Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

‘ดร.มานะ’ ยกคำพูดครู รร.กำเนิดวิทย์ สะท้อน!! ‘ความฝันเด็ก’ หลังบางครอบครัวคาดหวังให้ลูกต้อง ‘เรียนหมอ’ เท่านั้น

(13 พ.ค. 67) ความแตกต่างระหว่างวัย หรือความแตกต่างระหว่างยุคสมัย อาจทำให้ไม่เข้าใจกันได้ ซึ่งปัญหาหนึ่งของเด็กวัยเรียนกับผู้ปกครองที่มีให้เห็นคือ ‘เรื่องการทำตามความฝันของเด็ก ๆ เอง’ กับ ‘ความฝันของผู้ปกครองที่หวังจะให้ลูกมีความมั่นคงในชีวิต’

แต่มีสิ่งหนึ่งเจ้าของเฟซบุ๊ก Mana Treelayapewat อยากจะเปิดเผยให้ฟังถึงเรื่องการทำตามความฝันของเด็ก ๆ และความฝันของผู้ปกครอง

จึงได้ยกการประชุมของโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) เข้ามาสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้ เพราะหวังว่าจะสร้างความเข้าใจความแตกต่างระหว่างวัยของครอบครัวนี้ได้

โดยระบุว่า “ประชุมผู้ปกครองโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ปีนี้น้ำตาท่วม เมื่อครูแนะแนวเปิดอกบอกเล่าความรู้สึก ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองฟังลูกหลานบ้าง อย่าเอาความฝันส่วนตัวยัดเยียดให้เด็ก

ครูแนะแนวบอกว่า เด็กโรงเรียนกำเนิดวิทย์ จริง ๆ จะเรียนอะไร คณะวิชาอะไร มหาวิทยาลัยในไทยหรือต่างประเทศก็ไม่น่ามีปัญหามาก

แต่ทุกข์ของเด็กเก่ง ๆ เหล่านี้คือ บางครอบครัวเรียกร้อง คาดหวังให้ลูกต้องเรียน ‘หมอ’ เท่านั้น!

ครูบอก ถ้าเด็กโรงเรียนกำเนิดวิทย์อยากเรียนหมอ หรือไปทางสายสุขภาพด้วยตัวเอง ครูและโรงเรียนพร้อมสนับสนุน 100% แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อย ไม่อยากเรียนหมอ บางคนอยากเรียนต่อสาย STEM หรือบางคนอยากเรียนต่อต่างประเทศ แต่พ่อแม่ไม่ยินยอม

ครูบอก ลูกศิษย์หลายคนเครียดมาก เดินมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับความขัดแย้งกับครอบครัวเรื่องการเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัย

ครูได้แต่แนะนำให้กลับไปคุยกับผู้ปกครองก่อน บางเคสคุยกันไม่ได้ก็ต้องช่วยพูด

แต่การตัดสินใจสุดท้ายก็ขึ้นกับพ่อแม่กับเด็ก

ครูพูดวิงวอนด้วยน้ำตา ขอให้ผู้ปกครองเปิดใจรับฟังความฝันของลูกหลาน แล้วสนับสนุนให้พวกเขาไปถึงฝั่งฝันนั้น

แม้ฝันของเด็กจะไม่ตรงกับความต้องการของพ่อแม่ หรือครอบครัวก็ตาม

ด้าน รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการโรงเรียนกำเนิดวิทย์ กล่าวเสริมว่า ยุคของพ่อแม่โตมาคือ 3.0 เน้นเรียนรู้การศึกษาแบบป้อนสู่โรงงานอุตสาหกรรม ต้องทำตามระบบ ตามขั้นตอน

แต่ยุคนี้ 4.0 หรือมากกว่านั้นแล้ว อย่าเอากรอบคิดแบบเก่าดึงลูกหลานไม่ให้ไปข้างหน้า”

โพสต์นี้ได้กลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน มีผู้คนเข้ามาอ่าน กดไลก์กว่า 4 พัน กดแชร์กว่า 5 พัน โดยมีหลายคนแสดงความคิดเห็นไปแนวทางเดียวกันว่า เห็นด้วย หมดแล้วยุคสมัยที่ตัดสินชีวิตให้ลูก และลูกคือคนที่เรียน ไม่ใช่พ่อและแม่ ขณะเดียวกันบางคนก็เปิดเผยประสบการณ์ให้ฟังด้วยว่า เคยเจอเด็กมหาวิทยาลัยที่อยากเรียนพยาบาลแต่แม่ให้เรียนบัญชี นางเศร้ามากน่าสงสาร

ขณะเดียวกันก็ได้มีครูปกครองบางส่วน ออกมาแสดงความเห็นเช่นเดียวกันว่า ลูกเป็นคนเรียนเก่ง แต่จะไปเรียนอะไรไม่รู้ เพิ่งรู้ว่ายากจะทำใจ แต่เขาน่าจะไปรอดกับสิ่งที่เขารัก หรือบางทีเราอาจจะห่วงจนเกินไป

สุดท้ายนี้เรื่องราวของความฝันของเด็กและคุณพ่อคุณแม่จะจบลงเช่นไรนั้น อยากให้ลองคำนึงถึง ‘ความเข้าใจซึ่งกันและกัน’ อาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

สหรัฐฯ หมายตาลงทุนฐานผลิต EV ในไทย หวังใช้ทานกระแส ‘รถยนต์ EV’ สัญชาติจีน

รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจสกัดการไหลบ่าของรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เข้าตลาดสหรัฐฯ ด้วยกำแพงภาษีนำเข้าสูงถึง 100% ในระยะอันใกล้นี้ เพื่อปกป้องผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศ โดยเฉพาะ Tesla ที่ยอดขายตกหนักจากการแย่งชิงตลาดของรถยนต์แบรนด์จีนด้วยกลยุทธ์การตัดราคาสู้ จนยอดจองรถยนต์รุ่นใหม่ของ Tesla ชะลอตัวลงอย่างมากทั้งในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป 

ซึ่งล่าสุด Tesla เพิ่งประกาศเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกลงอีก 10% และชะลอการลงทุนในแผนกพัฒนาการชาร์จประจุไฟ  และดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่ฟื้นตัวนัก ส่งผลให้หุ้นของ Tesla ตกลงไปแล้วถึง 30% ช่วงเวลาแค่ 4 เดือนของปีนี้ (2567) 

หากปล่อยไว้เช่นนี้ ธุรกิจของผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับรถยนต์ราคาประหยัดของจีน รัฐบาลสหรัฐฯ จึงตัดสินใจสกัดการเข้าตลาดของ สินค้าพลังงานหมุนเวียน และรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีถึง 100% โดยเฉพาะรถยนต์ EV ในรุ่นที่ราคาต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ (3.68 แสนบาท) ที่ตอนนี้มีให้เห็นล้นตลาดสหรัฐฯ 

แต่ว่าสถานการณ์ของ Tesla ซับซ้อนกว่านั้น เนื่องจาก Tesla มีฐานการผลิตใหญ่อยู่ในประเทศจีนด้วย ที่ผลิตรถยนต์ป้อนทั้งตลาดจีน และต่างประเทศ ที่ทำให้ Tesla ถูกกดดันหนักทั้ง 2 ด้าน จากมาตราการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลถึงต้นทุนราคาชิ้นส่วนอุปกรณ์ของ Tesla ที่ผลิตในจีน และการต้องปรับตัวแข่งขันอย่างดุเดือดกับผู้ผลิตรถยนต์จากจีนด้วย 

ดังนั้น Tesla จำเป็นต้องมองหาตลาดใหม่ในเอเชีย นอกเหนือจากจีน ที่มีศักยภาพการเติบโตไม่แพ้กัน ที่ตอนนี้มีอยู่ 2 แห่งที่เข้าตาอีลอน มัสก์ ประเทศแรกคือ อินเดีย ที่อยู่ในความสนใจของ Tesla มานานแล้ว ส่วนอีกประเทศหนึ่งก็คือ ไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ ที่กระแสเครื่องยนต์สะอาดกำลังมาแรงมาก

ทางการไทยเคยมีการพูดคุยกับ Tesla มาได้ 2-3 ปี แล้วในช่วงที่ อีลอน มัสก์ กำลังมองหาทำเลที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ระดับ Gigafactory ในเอเชีย ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อยู่ในใจของอีลอน มัสก์ และเคยวางแผนที่จะมาสำรวจทำเลถึงในประเทศไทยแต่ต้องยกเลิกการเดินทางไปก่อน 

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากสำหรับ Tesla ทั้งในแง่ฐานลูกค้า ที่จะช่วยให้ Tesla พึ่งพาตลาดยุโรป และ อเมริกา น้อยลง และยังเหมาะที่จะเป็นฐานการผลิตทางเลือกใหม่ นอกเหนือจากจีน ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งไทยเป็นที่รู้จักในฉายา ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ มานานหลายปี จากแรงงานที่ทักษะเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ และความสามารถในการดึงดูดบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ข้ามชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ ที่จะช่วยให้ Tesla สามารถลดการพึ่งพาแหล่งผลิตในจีนได้ และยังมีความพร้อมในการรองรับความต้องการในตลาดเอเชีย และ ทวีปอื่น ๆ ได้ด้วย

เคร็ก เออร์วิน นักวิเคราะห์การวิจัยอาวุโสของ Roth Capital ซึ่งดูแล Tesla กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะสามารถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ด้วยต้นทุนที่ต่ำได้เหมือนอย่างจีน แถมยังสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปราศจากการควบคุมจากรัฐบาลปักกิ่ง นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังมีงบประมาณอุดหนุน และสิ่งจูงใจทางภาษีเพื่อสนับสนุนการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้และดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยได้ง่ายขึ้น”

นอกจากนี้ เซท โกลด์สตีน นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นของ Morningstar ซึ่งดูแล Tesla ยังกล่าวถึงข้อดีของไทยอีกว่า “การส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาหรือสหภาพยุโรปมีผลกระทบทางการเมืองน้อยกว่าจีน และถึงแม้ว่ารถยนต์ที่ผลิตในไทย ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับเงินสนับสนุนจาก Inflation Reduction Act กฎหมายที่ช่วยเหลือด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ แต่โอกาสที่รถยนต์จากไทยจะเจอกำแพงภาษีสูงลิ่วแบบที่จีนต้องเจอมีน้อยมาก ๆ”

และต่อให้ไม่เข้าตลาดสหรัฐฯ ก็ยังมีตลาดในอาเซียนที่มีประชากรมากกว่า 650 ล้านคนรองรับอยู่ และยังเป็นตลาดที่กำลังเติบโต ซึ่งไทยก็เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ที่มีค่ายรถยนต์ต่างชาติยักษ์ใหญ่ทั้ง โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน ฟอร์ด จีเอ็ม และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ต่างก็มาตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคอยู่ที่ไทย 

เป้าหมายของไทย คือ การเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตระดับโลก ด้วยข้อเสนอด้านภาษีที่จูงใจ และยังตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาปในประเทศ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ถึง 30% ภายในปี 2573 ซึ่งเทียบเท่ากับรถยนต์ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ 675,000 คัน ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดรถยนต์ EV ที่สำคัญมากทั้งจากมุมมองของผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอย่าง ฮอนด้า และ โตโยต้า ก็วางแผนที่จะลงทุนกว่า 4.1 พันล้านเหรียญในการผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทยแล้ว

ยังไม่นับเรื่องการค้นพบแหล่งแร่ลิเธียมเกือบ 15 ล้านตันในประเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่จะทำให้ไทยมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในเอเชียมากขึ้นไปอีก 

เซท โกลด์สตีน ยังเสริมว่า “หากประเทศไทยกลายเป็นตลาดที่สามารถผลิตรถยนต์ EV และ รวมถึงส่วนประกอบได้ในราคาถูกและยังสามารถส่งออกได้อย่างอิสระ ก็ไม่แปลกใจที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ รวมทั้ง Tesla จะพิจารณาการสร้างฐานผลิตใหม่ในประเทศไทย ที่เป็นทางเลือกที่ดีนอกเหนือจากจีน”

และยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของรถยนต์ค่ายอื่น ๆ ต่อยุทธศาสตร์การบุกตลาดอย่างหนักของรถยนต์ EV จากจีนได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการรักษาตำแหน่ง ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ ไว้ให้ได้ เพราะกำลังถูกท้าทายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม และ อินโดนิเซีย ที่ต้องการแย่งบัลลังก์เจ้าแห่งการผลิตรถยนต์จากไทยด้วยเช่นกัน 

‘ธนารักษ์-กฟผ.’ เสริมแกร่งบูรณาการข้อมูลที่ดินร่วมกัน มั่นใจ!! ประชาชนได้ค่าทดแทนถูกต้อง-รวดเร็วขึ้น

(13 พ.ค. 67) นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ และนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยน เชื่อมโยง และบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างกรมธนารักษ์กับ กฟผ. ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี

นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมธนารักษ์มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีที่จะสนับสนุนข้อมูลราคาประเมินที่ดินและข้อมูลที่ดินราชพัสดุ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการดำเนินภารกิจ กฟผ. ในการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินของเอกชนและค่าตอบแทนการขออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุที่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน ส่วนกรมธนารักษ์สามารถนำข้อมูลแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าแรงสูง และข้อมูลแปลงที่ดินของ กฟผ. ไปใช้ในการประเมินราคาที่ดินของกรมธนารักษ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. มีภารกิจพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องรอนสิทธิที่ดินใต้แนวเขตทั้งที่เป็นที่ดินของเอกชนและที่ดินของรัฐเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและระบบโครงข่ายไฟฟ้า โดย กฟผ. มีหน้าที่ในการจ่ายเงินค่าทดแทนการรอนสิทธิด้วยความเป็นธรรม ดังนั้นการบูรณาการข้อมูลราคาประเมินที่ดินและข้อมูลที่ดินราชพัสดุจากระบบออนไลน์ของกรมธนารักษ์ กับข้อมูลที่ดินจากระบบจัดการข้อมูลงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Land AIMS) ของ กฟผ. จะช่วยให้ กฟผ. สามารถดึงข้อมูลราคาประเมินที่ดินและข้อมูลที่ดินราชพัสดุจากฐานข้อมูลของกรมธนารักษ์ได้โดยตรง ทำให้สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดิน ค่าตอบแทนและค่าเช่าการขออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุแก่กรมธนารักษ์ รวมถึงใช้ในการวางแผน การจ่ายค่าเช่าและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น

‘ดร.อานนท์’ เผย!! ‘ในหลวง’ ตั้งพระทัยอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง มีพระราชศรัทธาใน ‘ท่านชยสาโร-ท่านอนิลมาน’ ปราศจากเรื่องเชื้อชาติ

(13 พ.ค. 67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“กราบสาธุการด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญสาธุการ

แม้จะเป็นยศช้างขุนนางพระ แต่ก็เป็นพระราชศรัทธาแห่งองค์พระมหากษัตริย์ 

ผู้ซึ่งตั้งพระทัยจะอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง

พระต่างชาติสองรูปนี้ ท่านชยสาโร และท่านอนิลมาน เป็นพระชาวต่างประเทศ (อังกฤษและเนปาล) ได้มาบวชเรียนในประเทศไทยเป็นเวลานาน

เป็นหลักแห่งพระศาสนา ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แสดงธรรมเทศนาเป็นธรรมทานและวิทยาทานแด่มหาชนสม่ำเสมอ

พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสากล ไม่มีเชื้อชาติศาสนา วรรณะ 

การที่พระมหากษัตริย์ของไทย มีพระราชศรัทธาในพระชาวต่างชาติเป็นเรื่องดีแห่งการก้าวพ้นสมมุติทั้งปวง คือมีพระราชศรัทธาในวัตรปฏิบัติและธรรมะโดยมิได้ทรงติดขัดในเรื่องเชื้อชาติแต่ประการใด 

ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้พระทั้งสองรูปนี้แปลงสัญชาติเป็นไทยแล้ว

พระพรหมพัชรญาณมุนี พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์

ขอถวายพระพรให้ทรงพระเจริญในธรรม

ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”

นอกจากนี้ ล่าสุด (13 พ.ค. 67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า พระสงฆ์ซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรจะได้เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์สูงขึ้นมีอยู่ จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา

พระธรรมพัชรญาณมุนี ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมพัชรญาณมุนี ศรีวิปัสสนาธุราจารย์ ไพศาลวิเทศศาสนกิจ วิสิฐสีลาจารดิลก สาธกธรรมวิจิตร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จ.นครราชสีมา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 8 รูป

พระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ พุทธพจนวราลังการ ไพศาลวิเทศศาสนคุณ วิบุลประชาสังคหกิจ ปฏิภาณธรรมวิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 8 รูป

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2567 ประกาศ ณ วันที่ 13 พ.ค.นี้

สำหรับพระพรหมพัชรญาณมุนี มีนามเดิมว่า ฌอน ไมเคิล ชิเวอร์ตัน ฉายา ชยสาโร สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จ.นครราชสีมา เป็นพระภิกษุชาวอังกฤษผู้ซึ่งถ่ายทอดความลึกซึ้งทางธรรมฉบับภาษาไทยได้อย่างสละสลวย และเป็นที่ประทับใจต่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลก

ส่วนพระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ นามเดิม อนิลมาน นามสกุล ศากยะ ฉายา ธมฺมสากิโย เป็นพระภิกษุชาวเนปาล สัญชาติไทย บวชเป็นสามเณรในประเทศเนปาล และมาศึกษาพระธรรม ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เมื่ออายุครบบวชจึงได้อุปสมบท ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงให้การอุปถัมภ์มาตั้งแต่เป็นสามเณร ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 6 -7 (ธรรมยุต) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดบวรนิเวศวิหาร และอธิการบดีกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก

‘รมว.ปุ้ย’ ลุย ‘สมอ.สัญจร’ ให้ความรู้ ‘มาตรฐาน’ แก่ผู้ประกอบการราชบุรี ชี้!! ช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ เสริมศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า

(13 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน ในพิธีเปิดการสัมมนาภายใต้กิจกรรม ‘สมอ. สัญจร’ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 ณ จังหวัดราชบุรี ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทุกระดับนำมาตรฐานไปใช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าระหว่างประเทศที่นำมาตรฐานมาเป็นมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และคุ้มครองผู้บริโภค ‘กิจกรรม สมอ. สัญจร’ ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่มาให้ความรู้ด้านการมาตรฐานแก่ผู้ประกอบการทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรม SMEs และผู้ผลิตชุมชนในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อให้มีความรู้ด้านการมาตรฐานและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อการแข่งขันทางการค้าได้ 

“จังหวัดราชบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานประกอบการหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งการผลิตไฟฟ้า การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ปูนซิเมนต์และคอนกรีต อาหาร พลาสติก สิ่งทอ เครื่องเคลือบดินเผา เป็นต้น มีโรงงานอุตสาหกรรม 1,181 แห่ง และยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่ คือ นิคมอุตสาหกรรมราชบุรี ซึ่งถือเป็นพื้นที่เป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการส่งเสริมและพัฒนา และจากฐานข้อมูลพบว่าจังหวัดราชบุรีมีผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แล้ว จำนวน 76 ราย 161 ฉบับ มาตรฐานอุตสาหกรรม เอส (มอก.เอส) จำนวน 4 ราย 5 ฉบับ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จำนวน 81 ราย 121 ฉบับ นับว่าเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางอุตสาหกรรมอย่างยิ่ง” รัฐมนตรีพิมพ์ภัทราฯ  กล่าว

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรม สมอ. สัญจร ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการภารกิจของ สมอ. ทั้งในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการทุกระดับ ตลอดจนส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีความรู้ด้านการมาตรฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยการจัดสัมมนาให้ความรู้ด้านการมาตรฐานเกี่ยวกับการลดโลกร้อน เช่น ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และการใช้ปูนซิเมนต์ไฮโดรลิคแทนปูนซิเมนต์ปอร์ตแลนด์ เพื่อลดโลกร้อน 

นอกจากนี้ ยังให้ความรู้ด้านการมาตรฐานแก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีความรู้ด้านการมาตรฐาน ตระหนักถึงความสำคัญ สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน และเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเครือข่ายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของ สมอ. ให้ครอบคลุมและทั่วถึงในทุกพื้นที่ รวมทั้งให้ความรู้แก่ผู้ผลิตชุมชน ในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ผลิตชุมชนในเขตจังหวัดราชบุรีและใกล้เคียง ตลอดจนจัดให้มีพิธีมอบใบรับรองให้แก่ผู้ผลิตชุมชน SMEs และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม รวมจำนวน 30 ราย รวมทั้ง จัดทีมออกตรวจร้านจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดราชบุรี เพื่อกำกับดูแลการจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีมาตรฐานได้อย่างปลอดภัย

สตูล จัดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ร่วมกับโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน”

ที่โรงเรียนบ้านแประ-ใต้ หมู่4 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานพิธีเปิดโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” และโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.จังหวัดสตูล โดยมีนายชัยวุฒิ บัวทอง ปลัดจังหวัดสตูล นางสาวธัญรัศม์ ไตรพันธ์รัชตะ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสตูล พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น แพทย์ พยาบาล สมาชิก พอ.สว. และสมาชิกเหล่ากาชาดสตูล ร่วมให้บริการประชาชนกันอย่างพร้อมเพรียง โดยมี นายหร่ออ๊บ มุเส็มสะเดา นายอำเภอท่าแพ พร้อมด้วยข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และผู้นำท้องที่ท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

โอกาสนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และคณะ ได้ร่วมมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ตลอดจนคนพิการในพื้นที่ จากนั้นเดินเยี่ยมชมกิจกรรมในบูธของส่วนราชการต่างๆ และร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ พร้อมลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 2 ราย ซึ่งได้มอบถุงยังชีพเครื่องอุปโภค-บริโภค เพื่อการดำรงชีพและเงินปัจจัยจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ป่วยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และลงพื้นที่พบปะผู้นำศาสนาในพื้นที่ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าแพ อีกด้วย โครงการจังหวัดเคลื่อนที่ เป็นโครงการที่จังหวัดสตูลจัดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในเชิงรุก โดยให้ส่วนราชการต่างๆ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่มาเพื่อให้บริการและเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ห่างไกลในด้านต่างๆ และได้รับทราบถึงปัญหาในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ถูกต้อง ซึ่งภายในกิจกรรมมีบริการตลาดนัดแก้หนี้ ด้านการเกษตร แรงงาน ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน การฝากเงินออม การเลือกใช้พลังงานทางเลือก การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจำหน่ายสินค้าราคาถูก และแจกพันธุ์กล้าไม้ฟรีแก่ประชาชนที่สนใจ รวมถึงหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ร่วมออกให้บริการดูแลรักษา แนะนำการตรวจสุขภาพด้วยตนเอง เช่น มะเร็งเต้านม การตรวจรักษาโรคทั่วไป และตรวจรักษาทันตกรรม เป็นต้น

สำหรับพื้นที่ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าแพ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 26 กิโลเมตร ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน และลูกจ้างภาคการเกษตร ซึ่งได้รายงานประเด็นปัญหาและความต้องการของประชาชนพื้นที่คือ ประชาชนขาดแคลนน้ำใช้อุปโภคบริโภคในฤดูแล้ง , ปัญหาการปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่องสว่าง หมู่ที 1-6 และปัญหาสภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่อไม่สะดวกในการสัญจร เป็นต้น โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำไปพิจารณาวางแผนและกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป
นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

เชียงใหม่-ทึ่ง!!คนแห่เที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่ ยอดรายได้ทะลุ 1.4 ล้านบาท

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาววันพืชมงคล 3 วัน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวได้เข้าชมสวนสัตว์เชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เก็บรายได้มากถึง 1,400,000 บาท เพียง 3 วันเท่านั้น สูงสุดในรอบ 15 ปีซึ่งเฉลี่ยปีละ 550,000บาท ในช่วงวันพืชมงคลของทุกปี จากการสอบถามผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ทราบว่า สวนสัตว์ฯได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวหลาก หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับสัตว์มากขึ้น 

เช่น มีการจำหน่ายคูปองเพื่อนำคูปองไปรับอาหารสัตว์ตามจุดที่กำหนดได้แก่ ฮิปโปโปเตมัส สัตว์แอฟริกา  สัตว์ตระกูลกวาง และช้างพัง 3 เชือก มีการจัดทัวร์รอบสวนสัตว์ให้กับนักท่องเที่ยวมีผู้นำชมเสมือนไปทัวร์ต่างประเทศ และกิจกรรมทัวร์หลังบ้านให้อาหารฝูงเพนกวินที่น่ารัก ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความชื่นชอบและมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วงนี้สวนสัตว์เชียงใหม่ได้ทำการเปิดสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ทะเลบนดอย กับความหลากหลายของสายพันธุ์ปลานานาชนิด ตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของสัตว์น้ำต่างๆ คลายร้อนที่สโนว์บัดดี้วินเทอร์แลนด์ สัมผัสอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส ภายในสวนสัตว์ยังมี กิจกรรมต่างๆ ให้บริการอีกมาก ชม การแสดงพฤติกรรมสัตว์ multi animal behavior 

ที่น่ารักของสัตว์ สักการะพระนวพุทธมหาบารมี พระศรีสักยมุนีสัตตะบุรีลวบูชา ที่โบราณสถาณวัดกู่ดินขาว อายุมากกว่า 1,000 ปี ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ภายใต้การจัดภูมิทัศน์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่อีกด้วย สวนสัตว์เชียงใหม่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยคุณภาพทุกด้านเพื่อยังคงเป็นสวนสัตว์ฯ ลำดับต้นๆของเมืองไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ และยังคงเป็น“สวนสัตว์แห่งความสุขของทุกชีวิต“ ด้วยกิจกรรมหลากหลายราคาประหยัด"คนมีความสุข สัตว์สุขภาพดี” ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวทิ้งท้ายและขอบพระคุณนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน ที่มาเยี่ยมชม ในครั้งนี้

นภาพร/เชียงใหม่

‘นักวิชาการ’ ห่วง!! ‘ทุเรียนไทย’ เสี่ยงแย่ ในอีก 5 ปีข้างหน้า ชี้!! 'ภัยแล้ง-คู่แข่ง-ต้นทุนขนส่ง' รุมเร้า แนะ!! รัฐรีบจัดการ

(13 พ.ค.67) นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด เปิดเผยถึงผลวิเคราะห์ ดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย ปี 2567 และประเมินทุเรียนไทยใน 5 ปีข้างหน้า ว่า ทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจหนึ่งเดียวที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมาก ในปี 2566 ทุเรียนมีมูลค่าส่งออก 1.4 แสนล้านบาท แซงหน้ามูลค่าการส่งออกยางพารา และมันสำปะหลัง

แต่ยังเป็นรองมูลค่าการส่งออกข้าว โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนคิดเป็นสัดส่วน 25% ของมูลการค้าส่งออกรวมของพืชส่งออกหลัก 4 ชนิด คือ ข้าว ทุเรียน ยางพารา และมันสำปะหลัง ส่วนมูลค่าการส่งออกทุเรียนในปี 2567 นั้น ต้องลุ้นว่ายังสามารถรักษาระดับการส่งออกเหมือนในปี 2566 หรือไม่ เพราะมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน

ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ดัชนี DURI หรือ ดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย ปี 2567 และ 5 ปี พบว่า ดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย ปี 2567 อยู่ที่ 57 ซึ่งเป็นระดับที่ มีความเสี่ยงสูง เพราะเกิน 50 และค่าดัชนี DURI ใน 5 ปีข้างหน้ายังมีค่าเกิน 50 อย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะมีความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาภัยแล้งของเกษตรกร การส่งออกทุเรียนเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนการขนส่งไปประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้น

นายอัทธ์ กล่าวว่า ช่วง 12 ปีผ่านมา ผลผลิตทุเรียนไทยเพิ่ม 180% เพิ่มจาก 5 แสนตัน เป็น 1.4 ล้านตัน จากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศกว่า 80% แต่ปัญหาภัยแล้งจะทำให้ ผลผลิตทุเรียนลดลง 50% ใน 5 ปีข้างหน้า หากรัฐไม่ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลผลิตทุเรียนไทยจะลดลง 53% หรือหายไป 6.4 แสนตัน โดยปีนี้ ภัยแล้งจะทำให้ผลผลิตทุเรียนลดลง 42% หรือลดลง 5.4 แสนตัน

ขณะที่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตทุเรียนเวียดนามเพิ่ม 200% ปี 2566 มีผลผลิตทุเรียน 8 แสนตัน เพิ่มจาก 2.7 แสนตัน ในปี 2557 มีพื้นที่ปลูกเกือบ 7 แสนไร่ และในปี 2567 เวียดนามส่งออกไปจีนเพิ่ม 30% โดยไตรมาสที่ 1/2567 ส่งออกทุเรียนไปจีนเพิ่มขึ้น 105% อยู่ที่ 36,800 ตัน ขณะที่ไทยส่งออกได้เพียง 17,900 ตัน คาดว่าทั้งปี 2567 เวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนไปจีนอยู่ที่ 5 แสนตัน ในขณะที่ไทยส่งออกอยู่ที่ 8 แสนตัน ลดลงเกือบ 2 แสนตัน

รวมทั้งต้นทุนการผลิตทุเรียนไทยก็สูงกว่าเวียดนาม 2 เท่า ปี 2566 ต้นทุนเวียดนามอยู่ที่ 15 บาท/กก เพิ่มขึ้นเป็น 19 บาท/กก.ในปี 2567 ระหว่างปี 2565 -2567 ล้งจีนเพิ่มขึ้น 665 ราย ในขณะที่ล้งไทยปิดตัวจาก 25 ราย เหลือ 10 ราย และในอนาคตคาดว่า ล้งไทยจะปิดตัวเพิ่มขึ้น เหลือไม่ เกิน 5 ราย

ดังนั้นวาระแห่งชาติ เร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลคือ ต้องเร่งแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ รายได้ของเกษตรกร และราคาสินค้าที่แพงขึ้น รวมทั้งเน้นการผลิตแบบคุณภาพ เพราะอีก 3 ปีข้างหน้า ทุเรียนเวียดนามจะผลิตได้คุณภาพใกล้เคียงกับทุเรียนไทย

อย่างไรก็ตาม ปี 2567 พบว่ามีการใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทุเรียนไทยราว 9.8 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 66 เท่ากับ 1.4 แสนล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับปี 66 โดยภาคตะวันออกมีเงินสะพัดมากที่สุด รองลงมาคือภาคใต้ และภาคเหนือ ตามลำดับ ธุรกิจที่มีเงินสะพัดมากที่สุดคือ ธุรกิจล้ง จำนวน 280 แสนล้านบาท

วัยรุ่น Gen Z สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤต 'หนี้ท่วม' เคราะซ้ำ!! รายได้ต่ำกว่าคนวัยเดียวกันเมื่อ 10 ปีก่อน

(13 พ.ค. 67) เพจ 'ทันโลกกับ Trader KP' เผย!! วัยรุ่น Gen Z ในอเมริกากำลังเผชิญวิกฤต #หนี้ท่วม

โดยเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว หลังหักลบอัตราเงินเฟ้อแล้ว...วัยรุ่นในสมัยนี้เป็นหนี้สูงกว่าเดิมมาก ดังนึ้...

- หนี้ผ่อนบ้าน +44%
- หนี้บัตรเครดิต +26%
- หนี้ผ่อนรถยนต์ +4%

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น รายได้เฉลี่ยของคนสหรัฐฯ วัย 20 ต้น ๆ อยู่ที่ $45,493 ต่อปี ต่ำกว่าคนรุ่น Millennial ในวัยเดียวกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว (ซึ่งอยู่ที่ $51,852) ถึง $6,350

‘Pepsi’ VS ‘Coca-Cola’ มิตรภาพที่อยู่เหนือผลประโยชน์


ปัจจุบันมูลค่าตลาดของธุรกิจน้ำอัดลมทั้งโลกอยู่ที่ประมาณ 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 3.5-4% โดยส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจน้ำอัดลมทั่วโลกเป็นของ Coca-Cola ราว 44% และ PepsiCo ราว 19% ที่เหลือเป็นของน้ำอัดลมยี่ห้ออื่น ๆ


‘Coke’ หรือ The Coca-Cola Company ปกติทั่วไปแล้วมักเรียกว่า ‘Coca-Cola’ เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา สำนักงานใหญ่อยู่ในนครแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1886 สำหรับ ‘Pepsi’ หรือ PepsiCo, Inc. คู่แข่งของ Coke เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองแฮร์ริสัน มลรัฐนิวยอร์ก ก่อตั้งขึ้นในปี 1965 จากการควบรวมกิจการของ เป๊ปซี่-โคล่า กับ ฟริโต-เลย์ นอกจากนี้ยังมีสินค้ายี่ห้ออื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ Gatorade, Tropicana, Quaker Oats, และ Lay's เป็นต้น


สำหรับ Coke และ Pepsi ต่างใช้งบประมาณมหาศาลในการโฆษณาและส่งเสริมการขายสินค้าของแต่ละฝ่าย ทั้งการใช้ดาราและบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ รวมไปจนถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งคู่แข่งทั้ง 2 ต่างก็ได้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่และนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค และต่างก็ได้ทำการขยายตลาดของตนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น


การแข่งขันระหว่าง Coke และ Pepsi มิได้เป็นเพียงแค่เป็นการแข่งขันในทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการแข่งขันทางความคิดและวัฒนธรรมอีกด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต่างพยายามสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ของตนเองให้มีความโดดเด่นและเป็นที่จดจำของผู้บริโภคน้ำอัดลมทั่วโลก แม้การแข่งขันทางการค้าระหว่าง Coke และ Pepsi จะดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่ใช่ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะต่อสู้ฟาดฟันกันโดยไม่รู้จักยั้งคิด ขาดสติ ไร้ความรู้สึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี แต่อย่างใด ดังเช่นกรณี Joya Williams และ Ibrahim Dimson


ในปี 2006 ‘Joya Williams’ วัย 41 ปี เลขานุการผู้บริหารของ Coca Cola และ Ibrahim Dimson พนักงานของ Coke ที่สามารถเข้าถึงเอกสารลับสุดยอดทั้งหมดที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีเตรียมเครื่องดื่ม Coca-Cola ใหม่ และยังมีขวดที่บรรจุสารเคมีทั้งหมดที่โดยทั้งสองจะใช้ตั้งใจที่จะขายความลับเหล่านี้ให้กับ Pepsi คู่แข่งหลักของ Coke เป็นเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลของ Coke ที่ไม่มีใครรู้ ยกเว้น 5 ผู้บริหารระดับสูงของ Coke โดยพวกเขาได้ติดต่อกับ Antonio J. Lucio รองประธานฝ่ายข้อมูลเชิงลึกและนวัตกรรมของ Pepsi


อย่างไรก็ตาม Pepsi ได้แจ้งเรื่องนี้ให้กับ Coke และ Coke จึงแจ้งความให้ FBI ดำเนินการ หลังจากเริ่มการสืบสวน Gerald Reichard เจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI ได้ปลอมตัวเป็นผู้แทนของ Pepsi หลังจาก Reichard ได้เจรจาพูดคุยกับ Dimson หลายครั้ง Reichard จึงได้ตกลงและทำการ ‘ล่อซื้อ’ ข้อมูลความลับของ Coke จาก Joya Williams และ Ibrahim Dimson เพื่อรวบรวมหลักฐานในการดำเนินคดี และนำไปสู่การจับกุมตัวทั้ง 2 คน ผลการพิจารณาคดี Williams ปฏิเสธ และ Dimson สารภาพ Williams ถูกคณะลูกขุนตัดสินว่ามีความผิดรับโทษจำคุก 96 เดือน ส่วน Dimson รับโทษจำคุก 60 เดือน โดย Dave DeCecco โฆษกของ Pepsi กล่าวว่า "การแข่งขันอาจดุเดือดได้ แต่ต้องยุติธรรมและถูกกฎหมายเสมอ"


สิ่งที่ Joya Williams และ Ibrahim Dimson ไม่เข้าใจก็คือ แม้ว่า Coke และ Pepsi จะเป็นคู่แข่งขันกันก็ตาม แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความสัมพันธ์ในลักษณะพิเศษต่อกัน ด้วยทั้ง 2 ฝ่ายมีความต้องการซึ่งกันและกันในอันที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งระหว่างกัน แม้ทั้ง 2 บริษัทเกือบจะเป็น Duopoly โดยมีส่วนแบ่งการตลาดร่วมกว่า 60% แต่ต่างก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายถึงกับต้องเลิกกิจการไปเลย เพียงต้องการต่างฝ่ายต่างประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่ เช่นที่ผู้บริหาร Coke คนหนึ่งได้พูดไว้ว่า “ถ้าไม่มี Pepsi เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมา” ทั้งสองจำเป็นต้องรักษาความเฉียบคมต่อกันเพื่อผลักดันคู่แข่งรายเล็กอื่น ๆ ให้ออกจากตลาด ซึ่งที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้แข่งขันกัน แต่กลับกลายเป็นความร่วมมือกันในลักษณะพิเศษต่างหาก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top