Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

‘เกลือ กิตติ’ โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ‘ข้าวที่ปลูกไว้เอง’ ชี้!! นี่คือ ‘เกษตรทฤษฎีใหม่-ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ 

(12 พ.ค.67) กลายเป็นกระแสชื่นชม และมีการพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์ เมื่อ’ เกลือ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ นักแสดง พิธีกร นักเขียนบท และผู้กำกับ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ โดยระบุว่า … 

“ฉันผู้ซึ่งปลูกข้าวไว้กินเอง มีกิน มีใช้ เหลือพอแบ่งปัน #เกษตรทฤษฎีใหม่ #farmilyฟาร์มอีหลี #ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

‘จีน’ ออกกฎหมายใหม่ ให้ตำรวจเช็กมือถือ ‘ปชช.-นทท.’ ได้ เพื่อ ‘ตรวจจับสายลับ-เสริมสร้างความมั่นคงของชาติ’ 

(12 พ.ค.67) กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติจีน ประกาศกฎหมายใหม่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงตรวจค้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ และต่อต้านพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและการตรวจจับสายลับต่างชาติ

เมื่อตำรวจอย่างน้อย 2 คนแสดงบัตรตำรวจก็จะสามารถตรวจสอบการส่งข้อความ อีเมล กลุ่มสนทนาในแอปพลิเคชั่นต่างๆ รวมถึงเอกสาร ภาพ ไฟล์เสียง และคลิปวิดีโอบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

กฎหมายใหม่นี้เปิดโอกาสให้ตำรวจเข้าหยุดประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อตรวจค้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาได้โดยไม่ต้องใช้หมายค้น หรืออยู่ระหว่างการสอบสวนคดีอาญา

ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ากฎหมายใหม่นี้ จะสร้างความหวาดกลัวในจีน และทำให้ประชาชนต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองมากกว่าที่เป็นอยู่

รายงาน ชี้ ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ ใน ‘สิงคโปร์’ ลดลง ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในฐานะ ‘ผู้บริหาร-ผู้นำทางธุรกิจ’

(12 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘รายงานความก้าวหน้าด้านการพัฒนาสตรีของสิงคโปร์ประจำปี 2024’ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและครอบครัวสิงคโปร์ เปิดเผยว่าผู้หญิงชาวสิงคโปร์ได้รับความเท่าเทียมในที่ทำงานเพิ่มมากขึ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าอัตราการจ้างงานผู้หญิงสิงคโปร์อายุ 25-64 ปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69.2 ในปี 2013-2023 เป็นร้อยละ 76.6 โดยช่องว่างของอัตราการจ้างงานระหว่างเพศลดลงเหลือ 12.4 จุด

ผู้หญิงสิงคโปร์มีบทบาทในฐานะผู้นำทางธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในบริษัทชั้นนำ 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ พบสัดส่วนของผู้หญิงที่เป็นคณะกรรมการบริหารเพิ่มขึ้นสามเท่าจากร้อยละ 7.5 ในปี 2013 เป็นร้อยละ 22.7 นับถึงเดือนมิถุนายนปีก่อน

กระทรวงฯ เผยว่ามีการปรับปรุงบริการด้านสาธารณสุขสำหรับผู้หญิงให้ดีขึ้น โดยจำนวนผู้หญิงอายุ 15 ปีที่ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.3 เป็นร้อยละ 89.4 ระหว่างปี 2014-2022

ทั้งนี้ หน่วยงานของสิงคโปร์ยังได้แก้ญัตติกฎบัตรสตรี (Women’s Charter) เมื่อปีก่อน เพื่อเพิ่มขอบเขตอำนาจของรัฐบาลในการเข้าไปแทรกแซงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

‘เอกนัฏ’ ย้ำ ‘หน.-เลขาฯพรรค’ ทำงานร่วมกันได้ดี แบ่งหน้าที่กันลงตัว ทุกคนในพรรคสามัคคีกลมเกลียว เป็นครอบครัวเดียวกัน

(12 พ.ค.67) เมื่อเวลา 13.50 น. ที่โรงแรมรีเจ้นท์ชะอำบีชรีสอร์ท อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมสัมมนาพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เลื่อนจากกำหนดการเดิมที่วางไว้เนื่องจากตรงช่วงเทศกาลสงกรานต์ และอยู่ระหว่างการปรับคณะรัฐมนตรี แต่บังเอิญที่มาตรงกับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่พรรครทสช.เป็นเจ้าภาพ และการสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้พูดเรื่องภายในพรรค โดยประเด็นสำคัญจะเกี่ยวข้องกับภารกิจของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างพลังงาน เพื่อลดต้นทุนให้ประชาชน โดยมีบางเรื่องที่ทำและเกิดผลแล้วแต่บางเรื่องต้องใช้เวลาดำเนินการ จึงต้องนำเรื่องนี้มาพูดกับสส.เพื่อนำไปสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้า การพิจารณาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีแทนนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จะพิจารณาโควตาคนนอกหรือจากสส.ในพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในการสัมมนาวันนี้ไม่มีการพูดคุยเรื่องดังกล่าว และไม่เคยเอาเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีมาหารือในที่ประชุมสส. แล้ววันนี้ไม่ได้กำหนดอยู่ในหัวข้อสัมมนา ส่วนเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างนั้น เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังเป็นโควต้าของพรรคหรือไม่ หรือหากจะเปลี่ยนเป็นกระทรวงอื่นต้องมีการพิจารณาหารือถึงผู้ที่เหมาะสม ทั้งนี้การเข้าร่วมรัฐบาลมีเงื่อนไขแค่ไม่เอาพรรคที่ผลักดันให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่แตะหมวดหนึ่ง หมวดสอง และมาตราอื่น ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต ดังนั้นจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนขึ้นอยู่กับแกนนำรัฐบาลจะมอบให้รับผิดชอบกระทรวงใด และพรรคต้องหาบุคคลที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นไปทำงาน ทั้งเรื่องคุณสมบัติและประสบการณ์ โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโควตาภาคใด รวมถึงต้องลงตัวในภาพรวมของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะให้ดูแลกระทรวงใดก็ทำงานเต็มที่ เห็นได้จากกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่รัฐมนตรีของพรรคทำงานอย่างหนัก ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทเต็มที่ ปฏิบัติภารกิจได้หลายเรื่อง สะสม และสะสางปัญหาที่หมักหมมในกระทรวงได้หลายเรื่อง

เมื่อถามย้ำว่าตำแหน่งที่ยังว่าง จำเป็นต้องเป็นสส.หรือมาจากคนนอกได้ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นสส. เมื่อครั้งที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็มองว่านายกฤษฎา มีความเหมาะสม ทั้งนี้ยังไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ว่างจะไปลงที่ตรงไหน โดยตำแหน่งรมช.สามารถไปลงตรงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับการเจรจาพูดคุย  ทั้งนี้ตนมองว่าตำแหน่งรมช.ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบพิจารณา แต่ยืนยันว่าการปรับครม.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในเวลานี้นิ่งแล้ว ขอย้ำว่าภายในพรรคเวลานี้ไม่มีปัญหาอะไรตามที่มีข่าว

ที่สื่อไปตีความว่าแตกแยกหรือมีปัญหา ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงสักเรื่อง ในข้อเท็จจริงบรรยากาศในพรรค เป็นไปอย่างดี ทุกคนตั้งตั้งใจทำงานเพื่อพรรค เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพลักษณ์ที่ถูกจับตามองว่าเลขาฯพรรคกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ เป็นทีมเดียวกัน เลขาฯพรรค กล่าวว่า ทุกคนรวมทีมกับเลขาฯพรรค ทุกคนในพรรคเป็นคนของเลขาฯพรรคอยู่แล้ว รวมถึงหัวหน้าและเลขาฯพรรคก็แท็กทีมกันเช่นเดียวกัน 

ผมเคยบอกแล้ว ถ้ามีพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเอกนัฏ ถ้ามีเอกนัฏ ก็ต้องมีก็ต้องพีระพันธุ์ เราทำงานเหมือนเป็นคนเดียวกัน แต่แบ่งหน้าที่กัน เป็นเรื่องปกติ ยืนยันว่านายพีระพันธุ์ จะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าสื่อจะตีความอย่างไร แต่เราจับมือทำงานและพูดคุยกันทุกเรื่อง ส่วนตนทำหน้าที่เป็นกรมการเมือง เป็นแม่บ้านพรรค ดูแลเอาใจใส่คนในพรรค ทำให้ทุกคนในพรรคสามัคคีกลมเกลียว พรรคเรามาจากหลายพรรคการเมืองแต่วันนี้ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

เมื่อถามย้ำว่า นายพีระพันธุ์ จะเป็นหัวหน้าพรรคไปจนครบรัฐบาลนี้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนสนับสนุนนายพีระพันธุ์ ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค เราไม่ได้ตั้งตัวเองขึ้นมา แต่มาจากการรับเลือกของที่ประชุมใหญ่พรรค ดังนั้นตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค สามารถเปลี่ยนได้ตามมติที่ประชุมใหญ่ ตามข้อบังคับพรรค เวลานี้พรรคเดินหน้าทำงานต่อไม่มีปัญหาอะไร จึงต้องขอความยุติธรรมให้กับเราบ้าง

เมื่อถามกรณีที่มีกระแสข่าว นายกฤษฎา เตรียมลาออกจากสมาชิกพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่ทราบ บางคนเมื่อเสร็จภารกิจนี้แล้ว ต้องการไปทำอย่างอื่น เช่น เป็นบอร์ดบริหารรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรอื่น มีสิทธิไปทำงานตำแหน่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้  ทั้งนี้หลังจากนายกฤษฎา ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี รู้สึกเสียดาย และได้พูดคุยให้กำลังใจบ้าง รวมถึงสมาชิกบางคนที่ลาออกไปแล้วเช่น นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ก็ยังได้พูดคุยและมีสัมพันธ์อันดี และอนาคตหากมีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกันก็ทำได้

ต่อมาเมื่อถึงเวลา15.30 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็ได้เปิดงานสัมมนา โดยในงานนี้มีบรรยายหัวข้อ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย โดยรวมไทยสร้างชาติ’ โดยมีกรรมการบริหารพรรค บุคคลสำคัญของพรรค รวมทั้งสส. และรัฐมนตรีเข้าร่วมงานนี้กันมากมายหลายท่าน อาทิ

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายชื่นชอบ คงอุดม กรรมการบริหารพรรค นายเจือ ราชสีห์ ผู้บริหารพรรค นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ นายสัญญา นิลสุพรรณ สส.นครสวรรค์ นายสุพล จุลใส สส.ชุมพร นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา

โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธานในที่ประชุมได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างพลังงาน เพื่อให้สส.ได้นำไปชี้แจงให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมเปิดโอกาสให้สมาชิกได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นและสะท้อนปัญหาในการทำงาน

'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' แชร์บทเรียนชีวิตในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ผ่านมรสุมชีวิตมาได้ถึงวันนี้ เพราะพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 

(13 พ.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' โดยคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ได้แชร์บทเรียนจริงของครอบครัวช่วงที่ต้องพบเจอกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ไว้ว่า...

ย้อนกลับไปปี 2540 ทำไมประเทศไทยถึงต้องเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ต้นเหตุ มันไม่ได้มีแค่การไร้ความสามารถของรัฐบาล หรือการฝืนต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การบริหารงานที่ผิดพลาดมันเหมือนไปกดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์ของปัญหาที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน ทั้งการเติบโตแบบไร้ทิศทาง เงินเฟ้อสูงเรื้อรัง ค่าแรงพุ่งจนทำให้ศักยภาพแข่งขันอ่อนลง การปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวมของสถาบันการเงิน การเปิดเสรีการเงิน (BIBF) ของรัฐบาลก่อนหน้า เปิดช่องให้เอกชนกู้เงินต่างประเทศ จนหนี้ระยะสั้นมีสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 เท่า ขณะที่ธนาคารกลางคงค่าเงินไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยที่ประเทศไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นช่องรูโหว่ใหญ่ให้ จอส โซรอส ถล่มค่าเงินบาท ทุนสำรองระหว่างประเทศร่อยหลอ เกิดหนี้เสียในระบบการเงินมากมายและลุกลามต่อเนื่องจนประเทศต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลาย 

เศรษฐกิจไทยพังพินาศ รัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือการเงินจาก IMF ดัชนีตลาดหุ้นไทยดำดิ่ง 2539-2540 ร่วงไป -90% บริษัทต่าง ๆ พากันปิดกิจการ ต้องตัดขายสินทรัพย์ให้บริษัทข้ามชาติในราคาแสนถูก คนตกงานมากมายจนต้องพากันมาเปิดท้ายขายของตามตลาดนัด

ครอบครัวของผมก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน ความทรงจำในตอนนั้น คือความสงสัย เหตุใด ครอบครัวเราที่ขยันทำมาหากินอยู่ดี ๆ ต้องลำบากมากขึ้น สินค้าที่นำเข้ามาขายต้องจ่ายในราคาแสนแพง (เพราะเชื่อผู้นำประเทศตอนนั้นว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท) แต่ต้องขายต่อในราคาแสนถูกเพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ การเค้าซบเซาและขาดทุนหนัก ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อแม่มาสารภาพบอกว่าเงินทุนการค้าไปจมสูญไปในตลาดหุ้นและที่ดิน แถมมีหนี้ก้อนมหาศาลที่แม่หยิบยืมมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเพื่อเอามาใช้จ่ายและหมุนเวียนทำการค้า (เงินการค้าเอาไปเล่นหุ้น)

ผมจำภาพวันที่ผมกลับจากโรงเรียนมาถึงหน้าบ้าน พี่สาวรีบวิ่งมาเปิดประตูแล้วบอกผมว่า พ่อจะฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะให้ครอบครัวได้เงินประกันชีวิต

นั่นคือความอ่อนแอของพ่อ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ตอนนั้นผมเข้าใจพ่อเป็นอย่างดี ทำงานมาด้วยความเหนื่อยยาก 20 กว่าปี สุดท้ายนอกจากจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังต้องติดลบหนักอีกต่างหาก

พ่อผมเริ่มตั้งสติ และค่อย ๆ วางแนวทางแก้ไขปัญหา พ่อต้องเอาบ้านไปจำนองกับธนาคารอีกครั้ง (พ่อเพิ่งปลดบ้านจากธนาคารได้ไม่นาน) พ่อดึงบัญชีจากแม่มาคุมเองทั้งหมด พ่อเลิกจ้างคนงาน และให้ลูกทุกคนช่วยงานหนักขึ้น (ปกติก็ช่วยงานหนักอยู่แล้ว) พ่อสั่งให้ทุกคนประหยัด ประหยัดในที่นี้คือประหยัดสุด ๆ อาหารในแต่ล่ะมื้อจากที่เคยกินกันอิ่มหมีพีมัน ต้องกินแบบเผื่อเหลือในมื้อต่อไป ข้าวสวยจากข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวแข็งๆและไม่อร่อยสุด ๆ (ทำให้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินข้าวสวยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้) ยามนอนต้องประหยัดไฟ เปิดได้แค่พัดลมหากใครอยากนอนแอร์ต้องมานอนห้องทำงานพ่อ (พ่อนอนในห้องทำงาน)

ครอบครัวผมไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านกันอีกเลยตั้งแต่เกิดวิกฤติ ผมต้องกินแต่ข้าวบ้านกับข้าวที่โรงเรียน กินอย่างประหยัดจำเจวนไปเวียนมา พ่อผมบอกว่าถ้าแม่ไม่ทำพังเราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ (กินภัตตาคาร) คำพูดนั้นฝังใจผมจนถึงทุกวันนี้

ส่วนแม่ของผม ด้วยพื้นเพนิสัยที่เป็นคนดีมีคุณธรรม ประหยัด ขยันทำงาน (แต่จัดการเงินไม่เป็น) ในสภาวะที่ย่ำแย่ แม่ไม่เลือกวิธี ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’  แต่แม่เลือกที่จะเดินเข้าหาเจ้าหนี้ (เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่เอ็นดูแม่) บอกถึงความจำเป็น ขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกคนรู้จักนิสัยแม่ดี ทุกคนยอมไม่คิดดอกเบี้ย และให้เวลาแม่ในการผ่อนชำระ

แม่เป็นคนประหยัด ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่แม่ไม่ใช่คนขี้งก แม่สปอร์ตกับลูก แม่ยอมจ่ายไม่ยั้ง ถ้าเป็นเรื่องการกินอยู่ การเรียน และการรักษาพยาบาลของลูก ความที่แม่อยากให้ลูกอยู่สบายไม่ลำบาก มันทำให้ลูกทุกคนไม่รู้ตัวว่า ไอ่ที่กินใช้อยู่นี่มันคือเงินที่มาจากหนี้

พ่อและแม่ สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นพนักงานบริษัท พ่อเป็นพนักงานขาย ส่วนแม่เป็นเสมียนและทำบัญชี พอทั้งคู่แต่งงานกัน จึงออกมาทำการค้า ความที่ไม่มีทุน จึงต้องเริ่มต้นการค้าด้วยการกู้เงินจากผู้ใหญ่ที่รู้จักต่าง ๆ

ก่อนวิกฤติในยามที่เศรษฐกิจดี กิจการขยายตัว มีรายได้มากขึ้น แต่ต้องมาหมุนเวียนกับการค้าและการชำระดอกเบี้ย หนี้สินจึงไม่เคยลดลง ผมและพี่น้องเกิดมาเมื่อพ่อแม่มีกิจการแล้ว แม้ต้องช่วยงานที่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก แต่เรามีกินมีใช้ไม่เคยขาด เราคิดกันไปเองว่าเราเป็นชนชั้นกลางในสังคม

เมื่อเกิดวิกฤติ เราถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เราแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ และไม่มีทรัพย์สินที่เป็นของเราจริงๆเลย

แม่ผมต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน จากที่เคยนั่งคุมบัญชีการค้าอยู่ที่บ้าน ต้องขับมอเตอร์ไซด์ เป็นเซลล์ขายสินค้าของกิจการ และพยายามหารายได้เพิ่มด้วยการขายถุงพลาสติกให้กับร้านอาหารข้างทางต่าง ๆ (ทุกวันนี้ผมจะชอบไปทานร้านเหล่านั้นเพื่อขอบพระคุณที่ช่วยแม่ผมในยามยากลำบาก)

ในความมืดมนของประเทศ และของครอบครัวผม วันหนึ่งผมนั่งรถเมล์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน ในระหว่างที่ผมเหม่อลอย ครุ่นคิดว่า เราจะลำบากไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เราจะมีวันสบายอีกครั้งได้ไหม ผมเห็นป้ายขนาดใหญ่มีรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และข้อความที่เขียนถึงเศรษฐกิจพอเพียง

“คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่โลภอย่างมาก ไม่สุดโต่ง คนเราก็อยู่เป็นสุข”

“การกู้เงินที่นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ได้ อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ”

พระราชดำรัสของในหลวง ร.9 เมื่อ 4 ธ.ค.2540 และ 4 ธ.ค.2541

ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกวันนั้นอย่างไร ในวันที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน ป้ายของในหลวง คือป้ายแห่งความหวังจริง ๆ ป้ายที่บอกต้นตอของปัญหาและชี้ให้เห็นว่าทางออกควรต้องไปทางไหน

นับจากตอนนั้น ผมยึดคำสอนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ปี 2542 ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยไม่กู้ กยศ. ผมไม่อยากเรียนจบ และเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นหนี้  ผมเชื่อว่าหากผมกู้ กยศ. มา ชีวิตผมจะมีวังวนแบบเดิมเหมือนที่ครอบครัวเคยเป็นมา คือกู้เงินมาใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลิน ผมเห็นเพื่อนที่กู้ กยศ. ใช้จ่ายเหมือนเงินได้มาง่ายๆฟรีๆ เครื่องคิดเลขสำหรับวิศวกรรมสมัยนั้น casio ราคา 3,500 บาท ถือว่าแพง มาก ๆ แล้ว แต่เพื่อนผมกลับใช้เงิน กยศ. ซื้อเครื่อง Texas ซึ่งแพงกว่าเกือบ 2 เท่า

ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ผมมีบทเรียนของครอบครัวมาแล้ว การใช้จ่ายด้วยเงินกู้ของคนอื่น มันคือการเป็นทาส ผมเลือกที่จะสอนพิเศษแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มีเงินมาจ่ายค่าเทอม และใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ผมตระเวนนั่งรถเมล์สอนทั่วกรุงเทพมหานคร ทั่วซะจนไม่มีเขตไหนในกรุงเทพที่ผมไม่เคยไปสอน

วันเวลาผ่านไป ความอดทน พยายามต้องสู้ของทุกคนในครอบครัวของผมเริ่มออกผล พ่อสามารถไถ่ถอนบ้านจากธนาคารในปี 2544 และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต้นปี 2545 พ่อผมต้องป่วยหนักกลายเป็นเจ้าชายนิทรา แม่และพี่สาวได้มาช่วยกันดูบัญชีต่าง ๆ ที่พ่อทำเอาไว้

นอกจากบ้านที่พ่อไถ่ถอนออกมาได้แล้ว ผลจากการประหยัด ผลจากการที่ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างยากลำบาก พ่อมีเงินสดในบัญชี 3 ล้านกว่าบาท ขณะที่ยังมีหนี้สินค้างอยู่ 12 ล้านบาท แม่ผมได้ใช้เงินนั้นทำการค้าต่อด้วยความระมัดระวังจนเคลียร์หนี้สินได้หมด เจ้าหนี้ทุกคนได้รับเงินครบทุกบาทในปี 2553

ครอบครัวผมได้ประกาศเป็นไท แม่ผมได้สัมผัสถึงอิสรภาพครั้งแรกในวัย 60 ปีพอดิบพอดี ส่วนผมตอนนั้นอายุ 30  สนใจแต่เรื่องทำงานหนัก ไม่อยากเป็นหนี้อะไรทั้งนั้น ไม่มีความต้องการรถคันงามหรือบ้านหลังใหญ่ มีแต่อยากจะเติบโตในหน้าที่การงาน อยากเป็นสุดยอดนักวิเคราะห์ของประเทศนี้ ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ

ทุกวันนี้ผมขอบคุณพระเจ้า บทเรียนของครอบครัวในอดีต ได้ทำให้ผมมีฐานะทางการเงินในปัจจุบันที่ดี ผมมีอิสรภาพทางการเงิน ผมได้ภรรยาที่ดี เข้าใจเรื่องการเงิน และรู้คุณค่าของคำว่า ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ แม้เราจะมีเงินในบัญชี มีทรัพย์สินต่าง ๆ แต่เราไม่เคยใช้เงินเกินกว่าที่หามาได้ในแต่ล่ะเดือน กลับกันเราจะต้องกันเงินไปเก็บเพิ่มเสมอ เราไม่เคยประมาท และจะไม่มีวันประมาทเด็ดขาด

และไม่ใช่แค่ผมที่มีอิสรภาพทางการเงิน พี่สาวและน้องสาวของผม ทุกคนได้ประโยชน์จากบทเรียนในอดีต พี่สาวมีธุรกิจที่มั่นคงปลอดหนี้สิน เช่นเดียวกับน้องสาวที่ทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อหนี้ใดๆทั้งนั้น

ขอบพระคุณคำสอนของในหลวง ร.9 เศรษฐกิจพอเพียง คือที่สุดของปรัชญาของการดำรงชีวิตในโลกทุนนิยม วันใดที่ผมได้นำคำสอนของในหลวงไปถ่ายทอดให้กับใครต่อใครฟัง ผมอยากบอกกับทุกคนว่า เศรษฐกิจพอเพียงช่วยพวกคุณได้ คุณควรเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินก่อนที่จะสายเกินไป คุณสามารถเปลี่ยนได้ในตอนนี้ด้วยความเข้าใจ มันจะดีกว่าถูกวิกฤติบังคับให้คุณจำใจต้องเปลี่ยน

คำพูดของพ่อผม ‘เราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ’ ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ผมยิ้มกับคำพูดนี้ได้แล้ว

‘ตุ๊กตุ๊ก-รถแดงเชียงใหม่’ โอด!! ใกล้วิกฤต หลังแอปฯ ต่างชาติเกลื่อนเมือง ชี้!! รายได้หด-รายจ่ายเท่าเดิม ฟาก ‘ชาวเน็ต’ ซ้ำ!! “ทำตัวเองล้วนๆ”

(13 พ.ค.67) กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์จำนวนมาก หลังจากที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่ม “กลุ่ม เชียงใหม่108 CM108” ที่มีสมาชิกมากกว่า 1.4 หมื่นคน โดยระบุว่า... 

“ตุ๊กตุ๊ก รถแดงเชียงใหม่ ตอนนี้ใกล้ถึงทางตันพอหมดฤดูกาลท่องเที่ยวแทบจะขายรถ รายที่เช่าก็ต้องคืนรถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางครอบครัว ตกงาน ส่วนใหญ่จะเป็นคนวัยเกษียณ

สาเหตุหลักก็คือ แกร๊บต่างชาติเกลื่อนเมือง ซึ่งตอนนี้เยอะมากในเมืองเชียงใหม่ เทียบกับสมัยก่อนที่ยังไม่มีแกร๊บเข้ามาตุ๊กตุ๊ก รถแดงพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่ตอนนี้หน้ามือเป็นหลังมือ

ถึงทางตันไปต่อไม่ได้ อนาคตคงเหลือแต่ภาพถ่ายและอนุสรณ์ตั้งโชว์หน้าร้านอาหาร อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ

อยากวิงวอนหลายฝ่ายให้ช่วยกันกู้ชื่อเสียงตุ๊กตุ๊ก รถแดงของบ้านเรากลับคืนมาดังเดิมจะดีมากก่อนที่มันจะสายไปครับ”

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

- “ก่อนอื่นปรับปรุงที่คนขับรถก่อนเลย เจอมากับตัว รถแดงจากกาดสวนแก้วมาขนส่งช้างเผือก อู้เมือง 20.- พูดไทย 50.- จากกาดสวนแก้วไปเชียงใหม่แลนด์ 80.- ขากลับนั่งอีกคันมา 50.- รอบสุดท้ายที่ตัดสินใจบ่นั่งรถแดงอีกเลย มากัน 5 คน ขึ้นหน้าธนาคารปากซอย ตวด.มาปั๊มเชลข้างกาดสวนแก้ว บอกจะเอาคน 50.- ตัดสินใจพากันเตวมาเอาเจ้า ตั้งแต่หั้นมาก่บ่ขึ้นอีกเลยรถแดง”

- “ทำตัวเองครับ ผมมาจากเชียงใหม่ครั้งแรกนั่งตุ๊ก ๆ ไปธุระตกลงราคาเรียบร้อยขับไประหว่างทางตอนช่วงดึกเขาไปเจอฝรั่งกำลังยืนอยู่ข้างทางอยู่ดี ๆ ก็เบรครถแล้วหยุดไปถามไถ่แล้วไล่ผมลงตรงนั้นเอาฝรั่งไปแทนผมก็จำไม่ลืมจนทุกวันนี้ 7 ปีมาแล้วที่ไม่เคยกลับไปนั่งตุ๊ก ๆ ส่วนรถแดงผมขึ้นจากแยกไนท์พลาซ่าแล้วมาลงหน้าโรงพยาบาลราชเวชเรียกเก็บเงินผมเป็นร้อยแต่คนอื่นลงจุดเดียวกันและนั่งมาไกลกว่าผมจ่ายแค่ 40 บาทรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบไหมครับนั่งระยะทางมาสั้นกว่าเขาแต่เราเรียกเขาแล้วเขาจอดรับกลับมาเรียกเก็บเรา 100 บาทเพียงเพราะว่าเป็นคนต่างถิ่น”

“เรียก…ไม่มีแบ่งแยกคนเชียงใหม่คนต่างจังหวัดราคาเท่ากัน นักท่องเที่ยวไม่ใช่โง่ เทศกาลก็ฉวยโอกาสขึ้นราคาโขกสับคนไทยด้วยกัน แต่…คงราคาเดิมอาจจะเพิ่มนิดหน่อยแต่ยอมรับได้ แล้วใครเขาจะไปใช้รถแดง ส่วนตัวนั่ง… บริการดีพูดจาดีนี่กดทิปให้ด้วย”

“ล่าสุด จะเหมากลับสันกำแพง…เจอรถแดงบอก 500 กด… จ่ายแค่ 215 บาท เป็นคุณจะเลือกอะไรครับ คิดแต่ให้คนอื่นกู้ชื่อเสียง แต่รถแดงกลับไม่คิดจะกู้ชื่อเสียงตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองเป็น ‘สัญลักษณ์’ ของเชียงใหม่แล้วมาบอกให้คนอื่นมาอุ้มครับ รถแดงเป็นเอกชนครับ ไม่ปรับตัวตามโลกก็ดับหายไป”

“สองแถวที่กรุงเทพ ต้องแข่งกะอะไรบ้าง แต่ที่สุดแล้ว ราคาเขาชัดเจน ไม่โขกราคา เขาถึงว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน รับสภาพไปจ้าววว”

“คอมเม้นเป็นเอกฉันท์ ที่วิกฤตเพราะตัวเองทั้งนั้น”

“นี่ไม่รู้ตัวจริง ๆ เหรอ หรือตีมึนแล้วไปโทษแต่…”

“ล่าสุดไปเที่ยวแถว Zoey กลับดึกเรียกรถในแอพไม่มีสักคัน เจอตุ๊ก ๆ ผ่าน เราก็บอกจะไปรวมโชค นางบอก 500 ครับ (กูนี่โบกมือบ๊ายบายเลย)”

“จอดรถให้มันถูกที่ให้เป็นก่อน เกะกะมาก อยากจอดไหนจอด”

“โลกมันคือการแข่งขัน คุณแค่ต้องปรับตัวสู้กับเค้า ไม่ใช่มางอแง… หรือสู้เค้าไม่ได้ ก็แค่เข้าร่วม…มันจะไปยากอะไร”

“พฤติกรรมนำพาชะตาชีวิต”

‘วราวุธ’ กำชับ!! ศรส.ปทุมธานี รุดช่วยยายวัย 67 ปี หลังนอนจมอุจจาระ-ปัสสาวะ ในห้องเช่าเพียงคนเดียว

(13 พ.ค. 67) นางสาวซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยถึงการช่วยเหลือคุณยายอายุ 67 ปี ด้วยการงัดห้องเช่า เพราะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา ที่ จังหวัดปทุมธานี ว่า ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เพื่อให้เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนและศูนย์กลางการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ได้สั่งการให้ ศรส.จังหวัดปทุมธานี ส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายโดยด่วน หลังได้รับการประสานงานจากเทศบาลตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า วันที่ 12 พ.ค. 67 ศรส.จังหวัดปทุมธานี , กันจอมพลัง , หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ร่วมกันลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือคุณยาย โดยได้งัดห้องเช่า พบว่า คุณยายอาศัยอยู่เพียงคนเดียว มีสภาพอิดโรย นอนจมอุจจาระและปัสสาวะ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อ 2 เดือนก่อน โดยจะมีเพื่อนบ้าน อสม. อพม. คอยเข้ามาช่วยดูแล แต่มีน้องสาวทำงานที่กรุงเทพฯ จะคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ด้วยการส่งเงินเป็นรายเดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง จึงไม่สามารถรับพี่สาวไปดูแลได้ 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า ได้นำคุณยายไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาการอาการป่วยในเบื้องต้น อีกทั้งจะดำเนินการติดตามหาญาติพี่น้องของคุณยายเพิ่มเติม อีกทั้ง เมื่อโรงพยาบาลได้สิ้นสุดการรักษาคุณยายแล้ว ศรส.จังหวัดปทุมธานี จะรับตัวเพื่อเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) จังหวัดปทุมธานี อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง หรือประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ขอให้รีบโทรแจ้ง ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่าน สายด่วน พม. 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง

'ดร.ตั้น' ยัน!! 'โครงการแลนด์บริดจ์' ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริง เผย!! นักลงทุนสนใจมาก แต่ต้องใช้เวลาตัดสินใจที่ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน

(13 พ.ค. 67) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโต้ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ปมโครงการแลนด์บริดจ์ โดยยืนยันไม่ต้องนอนฝัน แต่เป็นเรื่องจริง!! ระบุว่า...

ผมเห็นข่าวที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยระบุว่า...

“แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร ฝันที่ยากจะเป็นจริง” 

บอกได้เลยว่า เป็นการยุแยงที่อาจจะทำให้ประชาชนและนักลงทุนเข้าใจผิดไปกันใหญ่

ผมในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม คิดว่าปล่อยไว้ไม่ได้ เลยต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกันสักหน่อย เพราะหลังจากที่ผมได้สัมผัส และเห็นข้อมูลจริง ประกอบกับสอบถามมาจากผู้รู้จริง พบว่า สันนิษฐานที่นายสามารถออกมาเผยแพร่นั้น ไม่สะท้อนกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เหมือนตั้งข้อสังเกตกันลอ ๆ และจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด!!

ผมอยากอธิบายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่งต่อไปยังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านว่า โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน หรือที่เรารู้จักกันดีว่า 'โครงการแลนด์บริดจ์' เชื่อมต่อ 2 ท่าเรือ คือ 'ชุมพร-ระนอง' ที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย อยู่ระหว่างการผลักดันโครงการฯ นั้น เพราะมองเห็นว่า หากโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จแล้ว จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน และประเทศชาติอย่างสูงสุด

'โครงการแลนด์บริดจ์' ถือเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อลดระยะเวลาการขนส่งตู้สินค้าทางเรือ และสร้างผลกำไรให้กับผู้ประกอบการสายเรือ อีกทั้งผู้ประกอบสายเรือในแต่ละราย จะมีกลยุทธ์ต่าง ๆ รวมถึงศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติม ก่อนตัดสินใจมาร่วมลงทุนในโครงการฯ อยู่แล้ว ทั้งในส่วนของระยะเวลา ต้นทุน และความคุ้มค่า โดยจากการคำนวณในทุกมิติอย่างครบถ้วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า สามารถช่วยลดต้นทุน และระยะเวลาในการขนส่งสินค้า หลีกเลี่ยงความแออัดของช่องแคบมะละกา ตามที่มีการคาดการณ์ที่เชื่อว่า ปริมาณการขนส่งจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่เขาแจ้งว่า การขนส่งสินค้าจากเรือฝั่งหนึ่งขึ้นรถบรรทุกหรือรถไฟไปอีกฝั่งหนึ่ง พอไปถึงจะต้องขนจากรถบรรทุกหรือรถไฟลงเรืออีก จะทำให้เสียเวลานานมาก อันนี้ก็เกิดจากกรอบความคิดการขนส่งแบบเดิม ๆ ที่จะต้องขน ซึ่งจากการที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี สุริยะฯ ได้เดินทางไปดูการขนถ่ายสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่เกิดขึ้นจริงในท่าเรือและรถไฟนั้นสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้น 'โครงการแลนด์บริดจ์' ยังเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ทั้งในเชิงพาณิชย์ และเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน สามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่งทางทะเล และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เกิดเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และการค้าแห่งใหม่ของโลกด้วย

อีกหนึ่งหัวใจที่สำคัญ คือ โครงการแลนด์บริดจ์ จะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อคนไทยทุกคน ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความเจริญ เปิดโอกาสให้กับพื้นที่ภาคใต้ และภาคต่าง ๆ ของไทย รวมทั้งยังจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สามารถสร้างโอกาสให้กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคด้วย

แล้วที่บอกว่า โครงการแลนด์บริดจ์ 'เนื้อหอม' ก็ต้องยอมรับว่า เนื้อหอมจริง ๆ หลังจากที่ท่านนายกฯ ท่านรองนายกฯ 'สุริยะ' ได้เดินหน้าไปโรดโชว์ และประชาสัมพันธ์โครงการให้นานาประเทศได้รู้จักโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น พบว่า ขณะนี้มีนักลงทุนที่มีศักยภาพจากหลายประเทศ ต่างให้ความสนใจโครงการฯ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น, กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง 

และอย่างที่ท่านนายกฯ เศรษฐา ว่าโครงการขนาดใหญ่ขนาดนี้ นักลงทุนคงไม่ได้ตัดสินใจจะลงทุนในระยะเวลาเดือน สองเดือนครับ

ขอเน้นย้ำครับว่า การขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์จะต้องคนที่มีวิสัยทัศน์ ที่จะสามารถมองภาพของการขนส่งทางทะเลของโลกทั้งระบบออก จึงจะเห็นถึงโอกาสมหาศาลของประเทศไทย ไม่ใช่คนที่มองแค่ภาพของการขนส่งภายในประเทศยึดติดความคิดเดิม ๆ ตามประสบการณ์ส่วนตัวที่แคบและขาดความเข้าใจเท่านั้นที่พูดอธิบายยังไงก็ ไม่มีวันเข้าใจเพราะไม่มีความรู้พื้นฐานดีเพียงพอ ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนต่างประเทศที่อยู่ในแวดวง อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ของโลก ต่างก็มองเห็นถึงโอกาสมหาศาลนี้ออก และรอเพียงแค่ว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมที่จะประกาศเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนเมื่อไหร่ ก็พร้อมจะเข้ามาเสนอตัวลงทุน

ปัญหาในปัจจุบันคงจะมีเพียงแต่คนในประเทศเท่านั้นที่พยายามจะด้อยคุณค่าของโครงการลง เพื่อประโยชน์ส่วนตน

และล่าสุด คือ ตามที่ท่านรองนายกฯ สุริยะ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นการ และได้โรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์ด้วยนั้น พบว่า บริษัท China Harbour Engineering ได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด เรียกได้ว่า “ไม่ได้เงียบกริบ” อย่างที่นายสามารถเข้าใจผิดอย่างแน่นอน งานนี้! อาจจะมีคนเงิบ และรอฟังข่าวดีได้เลย 

นอกจากนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นโครงการที่ถูกหยิบยกมาหาเสียงเมื่อถึงคราวเลือกตั้งเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่รัฐบาลได้เร่งให้เกิดเป็นรูปธรรม แถมยังเคยมีนักวิชาการออกมายืนยันอีกว่า ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน และเมื่อโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น จึงมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ และได้รับผลประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าของช่องแคบมะละกาที่ในปัจจุบันมีแนวโน้มการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนประเด็นโครงการและเกิดขึ้นหรือไม่นั้น จะขอนำกำหนดไทม์ไลน์ของโครงการฯ ที่ระบุไว้ชัดเจน มาเปิดเผยให้ดูว่า หลังจากนี้ จะมีการสรุปข้อมูลจากการเดินทางไปโรดโชว์ รวมทั้งขอเสนอแนะจากนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกต่าง ๆ มาประกอบการจัดทำร่างประกวดราคา พร้อมทั้งจะมีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) และจัดตั้งสำนักงาน SEC โดยคาดว่า จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการฯ ได้ภายในไตรมาส 2/2569 ก่อนเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผู้ลงทุน และเริ่มก่อสร้างระยะที่ 1 แล้วเสร็จภายในปี 2573

สรุป!!
การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ได้พิจารณาถึงความเหมาะสม และความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้น อย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ และผมมั่นใจว่า ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ จะมีนักลงทุนต่างชาติ มาร่วมลงทุนอย่างแน่นอน เพราะเป็นโครงการสำคัญ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผลักดันให้ 'ประเทศไทย' ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าแห่งใหม่ของโลกครับ

‘ชาวบุรีรัมย์’ เข้าป่าหาเห็ด พบภาพแกะสลักหินโบราณรูปสตรี คาด!! เป็น ‘พระนางสิริมหามายา’ ล่าสุดรอเจ้าหน้าที่รุดตรวจสอบ

(13 พ.ค.67) ถือเป็นอีกหนึ่งการค้นพบโดยบังเอิญที่ชวนทึ่งไม่น้อย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘ประมูล กองกระโทก’ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ไปเก็บเห็ดเจอสิ่งนี้ค่ะอยู่มานานเพิ่งรู้บ้านเรามีสาธุๆๆๆ

สำหรับสิ่งที่พบเจอคือภาพแกะสลักหินโบราณรูปสตรีมีใบหน้าสมบูรณ์ ซึ่งหลังจากนั้นได้ผู้มาโพสต์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สถานที่พบภาพหินแกะสลักดังกล่าวอยู่ที่ บนเขากระเจียว ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Supachai Nong’ ได้ออกมาโพสต์ถึงการค้นพบภาพแกะสลักหินดังกล่าวว่า

สรุปเป็นตามที่คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเป็น ‘พระนางสิริมหามายา’ ขณะเหนี่ยวกิ่งสาละ (อยากเห็นรอบๆ รูปสลักนี้มากๆ) ส่วนศิลปะยุคไหนก็คงต้องรอกรมศิลป์

อย่างไรก็ตาม การค้นพบโดยบังเอิญครั้งนี้ หลังจากนี้คงต้องให้กรมศิลปากร นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบค้นต่อไป ว่าเป็นศิลปะในยุคสมัยใด มีอายุเก่าแก่ประมาณเท่าใด?

ทั้งนี้ สำหรับ ‘พระนางสิริมหามายา’ หรือ ‘มายาเทวี’ เป็นพระมารดาของพระโคตมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ และเป็นพระเชษฐภคินีของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา

เอกสารทางพุทธศาสนาระบุว่า พระนางสิริมหามายาสวรรคตหลังประสูติการพระโคตมพุทธเจ้าได้เพียง 7 วัน เพราะสงวนครรภ์ไว้แด่พระโพธิสัตว์เพียงพระองค์เดียว หลังจากนั้นพระองค์จึงจุติบนสวรรค์ตามคติฮินดู-พุทธ ส่วนพระราชกุมารนั้นได้รับการอภิบาลโดยพระนางมหาปชาบดีโคตมี พระขนิษฐาที่ต่อมาได้เป็นอัครมเหสีในพระเจ้าสุทโธทนะ

'สว.สมชาย' งัดเอกสารสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน  ชี้!! พิรุธกองข้าวค้างโกดัง 10 ปี ยิ่งตรวจยิ่งพบเงื่อนงำ

(13 พ.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมชาย แสวงการ’ ดังนี้...

“ยิ่งตรวจสอบลึกยิ่งพบเงื่อนงำ #จำนำข้าว10ปีไม่เน่าจริงๆหรือ?

เพราะรายงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่ตรวจสอบการเก็บรักษาข้าวขององค์การคลังสินค้าหรือ อคส. นั้น ย่อมตรงไปตรงมาและน่าเชื่อถือที่สุด เพราะต้องออกตรวจสอบพื้นที่ ทุกโกดังคลังเก็บข้าวจริง

อ่านรายงานนี้แล้วจะเห็นพิรุธข้าว 2 โกดังนี้ที่เรียงตั้งไว้อย่างสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดปกติ ทั้ง ๆที่กองเก็บไว้นานถึง 10 ปี ซึ่งรายงาน สตง.ชัดเจนครับ ว่า ตรวจนับข้าวไม่ได้ในปี 2565 และ 2566

เนื่องจากข้าวเปียกเน่าและล้มกอง

คำถามนี้ ข้าวกองนี้มาได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องพิสูจน์กันให้ถึง DNA ครับ

ใครโกหก ใครปาหี่การเมือง ความจริงมีหนึ่งเดียวครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top