พ.ศ.2564 - 2568) รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญอย่างมากค่ะ...

"ดังนั้น การเข้าเยี่ยมคารวะท่านผู้ว่าการมณฑล และผู้ประกอบการรายสำคัญในครั้งนี้ จึงเป็นช่องทางสัมพันธ์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างกันในอนาคต โดยดิฉันได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการลงทุนพัฒนาแบบสองทาง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคง นี่คือประเด็นสำคัญ"

'กทม.' ซื้อเครื่องออกกำลังกายป้อน 2 ศูนย์ แตะ 10 ล้าน โซเชียลข้องใจ!! เทียบราคาตลาดแล้ว ต่างกันสูงมาก

เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย’ โพสต์บทความหัวข้อ ‘กทม.จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายเครื่องละ 4 แสน’ โดยระบุว่า…

"เครือข่าย STRONG ต้านทุจริตประเทศไทยพบเห็นความผิดปกติในการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อแพงจริงภายในศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ และศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ รวมกัน 2 ที่ เกือบ 10 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นที่ศูนย์วารีภิรมย์ 4,999,990 บาท จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 11 รายการ ดังนี้

1. อุปกรณ์ลู่วิ่งไฟฟ้า 1 เครื่อง 759,000 บาท
2. จักรยานนั่งเอนปั่นแบบมีพนักพิง 1 เครื่อง 483,000 บาท
3. จักรยานนั่งปั่นแบบนั่งตรง 2 เครื่อง เครื่องละ 451,000 บาท
4. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า 1 เครื่อง 466,000 บาท
5. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อขาด้านหน้าและขาด้านหลัง 1 เครื่อง 477,500 บาท
6. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อห้วงไหล่ อก และหลังแขน 1 เครื่อง 483,000 บาท
7. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้ออเนกประสงค์ 1 เครื่อง 652,000 บาท
8. ชุดดัมบ์เบลพร้อมชั้นวาง 1 เครื่อง 276,000 บาท
9. อุปกรณ์บาร์โหนฝึกกล้ามเนื้ออเนกประสงค์ 1 เครื่อง 302,490 บาท
10. เก้าอี้ฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง 1 เครื่อง 103,000 บาท
11. เก้าอี้ฝึกดัมบ์เบลแบบปรับระดับได้ 1 เครื่อง 96,000 บาท

และอีกที่คือ ศูนย์วชิรเบญจทัศ 4,998,800 บาท 11 รายการ ราคาสูงผิดปกติเช่นกัน

รายการเครื่องออกกำลังกายต่าง ๆ ที่ กทม.จัดซื้อ เมื่อเทียบกับราคาตลาดแล้ว ราคาช่างแตกต่างกันสูงมาก เช่น เก้าอี้ฝึกดัมบ์เบลแบบปรับระดับได้ ราคาตลาดเกรดดี ไม่เกิน 3 หมื่นบาท แต่ กทม.จัดซื้อ 96,000 บาท งานนี้ส่วนต่างเพียบ..

เมื่อลองขุดลึก ๆ ลงไปอีกพบว่าเฉพาะปี 2567 กทม.จัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องออกกำลังกายกว่า 9 โครงการ ด้วยงบประมาณกว่า 77.73 ล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างที่ส่อแพงเกินจริงเหล่านี้ทำให้รัฐสูญเสียเงินไปอย่างสิ้นเปลือง ต้องตรวจแบบเข้ม ๆ อย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ เพจดังกล่าวยังตั้งข้อสังเกตว่า แข่งกัน 2 เจ้า เวลาบิด (ประมูล) ห่างกัน 700 บาท ต่ำกว่าราคากลางแค่ 1,190 บาท ส่วนศูนย์นันทนาการฯ โครงการนี้เกือบ 18 ล้าน แต่ละรายการวิ่งไปบนฟ้าได้เลย ราคาน่าสงสัยมาก ๆ สตง.จะว่าอย่างไรบ้าง

‘กฟผ.’ จับมือ ‘มิตซูบิชิฯ’ พัฒนาไฮโดรเจนผลิตไฟฟ้าร่วมก๊าซธรรมชาติ หวังเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด - ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ปี 2065

เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.67) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และนายนรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมประชุมหารือความร่วมมือทวิภาคีด้านพลังงานระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย ครั้งที่ 6 (The 6th Japan-Thailand Energy Policy Dialogue : 6th JTEPD) ณ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างภาครัฐและเอกชน พร้อมติดตามความก้าวหน้าของความร่วมมือ และนำเสนอโครงการ แนวทางนโยบาย แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์พลังงาน โดยมุ่งเน้นพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานในอนาคต

ทั้งนี้ ในงานประชุมครั้งนี้ กฟผ.ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ เพื่อร่วมศึกษาศักยภาพและพัฒนาการนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าสำหรับกังหันก๊าซ (Gas Turbine) โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการเปลี่ยนด้านพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065

ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศ ในการเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดตามแผนพัฒนาพลังงานและแนวทางส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนของประเทศไทย ที่ริเริ่มนำเชื้อเพลิงทางเลือกและเชื้อเพลิงสะอาดมาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางเทคโนโลยีและแผนพัฒนาโครงการไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) กับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น นำไปสู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

กระจ่าง!! 'คลิปตร.นั่งเชื่อมจิต' ว่อนเน็ต ถูกวิจารณ์ยับ ที่แท้แค่อยากทดลองเชื่อมจิต สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

เมื่อวานนี้ วันที่ 4 มิถุนายน 2567 จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปจากเพจ อีซ้อขยี้ข่าว 3 โพสต์กลุ่มชายหัวเกรียนแต่งกายคล้ายตำรวจนั่งสมาธิ โดยมีเด็กชายหน้าตาคล้ายน้องไนซ์ เจ้าลัทธิเชื่อมจิต อายุ 8 ขวบใช้นิ้วสัมผัสไปที่หน้าผากคล้ายกำลังเชื่อมจิต พร้อมระบุข้อความว่า ‘อะไรว่ะเนี๊ยะ คุณตำรวจ!!’

คลิปทำเอาชาวเน็ตวิจารณ์จำนวนมาก และสงสัยว่าข้าราชการตำรวจเหล่านี้อยู่โรงพักไหน เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งเกิดเรื่องที่ สน.ทองหล่อ เมื่อกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต นำโดยนายพิชญะ น.ส.นัฐพร พ่อแม่น้องไนซ์ และนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความ รับทราบข้อกล่าวหาคดีที่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส ฟ้องข้อหาร่วมกันดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่ สน.ทองหล่อ แล้วเกิดการกระทบกระทั่งกับคู่กรณีบนโรงพัก

ล่าสุดทางด้านเพจบิ๊กเกรียน365 ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ตามคลิปภาพที่ปรากฏเป็น ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี พาลูกน้องที่เลื่อมใสศรัทธา มานั่งสมาธิเชื่อมจิต
ต่อมามีรายงานด้วยว่า ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง พ.ต.อ.อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์​ จ.สุ​ราษฎร์​ธานี ซึ่งเจ้าตัวได้ชี้แจงเบื้องต้นว่า เป็นภาพเก่า ตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว ได้เชิญเด็ก 8 ขวบมาที่ห้องทำงานจริง อ้างให้ลูกน้องไปทดลองว่าเชื่อมจิตได้จริงหรือไม่ สุดท้ายก็เชื่อมจิตไม่ได้ ไม่เกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ทางด้านนางสาวชลดา ชนะศรีรัตนกุล ผู้อำนวยการ พมจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่าจากที่มีข่าวว่าทางแม่เด็กเชื่อมจิตจะแจ้งความเจ้าหน้าที่บางคนนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร หากเขาอยากจะแจ้งอะไรก็แจ้งได้ เพราะทางเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มีแต่จะหาวิธีป้องกันคุ้มครองเด็ก เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง

'นักวิชาการส้ม' ชี้!! ไทยสอนประวัติศาสตร์ให้ท่องจำ เน้นปลูกฝังคนให้เชื่องและภักดีภายใต้ความกลัว

(5 มิ.ย. 67) ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา เจ้าของนามปากกานักปรัชญาชายขอบ โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า สอนประวัติศาสตร์ท่องจำที่เน้นปลูกฝังความจงรักภักดีอย่างปราศจากการวิพากษ์ ก็คือการปลูกฝังความจงรักภักดีภายใต้ความกลัว ที่สร้างพลเมืองเชื่องเชื่อฟังอำนาจผูกขาด และพลเมืองกระตือรือร้นเป็นคนดีล่าแม่มดคนคิดต่าง

ที่มา : Thaipost

'อ.เจษฎา' อธิบายชัด!! ปมเปิดแอร์ 27 พร้อมพัดลม แต่ค่าไฟพุ่งขึ้น ชี้!! เป็นวิธีทดลองที่ไม่น่าเชื่อถือ เผย!! บางส่วนทำแล้ว ได้ผลดีเกินคาด

จากกรณีมีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งโพสต์วิดีโอคลิปแสดงบิลค่าไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระบุว่า ทฤษฎีเปิดแอร์ 27 องศาฯ แล้วเปิดพัดลม อ้างว่าประหยัดไฟได้ครึ่งหนึ่ง เดือนที่แล้วค่าไฟ 5,100 บาท ปกติเปิด 25 องศาฯ แต่พอใช้เทคนิคนี้ปรากฏว่าค่าไฟ 6,100 บาท เพิ่มมา 1,000 บาท เดือนที่แล้ว 1,000 หน่วย เดือนนี้ 1,200 หน่วย ถามกลับว่าสูตรใครวะ โดนติ๊กต็อกหลอกอีกแล้ว ทฤษฎีนี้บอกเลยอย่าหาทำ ไม่เวิร์ก ค่าไฟเพิ่มตั้งพันหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 67) เฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความอธิบายทฤษฎีดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า

“คลิปติ๊กต็อก ‘เปิดแอร์ 27 องศา + เปิดพัดลม แล้วค่าไฟขึ้น’ ... เอามาอ้างอิงได้ จริงหรือ ? ผมว่าไม่นะครับ

มีนักข่าวสองสามช่องโทร.มาถามถึงกรณีที่มีคลิปติ๊กต็อกของหญิงสาวรายหนึ่ง ทำตามวิธีลดค่าไฟด้วยการ ‘เปิดแอร์ 27 องศา และเปิดพัดลม’ หวังลดค่าไฟ แต่ค่าไฟกลับสูงขึ้น โดยบิลค่าไฟเดือนนี้พุ่งไป 6,000 บาท ทำเอาชาวเน็ตสับสน เพราะมีบางส่วนทำแล้วได้ผลดีเกินคาด

โดยสรุป การทดลองในคลิปติ๊กต็อกที่แชร์กันนั้นยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ และผมยังเชื่อว่าการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมเป่าตัว ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ มากกว่าการเปิดแอร์ 25 องศา (โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นแอร์ Inverter ยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก) ไม่น่าจะทำให้กินไฟขึ้นมากอย่างในคลิปดังกล่าวครับ

ตามรายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งแชร์คลิปลองทำตามวิธีลดค่าไฟตามที่แชร์กันในโลกโซเชียลโดยเปิดแอร์ที่ 27 องศา แล้วเปิดพัดลมควบคู่ กับห้อง 3 ห้องที่บ้าน

ในคลิปเธอบอกว่า ปกติแล้วเปิดแอร์ 25 องศา เพียงอย่างเดียว ใช้ไฟไปทั้งหมด 1,000 หน่วย ค่าไฟอยู่ 5,100 บาท แต่เมื่อได้รับบิลค่าไฟ กลับพบว่าใช้ไฟไป 1,200 หน่วย และค่าไฟพุ่งสูงขึ้น 6,100 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1,000 บาท เธอได้พูดแนวขบขันว่าน่าจะเป็นค่าพัดลม 3 ตัว พร้อมแนะชาวเน็ตอย่าหาทำ ไม่เวิร์ก โดนหลอก!?

ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดคือ คลิปการทดลองดังกล่าวไม่มีรายละเอียดใดๆ เลยว่าที่ทำการทดลองไปหนึ่งเดือนนั้นได้ควบคุมปัจจัยอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะจากเครื่องแอร์ พัดลม รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบ้าน ให้เหมือนกันตลอดทั้งสองเดือนที่นำมาเทียบกัน

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเดือนแรกเปิดแอร์ 25 องศา แต่เปิดไม่เยอะ ไม่บ่อย / แล้วเดือนที่สอง เปิดแอร์ 27 องศาพร้อมเปิดพัดลม แล้วเปิดบ่อย เปิดเยอะ ค่าไฟฟ้า (ซึ่งคิดคำนวณตามจำนวนชั่วโมงที่ใช้ไฟ) ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในขณะที่ถ้าเป็นการทดลองโดยอยู่ในสภาวะควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ และเปิดแอร์เป็นเวลานานเท่ากัน การตั้งค่าอุณหภูมิเครื่องแอร์ที่สูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 10% (ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวง) ทำให้การตั้งค่าอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่ 27 องศาเซลเซียส จะประหยัดไฟฟ้ามากกว่าที่ 25 องศา

และการเปิดพัดลมช่วย ให้ลมปะทะร่างกาย ก็จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกเย็นสบายมากขึ้นกว่าเดิมได้ถึง 2 องศาเซลเซียส …จึงแนะนำให้เปิดแอร์ที่ 27 องศา+เปิดพัดลมเป่าตัว เพื่อให้ได้ ‘ความรู้สึก’ เย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส ….พูดง่าย ๆ คือ ให้แอร์สร้างอากาศที่เย็น แล้วใช้พัดลมเป่าเข้ามาให้ร่างกายรับอากาศเย็นนั่นเอง

และการเปิดพัดลมนาน ๆ นั้นก็ไม่ได้จะส่งผลต่อค่าไฟฟ้าให้สูงขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับแอร์แล้ว พัดลมใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากันมาก ...โดยส่วนใหญ่แล้วพัดลมไฟฟ้าขนาดใบพัด 16 นิ้ว เปิดลมเบอร์ 1 จะกินไฟแค่ประมาณ 40 วัตต์เท่านั้น / หรือคิดง่าย ๆ ว่า ถ้าเปิดแอร์ขนาด 9000 BTU จะใช้ไฟฟ้าไป พอกับพัดลมขนาด 16 นิ้ว มากถึง 16 ตัว / หรือถ้าคิดแบบหยาบ ๆ เครื่องแอร์ 1 เครื่อง จะกินไฟตกชั่วโมงละประมาณ 1 หน่วย ขณะที่พัดลมใช้ไฟฟ้าแค่ 0.05 หน่วยต่อชั่วโมงเท่านั้น

ดังนั้น จริง ๆ แล้วถ้าจะทำการทดลองเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ ก็คงต้องทำกันโดยควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ เช่น จำนวนชั่วโมงที่เปิดแอร์ในแต่ละวันต้องเท่ากัน ช่วงเวลาที่เปิดแอร์ก็ต้องเป็นช่วงเดียวกัน (กี่โมงถึงกี่โมง) เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ต้องไม่เปิดเพิ่มให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าแปรปรวนไป

หรืออย่างน้อย ถ้าดูจากคลิปวิดีโอยูทูบที่มีคนเคยทดลองเอาไว้ แบบควบคุมปัจจัย (ช่อง Clear Energy ตอน ‘เปิดแอร์ 25 องศา กับ 27 องศาและเปิดพัดลม ค่าไฟต่างกันแค่ไหน?’ (https://youtu.be/eEtjqLjh7sA?si=kmmGrn3UdXWMDzHt ) ซึ่งทดลองกับเครื่องแอร์แบบ Inverter และเมื่อวัดกระแสไฟฟ้า ระหว่างเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส พบว่าอยู่ที่ 8.58 แอมป์ ขณะที่วัดกระแสไฟฟ้าระหว่างเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมพัดลม จะอยู่ที่ 4.36 แอมป์ / ถ้าเปิดแอร์วันละ 9 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 8 โมงเช้า-5 โมงเย็น ได้ผลว่าค่าไฟจะลดลงถึงประมาณ 50% เลยทีเดียว

ส่วนแอร์แบบรุ่นเก่าทั่วไป ที่ส่วนเครื่องคอมเพรสเซอร์ทำงานแบบ fixed speed ที่ความเร็วรอบคงที่ ไม่ได้ปรับให้เร็วช้าได้แบบแอร์ Inverter และไม่ได้ประหยัดไฟเท่าแบบ Inverter อยู่แล้วนั้น ผลที่ได้จากการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียสแล้วเปิดพัดลม ก็ไม่น่าจะประหยัดไฟฟ้าไปได้ถึง 50% ดังว่า แต่ก็น่าจะประหยัดไฟขึ้นแน่ ๆ (ถ้าอ้างอิงข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง ก็น่าจะได้ประมาณ 20%)

เมื่อย้อนกลับมาดูที่คลิปติ๊กต็อก ที่บอกว่าการเปิดแอร์แล้วใช้พัดลมช่วยทำให้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 200 หน่วย ซึ่งขึ้นสูงกว่าเดิมมากถึง 20% จากเดิม …ก็น่าสงสัยมาก ว่าจริง ๆ แล้วได้มีการใช้งานแอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ หนักขึ้นกว่าเดิมด้วยหรือเปล่า ถึงได้มีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นขนาดนั้นครับ

#โดยสรุป การทดลองในคลิปติ๊กต็อกที่แชร์กันนั้นยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องการควบคุมตัวแปรต่างๆ และผมยังเชื่อว่าการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมเป่าตัว ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าการเปิดแอร์ 25 องศา (โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นแอร์ Inverter ยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก) ไม่น่าจะทำให้กินไฟขึ้นมาก อย่างในคลิปดังกล่าวครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top