Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส ร่วมให้การต้อนรับ มท.1 และคณะ ในโอกาสเดินทางมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

เยี่ยม อส. และตำรวจ ที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ฯ  พร้อมเยี่ยมชมการฝึกหลักสูตรผู้นำสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และร่วมการประชุมหารือข้อราชการร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองกับฝ่ายความมั่นคง

ที่ห้องประชุมชั้น 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี นายกองใหญ่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองกับฝ่ายความมั่นคง และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงที่ผ่านมา พร้อมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาล ให้กับบุคลากรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พลเอก เจริญชัย หินเธาว์  ผู้บัญชาการทหารบก   พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมประชุม

จากนั้นเวลา 14.30 น. นายกองใหญ่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ เดินทางไปยังศูนย์ฝึกอบรมกองกำลังประจำถิ่นท่าสาป ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้ตรวจเยี่ยมและตรวจแถวกองเกียรติยศ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนในพื้นที่จังหวัดยะลา และตรวจเยี่ยมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ที่เข้าอบรมหลักสูตรผู้นำ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2567 ในโครงการฝึกเสริมสร้างขีดความสามารถสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับการฝึก จำนวน 1,266 นาย ได้ฝึกอบรมระหว่างเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2567 โดยมี ศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบการฝึกในครั้งนี้ โดยก่อนจะลงปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงเช้า เวลา 09.15 น. นายกองใหญ่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะฯ ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมกับมอบของเยี่ยมแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ผู้ปฏิบัติงานและได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ณ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา.

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

ย้อนรอย 18 ปี 'กรุงเทพฯ...ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว' Bangkok City of Life by 'อภิรักษ์ โกษะโยธิน'

กลายเป็นเรื่องฮือฮา เมื่อป้ายข้อความ ‘Bangkok City of Life’ ที่วาดติดอยู่ตามแยกกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีมาแล้ว 18 ปี จนกลายเป็น Landmark จุดถ่ายรูปจุดหนึ่งซึ่งทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างก็นิยมเป็นจุดถ่ายรูปความประทับใจ ได้ถูกแทนที่ด้วยป้ายไวนิลสติกเกอร์ที่มีข้อความว่า ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ 

ป้ายข้อความ ‘Bangkok City of Life’ เกิดขึ้นในยุคที่ ‘อภิรักษ์ โกษะโยธิน’ จากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 

ด้วยในปี พ.ศ. 2549 ผู้ว่าฯ ‘อภิรักษ์’ ได้ประกาศทิศทางการพัฒนากรุงเทพมหานครเพื่อให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วยสโลแกน ‘กรุงเทพฯ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว’ โดยมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ (1) มิติทางด้านเศรษฐกิจ (2) มิติด้านสิ่งแวดล้อม (3) มิติด้านวัฒนธรรม และ (4) มิติด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

‘อภิรักษ์ โกษะโยธิน’ ผู้เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์, อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์, อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 สมัย โดยก่อนหน้านั้น ‘อภิรักษ์’ ทำงานให้กับ พิซซ่าฮัท ไทยแลนด์, Lintas Worldwide, ดามาร์กส์ แอ๊ดเวอร์ไทซิ่ง, เป๊ปซี่-โคล่า อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์, เป๊ปซี่ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ฟริโต-เลย์ ไทยแลนด์, จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, ออเร้นจ์ และ กลุ่มบริษัทในเครือเทเลคอมเอเชีย (ปัจจุบันคือ ทรู คอร์ปอเรชั่น) ปัจจุบัน ‘อภิรักษ์’ เป็นเจ้าของและประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากพืชผลทางการเกษตร

ในช่วงที่ ‘อภิรักษ์’ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการทำโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนกรุงเทพฯ อาทิ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า BTS*, การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การพัฒนาคุณภาพการศึกษา, การวางผังพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ส่วนผลงานด้านการต่างประเทศ ‘อภิรักษ์’ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับกรุงเทพฯ เป็นอย่างมาก ด้วยการสร้างความสัมพันธ์อันดีและทำการแลกเปลี่ยนความคิดในการพัฒนากรุงเทพฯ ร่วมกับเมืองหลวงสำคัญ ๆ ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง, แต้จิ๋ว, โซล, ฟุกุโอกะ, ฮานอย, ลิเวอร์พูล, วอชิงตัน ดี.ซี., บริสเบน เป็นต้น 

(*รถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายด้านฝั่งธนบุรีนั้น รัฐบาลทักษิณไม่อนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการ แต่ ‘อภิรักษ์’ ไม่รอ ด้วยเกรงว่าหากการก่อสร้างล่าช้าจะทำให้พี่น้องประชาชนฝั่งธนบุรีเสียประโยชน์ จึงตัดสินใจดำเนินการโดยใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลของกรุงเทพมหานครเอง)

นอกจากนั้นแล้ว ‘อภิรักษ์’ ยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้บรรยายกิตติมศักดิ์ในงานสัมมนาระดับโลกมากมาย อาทิ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN 100 Leadership Forum) ในปี พ.ศ. 2542 ณ ประเทศสิงคโปร์ และในปี พ.ศ. 2544 ณ ประเทศเวียดนาม รวมถึงการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม (C40 Cities Climate Summit) ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ‘อภิรักษ์’ ทำงานด้วยความตั้งใจจนครบวาระ 4 ปีในสมัยแรก ทำให้ ‘อภิรักษ์’ ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนโหวตเกือบ 1 ล้านคะแนน

สิ่งหนึ่งที่ ‘อภิรักษ์’ ทำแล้วเป็นเรื่องใหม่ในวงการเมืองไทยคือ เมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551 ‘อภิรักษ์’ ได้ยุติการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครชั่วคราว พร้อมกับได้ตั้ง ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ รักษาการแทน อันเนื่องมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดกรณีซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นการชี้มูลความผิดหรือส่งเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลแล้ว 

...และ 12 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดในคดีนี้ ‘อภิรักษ์’ ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งในเวลา 15.30 น. โดยที่กฎหมายไม่ได้มีผลบังคับให้ต้องลาออกแต่อย่างใด แต่ ‘อภิรักษ์’ ระบุว่าต้องการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการเมืองไทย 

...และในที่สุดเมื่อ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำตัดสินให้นายอภิรักษ์พ้นข้อกล่าวหาในคดีรถดับเพลิง เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งมีผลก่อนหน้าที่จะเข้ารับตำแหน่งแล้ว และได้มีการดำเนินการเพียรพยายามรักษาผลประโยชน์ของ กทม. จนได้รับผลประโยชน์คืนให้กับ กทม. อีก 250 ล้านบาท 

สำหรับป้ายไวนิลสติกเกอร์ ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ ซึ่งมาแทนที่ป้ายข้อความ ‘Bangkok City of Life’ นั้น ออกแบบโดยทีม ‘Farmgroup’ จากบริษัท Creative & Design Consultancy จำกัด จากแนวคิดการสร้าง Brand Identity ของกรุงเทพมหานครให้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับมหานครอื่น ๆ ดังตัวอย่างเช่น ‘I love NY’ ของมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ หรือ ‘Amsterdam’ ของกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยปัจจัยองค์ประกอบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น บริบทของกรุงเทพมหานคร ความหลากหลาย สีที่มีความหมายสื่อถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปจนกระทั่งนโยบายของผู้บริหาร

ป้ายไวนิลสติกเกอร์ ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ ที่มาใหม่นี้ มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบเห็นว่าป้ายไวนิลสติกเกอร์ ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ นี้ออกแบบเป็นไปตามเอกลักษณ์ขององค์กร หรือ ‘Corporate Identity’ (CI) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้มานานแล้วทั้ง สี ฟ้อนต์ และลวดลาย ล้วนมีความหมายสอดคล้องกับเอกลักษณ์ขององค์กรทั้งสิ้น 

ส่วนกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยมองก็ว่าป้าย ‘Bangkok City of Life’ ของเดิมโดยเฉพาะตรงแยกปทุมวันนั้น มีความคลาสสิก เรียบง่าย สวยด้วยตัวเอง ดูไม่ทื่อ ๆ แบบฟอนต์ราชการ ถือเป็นรสนิยมดี ๆ ที่ซื้อด้วยเงินไม่ได้ 

ส่วนในมุมมองของผู้เขียนบทความเห็นว่า ป้ายอันเก่า หากได้รับการฟื้นฟูสภาพ ก็น่าจะดูดี ทั้งคงความคลาสสิก ส่วนป้ายแบบใหม่หากเป็นป้ายวาดแบบป้ายเก่าก็อาจจะดูดี หรือพอจะรับได้มากกว่าป้ายไวนิลสติกเกอร์เช่นที่พึ่งจะติดตั้งสำเร็จเสร็จสิ้นในขณะนี้

‘สนค.’ ชี้ช่อง!! โอกาสไทยรับกระแส ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ มุ่งขยายตลาดส่งออก ‘โซลาร์เซลล์’ เพื่อก้าวสู่ 1 ใน 3 ผู้นำโลก

สนค.ติดตามสถานการณ์โลก พบความต้องการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ก็เพิ่มขึ้น ชี้เป็นโอกาสของไทยที่จะขยายตลาดส่งออก และก้าวไปเป็นผู้ส่งออกติด 1 ใน 3 ของประเทศส่งออกโซลาร์เซลล์สูงสุดในโลก จากปัจจุบันอยู่ลำดับที่ 4 พร้อมแนะภาคธุรกิจ ครัวเรือน ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อลดต้นทุนพลังงาน

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.67) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันความต้องการใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่เร่งให้ทั่วโลกลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและเกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโลก มาจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน

ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น เห็นได้จาก กำลังการผลิตพลังงานทดแทนของโลกเพิ่มขึ้น โดยในปี 2023 อยู่ที่ 507 กิกะวัตต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จากปี 2022 โดยเป็นสัดส่วนจากพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 3 ใน 4 ของการผลิตพลังงานทดแทนทั้งหมด และคาดการณ์ว่าในปี 2025 สัดส่วนการผลิตพลังงานทดแทนจะคิดเป็นร้อยละ 35 ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก โดยมีจีนเป็นผู้นำด้านกำลังการผลิตโซลาร์เซลล์ของโลก ซึ่งในปี 2023 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 450 กิกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึงร้อยละ 116 และมีแผนที่จะขยายการลงทุนโรงงานโซลาร์เซลล์ไปยังเวียดนามกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายการผลิตให้มากขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2025  

ข้อมูลจากบริษัทวิจัยการตลาด Zion Market Research ระบุว่า ในปี 2022 ตลาดโซลาร์เซลล์ทั่วโลกมีมูลค่า 90,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 215,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 11.5 สำหรับด้านการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ รายงาน S&P Global Market Intelligence แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศที่นำเข้าแผงโซลาร์เซลล์สูงสุดของโลก ในปี 2023 โดยนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์มากถึง 54 กิกะวัตต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 จากปี 2022 โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทย

นายพูนพงษ์กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี คาดการณ์ว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นและการทำงานรูปแบบ Work From Home จะส่งผลให้มูลค่าตลาดโซลาร์เซลล์ในไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2022-2025 จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 22 ต่อปี จนมีมูลค่า 67,268 ล้านบาท ในปี 2025 และมูลค่าการผลิตโซลาร์เซลล์ในไทย  ปี 2023 อยู่ที่ 6,147.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต ร้อยละ 184.35 จากปี 2022 (2,161.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมูลค่าการส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทย ปี 2023 อยู่ที่ 4,433.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 80.87 จากปี 2022 (2,451.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่าการส่งออกของไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของการส่งออกโซลาร์เซลล์ในตลาดโลก

โดยไทยครองส่วนแบ่งอันดับที่ 4 ของโลก รองจากจีน 55,857.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 63 เนเธอร์แลนด์ 9,752.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 11 และมาเลเซีย 5,319.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 6 โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย คือ สหรัฐอเมริกา มูลค่า 3,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 75) เวียดนาม มูลค่า 495 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 11) อินเดีย มูลค่า 232 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 5) และจีน มูลค่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 4) โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มีการเติบโตมากถึงร้อยละ 144.35 จากปี 2022

นายพูนพงษ์กล่าวว่า จากบริบทการเติบโตของภาคพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขยายส่วนแบ่งในตลาดโลก และก้าวขึ้นไปเป็น 1 ใน 3 ของประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกโซลาร์เซลล์สูงสุดของโลก โดยผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญต่อการศึกษากฎระเบียบ ข้อกำหนด มาตรการของประเทศคู่ค้า ยกระดับคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากล และขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่สามารถผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนพลังงาน และยกระดับระบบพลังงานไฟฟ้าไทยให้มีความเสถียรในระยะยาว โดยเห็นว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถบูรณาการความร่วมมือกัน ทั้งด้านการสนับสนุนข้อมูลการค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ การรักษาตลาดเดิมและเพิ่มตลาดใหม่ การหาแหล่งเงินทุน และการจัดหาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยในการผลิต เพื่อส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป   

ปัจจุบันไทยมีนโยบายกระตุ้นตลาดภายในประเทศ ที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้แผงโซลาร์เซลล์ทั้งในภาคธุรกิจและครัวเรือนมากขึ้น อาทิ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านที่อยู่อาศัย หรือโครงการ Solar ภาคประชาชน ส่งเสริมให้ครัวเรือนสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองภายในบ้านได้ และไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากที่ใช้งาน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะรับซื้อ 2.20 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี และการดำเนินงานแก้ไขกฎหมายให้ภาคธุรกิจภาคสามารถติดตั้ง Solar Rooftop ที่มีกำลังการผลิตเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ ได้ โดยไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า เพื่อปลดล็อกให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ศูนย์การค้า โรงแรม และภาคบริการ สามารถใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานว่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์ 10 แผง (1 กิโลวัตต์) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 101 ต้น ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 901.3 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์

‘หมู่เกาะพีพี’ อ่วม!! ดอกไม้ทะเล ‘ปะการังฟอกขาว’ กว่า 70% ปลานีโม่เสี่ยงตาย-ไร้บ้าน หวั่นอนาคตสถานการณ์รุนแรงขึ้น

(31 พ.ค. 67) มีการสำรวจสภาพของดอกไม้ทะเล บริเวณหมู่เกาะท้องถิ่น อยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซึ่งมีสภาพเปลี่ยนสีจากสีเหลืองทองกลายเป็นสีขาวซีด ดอกไม้ทะเลเหล่านี้เป็นเสมือนบ้านของปลาการ์ตูน หรือปลานีโม่ ภาพใต้น้ำนี้ถูกบันทึกไว้โดยทีมนักดำน้ำของ SCUBA Expert Krabi

โดย น.ส.ปรัญญา พันธุ์ตาจิต หรือ ครูอุ๋ม ครูสอนการดำน้ำของทีม SCUBA Expert Krabi กล่าวว่า จากภาพดอกไม้ทะเล ซึ่งกลายสภาพเป็นปะการังสีขาวเกือบทั้งหมด เรียกว่าเจอภาวะฟอกขาวมากกว่า 70% ของพื้นที่ จนกลายเป็นวิกฤตที่น่าเป็นห่วง ซึ่งจุดที่เธอลงไปดำน้ำสำรวจอยู่ที่ความลึกตั้งแต่ 3 - 14 เมตร พบว่าอุณหภูมิน้ำทะเลสูง 32-34 องศา อุณหภูมิปกติจะอยู่ที่ 28 - 30 องศาเท่านั้น จึงเป็นห่วงว่าอนาคตสถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้น

ตอนนี้ทางอุทยานฯ สั่งให้งดกิจกรรมท่องเที่ยว ดำน้ำ ในพื้นที่พวกนี้ไว้ก่อนแล้ว หากในอีก 1 เดือนข้างหน้า ยังไม่มีฝนตกลงมาจนทำให้อุณหภูมิน้ำลดลง จะยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้น ผู้ประกอบการเองก็กังวล ว่าแนวโน้มอนาคตเราอาจไม่ได้เห็นสีสันสวยงามของปะการังอีกก็เป็นได้

ทั้งนี้ ดอกไม้ทะเล ซึ่งเป็นบ้านของปลานีโม่ ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ปีก่อนนี้ที่เกิดการฟอกขาว ดอกไม้ทะเลยังปกติดี แต่ปีนี้ถือว่าหนัก หากดอกไม้ทะเลเจอผลกระทบจนตายลง ปลานีโม่ที่อาศัยอยู่ก็จะตายไปด้วย เพราะพวกมันจะไปอาศัยที่อื่นไม่ได้ และจะไม่มีที่หลบภัย จึงภาวนาให้วิกฤตนี้หมดไปโดยเร็ว สิ่งที่ทุกคนจะช่วยกันได้ ก็คือการลดก๊าซคาร์บอน ที่ส่งผลให้เกิดสภาวะโลกร้อน

‘ญี่ปุ่น’ จ่อเปลี่ยนที่บังวิว จุดถ่ายรูป ‘ฟูจิ’ ตรงลอว์สันให้แข็งแรงขึ้น หลัง นทท.ไม่รามือ!! แอบเจาะตาข่ายจนพรุน หวังแชะรูปให้ได้

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.67) สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า ทางการเมืองฟูจิคาวากุชิโกะ ซึ่งเป็นที่ตั้งหนึ่งในจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิยอดนิยมของญี่ปุ่นในจังหวัดยามานาชิ จะทำการเปลี่ยนที่บังวิวใหม่ บริเวณจุดถ่ายรูปฮอตฮิตตรงร้านสะดวกซื้อ ‘Lawson’ ที่มีวิวด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ

โดยจะติดตั้งที่บังวิวซึ่งทำจากวัสดุที่แข็งแรงขึ้น หลังจากการใช้ตาข่ายสีดำ ขนาดสูง 2.5 เมตร และยาว 20 เมตร ติดตั้งบังวิวฟูจิจากร้านสะดวก ‘Lawson’ ไปก่อนเมื่อไม่กี่วันก่อน ปรากฏว่ายังมีนักท่องเที่ยวมือบอนมาแอบเจาะตาข่ายที่บังวิวให้เป็นรูเล็ก ๆ อย่างน้อย 10 รู ในความพยายามจะถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิหลังร้านสะดวกซื้อแห่งดังกล่าวผ่านรูเล็ก ๆ บนที่บังวิวนั้นให้ได้

สำนักข่าวเกียวโดและสื่ออีกหลายสำนักรายงานว่า ที่บังวิวใหม่จะทำให้แข็งแรงขึ้นและอาจเปลี่ยนเป็นสีที่อ่อนลง เช่น สีฟ้าหรือสีเขียวแทน

ด้าน นายฮิเดยูกิ วาตานาเบะ นายกเทศมนตรีเมืองฟูจิคาวากุชิโกะ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนหวังจะให้มีการเปลี่ยนที่บังวิวใหม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนช่วงฤดูร้อนนี้

ทั้งนี้ การตัดสินใจติดตั้งที่บังวิวบริเวณจุดถ่ายรูปฮิตที่ร้านสะดวกซื้อ ‘Lawson’ แห่งนี้ มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นและการไม่เคารพกฎจราจรของนักท่องเที่ยว เช่น การข้ามถนนไปมาเพื่อที่จะถ่ายรูปซึ่งถือเป็นอันตราย ทำให้ทางการญี่ปุ่นต้องจัดหามาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

เอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม ประจำประเทศไทย มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลอปอล จากราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ให้ประธานสวนนงนุชพัทยา

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.67) เวลา 12.30 น. ณ ทำเนียมเอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม  H.E. Ms. Sibille de Cartier d’Yves (นางซีบีย์ เดอ การ์ทีเย ดีฟว์ ) เอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม ประจำประเทศไทยเป็นตัวแทน จากสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเบลเยียมทรงพระราชทาน เครื่องอิสริยาภรณ์เลอปอล เพื่อเป็นเกียรติยศและบำเหน็จความดีความชอบ แด่นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา เพื่อเป็นการยกย่องและเชิญชูบุคคลผู้มีผลงานสร้างสรรค์อันโดดเด่นทางด้านแนวคิด 'สวนมิตรภาพ' 'Friendship Garden'      

ด้านนายกัมพล กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลอปอล จากรัฐบาลเบลเยียม และรางวัลนี้เป็นการยกย่องแนวคิดสวนมิตรภาพขอผม ในสถานทูตเบลเยี่ยมประจำประเทศไทย รางวัลนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรเบลเยี่ยม แต่โดยส่วนตัวแล้วถือเป็นการมองเห็นคุณค่าในตัวของผมและสวนนงนุชพัทยา และผมจะจดจำมิตรภาพที่ดีตลอดไป ขอขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับการได้รับเกียรติในครั้งนี้

ซึ่งแนวคิดการจัดสวนมิตรภาพ หรือ 'Friendship Garden' เป็นการปรับภูมิทัศน์ให้แต่ละสถานทูตภายในประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งทางสวนนงนุชพัทยาทำการออกแบบแล้วเข้าจัดสวน และทำการดูแลบำรุงรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนถึงปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด 15 แห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘อินฟอร์มาฯ’ ผนึกกำลังจัดงาน ‘Thai Water Expo - Water Forum 2024’ วางเป้าสร้างโอกาสไทย ‘จัดการน้ำ’ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

(31 พ.ค. 67) อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมด้วย วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคีเครือข่ายชั้นนำด้านน้ำจากทุกห่วงโซ่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ผสานความร่วมมือสานต่อการจัดงาน ‘Thai Water Expo (THW) และ Water Forum 2024’ ชูแนวคิด ‘ปฏิวัติเทคโนโลยีน้ำ ขับเคลื่อนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ สู่อนาคตที่ยั่งยืน’ ขนทัพเทคโนโลยี นวัตกรรม การจัดการน้ำล้ำสมัย วางเป้าพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมแกร่งผู้ประกอบการ ผลักดันทุกภาคส่วนมุ่งบริหารจัดการน้ำร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับทุกห่วงโซ่อุปทานในระบบนิเวศทางธุรกิจยุคเศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืน จัดงานระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ด้าน รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ ผู้แทนคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการบริหารหลักสูตรวิศวกรรมนานาชาติ กล่าวว่า จุฬาฯ ประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) รวมถึงคณะวิศวฯ เป็นหนึ่งในสองคณะในจุฬาฯ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปรับตัวในทุกบริบทของสังคมโลก รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาทิ การจัดการน้ำ น้ำเสีย จากภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งที่ผ่านมาทางคณะวิศวฯ จุฬาฯ ได้พัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอนให้สอดรับกับสถานการณ์โลก อย่างหลักสูตร Innovative Engineering for Sustainability : IES) เพื่อรองรับการจัดการอย่างยั่งยืนในยุคโลกเดือด ทั้งนี้ในมิติงานวิจัยร่วมพัฒนาเทคโนโลยีจัดการน้ำ มุ่งเน้นด้าน ‘การพัฒนาเทคโนโลยี เสริมการเพิ่มน้ำต้นทุนของเขื่อนหลักเพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยา’ ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยได้เข้าร่วมในการพัฒนาการบริหารเขื่อนด้วยเทคนิค AI, การจัดการน้ำในโครงการชลประทานด้วยระบบ sensor/IOT/smart, การจัดการน้ำในภาคอุตสาหกรรมด้วยระบบ 3R plus เป็นต้น โดยมีหมุดหมายในการเพิ่มขีดความสามารถ และส่งเสริมความร่วมมือเชิงลึก เพื่อพัฒนากำลังคน ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ให้กับประเทศและภูมิภาคนี้

“อย่างไรก็ดี คณะวิศวฯ จุฬาฯ ยังคงเดินหน้าเผยแพร่ความรู้ในการจัดการทรัพยากรน้ำผ่านการจัดสัมมนา Water Forum ขึ้นภายในงาน Thai Water Expo 2024 และโดยปีนี้ ยังคงสานต่อความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายด้านน้ำ อาทิ สมาคมการประปาแห่งประเทศไทย สมาคมนักอุทกวิทยาไทย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ และ อินฟอร์มาฯ ร่วมกันนำเสนอเนื้อหา Smart, Green, Resilient for a Climate-Friendly Future โดยได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจาก GIZ , ปตท และธนาคารโลก มาร่วมแชร์ประสบการณ์ที่สำคัญผ่านหัวข้อ ‘เสริมศักยภาพเทคโนโลยีน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในเอเชียและแปซิฟิก’ ซึ่งทางคณะฯ เชื่อมั่นว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ หน่วยงานทั้งไทย และอาเซียน นำไปปรับในการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ ร่วมกับการจัดการน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป” รศ.ดร.วิทยา กล่าวเสริม    

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ - ประเทศไทย กล่าวว่า ในมิติของการจัดการน้ำ อินฟอร์มาฯ ให้ความสำคัญอย่างรอบด้าน ซึ่งทรัพยากรน้ำถือเป็นปัจจัยพื้นฐานโดยแต่ละภูมิประเทศมีความท้าทายที่ต่างกัน อินฟอร์มาฯ จึงได้เดินหน้าจัดงาน ‘Thai Water Expo (THW) และ Water Forum 2024’ งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมระดับภูมิภาคด้านเทคโนโลยีการจัดการทรัพยากรน้ำและน้ำเสียที่ครบวงจรที่สุด โดยเป็นงานที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค มีเป้าหมายสำคัญในการรวบรวมผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม โซลูชัน รวมถือเครือข่ายด้านน้ำระดับประเทศทั้งระบบอย่างครบถ้วน

โดยงานในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Revolutionizing Water Technologies to Drive Climate Adaptation Towards a Sustainable Future’ หรือ ปฏิวัติเทคโนโลยีน้ำ ขับเคลื่อนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ สู่อนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่จัดแสดงกว่า 15,000 ตร.ม. จัดแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมและโซลูชันด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและน้ำเสียที่ทันสมัยกว่า 250 บริษัท อาทิ Ebara, Endress+Hauser, ProMinent, Brenntag, Demarc, Wam Group, Dupont, Wika Instrumentation, Vega Instruments เป็นต้น ทั้งพาวิเลียนนานาชาติ รวมถึงผู้นำด้านการจัดน้ำระดับโลกอย่างสิงคโปร์ที่นำผู้ประกอบการกว่า 15 บริษัทเข้าร่วม ที่สำคัญภายในงานมีการจัดประชุมนานาชาติ Water Forum รวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ร่วมกันอัปเดตเทรนด์ นโยบายและนวัตกรรมการจัดการน้ำ นอกจากนี้ยังมี GreenTech Stage เวทีนำเสนอเทคโนโลยีจากบริษัทชั้นนำ และโซนพิเศษ Insight Water Zone รวมหน่วยงาน องค์กรชั้นนำด้านการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อมมาร่วมให้แนวทางและคำปรึกษาแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เราเชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงในการสร้างความร่วมมือและต่อยอดธุรกิจในมิติต่าง ๆ ของการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน รวมถึงเป็นก้าวที่สำคัญในการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในภูมิภาคอาเซียน

เตรียมพร้อมเพื่อขับเคลื่อนสู่การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่อนาคตที่ยั่งยืนในงาน Thai Water Expo (THW) และ Water Forum 2024 งานนิทรรศการและการประชุมนานาชาติด้านเทคโนโลยีการจัดการทรัพยากรน้ำและน้ำเสียที่ครบวงจรที่สุดงานเดียวในประเทศไทย จัดร่วมกับงาน Entech Pollutec Asia 2024 งานนิทรรศการด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการควบคุมมลพิษ รวบรวมบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกจัดแสดงเทคโนโลยี การจัดการขยะ การวัดคุณภาพอากาศและน้ำ สอดรับเทรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ติดตามข่าวสารและลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ www.thai-water.com

คณะลูกขุน ตัดสิน ‘ทรัมป์’ ผิดทุกกระทง ‘คดีจ่ายเงินลับ’ หวั่น!! โดนตัดสิทธิ์ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘ปธน.’ ปี 2567

(31 พ.ค. 67) เอเอฟพีรายงาน กล่าวว่า เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว อัลวิน แบรกก์ อัยการเขตแมนฮัตตันในมหานครนิวยอร์กได้ยื่นฟ้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในความผิดคดีอาญาฐานจ่ายเงินให้แก่บุคคลเพื่อปกปิดข้อมูลอันอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2559


ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาในความผิดทางอาญา 34 กระทง จากการปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินค่าปิดปาก 130,000 ดอลลาร์ให้กับสตอร์มี แดเนียลส์ วัย 44 ปี ซึ่งเป็นดาราหนังโป๊ รวมทั้งการจ่ายเงินปิดปากนางแบบเพลย์บอย และคนเฝ้าประตู

ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี การพิจารณาคดีครั้งแรกที่ศาลอาญาแมนฮัตตันจบลงด้วยการที่ทรัมป์ วัย 77 ปี ​​ถูกตัดสินว่ามีความผิดใน 34 กระทงดังกล่าวตามคำฟ้องของอัยการ และผู้พิพากษาฮวน เมอร์ชานเสนอให้เขาต้องโทษจำคุก

จากนั้น ทรัมป์ซึ่งได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องอาศัยหลักประกันและเตรียมยื่นอุทธรณ์ในขั้นตอนต่อไป ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังออกจากศาลและประณามผลการตัดสินของคณะลูกขุนว่า ‘ขี้โกง’ และ ‘น่าอับอาย’ โดยท้าให้รอดูคำตัดสินที่แท้จริงที่จะมาจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายน

ทั้งนี้ คณะลูกขุนทั้ง 12 คนใช้เวลาพิจารณาอรรถคดีนานกว่า 11 ชั่วโมงในช่วงเวลา 2 วัน ก่อนประกาศข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ภายในไม่กี่นาที โดยตัวตนของพวกเขาทั้ง 12 คนถูกเก็บเป็นความลับตลอดการพิจารณาคดี ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่มักพบบ่อยในกรณีที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียหรือจำเลยที่มีอิทธิพล

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงมีสิทธิ์ในการรณรงค์แคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่ 11 กรกฎาคมที่คณะลูกขุนจะพิจารณาว่าจะตัดสินโทษออกมาแบบใด และจะตัดสิทธิ์ลงรับสมัครของเขาหรือไม่

ช่วงเวลาดังกล่าวจะคาบเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรครีพับลิกันในเมืองมิลวอกี ซึ่งทรัมป์มีกำหนดได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรคเพื่อเป็นตัวแทนในการเผชิญหน้ากับโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต

ทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าสั่งการให้ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความส่วนตัวจัดเตรียมการจ่ายเงินให้แดเนียลส์ก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2559 เพื่อไม่ให้แพร่งพรายความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่เคยมีต่อกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในทะเลสาบทาโฮ

จากนั้นมีการจ่ายเงินอีก 30,000 ดอลลาร์เพื่อปิดปากของอดีตคนเฝ้าประตูทรัมป์ทาวเวอร์ที่รู้ข้อมูลลับว่าทรัมป์มีบุตรนอกสมรส และจ่ายเงิน 150,000 ดอลลาร์ให้กับคาเรน แม็คดูกัล นางแบบนิตยสารเพลย์บอย เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศที่ยาวนานเกือบหนึ่งปีในฐานะชู้รักกับทรัมป์

ในการพิจารณาคดี สตอร์มี แดเนียลส์ (ซึ่งมีชื่อจริงว่าสเตฟานี คลิฟฟอร์ด) ได้อธิบายต่อศาลอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เธอบอกว่าเป็นการมีเพศสัมพันธ์กับทรัมป์ที่แต่งงานแล้วในปี 2549 และคำให้การดังกล่าวช่วยให้อัยการประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีปกปิดการจ่ายเงินอย่างผิดกฎหมายอันเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมในวงกว้างเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลงคะแนนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวทรัมป์เอง ซึ่งเป็นการโน้มน้าวการเลือกตั้งด้วยความทุจริต

ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยแย้งแทนลูกความว่า ‘การพยายามโน้มน้าวการเลือกตั้งเป็นเพียงการแสดงออกตามครรลองประชาธิปไตย และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรผิด’
ความเพลี่ยงพล้ำของทรัมป์ในครั้งนี้ทำให้ทีมหาเสียงของโจ ไบเดนออกแถลงการณ์ขยี้ซ้ำว่า กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีแสดงให้เห็นแล้วว่า ‘ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย’ และเสริมว่า ‘ภัยคุกคามจากชายชื่อโดนัลด์ ทรัมป์มีผลใหญ่หลวงต่อประชาธิปไตยของประเทศยิ่งนัก’

แม้การพิจารณาคดีดังกล่าวทำให้ทรัมป์เสียสมาธิจากการรณรงค์หาเสียงเพื่อขับไล่ไบเดนออกจากทำเนียบขาว แต่เขากลับใช้โอกาสมาขึ้นศาลแต่ละครั้งในการเรียกร้องความสนใจจากสื่อไปทั่ว โดยกล่าวปราศรัยต่อหน้ากล้องของสื่อมวลชนอยู่เสมอ ในประเด็นการตกเป็นเหยื่อทางการเมือง

ตามทฤษฎีแล้ว ทรัมป์อาจเผชิญโทษจำคุกสูงสุด 4 ปีสำหรับการปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจแต่ละครั้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกล่าวว่า ในฐานะผู้กระทำผิดครั้งแรก เขาไม่น่าจะถึงขั้นโดนจำคุกจริงและอาจโดนแค่คุมประพฤติ ส่วนกระบวนการการอุทธรณ์อาจใช้เวลาอีกหลายเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์

ทว่าหลังจากนี้ โดนัลด์ ทรัมป์อาจเผชิญอีกหนึ่งข้อหาที่หนักหน่วง คือสมรู้ร่วมคิดล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2563 จากกรณียุยงผู้สนับสนุนให้บุกโจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 และข้อหาแอบเก็บเอกสารลับทางราชการและไม่ยอมส่งคืนหลังหมดวาระจากทำเนียบขาว

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2567

วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ที่ บริเวณสโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3  พร้อมด้วย คุณ คัทลียา แสงศิริรักษ์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี "พระราชินี" ทรงเจริญพระชนมายุ 46 พรรษา ในวันที่ 3 มิถุนายน 2567 โดยกองทัพภาคที่ 3 ได้จัดให้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ณ บริเวณลานพื้นแข็งหน้าสโมสรบันเทิงทัพ, พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้อง 202 สโมสรบันเทิงทัพ และพิธีถวายราชสักการะ ถวายราชสดุดีและพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ ห้อง 202 สโมสรบันเทิงทัพ 

ทั้งนี้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพภาคที่ 3 ในแต่ละจังหวัดก็ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ตามความเหมาะสมโดยพร้อมเพรียง

‘ก.คมนาคม’ เผย บิ๊กเอกชนไทย-เทศ รุมจีบ ‘แลนด์บริดจ์’ คาด เริ่มประกวดราคา Q4/68 หวัง ดึงร่วมลงทุน 1 ล้านล้านบาท

(30 พ.ค. 67) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในงาน สัมมนาจัดการทดสอบความสนใจจากภาคเอกชน (Market Sounding) โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ว่า มีตัวแทนจากภาคธุรกิจเอกชน กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มนักลงทุน สถานทูต ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และสมาคมการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมงานมากกว่า 100 ราย

‘ผลจากการโรดโชว์แสดงให้เห็นแล้วว่า นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมลงทุนมาก กระทรวงฯ มั่นใจว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะเกิดขึ้น มีการลงทุนจริง ซึ่งกระบวนการตอนนี้เตรียมจัดทำร่าง RFP เพื่อเริ่มกระบวนการประมูลในไตรมาส 4 ปี 2568 อีกทั้งกระทรวงฯ จะเร่งผลักดัน พรบ. SEC เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. และสภาภายในปีนี้ เพื่อเป็นอีกปัจจัยสร้างความเชื่อมั่นและจูงใจนักลงทุนในด้านสิทธิประโยชน์ และกฎหมายต่างๆ’

โดยรูปแบบการลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ตามที่กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาไว้เบื้องต้นจะให้สิทธิผู้สนใจลงทุนมีสิทธิประมูลโครงการเป็น Single Package ในระยะเวลา 50 ปี ได้แก่ ท่าเรือ 2 แห่ง (ท่าเรือชุมพรและท่าเรือระนอง) โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ รวมทั้งพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม แต่สามารถร่วมกันลงทุนได้ในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) หรือการร่วมกันในลักษณะกลุ่มบริษัท (Consortium)

สำหรับรูปแบบการลงทุนจะเป็นรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบในการให้สิทธิประโยชน์ แก่ภาคเอกชน พร้อมทั้งจัดหาพื้นที่และการเวนคืนให้สำหรับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ เส้นทางเชื่อมโยงต่างๆ โดยภาคเอกชนผู้ลงทุนต้องเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเองทั้งหมด และดำเนินการบริหารจัดการ โดยจากการประเมินมูลค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นที่ผู้ลงทุนต้องใช้ในการพัฒนาโครงการ มีมูลค่าลงทุนประมาณ 1,001 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งระนอง ประมาณ 330,810 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งชุมพร ประมาณ 305,666 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อ ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ รวมประมาณ 358,517 ล้านบาท (เป็นราคาประเมิน ณ ปี พ.ศ. 2566 โดยไม่ได้รวมเงินเฟ้อ) ซึ่งจากการประเมินอัตราผลตอบแทนภายในทางการเงิน (FIRR) ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากโครงการในเบื้องต้น เท่ากับ 8.62% (กรณียังไม่มีการกู้ยืม) โดยมีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โครงการมีความคุ้มค่ากับการลงทุน

โดยที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าโรดโชว์โครงการและดึงภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมลงทุน โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากหลายประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น และประเทศ ฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่งการจัดการทดสอบความสนใจจากภาคเอกชน (Market Sounding) ในวันนี้นับเป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการ เพราะกระทรวงฯ จะนำข้อเสนอของเอกชนทั้งหมดไปประกอบการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (RFP) รวมทั้งข้อกฎหมายของ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคใต้ (SEC)

ภายในงานครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสถานทูตประเทศต่างๆ เช่น สถานทูตประเทศญี่ปุ่น สถานทูตประเทศปากีสถาน สถานทูตประเทศอินเดีย สถานทูตประเทศเยอรมัน สถานทูตประเทศมาเลเซีย สถานทูตประเทศอิตาลี สถานทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน สถานทูตประเทศออสเตรเลีย สถานทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากไทยและต่างประเทศเข้าร่วม เช่น บริษัท HeBei Port Group Co.,LTD ผู้ประกอบการท่าเรือจากสาธารณรัฐประชาชนจีน บริษัท Maritime Transport Business Solutions BV ผู้ประกอบการท่าเรือจากประเทศเนเธอร์แลนด์ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHA) ผู้ประกอบการด้านนิคมอุตสาหกรรมจากประเทศไทย บริษัท Pacific Construction in Thailand ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน บริษัท Sumitomo Mitsui Construction Co.,Ltd. ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น และ บริษัท Misubishi Company (Thailand) ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

โดยนักลงทุนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น ความคุ้มค่าทางด้านการลงทุน ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ระยะเวลาในการขนส่งถ่ายสินค้าระหว่างสองท่าเรือ และมีแนวทางการรองรับด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่โครงการ เป็นต้น ทั้งนี้ ภายหลังจากสัมมนาครั้งนี้ สนข. และที่ปรึกษาโครงการฯ จะรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ นำไปปรับปรุงให้ผลการศึกษามีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top