Tuesday, 2 July 2024
NewsFeed

‘อานันท์ ปันยารชุน’ ฝากถึงผู้ใหญ่ในสังคม “สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมาน และไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ จับเด็กเข้าคุกเป็นว่าเล่น”

(27 พ.ค.67) จากคอลัมน์ ‘กวนน้ำให้ใส’ ของ ‘แนวหน้า’ ได้เผยถึงกรณีที่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาเปิดการเสวนา เรื่อง ‘ฉากทัศน์อนาคตสังคมไทย’ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 67

โดยเนื้อหาบางส่วน มีการโจมตีกล่าวหาว่ามีคนบางกลุ่มใช้คำว่า ‘รักชาติ’ จนไม่รู้ว่ารักอย่างไร รักชาติจนทำให้คนอื่นไม่มีที่ยืน หากใครมีความคิดแตกต่างก็มองเป็นศัตรูหมด

นายอานันท์ กล่าวว่า สำหรับฉากทัศน์ของสังคมไทยก็อาจคล้ายกับฉากทัศน์ในสังคมอื่น ๆ แต่สังคมไทย เป็นสังคมที่เสื่อมลงเรื่อย ๆ ด้วยน้ำมือคนไทยด้วยกันเอง โดยสาเหตุที่เสื่อมลง เพราะความหูเบา การเชื่อคนง่าย ความอิจฉาริษยาการอาฆาตพยาบาท และอยากมีอำนาจ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลลบกับสังคม

นายอานันท์ เผยอีกว่า คนรุ่นใหม่มีความคิดที่อยากไปอยู่ต่างประเทศมากขึ้น เรื่องนี้คงต้องมาคิดกันว่าจะทำอย่างไรให้เด็กรุ่นใหม่ไม่คิดไปอยู่ต่างประเทศ เพราะอนาคตของประเทศนี้ไม่ได้อยู่ที่คนสืบทอดอำนาจต่างๆ แต่อยู่ที่เยาวชนในสังคม โดยปัญหาเร่งด่วนของสังคมไทย คือ เรื่องการศึกษา ปัจจุบันมีแต่ความเหลื่อมล้ำทุกด้าน และประเด็นสำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส

ฝากถึงผู้ใหญ่ในสังคมว่า “สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมาน และไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ จับเด็กเข้าคุกเป็นว่าเล่น” นายอานันท์กล่าว

1.เนื้อหาที่อดีตนายกฯ อานันท์พูด บางส่วนน่าสนใจ เช่นที่บอกว่า สังคมไทยเสื่อมลง เพราะความหูเบา การเชื่อคนง่ายความอิจฉาริษยา การอาฆาตพยาบาท...

แต่ควรจะพูดให้ชัดว่า ใครหูเบา? ใครหลงเชื่อคนง่าย?

เพราะกลุ่มคนที่ปั่นเฟกนิวส์ ปั่นหัวเยาวชนจนเกิดความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ล้วนอยู่รายรอบการเมืองสีส้มที่คุณอานันท์ให้ความเอ็นดู สนับสนุน อุ้มชู ยกย่องสารพัดนั่นเอง

สารพัดข้อมูลเท็จที่ปั้นจนคนหูเบาเชื่อ และนำไปขยายความ จนถูกดำเนินคดี ติดคุกติดตะราง อาทิ เรื่องแอร์ไม่เย็น เรื่องคอมเพล็กซ์ ฯลฯ ถูกนำไปขยายความให้ร้ายสถาบันอย่างรุนแรง มันเพราะใครที่อาฆาตพยาบาทล่ะ

2.ที่อดีตนายกฯ อานันท์พูดถึงเด็กเข้าคุก ไม่ได้ประกันตัว นี่คือการพูดที่เลือกเข้าข้าง ให้ท้ายการเมืองบางกลุ่ม คือ กลุ่มสีส้มแซะสถาบัน โดยไม่เป็นธรรมกับกระบวนการยุติธรรมชัดเจน

กี่คนที่ถูกดำเนินคดีเพราะจาบจ้วงล่วงละเมิด โจมตีสถาบันอย่างปราศจากความจริง ไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน

ส่วนใหญ่ ล้วนแต่ได้รับการประกันตัว แต่บางคนกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว จึงต้องถูกเพิกถอนการประกัน กลับไปอยู่ในคุก

บางคน ที่ไม่ได้ประกันตัว เพราะมีคดีมากมายหลายคดี เกรงว่าจะหลบหนีเหมือนที่มีหลายคนได้รับการประกัน แต่หลบหนีแล้ว มากกว่า 10 คน

หลายคน ได้ประกันตัว และไม่ทำผิดเงื่อนไข ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่นอกเรือนจำกระทั่งออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบันก็มี (น่าสงสัยว่ากำลังทำผิดเงื่อนไขประกันตัวหรือไม่)

ที่สำคัญ ที่อ้างว่าเด็กนั้น คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เด็กแล้ว หลายคนบรรลุนิติภาวะ หลายคนเลยวัยเบญจเพส และบางคนอายุเกิน 30 ปี ไปแล้ว

3.อดีตนายกฯ อานันท์พึงทราบ... ที่ผ่านมา แกนนำการเมืองสีส้ม สส.ก้าวไกล และเหล่าแนวร่วมด้อมส้ม หลับหูหลับตาปั่นหัวสาวก ด้วยวาทกรรมสมองกลวง ทำนองว่า “ไม่ควรมีใครติดคุกเพราะแสดงความเห็น” / “กรณีจำคุกคดี 112 ของ สส.ไอซ์ ตอกย้ำปัญหาของ ม.112” / “แต่ไม่รัก ไม่ควรติดคุก”ฯลฯ

ทั้งหมด ล้วนแต่ เป็นความเท็จที่น่าเวทนา
...ความจริงมันตรงกันข้าม
...คำพิพากษาของคดี 112 ของ สส.ไอซ์ รักชนก ก็ดี
...คำพิพากษาคดี 112 ของนายอานนท์ นำภา ก็ดี
...คำพิพากษาคดี 112 ของทุกคดีของแกนนำแนวร่วมม็อบ 3 นิ้ว ที่ทยอยออกมาในช่วงนี้ก็ดี

หากไปดูรายละเอียดอย่างจริงใจ จะเห็นความจริงว่า คนเหล่านั้น มิได้แสดงความคิดเห็นต่าง แต่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ด้อยค่า บูลลี่ ใส่ร้าย หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนทั้งนั้น

3.1.คดี 112 สส.ไอซ์ รักชนก
ศาลอาญา ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์คำพิพากษาคดีนี้เป็นทางการ บางตอนระบุว่า จำเลยใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘ไอซ์ หรือ @nanaicez’ ของจำเลย โพสต์ (tweet) ข้อความว่า...

“พูดตรง ๆ นะ ที่พวกเราต้องมาเจอวิกฤตวัคซีนแบบทุกวันนี้ เริ่มต้นก็เพราะรัฐบาลผูกขาดวัคซีนเพื่อหาซีนให้... สร้างวาทะกรรมของขวัญจากพ่อต่างๆ เล่นการเมืองบนวิกฤตชีวิตของประชาชน ผลสุดท้ายคนที่ชวยที่สุดคือประชาชน #28 กรกฎาร่วมใจใส่ชุดดำ” พร้อมรูปภาพพระบรมฉายาลักษณ์... ประกอบป้ายข้อความว่า “ทรราช (คำนาม) TYRANT; ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อำนาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง” ลงบนแอปพลิเคชันทวิตเตอร์

และจำเลยยังใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘ไอซ์ หรือ @nanaicez’ ของจำเลย โพสต์ซ้ำ (retweet) ข้อความที่ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘CHANI หรือ @ratsinapata’ โพสต์ (tweet) ข้อความว่า “เราไม่เป็นไทจนกว่า...จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย” #ล้มราชวงศ์…” ประกอบข้อความที่ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘นิรนาม หรือ @231022’ โพสต์ (tweet) ข้อความว่า “เราจะไม่เป็นไทจนกว่า...จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย” #...เป็นฆาตกร #ม็อบ16ตุลา #16ตุลาไปแยกปทุมวัน” ลงบนแอปพลิเคชันทวิตเตอร์

ข้อความข้างต้นทั้งสองข้อความ ตรงที่ทำ... (จุดจุดจุด) ไว้นั้นมีคำที่ระบุสื่อถึงบุคคลหรือสถาบันที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ และกล่าวให้ร้าย และขู่อาฆาตอย่างรุนแรง

...นั่นมิใช่การแสดงความเห็นต่าง
...มิใช่การติชมโดยสุจริต
...ลองไปเขียนแบบนี้ กล่าวหาใคร คนนั้นก็เสียหาย และสามารถดำเนินคดีเอาผิดตามกฎหมายได้ทั้งนั้น
...อดีตนายกฯ อานันท์ คิดว่าคำพูดเหล่านั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นเยียงปัญญาชนพึงกระทำหรือไม่ ???

คดีนี้ ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมสองกระทง คงจำคุก 6 ปี

ขณะนี้ คดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยยังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือได้ประกันตัว

3.2 คดี 112 นายอานนท์ นำภา
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา จากการกระทำผิด ม.112 ปราศรัยหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุมม็อบ 14 ตุลา 2563 โดยพฤติกรรมชัดเจนว่ากระทำผิดจริง

คำพูดที่นายอานนท์ปราศรัยแล้วมีความผิดนั้น เป็นการใส่ร้ายปรักปรำกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์โดยปราศจากมูลความจริง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อย่างชัดเจน

นายอานนท์ได้ปราศรัยว่า “...ข้อที่ 3 มาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ข้อเรียกร้องมีสามข้อเท่านั้น วันนี้จะไม่เหมือนเมื่อวานเพราะพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัดทยอยมาสมทบกันเรื่อยๆ และ นิสิตนักศึกษาก็ทยอยมาเรื่อยๆ ถ้ามีการสลายการชุมนุมวันนี้ คนที่จะสั่งสลายการชุมนุมมีเพียงคนเดียว คือ... ถ้ามีการสลายการชุมนุม ไม่ต้องไปหาคนอื่นใด”

“อย่างที่ผมเรียนไว้ ถ้ามีการสลายการชุมนุม คนอื่นจะสั่งไม่ได้นอกจาก...”
“อย่างที่บอกถ้าวันนี้มีการสลายการชุมนุม คนที่จะสั่งได้คนเดียว คือ....ให้รู้ไว้เช่นนั้น”

ส่วนที่เว้น ... (จุด จุด จุด) เอาไว้นั้น ระบุถึงบุคคลหรือสถาบัน
ข้อความแบบนี้ คือการใส่ร้ายป้ายสี ปรักปรำด้วยความเท็จ
ไม่ใช่คิดต่าง หรือแสดงความเห็นเชิงหลักการอะไรเลย

อดีตนายกฯ อานันท์คงไม่สนับสนุนให้กระทำแบบนี้ โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดีกระมัง

ความจริง คือ ที่ผ่านมา มีคนบางกลุ่มที่ถูกปั่นหัว ชักใย ให้ท้าทาย ทำผิดกฎหมาย มาตรา 112
บางคนติดคุก เพราะทำผิดมาตรา 112 แลกกับผลประโยชน์บางประการ เสียอนาคตตนเองและครอบครัวไป

อย่าหลับหูหลับตาให้ท้าย ‘ส้มแซะสถาบัน’

'รมว.ปุ้ย' ชู!! 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ผลักดันสู่ทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง ก.อุตฯ หวังเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย โดนใจตลาดโลก

(27 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมสัมมนามอบนโยบายเพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศสู่การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ว่า ช่วงเวลากว่า 8 เดือน จากวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนถึงวันนี้ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเข้ามาขับเคลื่อนงานของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อให้เป็นที่พึ่งของผู้ประกอบการและประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมมอบนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานให้กับผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ปฏิบัติงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศได้นำไปปรับใช้ในการเร่งรัดสนับสนุนและแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการ พร้อมสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวย โดยมีเป้าหมายให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และอยู่คู่กับประชาชนและสังคมได้อย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินภารกิจให้สำเร็จต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหน่วยงานในระดับพื้นที่ต้องมีบทบาทที่เข้มแข็งมากขึ้นเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนเกิดผลอย่างรวดเร็วเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ ประกอบด้วย...

- รื้อ ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น 
- ลด ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ ซึ่งต้องพิจารณาทั้งระบบตั้งแต่ก่อนการอนุญาตไปจนถึงการกำกับดูแลและการปราบปรามผู้กระทำความผิด 
- ปลด ภาระให้ผู้ประกอบการโดยปรับลดกระบวนการทำงานที่ไม่จำเป็น เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบการ 
- และ สร้าง อุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก พร้อมสร้างเครือข่ายการทำงานอย่างบูรณาการ

ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นและตั้งใจปฏิบัติงานส่งผลให้หลายเรื่องเริ่มเกิดผลเป็นรูปธรรม สะท้อนได้จากผลงานสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งในระดับภาพรวมและในเชิงพื้นที่ อาทิ การยกเลิกการต่ออายุใบอนุญาตการประกอบกิจการโรงงาน ยกเลิกการยื่นเอกสารที่ไม่จำเป็น การแก้ไขกฎหมายโรงงาน เพื่อปลดล็อคเรื่องการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) การกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค พร้อมกำหนดมาตรฐานเพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย 

นอกจากนี้ ยังได้เข้ามาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอนาคต สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล เร่งผลักดันให้สินค้าและบริการฮาลาลไทยเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดโลกได้มากขึ้น / ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ทั้งซัพพลายเชนครบวงจร / พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้มีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ / สร้างความเข้มแข็งให้ SMEs และวิสาหกิจชุมชน สนับสนุนองค์ความรู้และแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำผ่าน SME D Bank และกองทุนฯ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม / ผลักดันโครงการเหมืองแร่โพแทชพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยภายในประเทศ / การช่วยเหลือชาวไร่อ้อย สนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ / แก้ปัญหา PM 2.5 จากการเผาอ้อย การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรม ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพเน้นการพัฒนานิคมฯ Smart Park เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาเชิงนิเวศและนวัตกรรม เป็นต้น

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวต่อไปว่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้เดินหน้าสู่อนาคตที่ดีขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมผลักดันโครงการใหม่ ๆ เช่น...

- การขับเคลื่อน Green Productivity เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรมและการวิจัย มาใช้พัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์  
- การจัดตั้งนิคม Circular แห่งแรกของประเทศไทยในพื้นที่ EEC มุ่งหวังให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน 

- การเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างต่อเนื่อง 
- รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรภายในประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยจากแร่โพแทช ส่งเสริมการใช้แร่ลิเทียมผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมโกโก้ ยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่อุตสาหกรรมเกษตรไทย อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ รองรับการเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพนานาชาติ

“ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องปรับสู่การเป็นหน่วยงานที่ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เจ้าหน้าที่ อก. ต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหาและเป็นที่พึ่งของผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ได้ในทุกเรื่องอย่างทันท่วงที ตลอดจนขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น การปรับปรุง พ.ร.บ.โรงงาน การเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิด การผลักดันการจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย รวมถึงการผลักดันการแก้ปัญหาเรื่องผังเมือง โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง" นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ความท้าทายในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เราต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทิศทางการพัฒนาประเทศมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง ครอบคลุมมิติของสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาเชิงพื้นที่จึงเป็นนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญสูง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดรับกับศักยภาพของพื้นที่และนโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ของรัฐบาล เพื่อให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเกิดการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Growth) ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

‘ซูนัค’ เล็งคืนชีพ ‘เกณฑ์ทหารภาคบังคับ’ หากชนะเลือกตั้งสมัย 2 หวังให้ ‘หนุ่ม-สาว’ เป็นกำลังสำคัญต่อสู้ภัยคุกคามจากนอกประเทศ

‘ริชี ซูนัค’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมที่จะนำกฎหมายการเกณฑ์ทหารภาคบังคับกลับมาใช้อีกครั้งหากพรรคอนุรักษ์นิยมสามารถชนะการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 นี้ โดยยกเหตุจำเป็นผลด้านความมั่นคงเป็นหลักจากสถานการณ์ปัจจุบันที่อังกฤษกำลังเผชิญภัยคุกคามที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม

นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวผ่านสื่อเมื่อวันเสาร์ (25 พ.ค.67) ที่ผ่านมาว่า “ในสหราชอาณาจักรตอนนี้ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ยังไม่เคยได้โอกาสที่พวกเขาสมควรได้รับ และมาตรการนี้จะช่วยให้สังคมอังกฤษมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้สถานการณ์โลกที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น”

ซึ่งผู้นำอังกฤษคาดหวังว่าการออกกฎหมายเกณฑ์ทหารใหม่ครั้งนี้จะสามารถส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความภาคภูมิใจในประเทศ ในกลุ่มคนหนุ่มสาวให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

แผนบังคับการเกณฑ์ทหารใหม่นี้ จะกำหนดให้หนุ่ม-สาว ชาวอังกฤษ ที่มีอายุ 18 ปี มาลงทะเบียนเข้ารับการฝึกทหาร โดยแบ่งเป็น 2 โปรแกรมให้เลือกดังนี้

1. โปรแกรมอาสาสมัครชุมชน: กำหนดให้หนุ่มสาวทำงานอาสาสมัครในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สัปดาห์ละครั้งต่อเดือนเป็นเวลา 12 เดือน รวม 25 วัน ในหน่วยงานสาธารณะต่าง ๆ อาทิ สถานพยาบาล หน่วยดับเพลิง หน่วยฉุกเฉิน สำรวจ และ กู้ภัย และ หน่วยงานสาธารณะที่จำเป็นอื่น ๆ ในชุมชน 

2. โปรแกรมฝึกทหาร: เปิดรับสมัครจำนวน 3 หมื่นคน โดยการคัดเลือกคนหนุ่ม-สาว ที่หน่วยก้านดี มีทักษะไหวพริบ เพื่อฝึกฝนเพิ่มพูนความรู้ด้านโลจิสติกส์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ การจัดซื้อจัดจ้าง หรือการตอบสนองต่อแผนปฏิบัติการพลเรือน

ริชี ซูนัค ย้ำว่า แผนการนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การฝึกทหารอย่างเดียว ‘หนุ่ม-สาว’ ส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดถูกส่งไปทำงานอาสาสมัครชุมชน เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะในโลกแห่งความเป็นจริง และมีโอกาสได้อุทิศตนทำงานเพื่อสังคมและประเทศชาติสักครั้งในชีวิต

พรรคอนุรักษ์ ต้นไอเดียนี้กล่าวว่า โครงการนี้นอกจากจะช่วยส่งเสริมทักษะ และหัวใจรักชาติของหนุ่มสาวอังกฤษแล้ว ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับหนุ่ม สาวในวัยหัวเลี้ยว หัวต่อ ที่ยังไม่มีที่เรียน หรือยังว่างงาน ให้มาทดลองทำงานอาสาสมัคร ก็จะช่วยให้พวกเขาได้ใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ได้รับแรงบันดาลใจใหม่ ๆ และลดการก่อคดีอาชญากรรมของหนุ่มสาวได้

ถึงจะเรียกว่าเป็น ‘งานอาสาสมัคร’ แต่หนุ่มสาววัย 18 ต้องลงทะเบียนทุกคนตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะจับใครส่งเข้าคุกเพราะไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับนี้ เพียงแต่จะติดประวัติขาดการเกณฑ์ทหารในฐานข้อมูลส่วนบุคคล ที่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรในภายหน้า 

สำหรับที่อังกฤษ เคยมีการเกณฑ์ทหารภาคบังคับมาก่อนในช่วงปี 1947 - 1960 โดยกำหนดให้ชายอายุระหว่าง 17 - 21 ปี ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 18 เดือน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการบังคับเรียกเกณฑ์อีกและได้ลดขนาดกองทัพลงเรื่อย ๆ จาก 1 แสนนาย เหลือ 7.3 หมื่นนายในปัจจุบัน 

แต่นโยบายนี้ ถูกคัดค้านโดยพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้านว่า การออกกฎหมายเกณฑ์ทหารใหม่ของพรรคอนุรักษ์ในครั้งนี้ ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 2.5 พันล้านปอนด์ ที่ต้องเจียดงบประมาณจากโครงการอื่น เช่น จากกองทุน UK Shared Prosperity Fund 1.5 พันล้านปอนด์ และ การไล่บี้เอาจากแผนปราบปรามการทุจริต หลบเลี่ยงภาษีอีก 1 พันล้านปอนด์ 

และจะกลายเป็นอีกหนึ่งนโยบายละลายน้ำพริกลงแม่น้ำของพรรคอนุรักษ์นิยม ที่ทำแล้วไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ หรือปัญหาหนี้เสียจากภาคอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด แถมยังสร้างปัญหาให้เลวร้ายหนักลงไปอีก ด้วยการบั่นทอนกำลังพลในกองทัพ แทนที่จะได้จำนวนพลทหารที่เต็มใจเข้ารับการฝึกเต็มรูปแบบกลับต้องแบ่งงบประมาณไปลงให้กับโครงการจิตอาสา ที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ 

แต่ถึงจะมีเสียงคัดค้าน ด้านนายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค มุ่งมั่นตั้งใจว่าจะผลักดันนโยบายทหารเกณฑ์จิตอาสาภาคบังคับให้ได้ โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินผ่านการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้

หากพรรคอนุรักษ์นิยมชนะการเลือกตั้ง เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ก็จะเริ่มโปรแกรมเกณฑ์ทหารรุ่นนำร่องได้ทันนี้ภายในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งจากฐานข้อมูลประชากรสหราชอาณาจักรพบว่า จะมีหนุ่ม-สาว ชาวอังกฤษในวัย 18 ปี ที่อาจต้องลงทะเบียนเข้าโครงการภาคบังคับนี้มากกว่า 7 แสนคนใน

ถือว่าเป็นโครงการใหญ่ระดับชาติของอังกฤษ ที่เป็นการเกณฑ์ทหารในรูปแบบงานอาสาสมัคร ซึ่งหลายประเทศในยุโรป อาทิ สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ก็มีรูปแบบการเกณฑ์ทหารในลักษณะใกล้เคียงกัน โดยกำหนดให้หนุ่ม-สาวต้องเข้ารับใช้ชาติในเครื่องแบบภายในระยะเวลาที่กำหนด ที่จะต้องผ่านการฝึกทหาร เพื่อสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายในฐานะหน่วยสำรองหากเกิดสงคราม หรือสถานการณ์ฉุกเฉินได้

ทั้งนี้ หนุ่ม-สาวอังกฤษ วัย18 จะต้องไปลงทะเบียนเข้ากรมเกณฑ์ทหารหรือไม่ หลังเลือกตั้ง 4 กรกฎาคมนี้ รู้กัน

'นท เดอะสตาร์' เผยเคยร่วมพิธีกรรม ‘อายาวัสกา’ ดื่มน้ำรากไม้ ฟาก 'ชาวเน็ต' ถกสนั่น!! เป็นพืชหลอนประสาทและผิดกฎหมาย

(27 พ.ค.67) บนโซเชียลฯ วิจารณ์ หลัง นท เดอะสตาร์ เล่าประสบการณ์ทำอายาวัสกา (Ayahuasca) ดื่มน้ำสมุนไพรสกัดจากรากไม้ที่มาจากแอฟริกาใต้ ให้สมองหลั่งสาร DMT เป็นฟาสต์แทรกต์สู่การรู้แจ้งเห็นจริง รู้ว่าความตายคืออะไร ชาวเน็ตชี้ DMT เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ผิดกฎหมาย ภาษาบ้านๆ เรียก “หลอนยา” เตือนอย่าเสียเงินเปล่ากับการนั่งเสพวัตถุออกฤทธิ์

การทำอายาวัสกา (Ayahuasca) เป็นพิธีกรรมแบบหนึ่งที่ต้องถูกนำกระบวนการโดยผู้นำทางจิตวิญญาณ ถ้าจะทำต้องค้นหาดีๆ และทำกับคนที่ทำถูกต้องเท่านั้น และควรทำในที่ที่ ปลอดภัย คือที่ธรรมชาติและมีแพทย์แผนปัจจุบันอยู่ด้วยกัน เป็นพิธีที่ดื่มน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่สกัดจากรากไม้ที่มาจากแอฟริกาใต้ พอดื่มน้ำนี้ไปทำให้สมองหลั่งสาร DMT ซึ่งหลั่งเฉพาะ 2 ครั้ง คือตอนที่เราเกิดและเราตาย ตนมองว่าเป็นฟาสต์แทรกต์สู่การรู้แจ้งเห็นจริง และยังมี เจ มณฑล จิรา นักร้องดังเป็นคนชวนให้ไปทำอีกด้วย เรารู้สึกว่าการที่ตายคืออย่างไร คือรู้สึกหายใจเฮือกสุดท้าย

ปรากฏว่ามีเสียงวิจารณ์ในแพลตฟอร์ม X ระบุว่า DMT เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ตามกฎหมายยาเสพติด มาตรา 94 ห้ามมีไว้ในครอบครอง การนำไปใช้ในลักษณะนี้ผิดกฎหมาย ทั้งตัวคนอ้างว่าเป็นเจ้าพิธี ก็ผิดฐานครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท คนเข้าพิธีก็ผิดฐานเสพ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี จะเรียกอย่างไรก็ผิดกฎหมาย อย่าหลงทำตาม

ข้อมูลจากเว็บไซต์ adf ระบุว่า Ayahuasca เป็นยาประสาทหลอนจากพืช อาการประสาทหลอนส่งผลต่อประสาทสัมผัสทั้งหมด เปลี่ยนแปลงความคิด ความรู้สึกของเวลา และอารมณ์ของบุคคล สิ่งเหล่านี้อาจทำให้บุคคลเกิดอาการประสาทหลอน เช่น การมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงหรือถูกบิดเบือน

Ayahuasca เป็นยาต้มที่ทำโดยการให้ความร้อน หรือต้มเถา Banisteriopsis caapi เป็นเวลานานกับใบของไม้พุ่ม Psychotria viridis แม้ว่าอาจมีพืชชนิดอื่นหลายชนิดรวมอยู่ในยาต้มเพื่อจุดประสงค์ดั้งเดิมที่แตกต่างกันก็ตาม ซึ่งสารเคมีออกฤทธิ์ใน ayahuasca คือ DMT (dimethyltryptamine) นอกจากนี้ยังมีสารยับยั้ง monoamine oxidase (MAOIs) ด้วย

อย่างไรก็ตาม Ayahuasca ถูกนำมาใช้มานานหลายศตวรรษโดยชนเผ่า First Nations จากเปรู บราซิล โคลอมเบีย และเอกวาดอร์ เพื่อวัตถุประสงค์ในพิธีกรรมทางศาสนาและการบำบัดรักษา

ทั้งนี้ กองควบคุมวัตถุเสพติดระบุว่า สาร DMT (dimethyltryptamine) เป็นวัตถุออกฤทธิ์ใน 4 ประเภท ดังนี้

1.เป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ยาในทางที่ผิด มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพสูง และไม่มีการใช้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่มีฤทธิ์หลอนประสาท ได้แก่ Mescaline, Psilocybin, DMT, DET, Cathinone เป็นต้น กฎหมายจึงห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท

2.เป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ในทางที่ผิดสูง มีอันตรายต่อสุขภาพมากหากใช้ไม่เหมาะสมหรือไม่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพ แต่มีประโยชน์ทางการแพทย์ ได้แก่ Phentermine, Midazolam, Zolpidem, Methylphenidate, Ketamine, Pseudoephedrine เป็นต้น กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใด ผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ยกเว้นกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุขวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท

3.เป็นยามีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ในทางที่ผิดปานกลาง เช่น Amobarbital, Pentobarbital, Pentazocine เป็นต้น วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท

4.เป็นยาที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ และศักยภาพในการก่อให้เกิดการนำไปใช้ในทางที่ผิดต่ำ เช่น Diazepam, Lorazepam, Clorazepate, Chlordiazepoxide เป็นต้น

ช่างกล้า!! 'รังสิมันต์ โรม' ยกคดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์  แค่เห็นต่างทางความคิดก็ติดคุก แล้วจะปรองดองกันได้ยังไง

(27 พ.ค.67) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (X) ระบุว่า การที่วันนี้ยังมีคนเข้าสู่เรือนจำเรื่อย ๆ จากการเห็นต่างทางความคิด ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนอายุ 21 ปี (คุณปูน ในคดีแอมมี่)และยังมีคนบางกลุ่มมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก เห็นดีเห็นงามกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ ทั้งที่แลกมาด้วยความขัดแย้งที่มากขึ้น ซ้ำเติมรอยร้าวของสังคมให้ชัดเจนมากขึ้น

สังคมเราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชน ถ้าเรายังเพิกเฉยไม่กล้าที่จะแก้ปัญหาร่วมกัน จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่จบสิ้น มีเด็กถูกส่งเข้าคุกมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะร่วมกันสร้างสังคมที่ปรองดองกันได้อย่างไร

ให้กำลังใจลูกเกด แอมมี่ และทุกคน ๆ ครับ

คดีแอมมี่ที่นายรังสิมันต์ โรม กล่าวถึงคือคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำอ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์ ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ หรือปูน กาเพ็ง เป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาตรา 217 ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3)

อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ก.พ.2564 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมได้รับความเสียหาย นับเป็นการแสดงอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ต่อมาจําเลยได้นําภาพเข้าและเผยแพร่สู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในบัญชีเฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า ‘The BOTTOM BLUES’ ของจําเลย ซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตที่เปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จึงเป็นการ นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ

ล่าสุดวันนี้จำเลยทั้งสอง พร้อมทนายความเดินทางมาศาล ศาลอาญาพิเคราะห์หลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันวางเพลิงจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าเรือนจำคลองเปรม หลังกระทำแล้วจำเลยที่หนึ่งได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ the bottom blues เผยแพร่ภาพไฟไหม้รูปพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 และเปิดเป็นสาธารณะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ได้ทำเพื่อมุ่งร้ายต่อพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ หรือเพนกวิน ทั้งนี้การเรียกร้องดังกล่าวจำเลยยังสามารถแสดงออกได้อีกหลายวิธีการที่เลือกเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมเป็นการใช้สิทธิ์ที่มิใช่สิทธิตามปกตินิยมแม้จะอ้างว่าไม่มีเจตนาต่อพระมหากษัตริย์

แต่โจทก์มีรายงานการสืบสวนและคำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสองว่า พยานจำเลยทั้งสองร่วมกับเพนกวินเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการกระทำที่ไปจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสอง มีเจตนาทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจได้ว่าหากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของจำเลยทั้งสองก็จะสามารถทำลาย สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันที่ประชาชนเคารพรัก การกระทำดังกล่าวเป็นลักษณะการขู่เข็ญโดยการแสดงออกด้วยการกระทำว่าจะทำให้เสียหายในทางใดใดไม่ว่าจะเป็นร่างกายทรัพย์สินสิทธิเสรีภาพชื่อเสียงกิตติคุณและลดคุณค่าของพระมหากษัตริย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 217 ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่หนึ่งมีมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (3) การกระทำของจำเลยที่1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กับฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นโทษที่หนักสุด จำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 3 ปี ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี และไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 76 จำคุกหนึ่ง 1 ปี 6 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 3 ปี

คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 112 กำหนด 2 ปี และฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2 ปี รวมโทษแล้วจำเลยที่ 1 จำคุก 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ไม่รอลงอาญา

‘ครูสาว’ ซี 8 พ้อ!! วันลา-วันสายเกิน 1 ครั้ง โดนประเมินไม่ได้ขึ้นเงินเดือน พร้อมเผยเหตุผลความจำเป็น วอนเห็นใจตนไม่ได้หนีสอน-โกงเงินหลวง

(27 พ.ค. 67) ครูสาวสังกัดสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี โพสต์ตัดพ้อ มาสาย 10 ครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที ไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือนครู เผยสาเหตุ เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องทำงานเสริมร้องเพลงกลางคืน ซึ่งโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

"ผลของการสาย สาย 10 ครั้ง (เกิน 1 ครั้ง) ลา 8 ครั้ง 9 วัน (ลาเกิน 1 ครั้ง) ตามระเบียบการพิจารณาการขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ = 0 ผลที่ได้เหมือนละทิ้งหน้าที่ เหมือนหนีสอน เหมือนไปโกงเงินหลวง ติดแฮชแท็ก #คนไม่ชอบทำอะไรก็ไม่ใช่ #ทำบุญวันวิสาขบูชา"

ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อวานนี้ 26 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับครูโอ๋ (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ได้นำหนังสือร้องทุกข์ และขอความเป็นธรรม ที่ส่งถึง ประธานคณะกรรมการ อ.ก.ค.ศ. และนายยศพล เวณุโกเศศ. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มาให้ผู้สื่อข่าวดู มีเนื้อหาใจความว่า

"ตามเอกสารบันทึกข้อความที่ส่งมาด้วย เมื่อข้าพเจ้าได้มาตรวจสอบเอกสารพบว่าไม่ถูกต้องและไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้เกิดการเสียขวัญ และกำลังใจในการทำงาน วันลาจำนวน 8 ครั้ง รวม 8.5 วัน และมาปฏิบัติงานสาย จำนวน 10 ครั้ง ไม่ถูกต้องตามเอกสารสรุปวันลาของบุคลากรวิทยาลัยฯ ซึ่งมีวันลา 8 ครั้ง รวม 8.5 วัน จริง แต่มาปฏิบัติงานสาย 9 วัน

เมื่อพิจารณาจากวันลา และวันปฏิบัติงานสาย วันลาเกิน 1 ครั้ง เนื่องจากครั้งสุดท้าย ในวันที่ 28 มี.ค. 2567 นั้น ข้าพเจ้าเกิดอุบัติเหตุตกบันได มีอาการปวดหลังไม่สามารถมาปฏิบัติงานได้ และเข้ารับการรักษาจริง มีเอกสารใบรับรองแพทย์แนบใบลา ซึ่งก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุข้าพเจ้าทราบดีว่าข้าพเจ้าลาไปแล้ว 7 ครั้ง รวม 7.5 วัน

แต่การลาครั้งสุดท้ายเป็นการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ทำให้ข้าพเจ้าลาเกิน ไป 1 ครั้ง ทั้งนี้ผู้บังคับบัญชาไม่ได้มีการให้ข้าพเจ้าทำบันทึกข้อความชี้แจงเหตุผลแต่อย่างใด และมีการพูดโน้มน้าวให้ข้าพเจ้า ลงลายมือชื่อรับทราบให้เป็นผู้ถูกงดการเลื่อนเงินเดือน

ข้าพเจ้าจึงขอร้องทุกข์ ขอความเป็นธรรมและความเมตตา ประธานอนุกรรมการ อ.ก.ค.ศ. การอาชีวศึกษา และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้พิจารณา อนุโลมเลื่อนเงินเดือนของข้าพเจ้า และไม่เป็นผู้ถูกงดการเลื่อนเงินเดือนในครั้งนี้"

ครูโอ๋ กล่าวอีกว่า ตนเองเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นครูซี 8 รับราชการมา 13 ปี ด้วยภาระที่ต้องดูแลลูกและครอบครัว ลำพังเงินเดือนไม่พอใช้ เพราะไปกู้สมัยอยู่กับสามีคนเก่าแล้วต้องเลิกรากันไป ต้องรับภาระคนเดียว จึงต้องไปหาร้องตามผับ และร้านอาหาร ตอนนี้ไม่สบายใจเพราะไม่ได้ขึ้นเงินเดือนแม้แต่บาทเดียว เพราะทางวิทยาลัยฯ ประเมินออกมาว่า นับวันลาวันสายเกินคือ สาย 1 ครั้ง ลาเกิน 1 ครั้ง จึงประเมินไม่ขึ้นเงินเดือนให้ครั้งนี้ คือเท่ากับ 0

ที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจที่จะให้ขาดงานหรือมาสายเลย มันมีเหตุเพราะต้องไปส่งลูกไปโรงเรียน แล้วต้องขับรถมาวิทยาลัยระยะกว่า 10 กม. แต่ยอมรับลาเกินมา 1 ครั้ง ส่วนสายก็เกิน 1 ครั้ง แต่สายเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ไม่ใช่มาสายเป็นชั่วโมง หรือหลายชั่วโมง

ครูโอ๋ เล่าต่ออีกว่า ในวงดนตรีของตนเองมีครูโรงเรียนอื่น เพื่อน ๆ พี่ ๆ เขาบอกว่าทางโรงเรียนและวิทยาลัยเข้าใจ ไม่เคยปรับขึ้นเงินเดือนเท่ากับ 0 เลย อย่างต่ำก็ 2.4 ตนอยากให้เห็นใจ อะลุ้มอล่วยให้บ้าง กับการลาและมาสายเกิน 1 ครั้ง

ปกติเขาสอนกันไม่เกิน 20 คาบต่อสัปดาห์ แต่ตนเองสอนไปเกือบ 40 คาบ น่าจะเอามาถัวเฉลี่ยให้บ้าง แต่นี่จะเล่นให้กันให้ตาย ไม่ขึ้นเงินเดือนให้เลย ตนไม่ได้ทำอะไรผิด ไปเป็นนักร้องตามผับและร้านอาหาร เรื่องนี้ทางวิทยาลัยได้ส่งหนังสือไปกรุงเทพฯ เรื่องการปรับเงินเดือนเท่ากับ 0 ทางสถาบันอาชีวฯ ก็ทำหนังสือมา ทางผู้บริหารก็ยืนยัน ยังไงก็ไม่ขึ้นเงินเดือนให้

"หรือว่าผู้บริหารไม่ชอบหนู เห็นครูไปร้องเพลง เพราะ ผอ.เคยตำหนิว่า ทำแบบนี้ผิดจรรยาบรรณและจริยธรรม แล้วที่ผู้บริหารไปกินเหล้าด้านหลังวิทยาลัยฯ คืออะไร เหมาะสมไหม อยากให้เห็นใจหนูด้วย หนูไม่ได้ฆ่าคนตาย ไม่ได้หนีสอน ไม่ได้โกงเงินหลวงสักหน่อย" ครูโอ๋ กล่าว 

อย่ากลัว!! 'กฎหมายอาญา' หากไม่ได้ทำความผิด แต่เมื่อทำผิด!! ไม่ว่าจะมาตราไหนย่อมต้องติดคุก

หลายคดี 112 ถูกตีฟันเข้ามาพร้อม ๆ กันในวันที่ 27 พ.ค. 67 โดยศาลได้ตัดสินจำคุก 2 ผู้กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้แก่...

(1) น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล กรณีการชุมนุมที่หน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เมื่อ 11 กันยายน 2564 เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง แต่กลับปราศรัยเกี่ยวข้องพาดพิงกับการออก พ.ร.บ.ระเบียบราชการในพระองค์ 2560 และ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2561 จนเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายอาญาตามมาตรา 112  

เช่นเดียวกับ (2) นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์หรือ แอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์ ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ หรือปูน กาเพ็ง ซึ่งเป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 'มาตรา 217' ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 

(3) เมื่อคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้ง 2 ได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมจนได้รับความเสียหาย

เช่นเดียวกับบรรดาตัวตึงเหล่านี้ ได้แก่ ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ 25 คดี, อานนท์ นำภา 14 คดี, ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 10 คดี, ‘ไมค์’ ภาณุพงศ์ จาดนอก 9 คดี, ‘แพรว’ เบนจา อะปัญ 8 คดี, ‘ไบร์ท’ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง 8 คดี, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี, พรหมศร วีระธรรมจารี 5 คดี, ชูเกียรติ แสงวงค์, วรรณวลี ธรรมสัตยา, เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี และ ‘มายด์’ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี 

แน่นอนว่าชีวิตของคนเหล่านี้จะต้องวนเวียนขึ้นศาลและเข้าคุก หรือไม่ก็ต้องหลบหนีการดำเนินคดีออกนอกประเทศไปอีกนาน

นับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 - 10 พฤษภาคม 2567 มีการดำเนินคดีมาตรา 112 ไปทั้งสิ้น 303 คดี มีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีไปแล้วอย่างน้อย 272 คน 

หากย้อนไปก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้ว คดีความผิดตามมาตรา 112 เกิดขึ้นในแต่ละปีน้อยรายมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการนำเอาสถาบันฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยบรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยที่ผู้มีอำนาจรัฐหรือรัฐบาลในเวลาต่อมาไม่ได้พยายามตั้งใจที่จะป้องปรามหรือป้องกันแก้ไขเรื่องราวที่ไม่ถูกต้อง แต่มีผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อชาติบ้านเมืองนำมากล่าวเท็จ ใส่ร้าย ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความเข้าใจผิดในสถาบันฯ อยู่เรื่อยมา

ในเวลาต่อมา มีกลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นคนรุ่นใหม่แต่มีพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่เป็นพวกปฏิกษัตริย์นิยม (Anti-Royalism) เข้ามามีบทบาทในสังคมและการเมือง คนพวกนี้ต่างยุยงให้ท้าย แต่ไม่ออกหน้า ทำตัวเป็นอีแอบหลังเด็ก ๆ และเยาวชนที่พวกตนหลอกล่อและล้างสมองให้เกิดความงมงายเพื่อต่อต้านสถาบันฯ อย่างไร้เหตุผล จากการชุมนุมโดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างปราศจากขอบเขต ปราศรัยบนเวที และส่งต่อแนวคิดผ่านโซเชียลมีเดีย 

ซ้ำร้ายยัง 'ชักชวน-บีบบังคับ' ให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยได้บิดเบือนอ้างว่า กฎหมายนี้ทั่วโลกไม่มีใครนำมาใช้ และไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั่วโลกยังใช้กฎหมายมาตรานี้อยู่ ซ้ำยังบังคับใช้อย่างจริงจังและรุนแรงอีกด้วย

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเพียงกฎหมายป้องกันการหมิ่นประมาทหนึ่งในกฎหมายหมิ่นประมาท 3 จำพวกเช่นเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทของนานาประเทศได้แก่...

1) หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา (ม.326 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย)

2) หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ม.136ประมวลกฎหมายอาญา และหากหมิ่นประมาทศาลก็จะมีความเฉพาะเจาะจงลงไปอีก)

3) หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ (ม.112 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย) ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะเดียวกับมาตรา 112 ในประเทศต่าง ๆ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ...

- สเปน มาตรา 490 และ 491 ของประมวลกฎหมายอาญาควบคุมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บุคคลใดที่หมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น กษัตริย์ ราชินี บรรพบุรุษหรือทายาทมีโทษจำคุกได้สองปี 

- บรูไน การหมิ่นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนถือเป็นอาชญากรรม มีโทษจำคุกสามปี

- กัมพูชา กุมภาพันธ์ 2018 รัฐสภากัมพูชาได้ลงมติให้การกระทำอันเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ใด ๆ ที่มีโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งถึงห้าปี และปรับ 2 ถึง 10 ล้านเรียล 

- มาเลเซีย มีกฎหมายที่เจ้าหน้าที่สามารถตั้งข้อหาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันฯ ได้

- โมร็อกโก มีผู้ถูกดำเนินคดีจากข้อความที่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ โดยบทลงโทษขั้นต่ำสำหรับความผิดดังกล่าวคือ จำคุกหนึ่งปีหากคำแถลงดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นการส่วนตัว (เช่นไม่ออกอากาศ) และจำคุกสามปีหากเผยแพร่ในที่สาธารณะ ในทั้งสองกรณีสูงสุดคือ 5 ปี 

- ซาอุดีอาระเบีย การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ จะถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายที่มีผลบังคับใช้ในปี 2014 การกระทำที่ ‘คุกคามเอกภาพของซาอุดีอาระเบีย รบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของรัฐหรือกษัตริย์’ ถือเป็นการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย ความผิดดังกล่าวอาจได้รับการลงโทษทางร่างกายอย่างรุนแรง รวมถึงการเฆี่ยนในที่สาธารณะ การจำคุกที่ยาวนาน และแม้กระทั่งการประหารชีวิต อาจมีการพิจารณาโทษเป็นรายกรณี เนื่องจากระบบกฎหมายของซาอุดีอาระเบียมีลักษณะตามอำเภอใจ (น่าแปลกที่บรรดานักเคลื่อนไหวและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ต่างก็ไม่เข้าไปยุ่งเลย)

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะเดียวกับมาตรา 112 ในประเทศต่าง ๆ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น...

- เยอรมนี การดูหมิ่นประธานาธิบดีผิดกฎหมาย แต่การฟ้องร้องต้องได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดี

- ไอซ์แลนด์ การดูหมิ่น ประธานาธิบดี ประมุขของรัฐต่างประเทศ ผู้แทน หรือธงชาติ อาจถูกลงโทษโดยจำคุกไม่เกินสองปี สำหรับการละเมิดที่ร้ายแรงมากโทษสูงสุดสามารถขยายได้ถึงหกปี

- โปแลนด์ การดูหมิ่นประมุขต่างประเทศในที่สาธารณะถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 

- รัสเซีย มีนาคม 2019 สภานิติบัญญัติของรัสเซียได้ผ่านกฎหมายว่าด้วยข่าวปลอมหรือดูหมิ่นประธานาธิบดีรัสเซีย นายกรัฐมนตรี และประมุขต่างประเทศจากนั้นต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 วัน และปรับไม่เกิน 30,000 รูเบิล

- สวิตเซอร์แลนด์ ดูหมิ่นประมุขต่างประเทศต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย บุคคลใดที่ดูหมิ่นอย่างเปิดเผยต่อบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐ สมาชิกของรัฐบาล ผู้แทนทางการทูต ผู้แทนอย่างเป็นทางการในการประชุมทางการทูตที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์หรือผู้แทนอย่างเป็นทางการคนใดคนหนึ่งขององค์กรระหว่างประเทศ หรือแผนกที่ประจำอยู่หรือนั่งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือต้องโทษปรับ

- สหรัฐอเมริกา Craig Robertson ชายผู้ที่โพสต์ข้อความข่มขู่ต่อประธานาธิบดี Joe Biden ทางออนไลน์ ถูก FBI บุกเข้าจับกุมและยิงจนเสียชีวิตภายในบ้านพักของเขาเอง

ข้อมูลต่างประเทศเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้ที่ปลุกปั่นและผู้ที่ถูกหลอกให้เคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรา 112 ไม่ได้แตกฉานในข้อเท็จจริงและเจตนาของกฎหมาย แต่กล่าวอ้างด้วยความจงใจที่จะให้เกิดความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม และในทางกลับกันหากมีใครไปด่าว่าบุพการีของคนเหล่านั้นแล้ว คนเหล่านั้นเองยินยอมที่จะไม่แจ้งความดำเนินคดีจับผู้ที่ด่าว่าบุพการีของพวกตนตามประมวลกฎหมายมาตรา 326 หรือไม่? 

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือหนึ่งในแกนนำของพวกปฏิกษัตริย์นิยมเอง กลับนำมาตรา 326 ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบรรดาผู้ที่โพสต์พาดพิงตัวเองในโซเชียลมีเดียมากมายหลายคดี 

ฉะนั้นแล้วกฎหมายอาญาทุกมาตรา หากไม่ได้ทำความผิดก็ย่อมที่จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย และเมื่อไม่ได้ทำความผิดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวการถูกดำเนินคดี แต่เมื่อทำผิดกฎหมายในคดีอาญาแล้ว...ไม่ว่ามาตราไหนก็ตาม ย่อมต้องถูกลงโทษ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เหมือนกันกับทุกประเทศบนโลกใบนี้

NT ร่วม FIBO มจธ. หารือการพัฒนา 'Robotics-Generative AI' พร้อมชวนนักศึกษาคนเก่ง ร่วมแชร์ไอเดียต่อยอดให้เกิดขึ้นจริง

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค. 67) พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน ประชุมร่วมกับ รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม และ ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) หรือ มจธ.

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก ความก้าวหน้า และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาการหุ่นยนต์และ Generative AI ตลอดจนสำรวจความเป็นไปได้และโอกาสในการพัฒนางานร่วมกันของทั้ง 2 หน่วยงาน 

นอกจากนี้ NT ยังได้หารือร่วมกับทีมนักศึกษา FIBO มจธ. ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดนวัตกรรมระดับประเทศ เพื่อร่วมผลักดันงานด้านวิทยาการหุ่นยนต์และ Generative AI ในอนาคต

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” มอบประกาศเกียรติคุณ “ทำดี มีรางวัล” ให้กับตำรวจ 3 นาย ทำงานด้วยหัวใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ช่วยเหลือประชาชน เพื่อให้กำลังใจ ยกเป็นแบบอย่างที่ดี

วันนี้ (27 พฤษภาคม 2567) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบใบประกาศเกียรติคุณตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย คือ ร.ต.ท.นพกร สินทอง ร.ต.ท.พิทยายุทธ ชาวงษ์ รอง สว.(จร.) ช่วยราชการศูนย์ควบคุมสั่งการและการจัดจราจรทางพิเศษ (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และ ส.ต.ต.พงศธร อุดมทวี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันปราบปราม สน.บางพลัด จาก 2 เหตุการณ์ โดยมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมแสดงความยินดี

เหตุการณ์แรก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 07.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนกันบริเวณลงด่านบางแก้ว มุ่งหน้า ถนนเทพรัตน์ หรือ ถนนบางนา-ตราด จึงเข้าตรวจสอบ ในเบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ ถึงแยกรถคู่กรณีมาจอด ณ จุดเว้า เพื่อรอประกันภัยรถยนต์มาตรวจสอบ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจร ได้สังเกตเห็นรถยนต์ของคู่กรณีมีอาการสั่นอย่างรุนแรง ร.ต.ท.นพกรฯ และ ร.ต.ท.พิทยายุทธฯ จึงรีบเข้าตรวจสอบ พบว่าผู้ขับขี่มีอาการชักกระตุกและไม่พบสัญญาณชีพ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นายจึงเข้าให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลด้วยการปั๊มหัวใจ หรือ CPR จนผู้ป่วยกลับมามีสัญญาณชีพและฟื้นคืนสติ ในขณะเดียวกันได้แจ้งให้หน่วยกู้ชีพเข้าช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลต่อไป

เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง ส.ต.ต.พงศธร อุดมทวี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันปราบปราม สน.บางพลัด ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกบางพลัด ได้สังเกตเห็นเด็กหญิงและเด็กชายรวมถึงคุณแม่ยืนกอดกันตากฝนอยู่บริเวณเกาะกลางถนน จึงได้รีบวิ่งถือร่มเข้าช่วยเหลือ นำเด็กทั้งสองคนไปหลบฝนที่ป้อมจราจร โดยให้คุณแม่ขี่รถจักรยานยนต์ตามมา โดยคลิปวีดีโอดังกล่าวด้วยถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณและชื่นชม ร.ต.ท.นพกรฯ , ร.ต.ท.พิทยายุทธฯ และ ส.ต.ต.พงศธรฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป พร้อมขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับส่งเสริมข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้าน พล.ต.ท.ประจวบฯ และ พล.ต.ท.กรไชยฯ ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายของรอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ แต่ขอให้ทำความดีและปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา

‘อาจารย์ไชยันต์’ โพสต์ “คนไปแจ้งความมีแต่ความโกรธ คนรับแจ้งมีแต่ความทุกข์ อัยการก็ทุกข์ พยานก็กังวล ศาลยิ่งทุกข์ สุดท้าย ไม่ว่าคำตัดสินออกมาอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เดือดร้อน”

(27 พ.ค.67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

“ท่านครับ คนไปแจ้งความมีแต่ความโกรธ คนรับแจ้งมีแต่ความทุกข์ อัยการก็ทุกข์ พยานก็มีแต่ความกังวลเหน็ดเหนื่อยที่ต้องขึ้นศาล ศาลยิ่งทุกข์ สุดท้าย ไม่ว่าคำตัดสินออกมาอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เดือดร้อน”

พร้อมระบุต่อว่า “ท่านครับ คนที่คอยสนับสนุนให้ข้อมูลบิดเบือน ให้เด็กกระทำผิดต่างหาก ที่กระหยิ่ม ยามที่เด็กทรมาน ต้องเข้าคุก ไม่ได้ประกันตัว และคนเหล่านั้นก็พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top