Saturday, 5 July 2025
NewsFeed

143 ชาติโหวตหนุน ‘ปาเลสไตน์’ ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นในเวทียูเอ็น ย่างก้าวสำคัญสู่การพิจารณาให้สมาชิกภาพเต็มรูปแบบ

(11 พ.ค.67) ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ลงมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นเพิ่มสิทธิพิเศษให้แก่ปาเลสไตน์ ในเวทียูเอ็นเมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) ซึ่งถือเป็นย่างก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การพิจารณาให้สมาชิกภาพเต็มรูปแบบ

กีลาด เออร์ดัน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น แสดงท่าทีไม่พอใจภายหลังการโหวตซึ่งมีผลในเชิงสัญลักษณ์ ขณะที่ ริยาด มันซูร์ เอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำยูเอ็น ชี้ว่านี่คือการลงมติครั้งประวัติศาสตร์

รัฐสมาชิกยูเอ็นจำนวน 143 ประเทศ รวมถึง 'ไทย' ได้ให้การรับรองมติดังกล่าว โดยมี 9 ประเทศคัดค้าน และอีก 25 ประเทศงดออกเสียง

มติดังกล่าวมีการระบุชัดเจนว่า ปาเลสไตน์จะไม่สามารถถูกเลือกเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น (UNSC) หรือลงคะแนนโหวตในที่ประชุม UNGA ได้ ทว่าจะมีสิทธิยื่นข้อเสนอและแก้ไขข้อเสนอได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องกระทำผ่านประเทศอื่น ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

มตินี้ยังให้สิทธิแก่ผู้แทนปาเลสไตน์ในการนั่งอยู่ท่ามกลางรัฐสมาชิกยูเอ็น โดยเรียงตามลำดับตัวอักษรด้วย

ริชาร์ด โกวาน นักวิเคราะห์จาก International Crisis Group ชี้ว่าความเคลื่อนไหวของยูเอ็นในครั้งนี้กำลังสร้างวงจรความล้มเหลวทางการทูต เพราะในขณะที่ UNGA เรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ UNSC รับรองสมาชิกภาพเต็มรูปแบบแก่ปาเลสไตน์ แต่ถูกสหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโต ตีตกทุกครั้งอีกเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี โกวาน ระบุว่า ผลโหวตในเชิงสัญลักษณ์นี้ มีความสำคัญ เพราะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสหรัฐฯ และอิสราเอลว่า ประชาคมโลกเล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องผลักดันการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์อย่างจริงจังเสียที

ปาเลสไตน์ได้ยื่นคำร้องซ้ำในเดือน เม.ย. เพื่อขอเข้าเป็นรัฐสมาชิกยูเอ็นเต็มรูปแบบ จากปัจจุบันที่มีฐานะเป็นเพียง ‘รัฐผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่สมาชิก’ (nonmember observer state)

กระบวนการดังกล่าวจะสำเร็จได้ต้องได้รับไฟเขียวจากคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น รวมถึงได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสมาชิก UNGA ถึง 2 ใน 3

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง และเป็นชาติพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของอิสราเอล ได้ใช้สิทธิ ‘วีโต’ ความพยายามของปาเลสไตน์เมื่อวันที่ 18 เม.ย.

‘นิด้าโพล’ ชี้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ไม่คุ้มค่าครองชีพ ที่ปรับสูงตาม ปชช. ส่วนใหญ่ ‘ไม่เชื่อมั่น’ รัฐบาลจะปรับขึ้นได้ทัน 1 ต.ค.นี้

(12 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ค่าแรงขึ้น…คุ้มมั๊ย กับ ค่าแกง?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-7 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.50 ระบุว่า เห็นด้วยกับการทยอยปรับขึ้นทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ รองลงมา ร้อยละ 25.34 ระบุว่า ควรปรับขึ้นเท่ากันทั่วประเทศทันที ไม่ต้องรอวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ร้อยละ 16.41 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศในปีนี้ ร้อยละ 13.05 ระบุว่า ควรปรับขึ้นทั่วประเทศโดยไม่มีการทยอยปรับ เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ และร้อยละ 0.70 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนว่าคณะกรรมการค่าจ้างจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.23 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 24.12 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 20.84 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 10.23 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 4.58 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนว่ารัฐบาลจะเริ่มทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 25.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 23.36 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 9.92 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

และเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะคุ้มกับค่าอาหารและค่าครองชีพในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.84 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น จะไม่คุ้มกับค่าอาหาร ค่าครองชีพที่อาจจะสูงขึ้น รองลงมา ร้อยละ 23.97 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น จะคุ้มกับค่าอาหาร ค่าครองชีพที่อาจจะสูงขึ้น ร้อยละ 9.46 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ค่าอาหาร ค่าครองชีพสูงขึ้น ร้อยละ 4.89 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับค่าอาหาร ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘นักท่องเที่ยว’ แห่เที่ยวเชียงใหม่ ‘ใส่ชุดไทย-กินอาหารพื้นเมือง-ซื้องานคราฟต์’  ยอดจองห้องพักเพิ่ม เพราะเป็น ‘ช่วงปิดเทอมของจีน-โกลเด้นวีคของญี่ปุ่น’

(12 พ.ค.67) อากาศที่สดใสไร้มลพิษหลังฤดูฝุ่นควันสิ้นสุดลง ส่งผลบรรยากาศตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่คึกคักมากขึ้น  โดยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ตลาดจริงใจมาร์เก็ต อ.เมืองเชียงใหม่ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่พากันมาเดินเที่ยวชมงานศิลปะและเลือกซื้อสินค้างานคราฟต์ ที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร รวมทั้งลิ้มลองอาหารพื้นเมืองเลื่องชื่อของเมืองเชียงใหม่ สภาพอากาศที่ปลอดโปร่งแจ่มใสยังทำให้นักท่องเที่ยวพากันเลือกมุมถ่ายภาพและไลฟ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อวดคนที่บ้านด้วย

นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ บอกว่า การท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนของจังหวัดเชียงใหม่เป็นอีกเทรนด์ท่องเที่ยวที่ได้รับความที่นิยม หลายคนต้องการมาสัมผัสความสดชื่นและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติในช่วงฤดูฝน วันนี้ยอดจองห้องพักเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักกว่าร้อยละ 80 ยังเป็นนักท่องเที่ยวจีนจากแผ่นดินใหญ่

คาดการว่ากรีนซีซั่นเชียงใหม่ปีนี้การท่องเที่ยวจะคึกคัก โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนที่เป็นทั้งช่วงปิดเทอมของจีนและโกลเด้นวีคของญี่ปุ่นที่มีวันหยุดยาวหลายวัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวบินตรงเข้าสู่เชียงใหม่ประมาณ 9 หมื่นคน ไม่นับรวมกับกลุ่มชาติตะวันตกที่บินต่อเนื่องมาจากกรุงเทพมหานคร

ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ บอกด้วยว่า พฤติกรรมการเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนปัจจุบันนิยมมาด้วยตัวเองกันมากถึงร้อยละ 80 เนื่องจากมีข้อมูลมากขึ้นรวมทั้งความสะดวกสบายในการเดินทาง จากเส้นทางบินตรงหลายจากหลายเมืองของจีน  ล่าสุดจังหวัดเชียงใหม่ยังเชิญติ๊กต๊อกเกอร์ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคนจากประเทศจีน มาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง และสัมผัสกับกิจกรรมยอดนิยม ทั้ง ปางช้าง ซิปไลน์ คุ๊กกิ้งคลาส นวดสปา และ แหล่งเที่ยวไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเผยแพร่เพื่อเชิญชวนและดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาอีกจำนวนมาก

'ผู้บริหารจีน' ชิ่งลาออก!! หลังถูกจับได้ว่าไม่สนใจคุณภาพชีวิตพนักงาน  ภายใต้กระแสคนจีนต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานหนักแบบอุทิศชีวิต

(12 พ.ค.67) เพจ 'อ้ายจง' ได้โพสต์ข้อความในกรณีที่ผู้บริหารฝ่าย PR ของบริษัทยักษ์ใหญ่จีนลาออกหลังแสดงทัศนคติ สนับสนุนการทำงานหนัก ไม่สนใจ Work-Life Balance ว่า...

ประเด็นนี้เป็นเรื่องราวของผู้บริหารหญิงฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Baidu ที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลจีนเมื่อเร็วๆ นี้ หลังมีการเปิดเผยคลิปหลายคลิปที่แสดงถึงทัศนคติของเธอที่สนับสนุนการทำงานหนัก โดยไม่คำนึงถึงเวลาส่วนตัวหรือคุณภาพชีวิตของพนักงาน

โดยมีบางท่อนในการวิพากษ์วิจารณ์พนักงานคนหนึ่งที่ปฏิเสธการเดินทางไปดีลเรื่องธุรกิจเรื่องงานในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยกล่าวว่า "เหตุใดฉันจึงควรคำนึงถึงครอบครัวของพนักงานด้วย ฉันไม่ใช่แม่สามีของเธอ" 

นั่นเลยกลายเป็นดราม่าในโซเชียลจีนเลย โดยสื่อในจีนมีการรายงานถึงหุ้นของ Baidu ตก ราว 2.17% ในช่วงเวลาที่มีดราม่า

หลังจากโดนกระแสดรามาอย่างหนัก ผู้บริหารคนนี้จึงได้ออกมาขอโทษต่อสาธารณชน แสดงความเสียใจต่อความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ เธอยังให้คำมั่นว่าจะพัฒนาทักษะการสื่อสารของเธอและแสดงความเอาใจใส่ต่อเพื่อนร่วมงานมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตออกมาสำทับด้วยว่า สิ่งที่คทำงานยุคนี้ต่อต้าน จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องของการทำงานหนักหรอก แต่ต่อต้าน การเอาเปรียบของบริษัทมากกว่า

โดยทางเพจได้โพสต์เสริมประเด็นนี้ ว่า...ทุกวันนี้คนจีนเรียกร้องเรื่องทำงานหนักจนไม่มีเวลาส่วนตัวกันมากขึ้น อย่างที่เคยได้ยินประเด็น 996 หรือ ทำงาน 9AM ถึง 9PM 6 วันต่อสัปดาห์ จนจุดให้เกิดกระแสต่อมาจากคนจีนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีแนวคิดที่เรียกว่า 躺平 หรือ 'นอนราบ' ซึ่งเป็นภาวะหมดความทะเยอะทะยานในชีวิต คือ ปล่อยจอยแล้ว เพราะเริ่มสงสัยว่า แนวคิดที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยก่อน เรื่องทำงานให้หนักแล้วจะสบายในภายภาคหน้า มันจริงหรือไม่ ด้วยสภาพสังคมที่แข่งขันสูงกดดันมากและภาวะเศรษฐกิจ จะเป็นแบบนั้นได้จริงๆ หรือ

'รมว.ปุ้ย' สั่ง 'ดีพร้อม' เร่งเยียวยาพี่น้องประชาชนในพื้นที่มาบตาพุด ระดมของใช้จำเป็น มอบให้คนในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียง

(12 พ.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้ นายภาสกรชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งเยียวยาและฟื้นฟูให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและพี่น้องประชาชนในพื้นที่จากเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บวัตถุดิบสารไพโรไลสีส แก๊สโซลีนของบริษัท มาบตาพุดแทงค์เทอร์มินัล จำกัด จ.ระยอง โดยเน้นการเคียงข้าง พัฒนา และช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวโดยตรง เพื่อให้พี่น้องประชาชนและชุมชนมีขวัญกำลังใจที่ดี พร้อมทั้งเร่งสำรวจความต้องการในพื้นที่เพื่อเป็นการสร้างศักยภาพเกิดการสร้างรายได้ และอาชีพอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ทาง รมว.อุตสาหกรรม มีความกังวลและเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่อยู่รอบๆ บริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเยียวยาและให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน 

“กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ขานรับข้อสั่งการดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่และบูรณาการความร่วมมือกับอุตสาหกรรมจังหวัด และผู้ประกอบการของดีพร้อม ซึ่งเบื้องต้นจะเร่งระดมของใช้ที่จำเป็น เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องเวชภัณฑ์ มอบให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวโดยตรง เพื่อให้พี่น้องประชาชนและชุมชนมีขวัญกำลังใจที่ดี พร้อมทั้งเร่งสำรวจความต้องการในพื้นที่เพื่อเป็นการสร้างศักยภาพ เกิดการสร้างรายได้ และอาชีพอย่างยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต” นายภาสกร กล่าว

นายภาสกร กล่าวต่อว่า จากผลการสำรวจ ดีพร้อม ได้เตรียมแผนระยะกลาง และระยะยาว ภายใต้โครงการ/กิจกรรมต่างๆ เพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการ ประชาชน ชุมชนโดยรอบและใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะการประกอบธุรกิจให้พี่น้องประชาชน และชุมชนโดยรอบทั้งในด้านทักษะพื้นฐานการผลิต การบริการ และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ 

ทั้งนี้ ดีพร้อม ได้มีการดำเนินการเช่นเดียวกันนี้ ในพื้นที่เทศบาลตำบลภาชี จ.อยุธยา ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 และในพื้นที่ชุมชนหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้โรงงานวิน โพรเสส เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 โดย ดีพร้อมเตรียมแผนสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูพร้อมให้ความช่วยเหลือชุมชนอย่างเต็มที่

‘YG’ ประกาศขาดทุน 7 พันล้านวอน หลังชวดต่อสัญญา ‘ลิซ่า BLACKPINK’

(12 พ.ค.67) YG Entertainment อดีตค่ายเพลงของ ลิซ่า BLACKPINK ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปีที่ 10 พบว่าการไม่มีอยู่ของวงดังส่งผลกระทบให้ค่ายเพลงขาดทุนทันที 7,000,000,000 วอน ซึ่งต่างจากปีก่อนช่วงเวลาเดียวกัน บริษัททำกำไร 36,500,000,000 วอนและตั้งแต่หมดสัญญาราคาหุ้นก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาแค่ 6 เดือน หุ้นของบริษัทตกลงมาเกือบ 30%

ทางบริษัทอ้างว่าการขาดทุนนี้มาจากการลงทุนใน 
ทรัพย์สินทางปัญญา และการปั้นวงใหม่ชื่อ BABYMONSTER โดยไม่ได้กล่าวถึงวง BLACKPINK แต่อย่างใด

และถึงแม้ทางค่ายจะพยายามต่อสัญญากับ ‘ลิซ่า’ ด้วยราคาแพงหูฉี่ 2,700 ล้านบาท แต่ลิซ่าก็ปฏิเสธ และไปเซ็นสัญญาแบบพาร์ตเนอร์กับ RCA รับเงินค่าสัญญาพร้อมอิสรภาพในการทำเพลงรวมถึงได้ครอบครองลิขสิทธิ์ผลงานตนเองในราคา 6,000 ล้านบาท

‘พีเค’ ขอโทษ ยอมรับผิด ลั่น!! อยากเดินหน้าจีบ ‘อดีตภรรยา’ ชี้!! คนที่ตนอยากเห็นหน้าในทุกเช้าคือ ‘โยเกิร์ต’ 

(12 พ.ค.67) กลายเป็นข่าวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโลกโซเชียล กับเรื่องราวของพิธีกรหนุ่ม ‘พีเค ปิยะวัฒน์’ ที่ก่อนหน้านี้ถูกนางแบบสาวชาวเวียดนาม ‘โจลี่ เหงียน’ ออกมาแฉว่าเป็นสตอล์กเกอร์

ก่อน พีเค จะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ขอเลิกยุ่งกับ ‘โจลี่ เหงียน’ 100 % ซึ่งที่ผ่านมาเคยคบกับ ‘โจลี่ เหงียน’ หลังจากหย่ากับ ‘โยเกิร์ต’ และฝ่ายหญิงก็เคยแนะนำตัวเองว่าเป็นแฟนกับเพื่อนๆเขา พร้อมยืนยันตัวเองไม่ใช่สตอล์กเกอร์อย่างที่ถูกอีกฝ่ายแฉ

ล่าสุดทาง ‘พีเค ปิยะวัฒน์’ ก็ได้ออกมาพูดถึงโอกาสที่จะกลับมารีเทิร์นกับ ‘โยเกิร์ต’ โดยพีเคได้เปิดใจว่า “เรายังคุยกันตลอด ยังดูแลหมาด้วยกัน ตนถามเสมอว่าจีบใหม่ได้ไหม”

ซึ่งทาง โยเกิร์ต ก็ตอบว่า “ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถามว่าตนมีหวังไหม มันก็หวังจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน โยคือคนที่ตนอยากเห็นหน้าในทุกเช้า ตนยังหวังดีและรักเขาเหมือนเดิม ที่ผ่านมาตนรู้ว่าตนพลาด ตนขอโทษและยอมรับความผิดตลอดเวลา ตนยอมรับทุกๆอย่าง”

‘สส.ก้าวไกล’ ฟ้องหมิ่นประมาท ‘อ.ทัน’  เหตุตั้งคำถาม ‘หนีเกณฑ์ทหารมาหรือไม่?’

(12 พ.ค.67) เพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่ สส.แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.จากพรรคก้าวไกล ได้ยื่นฟ้อง อ.ทัน แนวร่วมเพจฯ ด้วยคดีหมิ่นประมาท ม.326 และ ม.328 รวมทั้งหมด 7 กรรม โดยได้ระบุว่า ...

#ทุกคนคะ สส.แบงค์ ฟ้อง อ.ทัน แนวร่วมเพจฯ ด้วยคดีหมิ่นประมาท ม.326 และ ม.328 รวมทั้งหมด 7 กรรม 

ตัวอย่างถ้อยคำที่ถูกฟ้อง อ.ทัน ถามว่า " คุณศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ครับ คุณก็หนีทหารนี่ครับ ใช่ไหมครับ บอกหน่อยครับ "

โดย สส. แบงค์ ขอ ศาลเรียกร้อง 4 ข้อ ดังนี้

1. ขอให้ อ.ทัน ลบข้อความบน X ออก
2. ขอให้ อ.ทัน โพสต์ขอโทษ 30 วัน
3. ขอให้ อ.ทัน ชดใช้ค่าเสียหาย 5 ล้านบาท รวมดอกเบี้ย
4. ขอให้ อ.ทัน จ่ายค่าธรรมเนียมและค่าทนาย

คิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ

‘ดร.เสรี’ ชี้ ‘ข้าว 10 ปี’ กินไม่ได้ เพราะมีสารพิษ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ฟาด!! ‘ภูมิธรรม’ แสดงละครกินโชว์ หวังผลเอา ‘คนหนีคุก’ กลับประเทศ

(12 พ.ค.67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีความพยายามในการจะนำเอาข้าวเก่า 10 ปี ออกมาขาย โดยได้ระบุว่า … 

อาจารย์เคมีนำข้าว 10 ปีไปทำการพิสูจน์ตามหลักวิชาการ ได้ผลออกมาบอกว่าข้าว 10 ปีกินไม่ได้ เพราะมีสารพิษ เป็นอันตรายต่อร่างกาย

หมอบอกว่ากินไม่ได้เพราะมี Aflatoxin ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง คนทำธุรกิจข้าวบอกว่าเกิน 2 ปี ก่อมีเชื้อราแล้ว เหม็นหืน กินไม่ดี 
คนส่วนใหญ่ซาวข้าว 1-2 น้ำเท่านั้นเพื่อทำความสะอาดข้าวและรักษาคุณค่าทางอาหารของข้าว ไม่มีใครซาวข้าว 15 น้ำ

รัฐมนตรีพาณิชย์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีพรรคร่วม บอกว่ากินได้ และมีการกินโชว์ให้ดู สื่อมวลชนที่เป็นนายแบก นางแบกทั้งหลายก็ร่วมเป็นตัวแสดงในการแสดงละครนี้ด้วย กินโชว์แค่หนเดียวอาจจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าชาวบ้านซื้อไปกินต่อเนื่องเป็นเดือนเป็นปี ผลลัพธ์อาจจะต่างกัน

กรมวิทยาศาสตร์บริการจะช่วยพิสูจน์ด้วยไหมคะ อย. จะมีบทบาทอะไรได้บ้างคะ นี่เป็นเรื่องอาหารนะ สคบ. จะคุ้มครองผู้บริโภคยังไงได้บ้างคะ

ถ้าพ่อค้าประมูลมาใส่ถุงขาย ประชาชนไม่รู้ ซื้อมากินต่อเนื่อง ถ้ามีปัญหาทางด้านสุขภาพกันมากๆ จะทำยังไง แล้วที่จะส่งไปขายAfrica ภาพลักษณ์ของข้าวไทยในตลาดโลกจะเป็นยังไง ลูกค้ายังจะเชื่อถือข้าวไทยอีกไหม

จะซักข้าว 10 ปี เพื่อซักผิดในอดีตคงไม่ได้หรอกนะ

นี่คือสารตั้งต้นของการเอาคนหนีคุกกลับประเทศหรือเปล่า อย่าทำอะไรล้ำเส้นมากเกินไปเลยนะ แค่นี้คนไทยก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว

แทนที่จะ ‘ทำงาน’ ทำไมจึง ‘ทำแต่เรื่อง’ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่กันหน่อยนะคะ

‘ยายขาหัก’ อุ้ม ‘หลาน’ เดินส่งถึงมือหมอ ก่อนล้มพับหน้าห้องฉุกเฉิน พลเมืองดีเร่งช่วย ก่อนทราบบาดเจ็บหนัก เพราะมี ‘รถย้อนศร’ มาชนแล้วหนี

(12 พ.ค.67) ผู้ใช้ติ๊กต็อก ที่ชื่อว่า ‘fffdduxxxtg’ ได้โพสต์คลิปเรื่องราวของยายหลานที่ถูกชนแล้วหนี ระบุว่า “ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยคนแก่ ชนแล้วหนี” โดยเรื่องราวนี้ถือว่าเป็นนาทีบีบหัวใจ เพราะเด็กไม่ได้สติแล้ว และคุณยายก็ร้องไห้จนสุดเสียง พร้อมทั้งอุ้มหลานไว้กับอก พอส่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินคุณยายก็ล้มพับไป เพราะด้วยความรักที่มีต่อหลาน เลยไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาหัก

ต่อมา คุณกุลธนันท์ หงษ์ทอง เจ้าของคลิปซึ่งเป็นพลเมืองดี พายายหลานส่งโรงพยาบาล ได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปทานข้าวกับลูกสาว กำลังขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางเห็นคนมุงอยู่เยอะมากที่ บริเวณถนนหน้าวัดขมงหัก ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 

ตนก็มองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นเป็นอุบัติเหตุ จึงได้ถอยรถกลับมา แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งพลเมืองดีตรงนั้น บอกว่ามีรถชนแล้วหนี ผู้บาดเจ็บคือยายหลาน ในตอนนั้นเห็นว่าคุณยายร้องไห้หนักมาก เหมือนจะไม่ไหวแล้ว และเด็กก็คือตัวอ่อนไม่ลืมตาแล้ว ตนกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร ก็เลยพาขึ้นรถก่อน เกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน

หลังจากนั้นจึงได้ให้คนที่อยู่ตรงนั้นช่วยพยุงยาย และเด็กขึ้นรถ แล้วรีบพาไปส่งที่โรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาล น้องยังไม่ได้สติ และคุณยายก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองขาหัก เพราะความรักที่มีต่อหลาน จึงพยายามอุ้มน้องไปให้ถึงหมอก่อน ส่วนตัวเองนั้นไม่รู้เลยว่าขาหัก

พอส่งน้องให้คุณหมอแล้ว เมื่อคุณยายรู้ว่าตัวเองขาหัก ก็ล้มพับไปเลย เหมือนช่วยหลานให้ถึงที่สุดโดยไม่สนใจตัวเอง ซึ่งตอนแรกตนเองเห็นคุณยายก็นึกว่ามีแผลถลอกเล็กน้อยแค่นั้น พอไปเห็นอาการคุณยายที่โรงพยาบาล คือขาคุณยาย ‘ขยับไม่ได้แล้ว’

จากนั้นตนก็อยู่โรงพยาบาลช่วยประสานงาน ตามหาญาติของคุณยาย และตนก็ขับรถไปตามหาญาติให้มาที่โรงพยาบาล เพราะต้องเซ็นเอกสารอะไรหลายอย่าง และได้โพสต์ในเฟซบุ๊กให้คนกำแพงเพชรช่วยแชร์ตามหาญาติอีกทางหนึ่ง

คุณกุลธนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเรื่องเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนไม่ทราบเลยเพราะตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการพูดคุย ทราบแค่ว่า มีรถย้อนศรมาชนคุณยายกับน้องแล้วหนีไป แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนก็ไม่ทราบแน่ชัด

ล่าสุดทางคุณแม่ของน้อง ได้โทรมาขอบคุณ จึงได้สอบถามอาการน้องไป ตอนนี้น้องก็ได้รับความกระทบกระเทือนที่หัวกะโหลกร้าว และคุณยายก็รักษาอาการขาหัก ทราบข่าวแค่นี้ก็ดีใจแล้วที่ทุกคนปลอดภัย ส่วนคู่กรณีตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่ ยังหาตัวไม่เจอ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ตกใจมาก และลูกสาวที่ไปด้วยก็ตกใจ แต่รู้อย่างเดียวว่าต้องช่วยก่อน ไม่ว่าจะเป็นจะตายก็ต้องช่วยก่อน ตนยอมถอยรถกลับมา แล้วรีบให้ขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาลทันที ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ต้องช่วยเขาให้ถึงที่สุด ให้เขาปลอดภัยก่อน

และสุดท้ายนี้ ตนก็อยากฝากให้ทุกคนขับรถด้วยการระมัดระวัง อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ วันนั้นตนไปกับลูกสาว ก็คุยกับลูกสาวว่าถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ต้องรีบช่วย ต้องสงสารเขา เพราะว่าถ้าเกิดวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนอื่นก็จะได้ช่วยเราเหมือนกัน คุณกุลธนันท์ พลเมืองดีกล่าวปิดท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top