Monday, 1 July 2024
NewsFeed

เบิกเนตร!! ประวัติศาสตร์ 2475 เริ่มกระจ่าง ก่อการเพื่อ 'คณะราษฎร' หรือ 'คนไทย'

ปีนี้เป็นปีที่ 92 หลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475 จากระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ เป็นระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ 

ขออธิบายสั้น ๆ สำหรับผู้ที่อาจไม่เข้าใจในระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’

ระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ (Absolute Monarchy) เป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองและทรงมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ 

ปัจจุบันทุกวันนี้ยังมีประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ อันได้แก่ 

(1) Negara Brunei Darussalam
(2) Kingdom of Eswatini (Swaziland เดิม)
(3) Kingdom of Saudi Arabia
(4) Sultanate of Oman
(5) Vatican City State 
และ (6) United Arab United Arab Emirates (ประกอบด้วย 7 รัฐ Emirates ซึ่งทั้ง 7 รัฐปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ทั้งสิ้น) 

โดยคุณภาพชีวิตของประชาชนพลเมืองทั้ง 6 ประเทศนี้จัดว่า ‘ดีมาก’ แม้แต่ Kingdom of Eswatini ซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนก็ยังอยู่ในอันดับปานกลางค่อนข้างดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

คราวนี้มาถึงเรื่องของไทยเรา ... หลังจากมีการนำเสนอ 2475 Dawn of Revolution ภาพยนตร์ Animation ที่บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นข้อเท็จจริงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

แอนิเมชันเรื่องนี้ได้ขยายความจริงบางประการให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับทราบถึงข้อเท็จจริง ความเป็นมา รายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งอันที่จริงแล้วมีการเตรียมการ (ประชาธิปไตย) มาตั้งแต่รัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เริ่มจากการจัดตั้งการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบสุขาภิบาลที่ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2441 แล้ว

ต่อมาในรัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมา 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 อีกทั้งทรงสร้างความเท่าเทียมเสมอภาคของประชาชนด้วยการเลิกทาสในปี พ.ศ. 2448 รวมถึงยังทรงออกประกาศให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในราชอาณาจักรสยาม ขณะเดียวกันก็ทรงใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อีกด้วย

พอครั้นถึงรัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงตั้งดุสิตธานีเมืองจำลองขึ้นในปี พ.ศ. 2461 เพื่อเป็นแบบทดลอง 'นครตัวอย่าง' ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีลักษณะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของเทศบาลที่ดัดแปลงมาจากประเทศอังกฤษ 

ในรัชกาลต่อมา ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ Outline of Preliminary Draft ของพระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) และ An Outline of Changes in the Form of the Government ของนาย Raymond B. Stevens และพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ... แต่ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวซึ่งจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 ถูกคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา (คณะที่ปรึกษาชั้นสูงสุด) ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร อันเนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ จึงเกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง

เมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ก็ไม่ได้ทรงต่อต้านขัดขวางการกระทำของคณะราษฎรแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ยังทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชาหน่วยทหารทั้งหมดที่อยู่นอกพระนคร รวมทั้งกองทัพเรือซึ่งไม่ได้เข้าร่วมในการก่อการกับคณะราษฎร 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังทรงยินยอมเสด็จนิวัตพระนครตามคำกราบบังคมทูลเชิญ (แกมบังคับ) ของคณะราษฎร และทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่คนไทยตามที่คณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติต้องการ ด้วยแท้ที่จริงแล้ว ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว เพราะได้ทรงให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญจนเสร็จสิ้นแล้วนั้นเอง

ต่อมาได้เกิดการคัดค้านการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนของอภิรัฐมนตรีสภา ด้วยเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง และได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงในเวลาต่อมาเมื่อ 25 ปีหลังการปฏิวัติ 2475 อำนาจในการปกครองบริหารบ้านเมืองถูกแย่งชิงในมือของสมาชิกคณะราษฎร จนถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารตัดวงจรอำนาจทางเมืองของคณะราษฎรในปี พ.ศ. 2500 

ถือเป็น 25 ปีที่คณะราษฎรไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้กับชาวบ้านประชาชนเลย จึงกลายเป็นผลกระทบในด้านลบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมาจนทุกวันนี้ เพราะการขับเคลื่อนการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเข้มแข็ง และยั่งยืน สิ่งแรกที่ประชาชนจำเป็นจะต้องมีก็คือ ‘วุฒิภาวะทางการเมือง’ 

‘วุฒิภาวะทางการเมือง’ (Political maturity) เริ่มต้นจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประชาชน อาทิ เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ทำหน้าที่พลเมืองอย่างถูกต้องและครบถ้วน เคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เคารพบรรทัดฐานเดิมของสังคมในเรื่องที่ถือว่ามีคุณค่าหลักร่วมกันของสังคม การเคารพคุณค่าและความเห็นต่างของผู้อื่นด้วยการไม่เหยียดหยามด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ของส่วนตน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้อง ‘รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’ 

เพราะ 92 ปีของประเทศ ภายใต้ระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ สิ่งที่บ้านเมืองของเรามีปัญหาและเสียโอกาสมากที่สุดเกิดจากการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนคนไทยส่วนไม่รู้เท่าทันจนทำให้เกิดเป็น ‘วงจรอุบาทว์’ เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีวงรอบของ ‘วงจรอุบาทว์’  คือ...

'เลือกตั้ง -> จัดตั้งรัฐบาล -> เกิดวิกฤตการณ์จาก ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมือง -> เกิดการรัฐประหาร  -> ยกเลิกรัฐธรรมนูญ -> ร่างรัฐธรรมนูญ -> กลับมาเลือกตั้งอีก'

ดังนั้นหากไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองได้ก็จะมีเหตุทำให้เกิด ‘วงจรอุบาทว์’ อยู่ร่ำไป 

นอกจากความ ‘ไม่รู้เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’ จากการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ แล้ว ขณะนี้ยังเกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ตลอดจนทำให้ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเกิดความกินแหนงแคลงใจ ซ้ำร้ายนักการเมืองและพรรคการเมืองฟากฝ่ายที่เป็นปฏิกษัตริย์นิยม ยังไม่ยอมรับความสำคัญในสถาบันหลักของชาติบ้านเมือง (จากใบสั่งจากชาติมหาอำนาจตะวันตก) ด้วยความ ‘ไม่รู้เท่าทัน จนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’

ยิ่งไปกว่านั้น พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีความสามารถ และจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป กลับหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อและกลายเป็นสาวกให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองเหล่านี้ ให้พยายามยึดโยงเอ่ยอ้างว่า ‘ภารกิจ 2475 ยังไม่แล้วเสร็จ’ เพราะเจตนาอันเป็นที่สุด เป็นหมุดหมาย และปลายทางของคนเหล่านี้คือ การใช้ความพยายามอย่างที่สุดเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยจาก ‘ราชอาณาจักร’ ให้เป็น ‘สาธารณรัฐ’ นั้นเอง 

ดังนั้น เรื่องราวของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หากได้ศึกษาพิจารณาด้วยปัญญาโดยมีสติกำกับอย่างถ่องแท้แล้ว ที่สุดจะพบกับความจริงว่า 'การก่อการครั้งนั้น คณะผู้ก่อการทำเพื่อใครกันแน่ ใครที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการก่อการระหว่างบรรดาสมาชิกคณะราษฎรหรือพี่น้องประชาชนคนไทย'

‘ดร.ธรณ์’ แชร์ภาพ ‘เกาะร้องไห้’ ห้อมล้อมด้วยปะการังฟอกขาว หายนะจาก ‘ทะเลเดือด’ ที่ขยายวงกว้างสู่ ‘อ่าวไทย-อันดามัน’

(27 พ.ค.67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“วันนี้จะแนะนำ #เกาะร้องไห้ ให้เพื่อนธรณ์รู้จัก ไม่ใช่เกาะร้องไห้เองได้ แต่เป็นเกาะที่ใครเห็นก็อยากร้องไห้ เพราะรอบเกาะเต็มไปด้วยความตายสีขาว

ขาวตั้งแต่ที่ตื้น น้ำลึกแค่เอว เรื่อยไปจนถึงน้ำมิดหัว ลงไปลึก 3-4 วา ก็ยังเห็นเป็นสีขาว นั่นคือสีของปะการังที่กำลังตายในยุคทะเลเดือด ปะการังแทบทุกชนิด แทบทุกก้อนที่ดำน้ำดู ตอนนี้เป็นสีขาว มีบ้างที่ไม่ขาวแล้ว กลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำหรือสีเขียวขุ่น ไม่ใช่เธอฟื้น แต่เธอตายสนิท จนสาหร่ายเกาะหรือตะกอนทับถม การสำรวจเกาะร้องไห้ นักวิทยาศาสตร์ต้องกล้าพอเจอกับความตายถี่ ๆ ๆ

ลองมองดูภาพอีกที ขนาดจากฟ้ายังขาวเพียงนี้ ในน้ำจะแค่ไหน NOAA คาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันนี้ต่อไปอีก 3-4 สัปดาห์ จะเป็นช่วงปะการังฟอกขาวโหดสุดของทะเลไทย หากเทียบกับ 8 ปีก่อน ในบางพื้นที่ หนนี้โหดกว่า เกาะร้องไห้แบบนี้ไม่ได้มีแห่งเดียว แต่มีเพียบเลย ภาคตะวันออก เรื่อยไปถึงชุมพร สุราษฎร์ธานี ยาวไปถึงสงขลา เกาะที่อยู่ใกล้ฝั่งเกือบทั้งหมดกำลังร้องไห้ ข้ามไปอันดามัน ตรัง กระบี่ สตูล หลายเกาะชายฝั่งเจอฟอกขาวรุนแรง และอาจมีแรงกว่าติดตามมา ช่วงนี้ผมอยู่กับแนน ผู้เชี่ยวชาญปะการังฟอกขาวของกรมทะเล และผู้จัดทำแพลตฟอร์มของไทย เราเพิ่งขึ้นจากน้ำ เรามองหน้ากัน เราก็แค่กลั้นน้ำตาและพยายามต่อไป

โลกร้อนเพราะมนุษย์ เพราะก๊าซเรือนกระจกจริงหรือไม่ ?

ผมตอบคำถามนี้มากว่า 30 ปีแล้ว ผมไม่ตอบแล้ว ใครอยากเชื่ออย่างไรก็ตามสบาย แต่ผมตอบได้ว่า ตั้งแต่ทำงานมา ผมไม่เคยเห็นเกาะแล้วอยากร้องไห้เหมือนที่เห็นในวันนี้ และคงไม่มีวันหน้าที่ผมอยากจะร้องไห้หนักกว่านี้ เพราะวันหน้า พวกเธอคงตายหมดแล้ว ไม่ต้องร้องแล้ว…ใช่ไหมธรณ์

ผู้ขับขี่ ‘เทสลา’ หวิดตาย!! หลัง ‘โหมดขับขี่อัตโนมัติ’ ไม่ยอมเบรก พุ่งตรงเข้าหาขบวนรถไฟที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนเจ้าตัวบิดหักหลบทัน

(27 พ.ค. 67) ผู้ขับขี่รายหนึ่งซึ่งขับรถ ‘เทสลา’ พุ่งตรงเข้าหาขบวนรถไฟคันหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนหักหลบทันหวุดหวิด กล่าวโทษโหมดขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามรายงานของเอ็นบีซี ซึ่งเขาแชร์หลักฐานพิสูจน์คำกล่าวอ้างนี้บนสื่อสังคมออนไลน์ แม้อีกด้านหนึ่งยอมรับว่าตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน

โดย เครก โดตี แสดงความสงสัยว่าทำไมระบบช่วยขับขี่ของเทสลาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ เลยระหว่างที่เกิดเหตุ "มีผมคนเดียวที่อยู่ในรถ รถของผมเพียงคันเดียวที่ประสบอุบัติเหตุ ดังนั้น ใช่แล้ว มันเป็นความผิดของผม มันต้องเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตามผมรู้สึกว่ารถไม่รู้ว่ามีรถไฟอยู่ข้างหน้า"

ซึ่ง โดตี ได้แชร์ภาพติดหน้ารถของเหตุการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม บนกระดานสนทนาหนึ่งของเทสลา และเวลานี้คำกล่าวอ้างของเขาได้รับการยืนยันผ่านระบบรายงานอุบัติเหตุอัตโนมัติของเทสลา ซึ่งยืนยันว่ารถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในโหมดขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ระหว่างเกิดเหตุ และไม่ได้ชะลอความเร็วลง นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่ามือทั้ง 2 ข้างของ โดตี ยังคงวางอยู่บนพวงมาลัย อันเป็นข้อบังคับปลอดภัยไว้ก่อนสำหรับโหมดขับขี่ดังกล่าว

โดยในวิดีโอพบเห็นรถยนต์กำลังแล่นเข้าหาไม้กั้นรางรถไฟ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เป็นหมอกหนา และแม้การเคลื่อนตัวของรถไฟจะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่รถยนต์ของเทสลากลับไม่ชะลอความเร็วลง และยังคงแล่นด้วยความเร็ว 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ช่วงวินาทีท้าย ๆ โดตี ตัดสินใจเข้าควบคุมรถเอง เหยียบเบรกเต็มแรงและหักเลี้ยวจนรถหลุดออกนอกถนนพุ่งชนเสาอย่างจัง รอดพ้นจากการถูกรถไฟชนอย่างฉิวเฉียด "ผมอยากบอกว่า มันไม่มีทางเลยที่ระบบจะมองไม่เห็นรถไฟ มันไม่มีทางเลยที่ระบบจะมองไม่เห็นไฟกะพริบ ใช่ มันมีหมอก แต่คุณยังสามารถมองเห็นแสงไฟ"

แม้ชื่อเรียกที่ก่อประเด็นถกเถียงจะบ่งชี้ไปในทางอื่น แต่ความเป็นจริงคือโหมดขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบของเทสลา และระบบลูกพี่ลูกน้องที่มีความล้ำสมัยน้อยกว่าอย่าง ‘ออโตไพล็อต’ ไม่ใช่ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ มันเป็นเพียงระบบช่วยขับขี่รูปแบบหนึ่ง ที่คนขับจำเป็นต้องพร้อมเข้าควบคุมพวงมาลัยทันทีที่ได้รับสัญญาณแจ้งเตือน

เรื่องราวนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นปัญหาทางเทคนิคที่กำลังกัดเซาะชื่อเสียงของเทสลาและอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท ที่รับปากซ้ำ ๆ ว่าระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้มีขึ้นในขณะที่เทสลากำลังเจอปัญหาหนัก ด้วยคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวหาว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้กำลังชี้นำสาธารณะในทางที่ผิด

นอกจากนี้ ทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ก็กำลังสืบสวนเทสลาเช่นกัน ในคำกล่าวอ้างชี้นำแบบผิด ๆ เกี่ยวกับระบบช่วยขับขี่ ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ทางสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ทำการสืบสวนรอบแล้วรอบเล่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบขับขี่อัตโนมัติและระบบออโตไพล็อต

ในเหตุการณ์ล่าสุด ทางโฆษกของสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทางหน่วยงานได้รับทราบเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทผู้ผลิต

คิดทางขวาง 'เศรษฐา-พิชิต' ประชาธิปไตยแบบลิขิต แต่ 'ไม่ถูกใจ' ก็ใช้สิทธิ 'ตัดตอน' ประชาธิปไตยอยู่ตรงไหน

(27 พ.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ' ระบุว่า...

ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนชี้แจงก่อนนะครับ ว่าข้อเขียนของผมเกิดจากความคิดเห็นผมคนเดียว ไม่มีผู้ใดมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ความเห็นทางกฎหมายเพราะผมไม่ใช่นักกฎหมาย เป็นการเขียนจากความรู้สึกของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งมีความสนใจในการเมืองของประเทศเรา 

กรณี 40 ส.ว.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแต่งตั้ง ท่านพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีถูกต้องหรือไม่? ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่? ในความเห็นของผม ... ผมอยากกราบเรียนว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่แปลกที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง รักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแบบสุดๆ แต่ไม่เคยไว้ใจนักการเมือง 

เมื่อมีอะไรไม่ถูกใจ ก็ไม่อดทนรอคอยขบวนการที่ถูกต้อง รอคอยเวลาตามวงรอบของการเลือกตั้ง ชอบการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทันใจ รักษาสิทธิตัวเอง แต่ไม่สนใจสิทธิคนอื่น 

สำหรับผมประชาธิปไตยควรเอาความเห็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่มีถูกผิด แพ้ชนะ ดำเนินการตามเสียงส่วนใหญ่โดยรบกวนสิทธิของเสียงส่วนน้อยเท่าที่จำเป็น เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้ 

ในกรณีท่านพิชิต ชื่นบานนั้น ผมมีมุมมองที่แตกต่างอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือ ระบบยุติธรรมและการลงโทษ เมื่อศาลพิพากษาและลงโทษแล้ว บุคคลนั้นๆ ได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ ถ้าเราต้องการลงโทษและแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น ยกเว้นบุคคลนั้นๆ ศาลพิจารณาแล้วว่าเกินเยียวยาเป็นภัยสังคมจนไม่สามารถแก้ไขได้ ศาลก็จะมีคำพิพากษาและมาตรการตามกฎหมายที่เหมาะสมต่อไป 

ดังนั้นในการลงโทษเราควรให้เกียรติและเคารพศาล คำพิพากษาศาลควรถือเป็นที่สุด ไม่ควรมีบทลงโทษอื่นใดมาเพิ่มเติมอีก หากพิจารณาว่าบทลงโทษไม่เหมาะสม หนักหรือเบาอย่างไร ก็ไปแก้ไขกฎหมายในสภาฯ ต่อไป 

ข้อที่ 2 สิทธิทางการเมืองเป็นสิทธิพื้นฐานของบุคคลในระบอบประชาธิปไตย ในวันนี้ ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกมาแล้ว (ยกเว้นลหุโทษหรือโทษโดยประมาท) ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ยังดีที่ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ เหมือนเป็นบุคคลให้หายใจได้ แต่ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร ... สิ่งเหล่านี้ควรแก้ไขหรือไม่? ก็คงแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่จะพิจารณา 

ทว่า การเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองนั้น ในเมื่อเราเป็นประชาธิปไตย ทำไมไม่ให้สิทธินายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อสภาฯและประชาชน มีอิสระในการพิจารณาคัดสรร?

หากผู้ที่เลือกมาไม่ดีไม่เป็นที่ถูกใจ ย่อมเป็นผลเสียต่อคะแนนเสียงของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเอง เพราะในระบอบประชาธิปไตย 'คะแนนเสียงสำคัญสุด...ใช่หรือไม่?' ในปัจจุบันการเลือกตั้ง คะแนนเสียงประชาชนนับหมื่นจะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถผ่านความเห็นของ กกต.เพียงไม่กี่คนได้

แล้วเราจะมีศาลเอาไว้ทำไม? ถ้ามีองค์กรอื่นที่สามารถตัดสินข้างต้นเหมือนศาลได้ 

ดังนั้น หากบุคคลที่ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือที่ได้รับเลือกมาเป็นรัฐมนตรีนั้น กระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับโทษ และหากการทำผิดกฎหมายนั้นเกี่ยวพันถึงใคร ผู้นั้นก็ต้องร่วมรับโทษด้วย โดยมี 'ศาล' เป็นผู้ตัดสิน

เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนั้น อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ตามหลักการในระบอบประชาธิปไตย ท่านควรมีอิสระในการเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในกรณีนี้ ผมขอชื่นชมท่านในฐานะผู้นำ ที่เมื่อเลือกใช้งานใครแล้ว ก็กล้าที่จะไว้วางใจให้ทำงาน ... การปฏิบัติเช่นนี้ ผู้ที่ทำงานด้วยย่อมมีความมั่นใจและอบอุ่นใจในการทำงานให้ ผมขอยกย่องในภาวะผู้นำของท่าน

ความคิดของผม หากไม่ถูกใจท่านใด ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ คิดอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น เป็นการซื่อสัตย์ต่อตนเอง แต่ก็พร้อมน้อมรับและปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาแนะนำ หากความคิดผมไม่ถูกต้อง เพื่อผมจะได้นำไปพัฒนาความคิดและองค์ความรู้ส่วนตัวต่อไป ขอขอบพระคุณทุกคำติและคำชมของทุกท่าน ด้วยความเคารพครับ

'นายกฯ สมาคมทนายฯ' ฟันธง!! 'เศรษฐา' รอดปมเสนอชื่อ 'พิชิต' นั่งรมต. ชี้!! หน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดสรรอยู่ที่ 'สลค.'

(27 พ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย’ โพสต์ข้อความ ‘บันทึกจากนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย’ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ดังนี้...

บันทึกจากนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย

กรณีตามข้อกล่าวหาของ 40 สว. ที่อ้างว่านายพิชิต ชื่นบาน มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) การที่นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อนายพิชิต ทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จึงทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) นั้น

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 บัญญัติให้อำนาจ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และเป็นผู้นำรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดสรรขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี

แต่อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดสรร เป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) โดยผู้ที่ได้รับการคัดสรรจะเป็นผู้กรอกประวัติของตน จากนั้นเมื่อ สลค. ได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับการคัดสรรมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะนำความกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อผู้ได้รับการคัดสรรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต่อไป

ดังนั้น  เมื่อคุณสมบัติของนายพิชิตได้รับการตรวจสอบโดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อของนายพิชิตฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ จึงมิได้เป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตตามมาตรา 160 (4) และที่อ้างว่าไม่ได้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ต้องสอบถาม ส่วนข้อกล่าวหาตาม 160 (5) ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น ก็อยู่ในอำนาจการไต่สวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 234 (1) และเป็นอำนาจวินิจฉัยของศาลฎีกาตามมาตรา 235 (1) ส่วนศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นนี้ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี จึงไม่สิ้นสุดลงจากข้อกล่าวหาของ 40 สว.

นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์
นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย
27 พฤษภาคม 2567

‘ลิซ่า’ สวมชุดอัพไซเคิลแบรนด์ไทย ‘Pipatchara’ ‘สวย-เก๋’ อวดชาวโลกในงานปาร์ตี้ของ ‘Tag Heuer’

(27 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล (@lalalalisa_m) หรือ ลิซ่า Blackpink นอกจากจะไปปรากฏตัวในงานแข่งรถสูตรหนึ่ง Monaco F1 Grand Prix 2024 แล้ว เธอยังเข้าร่วมงานปาร์ตี้บนเรือยอชท์ของ Tag Heuer ที่จัดขึ้นในโมนาโก ด้วยลุคปาร์ตี้สุดเก๋จากแบรนด์ Pipatchara (@pipatchara) เรียกได้ว่าสวยสะกดทุกสายตาเลยทีเดียว

เนื่องจากชุดนี้ทำมาจากขยะพลาสติกรีไซเคิลที่นำฝาน้ำที่ใช้แล้วผสมกับกล่องข้าวสีใส โดย 80% ทำจากฝาน้ำสีทอง เเละ 20% ทำจากกล่องภาชนะใส่อาหาร ทั้งหมดเป็นสีธรรมชาติ ทางแบรนด์พิถีพิถันในการไล่ระดับสีของชุดตั้งเเต่อ่อนไปเข้ม เพื่อให้ชุดกระทบแสงในงาน After Party เเละ ใช้ขยะมากกว่า 1,800 ชิ้น โดยส่วนใหญ่มาจากฝาขวดน้ำ เเละ กล่องข้าวใส 

กลาโหมส่งมอบ 'รถหุ้มเกราะ-ปืน' ฝีมือคนไทยให้ภูฏาน เพื่อนำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพในประเทศ

กห.ส่งมอบ 'รถหุ้มเกราะ-ปืน' ฝีมือคนไทยให้ภูฏานใช้รักษาสันติภาพ ขณะที่ 'มาดามรถถัง' ผู้บริหารชัยเสรี ภูมิใจร่วมงานกลาโหมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธ ระบุ กองทัพฟิลิปปินส์มีแผนสั่งซื้อรถหุ้มเกราะ First Winอีก 900 คัน 

(27 พ.ค.67) ที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีส่งมอบรถยานเกราะล้อยางแบบ 4x4 จำนวน 10 คัน ของบริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด (TDI) และ อาวุธปืนเล็กสั้น อาวุธปืนพก จำนวน 230 กระบอก ของบริษัท อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ จำกัด (WMI) ให้กับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏานประจำประเทศไทย เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติราชอาณาจักรภูฏาน นำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพ โดยมี พลเอกพอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารบริษัท TDI และ บริษัท WMI ร่วมพิธีส่งมอบ

นายสุทิน ระบุว่า ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์อันดี ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ ซึ่งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. ร่วมกับ บริษัทร่วมทุนทั้งสองบริษัทดำเนินการสอดคล้องตามนโยบายในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุน ภาคเอกชน โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มขีดความสามารถของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงความสำคัญของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ที่มีบทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัฐบาล ไปสู่การผลิตและจำหน่ายได้อย่าง เป็นรูปธรรม 

ขณะที่นางนพรัตน์ กุลหิรัญ ผู้บริหารบริษัทชัยเสรี ที่ร่วมทุนกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ในนามบริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด ระบุว่า ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10คัน ราชอาณาจักรภูฏานจะนำไปใช้ สหภาพแอฟริกากลาง หลังจากที่ ปี 2564 ได้ส่งมอบให้ทางภูฏานไปแล้ว 45 คัน 

นอกจากนี้ยังมีการให้บุคลากรทางภูฏานมาเรียนรู้แลกเปลี่ยนในเรื่องของการผลิตการ ซ่อม และองค์ความรู้ต่าง ๆ อีกทั้งยังมีประเทศอื่น ๆ ที่สั่งซื้อรถหุ้มเราะของทางบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองทัพฟิลิปปินส์ ที่มีแผนสั่งซื้อ 900 คัน ชุดแรกสั่งซื้อก่อน 200 คัน ขณะเดียวกันยังมี 46 กองทัพทั่วโลกที่จัดซื้อรถหุ้มเกราะของบริษัทชัยเสรีไปใช้งาน โดยมีการอออกแบบตามความต้องการของลูกค้าและการใช้งาน เช่น การออกแบบหลังคากันกระสุน ป้องกันการโจมตีจากโดรน   

ส่วนความต้องการภายในประเทศไทย ยังมีการสั่งซื้อจาก กอ.รมน. กองทัพเรือ ตำรวจตระเวนชายแดน  และย้ำว่า เป็นความภูมิใจของบริษัทที่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่วมกับกระทรวงกลาโหม โดยได้เห็นยุทโธปกรณ์จากฝีมือคนไทยไปใช้ในภารกิจสหประชาชาติ

สำหรับยุทโธปกรณ์ที่มีการส่งมอบประกอบด้วย ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10 คัน ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ไทยมาอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV เป็นยานเกราะล้อยาง สมรรถนะสูงด้วยเครื่องยนต์ขนาด 300 PS ที่มาพร้อมกับการป้องกันตามมาตรฐาน Nato standard Stanag 4569 ที่ระดับ 2 ซึ่งจะช่วยป้องกันกำลังพลที่อยู่ในรถได้กว่า 11 นาย ให้ปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จและปลอดภัย ในทุก ๆ สภาพภูมิประเทศ 

พร้อมกันนี้ยังมีอีกหนึ่งยุทโธปกรณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยจากการส่งมอบในครั้งนี้ คือ อาวุธปืนเล็กสั้น และอาวุธปืนพก ของบริษัท WMI ที่ได้มีการส่งมอบอาวุธปืนเล็กสั้น ขนาด 7.62 มิลลิเมตร รุ่น MI-47 จำนวน  200 กระบอก และอาวุธปืนพก ขนาด 9 มิลลิเมตร รุ่น MI-9 จำนวน 30 กระบอก โดยอาวุธปืนทั้งสองแบบได้รับ การออกแบบให้มีความแม่นยำและคล่องแคล่วในการใช้งาน อีกทั้งยังมีความแข็งแรงและมีความทนทานเป็นอย่างดี ความสำเร็จของบริษัท TDI และ WMI 

นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ไปสู่การขับเคลื่อนเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเอง การผลิตและจำหน่ายที่เป็นรูปธรรม

'จีน' ล้อมคอก!! แบนเนื้อหาโอ้อวดความรวยบนโซเชียล ตอบโต้ความลุ่มหลงผู้คน 'บูชาเงินทอง-สิ่งฟุ่มเฟือย'

เมื่อวานนี้ (26 พ.ค.67) นสพ.The Star ของมาเลเซีย รายงานข่าว ‘Influencers who flaunt wealth see their online accounts suspended’ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศจีนกำลังมีนโยบายจัดระเบียบการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) โดยห้ามเผยแพร่เนื้อหาประเภท ‘อวดร่ำอวดรวย’ ซึ่งหลายคนถูกลบเนื้อหาออกจากระบบ ถูกระงับกรใช้งาน ไปจนถึงถูกลบบัญชีบนแพลตฟอร์ม

อาทิ ผู้ใช้ชื่อว่า ‘หวัง หงฉวน ซิง (Wang Hongquan Xing)’ ถูกระงับการใช้แพลตฟอร์ม Douyin (Tiktok เวอร์ชั่นที่ใช้ในจีน) และ Weibo รวมถึงถูกลบบัญชีใน Xiaohongshu เนื่องจากผู้ใช้ชื่อดังกล่าว ซึ่งมียอดผู้ติดตามถึง 4 ล้านคน มีพฤติกรรมชอบแสดงให้เห็นชีวิตแบบฟุ่มเฟือย มีทั้งกระเป๋าถือของดีไซเนอร์ คอลเลกชั่นเครื่องประดับที่หรูหรา และการปรากฏตัวบ่อยครั้งในกิจกรรมของแบรนด์หรู

ที่ผ่านมา หวัง เคยกล่าวถึงความชอบของตนต่อเสื้อผ้าราคาแพง และการเดินทางต้องไปพร้อมกับเครื่องประดับสุดหรู ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า ตนจะไม่ออกจากบ้านเว้นแต่ว่าหาเสื้อผ้าสวมใส่ยกชุดแล้วจะมีราคารวมทั้งชุดอย่างน้อยแปดหลัก ซึ่งเมื่อถามถึงเหตุผล หวัง ระบุว่า วิถีชีวิตฟุ่มเฟือยของตนเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคง นอกจากนี้ หวังยังจุดชนวนความขัดแย้งด้วยการอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านหรู 7 หลังในชุมชนในกรุงปักกิ่ง รวมถึงคฤหาสน์ขนาด 991 ตร.ม. ที่ว่างเปล่าเนื่องจากมีแสงแดดไม่เพียงพอ

ไม่ต่างจากผู้ใช้ชื่อว่า ‘เป่าหยู เจียจี (Baoyu Jiajie)’ อินฟลูเอนเซอร์หญิงซึ่งเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอชีวิตในสังคมไฮโซ มีชื่อเสียงจากการอวดคฤหาสน์ขนาด 2,000 ตารางเมตรของเธอ และเดินเล่นสบาย ๆ ผ่านสวนส่วนตัวของเธอ และมีผู้ติดตามบน Douyin มากกว่า 2 ล้านคน ก็กำลังเผชิญกับมาตรการเดียวกัน โดยบัญชี Douyin และ Xiaohongshu ถูกระงับการใช้งาน รวมถึง ‘ป๋อ กงซี (Bo Gongzi)’ ที่มักนำเสนอตนเองท่ามกลางสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ รถยนต์แปลกใหม่ และความชื่นชอบในแบรนด์ Hermes ถูกระงับการใช้งานบัญชี Weibo และ Xiaohongshu

สื่อมาเลเซีย รายงานต่อไปว่า การระงับดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของจีนเปิดตัวแคมเปญเพื่อกำหนดเป้าหมายพฤติกรรมที่อวดความมั่งคั่ง โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2567 Weibo เป็นแพลตฟอร์มแรกที่ออกประกาศ โดยระบุว่าจะดำเนินการพิเศษกับเนื้อหาต่าง ๆ เช่น ‘การสนับสนุนความฟุ่มเฟือยและความสูญเปล่า’ และ ‘การแสดงความมั่งคั่งและการบูชาเงินทอง’ จากนั้นในวันเดียวกัน แพลตฟอร์มอื่น ๆ ทั้ง Douyin, Xiaohongshu และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้เปิดตัวการดำเนินงานที่มุ่งเป้าไปที่เนื้อหาเดียวกัน

“Weibo มุ่งมั่นที่จะสร้างชุมชนที่มีอารยธรรม มีสุขภาพดี และมีความสามัคคี โดยสนับสนุนให้ผู้ใช้สร้างหรือแบ่งปันเนื้อหาคุณภาพสูง น่าเชื่อถือ และเป็นบวกบนแพลตฟอร์ม ตลอดจนส่งเสริมคุณค่าที่มีเหตุผลและดีต่อสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภค” ประกาศของ Weibo ระบุ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2567 นสพ.Shanghai Daily สื่อท้องถิ่นในเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน ได้รายงานข่าว ‘Influencers silenced as platforms crack down on displays of wealth’ เกี่ยวกับมาตรการแบนเนื้อหาอวดร่ำอวดรวยที่ทุกแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ในจีนบังคับใช้ ว่า ตั้งแต่ปี 2564 หน่วยงานกำกับดูแลอินเตอร์เน็ตของจีนได้เปิดตัวแคมเปญทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าไปที่ ‘การโอ้อวดความมั่งคั่งมากเกินไป’ เป็นประเด็นสำคัญ และมีการปราบปรามแนวโน้มนี้ ซึ่งทางการได้ตอบโต้ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จและปล่อยตัวลุ่มหลงโดยง่าย ด้วยการลบโพสต์ที่อวดความมั่งคั่งอย่างไม่เหมาะสมกว่า 60,000 โพสต์ ปิดห้องสตรีมสด 1,174 ห้อง และแบนบัญชี 3,609 บัญชี

‘ม.เทียนจิน’ ลุยพัฒนา ‘ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์’ ใช้กับ ‘มือหุ่นยนต์’ ทนหนาวติดลบ 78 องศา ซ้ำ!! ยังเป็นประโยชน์ต่อภารกิจสำรวจขั้วโลก

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิจัยที่นำโดยจางเหลยและหยางจิ้ง จากคณะวิศวกรรมเคมีและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเทียนจินของจีน พัฒนาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ (electronic skin) รูปแบบใหม่สำหรับใช้กับมือหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมเย็นจัดที่มีอุณหภูมิต่ำสุดถึง -78 องศาเซลเซียส โดยนวัตกรรมนี้จะเป็นประโยชน์กับภารกิจการสำรวจขั้วโลกของจีนอย่างมาก

อนึ่ง บทความเกี่ยวกับผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และมีความละเอียดอ่อน ได้รับการเผยแพร่ในวารสารเจอร์นัล ออฟ ดิ อเมริกัน เคมิคัล โซไซตี (Journal of the American Chemical Society)

ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่ทนทานอุณหภูมิต่ำเป็นพิเศษ จะทำให้หุ่นยนต์ขั้วโลกรองรับการตอบสนองแบบสัมผัส ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสำรวจสภาพแวดล้อมขั้วโลก

ทั้งนี้ เมื่อวันพฤหัสบดี (23 พ.ค.) หยางเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่าทีมงานพัฒนาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณสมบัติซ่อมแซมตัวเองและใช้ได้ในทุกสภาพอากาศตั้งแต่เมื่อปี 2020 และตอนนี้มีการปรับปรุงในเวอร์ชันใหม่แล้ว

โดยนักวิจัยระบุว่า ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่สามารถนำไปพันรอบฝ่ามือของหุ่นยนต์ ตรวจจับแรงกดได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งจดจำรูปร่างของวัตถุและสัญลักษณ์เฉพาะได้ภายใต้สภาวะที่หนาวเย็นสุดขั้วถึง -78 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ยังมีฟังก์ชันซ่อมแซมตัวเอง โดยศักยภาพการส่งผ่านของมันสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แม้จะได้รับความเสียหายในสภาวะที่เย็นจัด ทำให้สามารถตอบโจทย์ภารกิจการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในขั้วโลก

หยางกล่าวทิ้งท้ายว่าเราหวังว่าผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่นี้จะมีโอกาสถูกนำไปใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในขั้วโลกและการวิจัยอื่น ๆ ของจีนในวงกว้าง

‘หนุ่มโคราช’ ทิ้งงานประจำ หันมาทำ ‘เกษตรทฤษฎีใหม่’ เนรมิตที่ดิน 30 ไร่ จนสร้างรายได้ 3-5 แสนบาทต่อปี

(27 พ.ค. 67) ที่บ้านหนองสระธาร หมู่ที่ 10 ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา นายปุณยวัจน์ ชาบุญเรือง หรือพี่เตี้ย อายุ 50 ปี ชาวบ้านหนองสระธาร หมู่ที่ 10 ตำบลด่านเกวียน อดีตพนักงานห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งใน กทม. ยอมสละเงินเดือนกว่า 25,000 บาท จากงานประจำที่ทำมานานกว่า 30 ปี กลับมาบ้านเกิดที่อำเภอโชคชัย เป็นเกษตรกรเต็มตัวเพื่อทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ จนประสบความสำเร็จ

นายปุณยวัจน์ ชาบุญเรือง เปิดเผยว่า เมื่อเรียนจบได้เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 20 ปี เมื่อแต่งงานมีครอบครัวจึงได้ย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดนครราชสีมาโดยยึดอาชีพเกษตรกร ตั้งแต่ ปี 2558 ได้เริ่มทำการเกษตรอย่างจริงจัง โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 30 ไร่ เน้นปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว ได้แก่ ยูคาลิปตัส และ มันสำปะหลัง ทำนา 10 ไร่ประสบกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอใช้จ่ายในช่วงที่ผลผลิตยังไม่เก็บเกี่ยว เนื่องจาก 1 ปี ขายผลผลิต 1 ครั้ง 

อีกทั้งประสบปัญหาเรื่องโรค-แมลง และภัยธรรมชาติ จึงเกิดการปรับความคิด ปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านโนนรัง อำเภอชุมพวง จ.นครราชสีมา จึงได้กลับมาปรับเปลี่ยนพื้นที่ของตนเองในการทำการเกษตรในรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยขุดบ่อ 3 บ่อพื้นที่ 3 ไร่ ทำนา พื้นที่ 12 ไร่ ที่อยู่อาศัย, โรงสีข้าวพื้นที่ 2 ไร่ ปลูกไผ่กิมซุง พื้นที่ 1.5 ไร่ ปลูกพืชไร่ พื้นที่ 8 ไร่ ปลูกมะม่วง, มะนาว, มะขามเปรี้ยว, มะพร้าวน้ำหอม พื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งการจัดสรรพื้นที่และการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำให้มีผลผลิตออกจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี และสามารถสร้างรายได้เป็นรายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง พริก มะนาว มะขามเทศ หน่อไม้ ข้าวโพดหวาน มะม่วง มะพร้าว การแปรรูปปลา การแปรรูปหน่อไม้ ข้าวสาร พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน 

ทั้งนี้ การทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ของตนจะเน้นการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้มีความปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (มูลแพะ,มูลไก่) ปุ๋ยหมัก น้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ และการไถกลบตอซังเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน การจำหน่ายผลผลิต ก็จำหน่ายด้วยตนเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะเดินทางมาจำหน่ายที่ตลาดสีเขียวหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ทุกวันศุกร์ ปัจจุบันตนเองจะรายได้เฉลี่ย 6,000 - 8,000 บาท ต่อสัปดาห์ หรือ 300,000 - 500,000 บาทต่อปี

นายปุณยวัจน์ ชาบุญเรือง เปิดเผยอีกว่า การทำการเกษตรจะประสบความสำเร็จจะต้องจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการน้ำ ตนมีการขุดสระน้ำเพื่อเก็บน้ำในฤดูฝน ที่สามารถนำน้ำมาใช้ยามขาดแคลนได้ มีการขุดเจาะน้ำบาดาลและขุดลอกบ่อเก็บน้ำให้ลึกเพื่อให้สามารถเก็บน้ำได้ตลอดปี การจัดการดิน จะปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น การใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด การใช้น้ำหมักจุลินทรีย์ และการไถกลบฟางข้าวในพื้นที่นา เป็นต้น 

จากการดำเนินการปรับปรุงดินที่ผ่านมาทำให้สภาพดินค่อย ๆ ดีขึ้น จากการสังเกตพบว่าดินมีความอ่อนตัวลงกว่าเดิม พืชต่าง ๆ สามารถเจริญเติบโตได้ดีขึ้นเรื่อยๆรวมทั้งการหาความรู้เพิ่มเติมเป็นสิ่งสำคัญ จำเป็นต้องมีการศึกษาดูงานและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการทำงานหรือผู้ประสบความสำเร็จในด้านการประกอบอาชีพด้านการเกษตร และผ่านการอบรมในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่โดยการน้อมนำหลักการทำเกษตรแบบใหม่ตามศาสตร์พระราชา การทำเกษตรแบบพอเพียง เพื่อความยั่งยืนนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขอยู่ดีกินดีและมีครอบครัวที่เป็นสุข อบอุ่น และยั่งยืน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top