Friday, 4 July 2025
NewsFeed

ราคาน้ำมัน WTI ดีดแตะ 78 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสต็อกน้ำมัน ‘ลดลง’ มากกว่าคาดการณ์

(10 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมัน WTI พลิกดีดตัวทะลุระดับ 78 ดอลลาร์ใน (8 พ.ค. 67) หลังสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

ณ เวลา 22.41 น. ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนมิ.ย. บวก 0.47 ดอลลาร์ หรือ 0.6% สู่ระดับ 78.85 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันปรับตัวลงในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ซบเซาในตลาด

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 509,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 1.430 ล้านบาร์เรล

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเจ้าหน้าที่อิสราเอลรายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ยังคงไม่มีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสที่กรุงไคโรของอียิปต์ 

'คุณหมอ' เฉลย!! 'อะฟลาท็อกซิน' พิษร้ายจากเชื้อรา ต้ม 260 องศา ถึงจะตาย ฟาก WHO เตือน!! เป็นสารก่อมะเร็งตับ กินเพียงน้อยนิด ก็เสี่ยงมะเร็ง

(10 พ.ค.67) นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองระบบประสาท ผู้นำเสนอเกร็ดความรู้ด้านสุขภาพผ่านยูทูบช่อง 'Dr.V Channel' ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับ ‘ข้าวค้าง 10 ปี’ โดยระบุว่า…

ข้าว 10 ปี กินได้รึเปล่า? คําตอบสั้น ๆ ตอนนี้ สําหรับหมอที่เป็นห่วงทุกท่าน คือ ‘กินไม่ได้’ เหตุผลเพราะว่าข้าวที่เก็บมานาน ๆ มันจะมีความชื้นอยู่ และเมื่อมีความชื้น ‘เชื้อรา’ จะขึ้น ฉะนั้นถ้าเราเอาข้าวที่มีตัวเชื้อรามาล้าง มาต้ม หรือมาประกอบอาหาร โดยส่วนใหญ่บอกว่าเชื้อราตาย ซึ่งอันนี้ก็เรื่องจริง แต่ปัญหาก็คือเชื้อราจะ ‘ทิ้งพิษ’ เอาไว้…

ดังนั้น พิษของเชื้อราตัวนี้ เขาชื่อว่า ‘อะฟลาท็อกซิน’ (Aflatoxin) โดยเป็นพิษของเชื้อรา ซึ่งต้มไม่ตาย ต้มไม่หาย… และการจะทําลายพิษอะฟลาท็อกซินเราต้องใช้อุณหภูมิถึง 260 องศา ซึ่งการหุงข้าวหรือต้มข้าวธรรมดา ไม่มีทางที่อุณหภูมิจะถึง 260 องศา เพราะฉะนั้นบอกได้เลยว่าสารพิษนี้ยังอยู่

ทั้งนี้ สารพิษนี้มีเป็น ‘สารก่อมะเร็ง’ อย่างชัดเจน โดยองค์การอนามัยโลกได้มีการขึ้นทะเบียนอะฟลาท็อกซินว่าเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ เพราะฉะนั้นคนที่กินเข้าไปแม้แต่เพียงปริมาณเล็กน้อย ท่านจะมีความเสี่ยงมาก ๆ ที่จะเป็นมะเร็งตับ…

ฉะนั้นแล้ว อย่ากินข้าวค้าง 10 ปีเด็ดขาด ด้วยความปรารถนาดี 

‘รัฐบาลเกาหลีใต้’ ประกาศมาตรการเล็งพึ่ง ‘หมอต่างชาติ’ หลังแพทย์ฝึกหัดลาออก-หยุดงานประท้วง ต้านแผนปฏิรูป

(10 พ.ค. 67) การลาออกและผละงานประท้วงของเหล่าแพทย์ฝึกหัดจำนวนมากในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากไม่พอใจแผนการปฏิรูปของรัฐบาล โดยเฉพาะการเพิ่มโควต้ารับนักศึกษาแพทย์ในแต่ละปีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานานหลายเดือนและยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนนั้น

ล่าสุด นายฮัน ด็อก-ซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ ประกาศในวันศุกร์ที่ 10 พ.ค.ว่า เกาหลีใต้จะเปิดรับแพทย์ต่างชาติที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลต่าง ๆ ของเกาหลีใต้ได้ ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาปัญหาติดขัดในการให้บริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาล

นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อก-ซู กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า “มีระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์ถี่ถ้วนเพื่อป้องกันไม่ให้แพทย์ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะ (ที่มีใบอนุญาตจากต่างประเทศ) มารักษาคนไข้ของเรา”

หลังรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศมาตรการพึ่งหมอต่างชาติ นายลิม ฮยอน-แท็ก หัวหน้าสมาคมแพทย์เกาหลี (KMA) ก็ได้แชร์รูปประกอบรายงานข่าวเรื่องแพทย์จบใหม่ชาวโซมาเลีย พร้อมข้อความว่า “เร็ว ๆ นี้”

ก่อนที่ภาพดังกล่าวจะถูกลบทิ้งไปหลังจากถูกกระแสตีกลับในโลกออนไลน์ที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์การโพสต์ดังกล่าวอย่างหนัก ซึ่งนายคิม แจ-ฮยอน เลขาธิการขององค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งที่สนับสนุนการรักษาพยาบาลฟรี กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเป็นการเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน

“โพสต์นั้นแสวงหาประโยชน์จากโรคกลัวอิสลามและทัศนคติแบบเหมารวมต่อประเทศกำลังพัฒนา” คิม แจ-ฮยอนกล่าว

ทั้งนี้ แพทย์ฝึกหัดในเกาหลีใต้จำนวนเกือบหมื่นคนได้ลาออกหรือหยุดงานประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อประท้วงแผนปฏิรูปของรัฐบาลที่มุ่งเพิ่มโควต้ารับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นอีกปีละ 2,000 คน โดยกลุ่มผู้ประท้วงโต้แย้งว่าแผนปฏิรูปดังกล่าวจะกัดกร่อนคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่คนไข้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พยายามหาทางไกล่เกลี่ยมาแล้วแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากกลุ่มแพทย์ที่ประท้วงต้องการให้ยกเลิกแผนปฏิรูปดังกล่าวไปทั้งหมด โดยขณะนี้การต่อสู้ในเรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นศาล คาดว่าศาลสูงโซลจะมีคำตัดสินออกมาในสัปดาห์หน้า

'อ.วีระศักดิ์' เผย!! ผลลัพธ์จากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนมานานกว่า 50 ปี พามนุษยชาติก้าวสู่สมรภูมิ 'เกินธรรมชาติ' ที่ยากจะถอยกลับ

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในประเด็น 'โลกร้อนสู่โลกเดือด' 

เมื่อถามว่าภาวะโลกเดือดคืออะไร? อ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า "เป็นปรากฏการณ์เกินธรรมชาติ ปกติเราจะสัมผัสอากาศร้อนทุก ๆ ปี แต่ปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ธรรมชาติแล้ว เกินธรรมชาติ เนื่องจากเราได้ก้าวย่างเข้าสู่สมรภูมิที่ถอยกลับไม่ทันแล้ว แต่แย่ลงไปเรื่อย ๆ เนื่องจากมนุษย์สร้างความเสียหายจากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนมายาวนานกว่า 50 ปี อุณหภูมิโลกเริ่มค่อย ๆ อุ่นขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และก้าวกระโดดในยุคที่เราเริ่มมีโทรศัพท์มือถือใช้และในยุคอุตสาหกรรมก็ก่อให้เกิดโลกร้อนอย่างรวดเร็ว"

อ.วีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุเกิดจากภาคอุตสาหกรรม, การทำการเกษตร, การทำปศุสัตว์และการเผาป่า โดยแบ่งเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้แก่...

1.มนุษย์ได้ทำลายที่ดินจำนวนมากเพื่อทำปศุสัตว์ ซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก หรือจะเรียกว่า 'ปากพาพัง' ก็ได้  

2.ความสะดวกสบายในการขนส่ง 

3.เสื้อผ้า สิ่งทอ ทำให้เกิดขยะจากวัสดุ เสื้อผ้ามากมาย หรือการใช้พลังงานในการผลิตเสื้อผ้าที่เรียก Fast Fashion ซึ่งมีการผลิตออกมาในแต่ละฤดูกาลจำนวนมาก จึงทำให้ต้องโละเสื้อผ้าเก่ากลายเป็นขยะขนาดใหญ่ถูกนำไปทิ้งในทะเลทราย 

"ถ้ามองลงมาจากดาวเทียมในอวกาศก็จะเห็นกองเสื้อผ้าขนาดมหึมาที่มองเห็นได้ ในอเมริกาใต้ แอฟริกา ประมาณการได้ว่า Fast Fashion ได้ใช้พลังงานของโลกไปมากกว่าการขนส่งทางเรือและทางอากาศรวมกัน" อ.วีระศักดิ์ กล่าวเสริม

เมื่อถามว่ามนุษย์จะต้องเจอผลกระทบใดบ้างจากโลกเดือด? อ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้เราต้องสู้กับทั้งความร้อนและความชื้น เพราะอุณหภูมิในอากาศสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ส่วนผิวหนังภายในร่างกายเราอาจจะรู้สึกเกือบ 50 องศาเซลเซียส เพราะมันมีความชื้น ทำให้เหงื่อไม่ระเหย จึงทำให้รู้สึกอึดอัด ส่งผลให้เกิดฮีทสโตรก (Heat Stroke) ได้เวลาอยู่กลางแดดนาน ๆ...

"ปัจจุบันในต่างประเทศมีการประกาศคุ้มครองลูกจ้างพนักงานทั่วไป รวมถึงไรเดอร์เพื่อความปลอดภัยในเรื่องนี้ และให้ความสำคัญเกี่ยวกับคลื่นความร้อนที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก เช่น การเปิดเทอมในประเทศอาเซียนปีนี้ ให้นักเรียนสามารถเรียนหนังสือจากที่บ้านแทนเรียนที่โรงเรียน ส่วนฟิลิปปินส์มีการนำเอารถอาบน้ำมาจอดให้บริการประชาชนสามารถมาอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายได้...

"ส่วนที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาหน่วยงานรัฐมีการซื้อสีทาบ้านสีขาวสมทบให้กับคนผิวดำรับสีไปเพื่อไปทาบ้าน ซึ่งสามารถลดอุณหภูมิไปได้ 2 องศาเซลเซียส เช่นเดียวกับที่อินเดียก็เปลี่ยนหลังคาให้สะท้อนความร้อนออกมาได้อย่างน้อย 1-2 องศาเซลเซียส แต่ยังไม่เคยเห็นในประเทศไทย"

เมื่อถามว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? อ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชนทุกคนควรทวงสิทธิในเรื่องนี้จากฝ่ายการเมือง ว่านโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประชาชนต้องทำอย่างไรในฐานะเจ้าของสิทธิ ซึ่งประชาชนต้องเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และผลที่จะตามมาจะเป็นอย่างไร รวมไปถึงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ใหญ่ การปรับตัวเรื่องการบริโภคอาหารเนื่องจากอาหารจะมีราคาแพงมากขึ้น ต้องปรับตัวใช้จ่ายอย่างพอเพียง 

"เราต้องถนอมทรัพยากรและถนอมพลังงานมากขึ้น เช่น ในอินเดียรัฐบาลกลางร่วมลงทุนร่วมกันกับชุมชน โดยสร้างโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) คร่อมทางส่งน้ำ และลอยแผงโซลาร์เซลล์ในเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ส่วนไทยตอนนี้ก็มีการใช้โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ ที่เขื่อนสิริธรและเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งเป็นสถานีไฟฟ้าลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนไปแล้ว อีกประเด็นสำคัญหน่วยงานรัฐต้องมีแผนแก้ปัญหาในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับเมือง ส่วนการแยกขยะของครัวเรือน จริง ๆ เป็นวิธีฝึกเรา หัวใจสำคัญที่สุดคือ การถาม มีกี่บ้านที่ถามคนเก็บขยะว่าอยากให้เราแยกขยะอย่างไร เพราะคนเก็บขยะเค้ามีรายได้เพิ่มจากการนำขยะไปแยกเพื่อขาย แต่ถ้าไม่สื่อสารกันก็อาจจะนำขยะมารวมกันอยู่ดี ทำให้เสียเวลามากขึ้น" อ.วีระศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘รมว.ปุ้ย’ ลงพื้นที่ตรวจสอบ เหตุไฟไหม้ถังสารเคมี มาบตาพุด พร้อมสั่งเยียวยา - ส่งเสียลูกผู้เสียชีวิตจนจบปริญญาตรี

(10 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผวจ.ระยอง นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนใหญ่ (SCC) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปบริเวณจุดเกิดเหตุ บริษัทมาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ถนนไอ-แปด ทางเรือมาบตาพุด ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อตรวจสอบและติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์

เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณโรงงาน แค่ลงจากรถก็ถึงกับผงะกลิ่นฉุนของสารที่ถูกเผาไหม้ สูดดมเข้ารู้สึกแสบจมูกมาก สำหรับจุดเกิดเหตุขณะไฟดับหมดแล้ว แต่ยังคงมีการเฝ้าระวังอยู่

ด้านนางพิมพ์ภัทรา รมว.อุตสาหกรรม ได้สอบถามถึงผู้เสียชีวิต ซึ่งทราบว่า บ้านเกิดอยู่จ.เชียงราย ภรรยาทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้า มีบุตรด้วยกัน 1 คน จึงย้ำให้เยียวยาอย่างเต็มที่กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งทางผู้บริหารก็ยืนยันจะช่วยเหลือครอบครัว พร้อมส่งลูกเรียนจนจบระดับปริญญาตรี หลังนั้นก็เดินทางต่อไป เยี่ยมประชาชนข้างโรงงาน ที่ศาลาตากวน-อ่าวประดู่ ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง

เมื่อเดินทางไปถึง พบชาวบ้านนับร้อยคน ได้มารอต้อนรับ และรมว.ได้เข้าไปสอบถามพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง พร้อมขอโทษชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบข้างโรงงานเกิดเหตุ ก่อนจะเดินทางกลับไป

ด้านญาติผู้เสียชีวิต เตรียมรับศพผู้เสียชีวิต จากโรงพยาบาลระยอง ไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดจ.เชียงราย

National Geographic ชี้!! ความเป็นไปได้ 'เครื่องวาร์ป' การไปไหนก็ได้ที่ไม่มีแค่ในนิยาย แต่อาจสร้างมันได้จริง

(9 พ.ค.67) National Geographic เผยบทความในหัวข้อ 'เครื่องวาร์ป ไปไหนก็ได้ จะไม่มีแค่ในนิยาย เราอาจสร้างมันได้จริง!' ระบุว่า…

ด้วยการสาธิตแบบจำลองที่ไม่เหมือนใคร เราได้แสดงให้เห็นว่าการขับเคลื่อนด้วย ‘เครื่องวาร์ป’ อาจไม่จำเป็นต้องถูกผลักไสให้เป็นเพียงแค่ในนิยายวิทยาศาสตร์ งานวิจัยใหม่ได้ให้เบาะแสบางประการว่า มนุษย์อาจสร้างเทคโนโลยี วาร์ป นี้ให้เป็นจริงได้ในอนาคต

“ทำไมเรายังไม่วาร์ป” กัปตันเคิร์กพูดอย่างร้อนใจกับ คุณซูลู ต้นหนของยานอวกาศเอนเตอร์ไพรซ์ เพื่อเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง ในภาพยนตร์เรื่อง สตาร์เทร็ก (Star Trek) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์หลายคนพยายามสร้างเทคโนโลยี วาร์ป นี้ให้เป็นจริงได้

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในปี 1994 นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีชื่อ มิเกล อัลคิวบิแยร์ (Miguel Alcubierre) ได้เสนอความคิดแรกของเขาไว้ในวารสาร ‘Classical and Quantum Gravity’ โดยอธิบายว่า ‘เครื่องวาร์ป’ สามารถทำงานได้อย่างไรในชีวิตจริง ซึ่งเรียกกันว่า ‘การขับเคลื่อนของอัลคิวบิแยร์’

แนวคิดของอัลคิวบิแยร์ คือการทำให้พื้นที่ราบของกาลอวกาศ (Space-Time) เกิดความบิดเบี้ยวอย่างมากจนกลายเป็นเหมือนฟองอวกาศ ทำให้ยานอวกาศดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสง แต่มีความเร่งเป็นศูนย์ หรือพูดง่าย ๆ ว่ายานดังกล่าวจะไม่ประสบกับเหตุการณ์ที่ถูกกระชากด้วยความเร่งสูง

อย่างไรก็ตาม เขาเสนอเพิ่มเติมว่าสิ่งที่จะให้พลังงานสูงกับยานอวกาศนั้นยังคงเป็นสิ่งใหม่สำหรับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน นั่นคือ ‘พลังงานเชิงลบ’ (exotic negative energy) มันเป็นสิ่งที่ฟิสิกส์ในปัจจุบันยังไม่เข้าใจ แต่ตามทฤษฎีแล้วมันมีพลังงานที่มีความหนาแน่นสูงอย่างเหลือเชื่อ นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ๆ จึงหันไปหาแนวทางในสิ่งที่เรารู้ในตอนนี้มากขึ้น

“การศึกษาครั้งนี้จะเปลี่ยนการพูดคุยเกี่ยวกับการขับเครื่องวาร์ป” จาเร็ด ฟุคส์ (Jared Fuchs) ผู้เขียนนำแห่งมหาวิทยาลัยอลาบามา ฮันต์สวิลล์ กล่าว “ด้วยการสาธิตแบบจำลองที่ไม่เหมือนใคร เราได้แสดงให้เห็นว่าการขับเครื่องวาร์ป อาจไม่ถูกผลักไสให้อยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ตลอดไป”

อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ในปี 2021 ทีมวิจัยอีกทีมหนึ่งที่มาจากมหาวิทยาลัยลาบามา ฮันต์สวิลล์ เช่นเดียวกันได้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ด้วยการแก้สมการสนามของไอน์สไตน์เพื่อกำหนดฟลักซ์ของพลังงานและโมเมนตัม ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเข้าใจได้ยากสำหรับคนทั่วไป

สมการเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับนักฟิสิกส์มาอย่างยาวนาน เนื่องจากความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ โดยพวกเขาพยายามทำให้ได้คำตอบที่เรียบง่ายที่สุดออกมา ซึ่งท้ายที่สุด คริสโตเฟอร์ เฮลเมอริช (Christopher Helmerich) และทีมงานสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ชื่อ ‘Warp Factory’ ออกมาได้

“Warp Factory เป็นชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อวิเคราะห์กาลอวกาศที่เกี่ยวข้องกับเครื่องวาร์ป” เฮลเมอริช กล่าว

โปรแกรมดังกล่าวได้มอบวิธีใหม่ในการทำความเข้าใจการขับเคลื่อนของเครื่องวาร์ปที่มากขึ้น ซึ่งระบุว่าสามารถแบ่งการวาร์ปออกมาเป็นหลายคลาส โดยขึ้นอยู่กับธรรมชาติของความเครียดและความเร็วของยานอวกาศ

ทีมของ ฟุคส์ ได้นำมาต่อยอดด้วยการใช้ “การผสมผสานที่ซับซ้อนระหว่างเทคนิคระหว่างแรงโน้มถ่วงแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ เพื่อสร้างฟองวาร์ปที่สามารถขนส่งวัตถุด้วยความเร็วสูงภายในขอบเขตของฟิสิกส์ที่เรารู้จัก” ตามคำแถลง

อย่างไรก็ดี เครื่องวาร์ป ของฟุคส์ อาจจะไม่เหมือนยานเอนเตอร์ไพร์ของสตาร์เทร็ก ที่เดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง เนื่องจากในโลกของความเป็นจริง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จักกฎทางฟิสิกส์ใด ๆ ที่สามารถทำให้วัตถุเดินทางเร็วเหนือแสง

แต่เครื่องวาร์ปของฟุคส์นั้นระบุว่า เราสามารถเดินทางด้วย ‘ความเร็วสูงแต่ต่ำกว่าระดับแสง’ ด้วยการใช้อุปกรณ์รวมสสารให้มีความเสถียร ไว้ในทิศทางที่สอดคล้องกับการกระจายเวกเตอร์ (เวกเตอร์คือทิศทาง) ที่ยานจะเคลื่อนไป การแก้ไขปัญหานี้ทำให้ยานสามารถเดินทางคล้ายการวาร์ป

สิ่งที่เราต้องทราบก็คือ นี่เป็นเพียงการจำลองทางคณิตศาสตร์ภายในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น ทีมวิจัยระบุว่าต้องมีการยืนยันคณิตศาสตร์ในมุมมองอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน แต่พวกเขายอมรับว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลในการสร้างเครื่องวาร์ปจริง ๆ แต่เรากำลังเข้าใกล้สิ่งนั้นขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว

“ในขณะที่เรายังไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางระหว่างดวงดาว แต่การวิจัยนี้ถือเป็นการประกาศยุคใหม่ของความเป็นไปได้” จิแอนนี มาร์ตีร์ (Gianni Martire) ซีอีโอของ Applied Physics กล่าวในแถลงการณ์เดียวกัน “เรายังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มนุษยชาติเริ่มเข้าสู่ยุค วาร์ป แล้ว”

พวกเขากล่าวว่านิยายวิทยาศาสตร์จะไม่เป็นภาพลาง ๆ อีกต่อไปแต่จะได้รับการตรวจสอบทางคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! เงื่อนไขความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ควรอยู่ใต้กรอบนโยบายรัฐและโฟกัสเฉพาะนโยบายการเงิน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง' เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

คงไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับหลักการที่ว่า ธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน ภายใต้กรอบอัตราเงินเฟ้อที่ตกลงร่วมกับรัฐบาล

สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็สมควรมีอิสระในการทำงาน แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไข 2 ประการ คือ (1) focus เฉพาะนโยบายการเงิน และ (2) อยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายทางนโยบายของรัฐบาล

ประการแรก ธนาคารกลางที่สำคัญทั่วโลกทำหน้าที่หลักของธนาคารกลาง ซึ่งได้แก่การดำเนินนโยบายการเงินเท่านั้น นโยบายการเงินคือการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำทุกอย่าง ตั้งแต่การกำกับตรวจสอบสถาบันการเงิน จนถึงการแก้ปัญหาโลกร้อน เมื่อทำหลายอย่างก็ย่อมเกิด Conflict of Interest การเข้าไปกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ก็อาจทำให้เกิดความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายธนาคารจนนำไปสู่ความเกรงอกเกรงใจ จนไม่กล้าที่จะลดดอกเบี้ย เพราะการลดดอกเบี้ยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีกำไรลดลง

การทำหน้าที่แบบจับฉ่ายของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังนำมาซึ่งการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรและการใช้เงินภาษีอากร ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารกลาง แต่เป็นหน้าที่ทางการคลังของรัฐบาล เมื่อธนาคารกลางเข้ามาทำหน้าที่รัฐบาล แล้วจะไม่ให้รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองเข้ามายุ่งกับธนาคารกลางได้อย่างไร?

ดังนั้นหากต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระ มีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายอย่างเร่งด่วนเพื่อจำกัดบทบาทธนาคารแห่งประเทศไทยให้อยู่เฉพาะการดำเนินนโยบายการเงินเท่านั้น ไม่ใช่ทำแบบไม้จิ้มฟันยันเรือรบเช่นในปัจจุบัน

ประการที่สอง ความเป็นอิสระย่อมต้องมาควบคู่กับความรับผิดชอบต่อเป้าหมายและสังคม (Accountability) 'การพลาดเป้า' ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้เกิดขึ้นวันนี้เป็นครั้งแรก เราคงจำวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 กันได้ ความผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้รัฐบาลต้องเข้าให้ความช่วยเหลือผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จนกลายเป็นหนี้สาธารณะจำนวน 1.4 ล้านล้านบาท และยังใช้หนี้ไม่หมดจนทุกวันนี้

มาถึงวันนี้ นโยบายการเงินพลาดเป้าเงินเฟ้อมา 2 ปีติดต่อกัน และกำลังจะพลาดเป้าอีกครั้งในปีนี้ ปี 2565 เงินเฟ้อไทยขึ้นไปสูงถึงกว่า 6% สูงที่สุดในอาเซียน พอปี 2566 เงินเฟ้อติดลบจนเข้าใกล้ภาวะเงินฝืดประเทศเดียวในอาเซียน ความผันผวนทางการเงินยังความเสียหายแก่ประเทศเป็นอย่างมาก ในภาวะที่นโยบายการเงินพลาดเป้าอย่างน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้ คนไทยยังจะยอมให้แบงก์ชาติเป็นรัฐอิสระอยู่อีก หรือจะรอให้เกิดต้มยำกุ้ง ภาค 2 ก่อนจึงค่อยแก้ไข?

‘กมธ.อุตฯ’ ชี้!! แผนรับมือพลังงานมาบตาพุดไว ช่วยสร้างความมั่นใจนักลงทุนและประชาชน

(10 พ.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีการเกิดไฟไหม้โรงงานในพื้นที่ต่าง ๆ ว่าทางคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมรู้สึกช่วงนี้เกิดไฟไหม้ขึ้นบ่อย ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่สิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือประสิทธิภาพหรือความพร้อมของหน่วยงานดับเพลิง ซึ่งเท่าที่ทราบต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในการดับเพลิง เพราะทุกครั้งหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลังจากเกิดเหตุจะทราบว่าหน่วยงานดับเพลิงยังมีความไม่พร้อม ทำให้ในขณะเกิดเหตุการควบคุมเพลิงในหลาย ๆ กรณีที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรค ทั้งเรื่องอุปกรณ์ น้ำยาเคมี บุคลากร งบประมาณ แผนเผชิญเหตุที่ยังไม่มีความพร้อม 100% ส่งผลให้ระยะเวลาในการควบคุมเพลิงมีระยะเวลายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะทำให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อม แต่ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดับเพลิงทุกท่าน โดยความไม่พร้อมต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องระดับบริหารควรจะต้องรับมาปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เนื่องจากในอนาคตหากมีเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานอีกจะได้ใช้ระยะเวลาในการควบคุมเพลิงได้รวดเร็วขึ้น โดยวันที่ 15 พ.ค.นี้ ทางกรรมาธิการอุตสาหกรรมได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดับเพลิงโรงงานอุตสาหกรรมมาหารือในประเด็นนี้ด้วย

นายอัครเดช ยังกล่าวถึงกรณีไฟไหม้บริษัท มาบตาพุดแทงค์ เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่าขอชื่นชมในส่วนของกระทรวงพลังงาน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้มีแผนรองรับในการดูแลเรื่องของพลังงานอย่างรวดเร็ว มีการตั้งวอร์รูม และมีมอบหมายสั่งการบุคคลและมีแผนฉุกเฉินในการรองรับสถานการณ์ของพลังงานไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของกระแสไฟฟ้าและการจ่ายก๊าซอย่างชัดเจนและรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและพี่น้องประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทำได้อย่างรวดเร็วและสามารถจะแก้ปัญหาทางด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นายอัครเดช ยังกล่าวถึงกรณีไฟไหม้บริษัท มาบตาพุดแทงค์ เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่าขอชื่นชมในส่วนของกระทรวงพลังงาน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้มีแผนรองรับในการดูแลเรื่องของพลังงานอย่างรวดเร็ว มีการตั้งวอร์รูม และมีมอบหมายสั่งการบุคคลและมีแผนฉุกเฉินในการรองรับสถานการณ์ของพลังงานไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของกระแสไฟฟ้าและการจ่ายก๊าซอย่างชัดเจนและรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและพี่น้องประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทำได้อย่างรวดเร็วและสามารถจะแก้ปัญหาทางด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฟังชัดๆ 'เอกนัฏ' ย้ำ!! พรรค รทสช.ยังแน่นปึ้ก ซัดกระแสข่าวชอบตีมั่ว พร้อมสยบร้าว!! ร่วมยินดีเสี่ยเฮ้ง ส่วนปมลาออก เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล

จากรายการ 'ตรงปก ตรงประเด็น กับ...สำราญ รอดเพชร' เมื่อวันที่ 9 พ.ค.67 ได้พูดคุยกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงประเด็นที่มีการตีข่าวแรงสั่นสะเทือนและความขัดแย้งในพรรครวมไทยสร้างชาติในขณะนี้

โดยเริ่มต้นได้มีการถามถึงการไปแสดงความยินดีรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ สุชาติ ชมกลิ่น เข้ากระทรวงฯ? เอกนัฏ เผยว่า "มีสมาชิกพรรค รทสช.ไปร่วมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม เพราะตัวพี่เฮ้งเอง ถือเป็นที่รักของ สส.หลายคนในพรรค และจริง ๆ วันนี้ก็ไม่ได้มีคิวอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้นัดหมายอะไรกันไปเป็นพิเศษ มีแค่เช็กดูกันว่าใครไปบ้าง ไปพร้อมกันและนำดอกไม้ไปให้กำลังใจด้วยกันเลยไหม"

เมื่อถามถึงขอบเขตของงานของ รมช. สุชาติ ในกระทรวงพาณิชย์? เอกนัฏ กล่าวว่า "เท่าที่ผมทราบจะมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และก็ดูแลในส่วนสำนักงานแผนเรื่องยุทธศาสตร์การค้า แล้วก็มีสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนาองค์กร หรือ ITD เป็น 3 หน่วยงานครับ"

เมื่อถามว่า รมช.สุชาติ มีความหนักใจกับภารกิจโดยเฉพาะในเรื่องของการค้าต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน? เอกนัฏ เผยว่า "ท่านไม่มีความหนักใจเลย เพราะด้วยความที่มีพื้นฐานเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว บวกกับเป็นคนที่มีสไตล์การทํางานที่ชัดเจน จึงไม่กังวลใด ๆ อย่างสมัยที่พี่เฮ้งเป็นรัฐมนตรีแรงงานก็เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานโดดเด่นมาก เพราะความเป็นคนที่หนักแน่นและมีความตั้งใจในการทํางานสูง จึงทำให้ผลงานต่าง ๆ มีผลลัพธ์สูง"

เมื่อถามถึงกรณี รมช.คลัง กฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจากตำแหน่ง? เอกนัฏ กล่าวว่า "เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเบื้องต้นลึกหนาบางเป็นอย่างไร และเราก็ไม่อยากไปซ้ำเติมความรู้สึกของท่านรัฐมนตรีด้วย เพียงแต่พวกเราก็ได้คุยกับท่าน ให้กําลังใจท่านแล้วก็รู้สึกเสียดาย ว่ากระทรวงการคลังจะต้องสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพไป เพราะท่านเองก็เป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า หากมีการพูดคุยกันในอำนาจการทำงานอย่างชัดเจนและคุยกันดี ๆ ก็คงไม่น่านำมาสู่ปัญหาใด ๆ"

เมื่อถามว่าถ้าเป็น เอกนัฏ จะตัดสินใจแบบนี้หรือไม่? เอกนัฏ ตอบว่า "คงเปรียบเทียบกันอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่มาที่ไปต่างกัน ซึ่งผมเข้าใจว่าท่านกฤษฎาเอง เดิมท่านก็เป็นข้าราชการที่ทำงานในกระทรวงฯ มานาน และเหตุการณ์นี้อาจจะมีเรื่องภายในที่กระทบต่อความรู้สึกด้วยหรือไม่อย่างไร ก็ถือว่าเราต้องเคารพการตัดสินใจของท่าน"

เมื่อถามกรณีการลาออกของ รมช.คลัง มีผลแล้วใช่หรือไม่ แล้วยับยั้งได้หรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ในทางการเมือง การลาออกไม่เหมือนข้าราชการ หากแสดงตนว่าจะลาออกแล้ว ก็เท่ากับออก อย่างผมเองตอนมีการชุมนุมแล้วประกาศลาออกบนเวที ก็มีผลตั้งแต่วันนั้นเลยครับ ส่วนใบลาออกเป็นเพียงพิธีการเฉย ๆ ครับ"

เมื่อถามว่า การบ้านก็ต้องไปตกอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในการหาคนเข้าไปดูแลต่อตามโควตาหรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ต้องขอยกเทียบเช่นนี้ กรณีรัฐมนตรีต่างประเทศลาออกกับรัฐมนตรีช่วยคลังลาออก จะมีความต่างตรงที่ การขาดไม่ได้ และต้องมีผู้มาดูแลโดยเร่งด่วน ซึ่งก็หมายความว่า ในส่วนของ รมช.ยังไม่ได้มีความเร่งรีบขนาด รมว. เพียงแต่ตรงนี้ก็ยังเป็นโควตาของ รทสช.อยู่ ยังสามารถรอได้ หรือถ้ามองว่าไปดูแลในส่วนอื่น เช่น รองนายกฯ / รัฐมนตรีประจําสํานักนายกฯ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการอื่น ที่เหมาะสมต่อการทำงาน เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยก็ได้"

เมื่อถามถึงกรณีที่สื่อพยายามโยงใยว่า การลาออกของท่านกฤษฎา กับท่านสุพัฒนพงษ์ ในจังหวะเดียวกัน เป็นเหตุบังเอิญ หรือเพราะทั้ง 2 ท่านมีการพูดคุยกัน และตัดสินใจถอนสมอจากพรรคฯ หรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ประเด็นนี้มั่วมาก ๆ เพราะเหตุผลในการลาออกของท่านกฤษฎากับท่านสุพัฒนพงษ์ เป็นคนละเรื่องเลย กรณีท่านกฤษฎาออกไม่ได้มีความขัดแย้งหรือมีปัญหาอะไรกับพรรคเลยนะครับ หากแต่พูดกันตรงไปตรงมา มันก็สืบเนื่องมาจากการแบ่งงานในกระทรวงการคลังนั่นแหละ ส่วนความสัมพันธ์กับท่านและพรรคฯ นั้นดีมาก ๆ...

"...ส่วนกรณีของท่านสุพัฒนพงษ์ ผมต้องเรียนแบบนี้ว่า หากยังจำกรณีท่าน แรมโบ้-เสกสกล ได้ ในวันนั้นท่านลาออกจากสมาชิกพรรคไป ก็เพื่อที่จะไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจการนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าท่านต้องเตรียมไปดํารงตําแหน่งที่ไหนหรือไม่ที่จะต้องเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งท่านก็มีเปรยว่าเกี่ยวกับด้านพลังงาน ทำให้การลาออกจากสมาชิกพรรคในครั้งนี้ ก็เพื่อความสง่างามในอนาคตของท่านด้วยครับ"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติหัวหน้าพรรคท่านพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่าคนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นท่านสุพัฒนพงษ์และท่านกฤษฎามาโยง เราก็ต้องเรียนตรงๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก จับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง  เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่างๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคนเนี่ย เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่างๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิงเอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"

‘แม่สามีชมพู่’ รุดช่วย ‘ยายขายไข่เจียว’ ปลดหนี้นอกระบบ เผย!! รู้สึกหดหู่จนนอนไม่หลับ พร้อมยังช่วยลงทุนให้เพิ่มอีก

(10 พ.ค.67) จากกรณี ยายสุข ซึ่งทำอาชีพขายไข่เจียว วัย 75 ปี โดนแก๊งทวงหนี้ทำร้ายร่างกาย ทำลายข้าวของภายในร้าน และโดนข่มขู่ว่าหากไม่จ่ายเงินจะโดนแบบนี้อีก แม้ต่อมาตำรวจก็สามารถจับกุมดำเนินคดีผู้ก่อเหตุได้ แต่ก็ยังคงสร้างความสะเทือนใจให้กับใครหลาย ๆ คน

ต่อมา รายการ ทุบโต๊ะข่าว ก็ได้เผยคลิปสุดประทับใจว่า คุณอุไรวรรณ ย่าของฝาแฝดสายฟ้า พายุ และแอบิเกล ซึ่งเป็นคุณแม่ของ น็อต วิศรุต และแม่สามีของ ชมพู่ อารยา ก็ได้เห็นข่าวนี้ก็อยากจะเข้าไปช่วยเหลือ

โดยคุณย่าอุไรวรรณได้เดินทางไปพบกับคุณยายขายไข่เจียวด้วยตัวเอง พร้อมเสนอช่วยปลดหนี้สินทั้งหมดให้แก่คุณยาย โดยคุณย่าอุไรวรรณกล่าวว่า “ดูข่าวแล้วหดหู่ใจ นอนไม่หลับ อยากรีบมาช่วยเลย ขับรถหาจนทั่วเลย เราตั้งใจมา”

จากนั้น คุณยายสุข ก็ขอบคุณ คุณย่าอุไรวรรณ ที่มาช่วยเหลือปลดหนี้รวมถึงลงทุนให้เพิ่มอีก โดยบอกว่า “ขอบพระคุณมาก ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง รู้สึกดีใจมาก ๆ”

ทำเอาชาวเน็ตหลายคนรู้สึกใจฟู ดีใจไปกับคุณยายสุข ที่มีคนเมตตาช่วยเหลือ ให้โอกาส และหวังว่านี่จะเป็นกรณีสุดท้ายที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแบบนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top