Monday, 24 June 2024
NewsFeed

'สิงคโปร์แอร์ไลน์ส' ปรับกฎ ‘งดเสิร์ฟอาหาร’ เมื่อมีไฟเตือนคาดเข็มขัด เพิ่มความปลอดภัยขั้นสุด หลังเหตุ SQ321 'ตกหลุมอากาศ'

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส (Singapore Airlines) ประกาศนโยบาย ‘งดเสิร์ฟอาหาร’ ระหว่างที่ไฟสัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสว่างขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร หลังเกิดกรณีเที่ยวบิน SQ321 ตกหลุมอากาศรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน

สิงคโปรแอร์ไลน์ส ระบุในคำแถลงวานนี้ (23 พ.ค.) ว่า ลูกเรือทุกคนจะต้องกลับไปยังที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่สัญญาณไฟเตือนปรากฏขึ้น และจากเดิมที่จะงดเสิร์ฟเฉพาะ ‘เครื่องดื่มร้อน’ ในช่วงที่เครื่องบินต้องบินผ่านสภาพอากาศแปรปรวน (turbulence) ก็จะเปลี่ยนเป็นการงดเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด

สำหรับมาตรการความปลอดภัยอื่น ๆ ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนยังคงบังคับใช้ตามปกติ เช่น การที่ลูกเรือต้องตรวจสอบสัมภาระที่อาจร่วงหล่นง่าย เตือนผู้โดยสารให้กลับไปยังที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัย รวมถึงเฝ้าสังเกตผู้โดยสารที่อาจต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้ที่กำลังเข้าห้องน้ำ เป็นต้น

โฆษกสายการบินระบุว่า “สิงคโปร์แอร์ไลน์สจะยังคงพิจารณาทบทวนแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ต่อไป เนื่องจากความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือคือสิ่งสำคัญที่สุด”

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เที่ยวบิน SQ321 ซึ่งเดินทางจากกรุงลอนดอนมุ่งหน้าสิงคโปร์เกิดตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงบริเวณเหนือที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดีของพม่า ระหว่างที่พนักงานกำลังเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ เจฟฟรีย์ คิตเชน (Geoffrey Kitchen) ผู้โดยสารชาวอังกฤษวัย 73 ปี ซึ่งมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจเสียชีวิต และมีผู้โดยสารบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

นักบินตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และนำเครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER ที่มีผู้โดยสาร 211 คน และลูกเรือ 18 คน เปลี่ยนเส้นทางมาลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาประมาณ 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่มีผู้เสียชีวิตครั้งแรกของสิงคโปร์แอร์ไลน์ส ตามหลังกรณีเที่ยวบิน SQ006 ที่พยายามเทกออฟจากทางวิ่งซึ่งปิดซ่อมภายในสนามบินนานาชาติเจียงไคเช็ก (ปัจจุบันคือสนามบินเถาหยวน) ของไต้หวันระหว่างที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้า และชนเข้ากับอุปกรณ์ก่อสร้างจนมีผู้เสียชีวิตถึง 83 คน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ปี 2000

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส อัปเดตข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊กวานนี้ (23 พ.ค.) ว่ายังมีผู้โดยสาร 46 คน และลูกเรืออีก 2 คนนอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร

ด้าน นพ.อดินันท์ กิตติรัตนไพบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ แถลงว่า ขณะนี้ยังมีผู้บาดเจ็บจากเที่ยวบิน SQ321 รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรวมทั้งสิ้น 40 คน ในจำนวนนี้มี 22 คนที่พบอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังและไขสันหลัง และ 6 คนมีอาการบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะและสมอง

สำหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ มีอายุระหว่าง 2-83 ปี และเวลานี้มี 20 คนที่ยังอยู่ในห้องไอซียู ทว่าอาการไม่อยู่ในขั้นอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิต

‘ปูติน’ ออกกฤษฎีกา ‘ฮุบทรัพย์สินมะกัน’ หากสหรัฐฯ ยึดทรัพย์รัสเซีย ตอบโต้การยึดสินทรัพย์รัสเซียในแบงก์อเมริกันที่ปันไปช่วยเหลือยูเครน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียลงนามกฤษฎีกา กำหนดให้รัฐบาลเตรียมระบุสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรที่อาจถูก 'ยึด' เพื่อนำมาชดเชยความเสียหาย ในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีคำสั่งอายัดหรือยึดทรัพย์สินของรัสเซียในอเมริกา

โดยเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจากคณะผู้เจรจาของกลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ หรือ G7 ได้มีการพูดคุยกันมานานหลายสัปดาห์แล้วว่าจะดึงเอาทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกชาติตะวันตกอายัดไว้หลังเกิดสงครามในยูเครน ซึ่งมีทั้งในรูปสกุลเงินหลักและพันธบัตรรัฐบาลรวมมูลค่าราว 300,000 ล้านดอลลาร์ ออกมาใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง

แม้การตอบโต้แบบ 'ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน' จะเป็นเรื่องยากสำหรับรัสเซีย เนื่องจากมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติที่ลดน้อยลงมาก แต่เจ้าหน้าที่และนักเศรษฐศาสตร์แสดงความกังวลผ่านรอยเตอร์สในเดือนนี้ว่า มอสโกอาจจะหันไปใช้วิธียึดเงินสดของพวกนักลงทุนเอกชนแทน

กฤษฎีกาของ ปูติน ระบุว่า สหพันธรัฐรัสเซียหรือธนาคารกลางรัสเซียสามารถร้องขอให้ศาลรัสเซียพิจารณาได้ว่าทรัพย์สินของรัฐถูกยึด ‘โดยปราศจากความชอบธรรม’ หรือไม่ เพื่อเปิดทางไปสู่การเรียกร้องเงินชดเชย จากนั้นศาลจะมีคำสั่งบังคับชดเชยในรูปสินทรัพย์และทรัพย์สินของสหรัฐฯ ที่มีอยู่ในรัสเซีย ตามบัญชีรายชื่อซึ่งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการจำหน่ายสินทรัพย์ต่างชาติได้จัดทำเอาไว้

ในบรรดาทรัพย์สินของสหรัฐฯ ที่อยู่ในข่าย 'ถูกยึด' ได้นั้นรวมถึงตราสารหนี้ หุ้นในบริษัทของรัสเซีย อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ

ดมิตรี เมดเวเดฟ อดีตผู้นำรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยอมรับเมื่อเดือนที่แล้วว่า รัสเซียมีทรัพย์สินของรัฐบาลอเมริกันอยู่ในมือไม่มากนัก ดังนั้นมาตรการตอบโต้จึงต้องเป็นไปแบบ 'อสมมาตร' โดยเน้นที่ทรัพย์สินของเอกชนเป็นหลัก

กฤษฎีกาของ ปูติน ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่ในการควบคุมของสหรัฐฯ อาจตกเป็นเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่ได้ให้นิยามชัดเจนว่า 'ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ' นั้นจะพิจารณาจากหลักเกณฑ์ใด

ทรัพย์สินของนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงบุคคลและกองทุนขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกจัดเอาไว้ในบัญชีพิเศษ ‘Type-C’ ที่รัสเซียประกาศใช้ หลังจากที่ส่งทหารรุกรานยูเครนเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2022 จนถูกสหรัฐฯ และบรรดาพันธมิตรตะวันตกคว่ำบาตรอย่างหนัก

เงินสดในบัญชี Type-C นี้จะไม่สามารถถูกยักย้ายถ่ายโอนออกนอกรัสเซียได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐบาลมอสโก

สหรัฐฯ เองก็ได้ผ่านกฎหมายอนุญาตให้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน สามารถยึดทรัพย์สินรัสเซียที่มีอยู่ในธนาคารอเมริกัน และส่งมันไปช่วยเหลือยูเครน ในความเคลื่อนไหวที่มอสโกประณามว่า 'ผิดกฎหมาย'

ตม.จว.สมุทรสาคร รวบ 2 ผัวเมียชาวเมียนมา ผิด พ.ร.ก.ทำงานฯ ลักลอบไลฟ์สด ขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท

ตม.จว.สมุทรสาคร จับกุมนายหนี่ (นามสมมติ) อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมา และนางมา (นามสมมติ) อายุ 23 ปี สัญชาติเมียนมา สองสามีภรรยา โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมหน้าห้องพักแห่งหนึ่ง บริเวณอ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร

ตม.จว.สมุทรสาคร ได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้ประกอบการซื้อ-ขายรถ ในพื้นที่ว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา โพสต์รูปและไลฟ์สดขายรถจักรยานยนต์มือสองผ่านแพลตฟอร์ม Facebook และ TikTok โดยมีการประกอบกิจการ มาเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อผู้ประกอบการซื้อ-ขายรถในพื้นที่ จึงได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่ามีคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมาซึ่งพักอาศัยอยู่ที่ห้องพักบริเวณ ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ทำการโพสต์รูปและไลฟ์สดขายรถจักรยานยนต์มือสองผ่านช่องทางออนไลน์จริง และมีการซื้อขายต่อเนื่องในลักษณะเป็นการประกอบอาชีพตามปกติ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สมุทรสาคร จึงได้ไปตรวจสอบห้องพักเลขที่ดังกล่าวพบนายหนี่และนางมากำลังบันทึกวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ โดยนายหนี่ ทำหน้าที่อธิบายแนะนำและเสนอขายรถจักรยานยนต์ ส่วนนางมา ทำหน้าที่บันทึกวิดีโอ จากการสอบถามนายหนี่และนางมาให้การรับสารภาพว่ากำลังบันทึกคลิปวิดีโอเพื่อเตรียมโพสต์เสนอขายรถจักรยานยนต์ และยอมรับว่าได้โพสต์คลิปวิดีโอซื้อ-ขายรถในลักษณะดังกล่าวมาประมาณปีกว่า มูลค่าซื้อขายเป็นเงินรวมกว่า 12 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่บริเวณหน้าห้องพักที่ตนเข้าพักอาศัยนี้บันทึกคลิปวิดีโอและไลฟ์สดขายรถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมนายหนี่ และนางมา ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว 

ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ กก.สส.ตม.3 รวบ 2 หนุ่มเมียนมาซุกยาบ้า-ครอบครองกระสุนปืน พบของกลางยาบ้ากว่า 300 เม็ด

ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ กก.สส.ตม.3 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 2 คน ดังนี้

1. นายโซ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมา โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า), มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด 
2. นายปาย (นามสมมติ) อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อเสพ, เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 

นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โคกขาม จว.สมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมห้องพักใน ต.โคกขาม อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร

ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งเบาะแส/ร้องเรียน ว่าพบคนต่างด้าวมีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาบ้าในพื้นที่ ต.โคกขาม อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร จึงได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่ามีคนต่างด้าวซึ่งพักอาศัยอยู่ในห้องพักบริเวณ ต.โคกขาม อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาบ้า จึงได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดสมุทรสาครเข้าตรวจค้นห้องพักดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบ นายโซ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมา การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด พบเครื่องกระสุนปืนขนาด .380 จำนวน 1 นัด ที่บริเวณขอบประตูห้องน้ำ ยาบ้า จำนวน 349 เม็ดซุกซ่อนอยู่ในอแดปเตอร์ กล่องพลาสติก และบริเวณโช๊ครถจักรยานยนต์ และยังตรวจพบถุงซิปใส และถุงซิปสีน้ำเงิน จำนวนกว่า 150 ถุง (ใช้สำหรับแบ่งจำหน่ายยาบ้า) จากการสอบถามนายโซ รับว่ากระสุนปืนและยาบ้าเป็นของตนเองจริง นอกจากนี้ยังพบนายปาย (นามสมมติ) อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแสดง พร้อมยาบ้าจำนวน 3 เม็ด จึงได้นำตัวนายปายไปตรวจปัสสาวะ หาสารเสพติด ผลการตรวจพบเมทแอมเฟตามีน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมนายโซ และนายปาย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.โคกขาม จว.สมุทรสาคร ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว   

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘ศาลปกครอง’ สั่งเพิกถอน ‘ระเบียบกกต.’ ให้ผู้สมัคร สว.ติดประกาศแนะนำตัวออกสื่อได้

(24 พ.ค. 67) ที่ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 ในส่วนข้อ 3 ข้อ 7 ทั้งฉบับแรก และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 8 เฉพาะฉบับแรกที่บังคับใช้ในช่วง 27 เม.ย. 67 - 15 พ.ค. 67 และข้อ 11 (2) และ (3) โดยให้ผลย้อนหลังนับตั้งแต่ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั้งสองฉบับ ในคดีที่ นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย บรรณาธิการสำนักข่าวประชาไท ยื่นฟ้อง กกต. และคดีที่ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพวก รวม 6 ราย ยื่นฟ้อง กกต.และประธาน กกต.ร้องขอให้เพิกถอนระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 เนื่องจากเห็นว่าระเบียบดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมประชาชนตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้

โดยศาล ให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้ สว.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยมีหน้าที่สำคัญหลายประการ และมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ และมีผลบังคับใช้กับทุกคนในราชอาณาจักรไทย ดังนั้น การทำหน้าที่ของ สว. ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนชาวไทย จึงควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แม้ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.2561 กำหนดให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเอง ไม่ได้ให้ประชาชนมีสิทธิเลือก สว. แต่รัฐธรรมนูญได้มีการรับรองเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นการพูด การเห็น การคิด การเขียน การโฆษณา การสื่อความหมายอื่น ๆ การที่ระเบียบ กกต. การที่ กกต.ออกระเบียบดังกล่าวด้วยการจำกัดข้อมูลประวัติและประสบการณ์ของผู้สมัคร รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้สมัคร สว. สามารถแนะนำตัวเฉพาะกับผู้สมัคร สว. ด้วยกันเท่านั้น และการห้ามผู้สมัครในสายอาชีพสื่อมวลชน และศิลปินนักแสดง ใช้ความสามารถในวิชาชีพของตัวเอง เพื่อประโยชน์ในการแนะนำนั้น จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้สมัคร สว. เกินกว่าเหตุ และถือว่าไม่เป็นการรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรือเพื่อรักษาศีลธรรมอันดีของประชาชน ระเบียบพิพาทนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ส่วนระเบียบข้อ 11 (5) ที่กำหนดห้ามผู้สมัครแนะนำตัวทางวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เคเบิลทีวี หรือสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงการให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนนั้น ศาลเห็นว่าระเบียบข้อนี้เป็นการห้ามเฉพาะผู้สมัคร สว. ไม่ได้เป็นการห้ามสื่อมวลชน จึงไม่อาจมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อในการนำเสนอข่าวสารแต่อย่างใด จึงพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 ในส่วนข้อ 3 ข้อ 7 ทั้งฉบับแรก และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 8 เฉพาะฉบับแรกที่บังคับใช้ในช่วง 27 เม.ย. 67 - 15 พ.ค. 67 และข้อ 11 (2) และ (3) โดยให้ผลย้อนหลังนับตั้งแต่ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั้งสองฉบับ 

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' ตรวจเยี่ยม ศปก.ตร.ส่วนหน้า จ.ยะลา ให้กำลังใจกำลังพล พร้อมกำชับการปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ ร่วมเดินหน้าจัดระเบียบองค์กรไปพร้อมกัน

วันนี้ (24 พฤษภาคม 2567) เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา โดยมี พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9) , พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี , พล.ต.ต.นิตินัย หลังยาหน่าย , พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจ ภ.จว.ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และหน่วยปฏิบัติต่างๆ ณ บริเวณด้านหน้าอาคาร ศปก.ตร.สน. พร้อมย้ำจะดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า สถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นขณะนี้พบว่ามีความถี่มากขึ้น เป็นเหตุให้ตำรวจ ทหาร และผู้มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จึงขอฝากข้าราชการตำรวจทุกท่านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ดังนี้

1. การรายงานเรื่องการข่าว ซึ่งมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ต้องมีการสืบสวน ตรวจสอบ วิเคราะห์ พิสูจน์ทราบ และต้องรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทราบโดยเร็ว

2.การป้องกันการโจรกรรมรถจักรยานยนต์และรถยนต์เพื่อไปใช้ก่อเหตุคาร์บอมหรือจักรยานยนต์บอม โดยรถที่แจ้งหายเป็นหน้าที่ของฝ่ายสืบสวนที่จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ และพยายามตรวจยึดกลับคืนมาให้ได้ เพื่อลดอัตราการใช้ยานพาหนะไปก่อเหตุ

3.ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกคนมีความรักสามัคคีต่อหน่วยงาน ฐานที่มั่นของหน่วยงานต้องมีความพร้อมในการเฝ้าระวัง มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงาน สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายให้ได้ และดูแลรักษาความปลอดภัยให่พี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ

4.ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกหน่วยปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกมิติ ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ อย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์อันไม่ถูกต้อง มีจิตใจโอบอ้อมอารีและช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและศรัทธาจากพี่น้องประชาชนกลับคืนมา 

5. การปฏิบัติการจะต้องมีแผนและบูรณาการทุกภาคส่วน ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนยุทธวิธีตำรวจและกฎหมาย คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ ตลอดจนสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกท่านนำแนวทางที่มอบให้ไปปฏิบัติ พร้อมขอความร่วมมือให้ทุกคนร่วมเดินหน้าจัดระเบียบองค์กรไปด้วยกัน และเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่บนความไม่ประมาท ทำงานร่วมกับหน่วยงานราชการอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องหวั่นเกรงภยันตรายที่จะเข้ามา ขอให้ใช้ความเป็นตำรวจทำงานอย่างเต็มที่และมีศักดิ์ศรี

สตม. รวบหนุ่มแดนมังกรอยู่เกินวีซ่าแอบย่องรับงานดูแลนักท่องเที่ยวแบบ VIP พบประวัติตุ๋นเงินเหยื่อกว่าสิบล้านหนีซุกไทย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.ท.วิรชา สนั่นศิลป์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สตม. รวบหนุ่มแดนมังกรอยู่เกินวีซ่าแอบย่องรับงานดูแลนักท่องเที่ยวแบบ VIP พบประวัติตุ๋นเงินเหยื่อกว่าสิบล้านหนีซุกไทย กก.สส.บก.ตม.1 จับกุมนายหมิง (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณล็อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่งในย่าน ถ.รัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับการแจ้งเบาะแสว่ามีชายชาวต่างชาติลักษณะคล้ายคนจีน มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะทำงานและอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้ทำการสืบสวนจนพบว่าชายชาวต่างชาติคนดังกล่าวคือนายหมิง ซึ่งพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมย่านรามคำแหง จากการเฝ้าติดตามพฤติกรรมพบว่านายหมิงมักจะเดินทางออกจากคอนโดมิเนียมไปรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและพาไปที่พัก และช่วยประสานงานกับสถานที่ต่าง ๆ ในลักษณะ private tour เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาติดต่อธุรกิจที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องการท่องเที่ยวในรูปแบบของบริษัทนำเที่ยว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พยานหลักฐานครบองค์ประกอบความผิด จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบเอกสารนายหมิงขณะกำลังอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ในการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านรัชดาภิเษก จากการตรวจสอบพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายหมิงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๓ ก.พ.๖๗ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมดำเนินคดีดังกล่าว
จากการประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงของสาธารณรับประชาชนจีน รับแจ้งว่านายหมิง มีประวัติกระทำความผิดฐานฉ้อโกงวิสาหกิจ กล่าวคือเมื่อช่วง เดือน มกราคม 2566 นายหมิงได้แอบอ้างตนเป็นผู้จัดการฝ่ายขายประจำเขตของบริษัทไวน์แห่งหนึ่ง และได้ไปติดต่อเสนอขายไวน์หายากมูลค่าสูงให้กับผู้ค้าปลีกหลายราย โดยหลอกว่าจะให้ลดราคาสิทธิพิเศษ 10% ชักจูงให้โอนเงินค่าสินค้าไปยังบัญชีธนาคารของตนเองจำนวนสามครั้ง รวมเป็นเงินเกือบ 2 ล้านหยวน และนายหมิงก็มิได้จัดหาไวน์ให้จริง แต่กลับตัดการติดต่อกับผู้เสียหายทั้งหมด ต่อมาสำนักงาน
ความมั่นคงสาธารณะเมืองฉือเจียจวง มณฑลเหอเป่ย ได้ออกประกาศสืบจับ และเพิกถอนหนังสือเดินทางของนายหมิง

‘งานวิจัยใหม่’ ชี้ ‘ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก’ ที่ขั้วโลกใต้ละลายเร็วขึ้น โลกอาจเห็นน้ำทะเลสูงขึ้นระดับ 3 เมตร กระทบผู้คนริมชายฝั่ง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เปิดเผยผลวิจัยตัวใหม่ที่มีการเผยแพร่ไปเมื่อวันจันทร์ (20 พ.ค.67) โดยพบหลักฐานว่า ‘ธารน้ำแข็งทเวตส์’ หรือที่ถูกตั้งฉายาว่า ‘ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก’ (Doomsday Glacier) ที่ขั้วโลกใต้ (Antarctica) กำลังละลายรวดเร็วขึ้น จนอาจทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นถึง 2 ฟุต

แน่นอนว่า การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แทบไม่มีส่วนโดยตรงแทบไม่มีส่วนโดยตรงกับน้ำทะเล เพราะปริมาณไม่มากนัก …แต่กลับกันที่ขั้วโลกใต้ จะแตกต่างจากขั้วโลกเหนือ เพราะมีชั้นน้ำแข็งที่หนามากทับถมกันอยู่บนพื้นดิน ซึ่งถ้าละลายจนหมด จะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 

สำหรับ ‘ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก’ เป็นธารน้ำแข็งที่มีความเสี่ยงต่อการละลายมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะลักษณะที่ลาดเอียงสู่ทะเล ทำให้ถูกน้ำอุ่นกัดเซาะ และละลายได้มากกว่าธารน้ำแข็งอื่น ๆ โดยปัจจุบัน ธารน้ำแข็งทเวตส์นี้ ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นแล้วถึง 4% และด้วยปริมาณทั้งหมดของก้อนน้ำแข็งนี้ ก็จะสามารถทำให้น้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นได้ถึง 60 เซนติเมตรเลยทีเดียว และนั่นหมายความว่า จะกระทบกับชีวิตผู้คนมากกว่า 100 ล้านคนที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่งทั่วโลก

แต่ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ธารน้ำแข็งทเวตส์นี้ ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนฝายธรรมชาติที่กั้นน้ำแข็งโดยรอบด้วย ซึ่งหากแผ่นน้ำแข็งนี้ละลายไปทั้งหมด ก็อาจทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลเข้าไปตรงช่องว่าง และไปกระทบกับธารน้ำแข็งอื่น ๆ และหากธารน้ำแข็งอื่นละลายไปด้วย ก็อาจนำไปสู่การสูงขึ้นของน้ำทะเลที่มากถึง 3 เมตร

ไม่นานมานี้ ทีมนักวิจัย ที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ใช้ข้อมูลเรดาห์จากอวกาศในการเอ็กซเรย์ธารน้ำแข็ง โดยบ่งชี้ว่า “แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกนั้น มีความเสี่ยง ต่ออุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น มากกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก” และที่ทีมวิจัยกังวลอีกเรื่องคือ ตอนนี้มีน้ำทะเลที่ดันอยู่ใต้ธารน้ำแข็งเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร และเคลื่อนตัวออกตามกระแสน้ำ ตามจังหวะของกระแสน้ำในแต่ละวัน

แล้วจะวิธีไหนบ้าง ที่จะช่วยแก้ปัญหา และปกป้องไม่ให้ธารน้ำแข็งนี้ละลายไปมากกว่านี้ หรือเร็วกว่านี้?

ก่อนหน้านี้ จอห์น มัวร์ นักธรณีวิทยาและนักวิจัยวิศวกรรมธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัยแลปแลนด์ และทีมงาน เสนอแนวคิดในการสร้าง ‘ม่านใต้ทะเล’ เพื่อหวังช่วยในการปกป้องธารน้ำแข็งนี้จากกระแสน้ำอุ่น

แต่ผู้เชี่ยวชาญอีกไม่น้อยกลับไม่เห็นด้วยและมองว่ามีเพียงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น ที่จะช่วยชะลอการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกได้

พิจิตร-กรมชลประทานจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นการสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำน่านแบบขั้นบันไดพิจิตรโชคดีได้เป็นลำดับแรกๆ

วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 นายอดิเทพ กมลเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เป็นประธานการประชุมปัจฉิมนิเทศโครงการประตูระบายน้ำฆะมัง ภายใต้โครงการศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมประตูระบายน้ำแม่น้ำน่าน จังหวัดน่าน จังหวัดพิจิตร และจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อสรุปผลการศึกษาความเหมาะสมและผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องประชุม โรงเรียนหลวงพ่อเพชรวิทยา วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร  โดยมีส่วนราชการเครือข่ายภาคประชาชนและกลุ่มผู้ใช้น้ำที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกือบ 200 คน เข้าร่วมในเวทีเวนาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้  โดยมี นายพนมศักดิ์  ใช้สมบุญ  ผอ.ส่วนวางโครงการที่ 1 สำนักบริหารโครงการ , นายฉัตรชัย ทองปอนด์  ผอ.โครงการชลประทานพิจิตร , นายเอกฉัตร เอี่ยมตาล ผอ.โครงการชลประทานนครสวรรค์ , นายธนบดี รักสัตย์ ผอ.สนง.ก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 กองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้และตอบข้อซักถามต่างๆ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนสิริกิติ์ให้มีประตูระบายน้ำเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำแบบขั้นบันได ซึ่งมีแผนงานการก่อสร้างทั้งหมด 7 แห่ง

จากตอนบนสุด เหนือเขื่อนสิริกิติ์ 2 โครงการ  คือ อาคารบังคับน้ำผาจา ต.แงง อ.ปัว จ.น่าน , อาคารบังคับน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน ต.น้ำปั้ว อ.เวียงสา จ.น่าน  ด้านท้ายเขื่อนสิริกิติ์จำนวน 5 โครงการ  อาคารบังคับน้ำท้ายเมืองพิษณุโลก ต.งิ้วงาม อ.เมือง จ.พิษณุโลก , อาคารบังคับน้ำโคกสลุด ต.โคก สลุด  อ.บางกระทุ่ม  จ.พิษณุโลก , อาคารบังคับน้ำฆะมัง ต.ฆะมัง อ.เมืองพิจิตร ความจุกักเก็บ 24.77 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทาน 30,849 ไร่ ในพื้นที่ 2 จังหวัด 10 ตำบล 2 อำเภอ ประกอบด้วย ต.ฆะมัง ต.บ้านบุ่ง ต.ท่าหลวง  ต.ป่ามะคาบ ต.ปากทาง ต.ท่าฬ่อ ต.ไผ่ขวาง ต.ย่านยาว อ.เมือง จ.พิจิตร  , ต.โคกสลุด และ ต. สนามคลี  อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก สามารถกักเก็บน้ำได้ 24.77 ล้าน ลบ.ม. โดยระยะทางกักเก็บน้ำในแม่น้ำน่าน 131.65 กม. ซึ่งจุดนี้มีความพร้อมที่สุดที่กรมชลประทานจะลงมือดำเนินการเป็นลำดับแรกๆ ส่วนอาคารบังคับน้ำบ้านห้วยคต ต.บางไผ่ องบางมูลนาก จ.พิจิตร , อาคารบังคับน้ำวังหมาเน่า  ต.ทับกฤช  อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ก็จะดำเนินการสำรวจศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อจะดำเนินการก่อสร้างให้ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งถ้าหากทำได้ตามเป้าหมายเกษตรกรลุ่มน้ำน่านก็จะสามารถกักเก็บน้ำในลำน้ำได้เพิ่มขึ้น อีก 152.99 ล้าน ลบ.ม. ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรของสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 141,720 ไร่ (ในพื้นที่เดิม) และพื้นที่ชลประทานใหม่ 36,404 ไร่รวมพื้นที่ชลประทานที่จะเกิดประโยชน์ 178,124 ไร่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการนี้น่าจะใช้เวลาสำรวจและรับฟังความเห็นรวมไปจนถึงการลงมือก่อสร้างน่าจะใช้เวลาประมาณ 5-6 ปี คือประมาณปี 2572-2573 เกษตรกรคงจะได้ใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวนี้อีกด้วย

สิทธิพจน์ / พิจิตร / 0818872449

‘อุ๊งอิ๊ง’ จุดพลุ!! THACCA SPLASH Soft Power Forum งาน Soft Power ระดับนานาชาติครั้งแรกในเมืองไทย

(24 พ.ค. 67) ที่ห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 5 ประจำปี 2567 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาและกรรมการคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ รวมถึง คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านต่าง ๆ คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 11 สาขา ร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้แถลงผลการประชุม ร่วมกับ หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนด้านภาพยนตร์-ซีรีส์ และ อินทิรา ทัพวงศ์ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนด้านแฟชั่น

โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวถึง ความคืบหน้าตามแผนที่วางเอาไว้ ทั้งในส่วนหลักสูตรของ OFOS ของทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่น และ ภาพยนตร์ รวมถึงงานใหญ่ที่คณะซอฟต์พาวเวอร์ใช้เวลาเตรียมงานกันมา นั่นคืองาน THACCA SPLASH : Soft Power Forum งาน Soft Power Forum ระดับนานาชาติครั้งแรกของประเทศไทย

“เราจะปักหมุดประเทศไทยลงบนแผนที่โลก ให้ชาวโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำ ด้านการพัฒนา Soft Power ไทยจะเป็นพื้นที่ของนักสร้างสรรค์ทั่วโลก มาร่วมทำงานกัน ซึ่งขณะนี้ วัฒนธรรมไทยมีความพร้อมที่กระจายออกไปทั่วโลกให้ได้หลงเสน่ห์ และคนไทยพร้อมแล้วที่จะสร้าง Soft Power ไทยให้แข็งแรง” น.ส.แพทองธาร กล่าว

น.ส.แพรทองธาร กล่าวถึงการจัดงาน SPLASH ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจะมีการรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power ทั้งจากในประเทศ และทั่วโลก โดยประกอบด้วย 4 ส่วนคือ SPLASH Visionary zone, SPLASH Creative Culture Pavilion, SPLASH Master Class และ SPLASH Activation Lounge

น.ส.แพทองธาร เปิดเผยต่ออีกว่า สำหรับ SPLASH Visionary Zone มี 4 เวที ประกอบด้วย Vision Stage : เวทีวิสัยทัศน์รัฐบาล วิสัยทัศน์ของผู้เชี่ยวชาญระดับโลก นโยบายที่เราขับเคลื่อน ทิศทางที่เราเลือกไป ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในโลก ปฏิญญาและความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น ทุกท่านจะได้ทราบในเวทีนี้ค่ะ, Pathway Stage : เวทีของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยจะนำความสำเร็จของทั่วโลกมาถอดบทเรียน มาวิเคราะห์ถึงวิธีการ แนวคิด เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ และแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมที่สร้าง Soft Power, Performance Stage : เวทีสำหรับคนรุ่นใหม่ให้ได้แสดงความสามารถโดยมีการแสดงจากหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ ดนตรี และ Podcast Studio : เวที Podcast ที่สัมภาษณ์กันสดๆ ในงาน เจาะลึกมุมมองแนวคิด ของผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ในงาน

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อถึงอีกส่วนของงานคือ SPLASH Creative Culture Pavilion ซึ่งโซนนี้จะเป็นนิทรรศการเรื่อง Soft Power ทั้งของประเทศไทย และต่างประเทศ โดยมี 3 นิทรรศการ อาทิ THACCA Pavilion นิทรรศการของทักก้า อยากให้ทุกคนมารู้จักทักก้ากันที่งานนี้กันนะคะ ว่าเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วย Soft Power ได้อย่างไร นิทรรศการของทั้ง 11 กลุ่มอุตสาหกรรมค่ะ ส่วนนี้เราจะมาทำความรู้จัก Soft Power ในประเทศไทยให้มากขึ้น ว่าศักยภาพในตอนนี้ของแต่ละอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร และภาพที่เรามองเห็นในอนาคตเป็นอย่างไร และ international Pavilion นอกจากนิทรรศการจากไทย ยังได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศที่มาเข้าร่วมให้ข้อมูลผ่านนิทรรศการในงาน

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมี SPLASH Masterclass : ห้องเรียน Reskill Upskill ให้พี่น้องประชาชนที่สนใจโดยจะมีห้องเรียนจากทั้ง อุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ และยังมีพื้นที่สำหรับการ Hackathon เพื่อทดลองแข่งขันไอเดียกันอีกด้วย และสุดท้าย SPLASH Activation Lounge : พื้นที่สำหรับคุยแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อสร้างความร่วมมือในการสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เพราะงาน SPLASH จะรวมเอานักสร้างสรรค์ภาคเอกชน ที่น่าสนใจไว้ในงานนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการ Matching ทางธุรกิจเกิดขึ้น

“ฝากพี่น้องประชาชนที่สนใจนะคะ มาเรียนรู้มารู้จัก Soft Power ให้มากขึ้น เพราะซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้มีแค่นิยาม เรายังมีกระบวนการอีกมากมาย มางาน THACCA SPLASH Soft Power Forum ในวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ซึ่งคาดว่าจะมีคนสนใจเข้าร่วมงานกว่า 2 แสนคน” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 5 ยังมีวาระที่น่าสนใจ อาทิ ในส่วนหลักสูตรของ OFOS ของทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่น และภาพยนตร์-ซีรีส์ โดยในด้านแฟชั่นมีการอบรมและพัฒนาบุคลากร ภายใต้กิมมิก ‘Soft Power แฟชั่น Thailand Only’ 4 สาขา คือ Apparel, Jewelry, Beauty และ Craft โดยจะจัดอบรมในระดับบุคคลทั่วไป นิสิตนักศึกษา ทายาทปราชญ์ชาวบ้าน และ ในระดับโรงงานอุตสาหกรรม OEM โดยในระยะยาว จะเป็นการ พัฒนาทักษะเดิม และ สร้างทักษะขึ้นมาใหม่ โดยเน้นกระบวนการทำงานในการสร้างคนที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการผลิตผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อนำมาต่อยอดในการสร้างสรรค์ผลงานให้มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ผ่านการสร้างคน สร้างธุรกิจ และสร้างการรับรู้ ในแบบ Thailand Only เพื่อปักหมุดแฟชั่นไทยเป็นหนึ่งในใจกลางตลาดโลกส่งต่อที่สุดของความคราฟต์ ผสมผสานความสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดแบบ Thailand Only เพื่อยกระดับเรื่องราวความคราฟต์และความสร้างสรรค์ของวงการแฟชั่นสู่ระดับสากล ผ่านการสร้างการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นตั้งค่านิยมที่เพิ่มขึ้นรวมไปถึงการสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพ

ส่วนในด้านของภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ นั้นจะมีการจัด OFOS ในสาขาดังกล่าว เพื่อสร้างโครงสร้างของระบบการเรียนรู้ของภาพยนตร์และซีรีส์ให้เป็นระบบ สร้างคนเข้าอุตสาหกรรมให้ได้ทุกปีและเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อระบบนี้เสถียรก็จะสามารถช่วยหน่วยงานอื่น ๆ ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ ในการทำภาพยนตร์ และซีรีส์ได้ โดยมี 10 หลักสูตรเบื้องต้นในการ Upskill Reskill ของภาพยนตร์ ละคร และ ซีรีส์ อาทิ ผู้ประกอบการ Production House, นักเขียนบท Screenwriter, ผู้กำกับภาพยนตร์, ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์, โปรดิวเซอร์, ผู้กำกับภาพ, นักแสดง, Post Production, Production Designer และ Content Creator ซึ่งมีระยะดำเนินงาน ตั้งแต่ปี 2557-2568 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าอบรมในเร็ว ๆ นี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top