Friday, 4 July 2025
NewsFeed

เผยภาพอนาคต 'หัวลำโพง' โฉมใหม่ โปรเจกต์ Mixed-use แสนล้าน โครงการยักษ์ใหญ่ใจกลางมหานคร เชื่อมขนส่งมวลชนครบครัน

(10 พ.ค. 67) เพจ ‘Bangkok I Love You’ ได้เผยภาพอนาคตสถานีรถไฟหัวลำโพง ซึ่งจะมีการปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นโครงการ Mixed-use มูลค่า 100,000 ล้านบาท โครงการยักษ์ใหญ่ใจกลางมหานคร ที่มีขนส่งมวลชนครบครัน ดังนี้...

โซน A บริเวณอาคารสถานีหัวลำโพง พื้นที่สาธารณะ (16 ไร่ 1,920 ลบ.) พัฒนาเป็น พื้นที่สาธารณประโยชน์

โซน B อาคารสถานีกรุงเทพ หัวลำโพง (13 ไร่ 1,560 ลบ.) พัฒนาเป็นอาคารตามแนวทางอนุรักษ์

โซน C โรงซ่อมรถรางและรถโดยสาร (22 ไร่ 2,640 ลบ.) พัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์ ร้านค้า ร้านอาหาร พื้นที่กิจกรรม ปรับพื้นที่เป็น Water front promenade เลียบคลองผดุงกรุงเกษม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นพื้นที่สีเขียว

โซน D พื้นที่ชานชาลา ทางรถไฟ และย่านสับเปลี่ยนรถไฟ ศูนย์กลางเชื่อมระบบการสัญจรและพื้นที่ฝั่งเมือง (49 ไร่ 5,880 ลบ.) พัฒนาเป็น Lifestyle mixed-use โรงแรม อาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า พื้นที่จัดแสดงงาน

โซน E 20 ไร่ อาคารสำนักงาน ร.ฟ.ท. คลังพัสดุ (200 ไร่ 2,400 ลบ.) พัฒนาเป็น Urban mixed-use โรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์กิจกรรม พื้นที่ให้ความร่มรื่น เชื่อมต่อสิ่งปลูกสร้างเชิงอนุรักษ์โครงสร้างอาคารเดิม กำหนดจุด node สำหรับกิจกรรมพิเศษหรือสวนสาธารณะ มีระยะห่างไม่เกิน 500 เมตรตลอดแนวคลอง ปรับชุมชนริมน้ำ พร้อมจัดทำทางจักรยานริมทางรถไฟ

‘วิชัย ทองแตง’ ชื่นชม!! ผลงานวิจัย ‘ทวารวดีมีชีวิตที่นครปฐม’ ฐานรากทางวัฒนธรรมกับการแปลงคุณค่าสู่มูลค่าของชุมชน

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 67 คุณวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิ หนึ่งน้ำใจ One Love Foundation ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดี ในโอกาสร่วมพิธีเปิดงาน ‘ทวารวดีมีชีวิตที่นครปฐม’ จากฐานรากทางวัฒนธรรมกับการแปลงคุณค่าสู่มูลค่าของชุมชน ซึ่งมีท่านสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเป็นประธาน และ ดร. วิรัตน์ ปิ่นแก้ว อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ให้การต้อนรับ

คุณวิชัย ทองแตง ประธาน มูลนิธิหนึ่งน้ำใจ One Love Foundation กล่าวว่า ขอชื่นชม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และจังหวัดนครปฐม ที่ได้ผลิตผลงานน่าสนใจมากมาย อันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดใกล้เคียง และประเทศไทยอย่างมาก ผลงานต่าง ๆ เหล่านี้สามารถต่อยอดสู่เวทีระดับนานาชาติ เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยอย่างยิ่งครับ

ภายในงาน ‘ทวารวดีนครปฐม : สร้างคุณค่า สร้างมูลค่า สร้างจิตสำนึกรักท้องถิ่น’ เป็นการแสดงผลงานวิจัย ภายใต้ทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในกรอบการวิจัย ‘การจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสำนึกท้องถิ่น’ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกและเครือข่ายความร่วมมือในการอนุรักษ์ พัฒนา และสร้างสรรค์คุณค่าความสำคัญของอารยธรรมทวารวดีในจังหวัดนครปฐม ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการจากทุนวัฒนธรรมทวารวดีให้กับผู้ประกอบการ ผู้สืบทอด ผู้สร้างสรรค์ ทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน และสร้างจิตสำนึกรักท้องถิ่น

โดยมีพื้นที่ในการศึกษา ได้แก่ ชุมชนดอนยายหอม ชุมชนธรรมศาลา ชุมชนพระประโทณเจดีย์ ชุมชนพระปฐมเจดีย์ ชุมชนวัดพระงาม และชุมชนไร่เกาะต้นสำโรง มีกระบวนศึกษาที่สำคัญ คือ กระบวนการสร้างเครือข่าย การสร้างกระบวนการรับรู้ การตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของอารยธรรมทวารวดี วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ศึกษา ทั้งนี้เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และพัฒนาสู่ซอฟต์เพาเวอร์ (Soft Power) ของจังหวัดนครปฐม

ทั้งนี้ ติดตามรับชมบรรยากาศ คุณวิชัย ทองแตง ประธาน มูลนิธิหนึ่งน้ำใจ One Love Foundation ร่วมพิธีเปิดงาน ‘ทวารวดีมีชีวิตที่นครปฐม’ จากฐานรากทางวัฒนธรรมกับการแปลงคุณค่าสู่มูลค่าของชุมชน ได้ในรายการเกษตรช่อง 5 พัฒนาชุมชน ได้เร็ว ๆ นี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.55 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ช่อง 5) ติดต่อประสานงานรายการได้ที่ รศ. ดร. จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ (อจ. แมว) ผู้อำนวยการ ศูนย์ ‘หนึ่งใจ…ช่วยเหลือเกษตรกร’ มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์

'แฟนเลสเตอร์' ใส่เสื้อยืดที่มีใบหน้าของ 'คุณวิชัย' รอพบ 'อัยยวัฒน์' บอก!! วันนี้ดีใจจนหยุดไม่ได้ที่ทีมรักหวนคืนพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘วิเคราะห์บอลจริงจริง’ ได้แชร์เรื่องราวสุดน่าประทับใจของแฟนบอลเลสเตอร์ท่านหนึ่ง โดยระบุว่า…

ตอนที่ฉลองแชมป์แชมเปี้ยนชิพเสร็จแล้ว อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา กำลังจะเดินกลับ เขากำลังจะก้าวออกจากสนาม 

มีแฟนฟุตบอลเลสเตอร์ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรออย่างอดทนกว่าสองชั่วโมง รอจนแทบเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากสนาม เธอใช้จังหวะนี้ รีบเดินมาหาอัยยวัฒน์ทันที 

โดยเธอใส่เสื้อยืดที่มีใบหน้าของวิชัย คุณพ่อของอัยยวัฒน์ที่ล่วงลับไปแล้ว 

เมื่อได้เจอกับอัยยวัฒน์ คำเดียวที่เธอพูดคือ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ 

เธอบอกว่าตัวเองเป็นแฟนเลสเตอร์มานานแล้ว เสียใจมากที่ทีมตกชั้น และวันนี้ก็ดีใจจนหยุดไม่ได้ที่วันนี้ทีมเลื่อนชั้นกลับมา 

จึงตัดสินใจเขียนป้ายภาษาไทย มาหาอัยยวัฒน์ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่รู้ภาษาไทยเลย 

ในป้ายของเธอเขียนว่า 

"เจ้านายที่รัก ปีที่แล้ว คุณพูดว่าเราต้องการกลับไปสู่พรีเมียร์ลีก และตอนนี้เราทำมันได้แล้ว ขอบคุณ! ฉันมาจากฮ่องกง และเลือกเลสเตอร์มาตั้งถิ่นฐาน 

ฉันหวังว่าจะได้ถ่ายรูปกับคุณ ฉันสามารถทำแบบนั้นได้ไหม" 

เมื่ออัยยวัฒน์อ่านจบ เขาดูตื้นตัน และมีน้ำตารื้นบนดวงตา จากนั้นเรียกตากล้องมา แล้วบอกว่า มาถ่ายรูปคู่กับเธอให้ที 

อัยยวัฒน์มีความสุขที่เลสเตอร์เลื่อนชั้น และในขณะเดียวกัน เขาก็สร้างความสุขอันเปี่ยมล้นให้ชาวเมือง เพราะเขารักษาสัญญาว่าจะพาทีมเลื่อนชั้นได้จริง ๆ 

ชัยชนะในเกมฟุตบอล มันสร้างความสุขได้มากขนาดนี้ ผมคิดว่าวันนี้ อัยยวัฒน์และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเลสเตอร์คงนอนหลับด้วยความสุขอย่างแน่นอนครับ 

อาลัย ‘พนักงานหนุ่ม’ บ.มาบตาพุดแทงค์ฯ ผู้กล้าหาญ พยายามเข้าปิดวาล์วถังแก๊สโซลีน ก่อนถูกแรงระเบิดเสียชีวิต

เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.67) จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ ถังเก็บสาร Pyrolysis gasoline (แก๊สโซลีน) ถนนไอ-แปด ทางเรือมาบตาพุด ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 4 ราย โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาดับเพลิงกว่า 8 ชั่วโมง ส่วนสาเหตุเกิดจาก การปิดซ่อมบำรุงถังสารโซลีน โดยพนักงานทั้ง 4 คน ได้ขึ้นไปตรวจวัดปริมาณสารซีไนพลัส ซึ่งเป็นตัวทำละลาย พบว่ามีความจุของสาร 8,000 คิว แต่ปรากฏว่าได้เกิดกลุ่มควันลอยขึ้นมา แล้วก็เกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิดได้ส่งผลให้ทั้ง 4 คนตกลงมาจากถัง 

ต่อมาล่าสุด เฟซบุ๊กเพจ ‘Fire & Rescue Thailand’ ได้โพสต์อาลัยพนักงานของบริษัทดังกล่าว ที่พยายามขึ้นไปปิดวาล์วบนถัง ก่อนเกิดการระเบิด จนเสียชีวิต โดยระบุว่า…

ขอแสดงความเสียใจ และขอแสดงความไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิต จากกรณีเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสารตั้งต้นผลิตน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี บริษัท มาบตาพุดแทงค์เทอร์มินัล จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อช่วงบ่ายวันนี้

โดยผู้เสียชีวิตชื่อ นายนพพร เรือนมา เป็นพนักงานประจำของบริษัท ที่พยายามขึ้นไปปิดวาล์วบนถัง ก่อนเกิดการระเบิดขึ้น โดยแรงระเบิดทำให้เสียชีวิต เพจ คนอาสา ดับเพลิง-กู้ภัย ประเทศไทย ขอแสดงความยกย่องผู้เสียชีวิต ในความกล้าหาญและเสียสละ จนทำให้ตนเองต้องเสียชีวิต

หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไป ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญ และแสดงความเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ด้วย

‘อรรถพล’ ส่งต่อภารกิจ CEO แก่ ‘ดร.คงกระพัน’ สานต่อ-ขับเคลื่อน ปตท. ทุกมิติ มุ่งสู่ความยั่งยืน

(10 พ.ค. 67) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ส่งต่อภารกิจ CEO ให้กับ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป 

โดย ดร.คงกระพัน จะสานต่อการขับเคลื่อน ปตท. ให้เป็นองค์กรแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ผ่านการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ สร้างเสถียรภาพทางพลังงาน เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

‘รัดเกล้า’ เผย ไทยเสนอกรอบประชุม WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ผลักดันด้านทรัพย์สินทางปัญญาฯ - คุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมไทย

(10 พ.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO) 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เอกสารที่ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการเจรจา WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม เพื่อจัดทำความตกลงหรือตราสารระหว่างประเทศมีการปรับปรุงสาระสำคัญไม่สอดคล้องกับกรอบเจรจา WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ที่ ครม. เห็นชอบไว้ 

โดยมีประเด็นที่แตกต่างจากกรอบเจรจาฯ เดิม หลายประเด็น รวมถึงมีการเพิ่มเติมประเด็นที่อยู่นอกเหนือการเจรจา พณ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้จัดประชุมคณะทำงานเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมเพื่อสรุปผลความตกลง

ซึ่งการประชุม WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-24 พฤษภาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ WIPO นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ที่ประชุมคณะทำงานฯ มีมติให้ปรับปรุงกรอบการเจรจา WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม และใช้กรอบการเจรจาเดิมที่ ครม. เห็นชอบไว้เป็นพื้นฐาน โดยคงหลักการและสาระสำคัญของกรอบเจรจาเดิม เนื่องจากหลักการดังกล่าวเป็นประโยชน์กับไทย และเพิ่มประเด็นใหม่ รวมถึงอาจพิจารณาลดประเด็น เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจา และได้รับประโยชน์จากการดำเนินการตามความตกลงหรือตราสารโดยเร็ว 

“ประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และอยู่ในฐานะประเทศที่เป็นแหล่งทรัพยากรพันธุกรรมที่สำคัญ การประชุม WIPO IGC ในด้านทรัพยากรพันธุกรรม จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการผลักดันให้เกิดความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ความคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมของไทย รวมถึงการได้รับประโยชน์ในอนาคต” รองโฆษกฯ กล่าว

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ โชว์รายได้รวม 1/67 แตะ 1.27 แสนลบ. ลุยขยายสาขา-พัฒนาทุกช่องทางขาย-เพิ่มสัดส่วนรายได้

บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า (บริษัทฯ หรือ CPAXT) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2567 กำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และมีรายได้รวม 127,020 ล้านบาท สูงขึ้นกว่า 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการเติบโตในทุกช่องทาง โดยเฉพาะยอดขาย Omni Channel ที่โตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงการขยายสาขาใหม่ และการปรับโฉมสาขา ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ 

เมื่อวานนี้ (9 พ.ค. 67) นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 (เดือนมกราคม-มีนาคม) เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมียอดรายได้รวม 127,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งผลมาจากการเติบโตของยอดขายภายในสาขาเดิม โดยเฉพาะจากการขายออนไลน์และการขายนอกร้านพร้อมการส่งสินค้าถึงลูกค้า (“Omni Channel”) และการขยายสาขาใหม่ที่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น”

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าสร้างการเติบโตของรายได้ปี 2567 อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขับเคลื่อนการเติบโตผ่านทุกช่องทางจำหน่าย  

-ยอดขาย Omni Channel มุ่งเพิ่มสัดส่วนเป็นอย่างน้อยร้อยละ 17 ของยอดขายรวมในปีนี้ โดยเน้นเพิ่มความหลากหลายของสินค้า พัฒนาบริการ และการขยายพื้นที่ให้บริการ รวมถึงใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายของทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกรวมกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า พร้อมกับการพัฒนาทีมนักขายนอกร้าน เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้อย่างครบวงจร 

-การขยายสาขาใหม่ และปรับโฉมสาขาทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ในห้างค้าส่งและค้าปลีกให้เป็นศูนย์กลางชุมชน รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น

-การผนึกจุดแข็งด้านอาหารสดของบริษัทฯ และบริษัทย่อย โดยเน้นการพัฒนาสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน รวมทั้งสร้างความแตกต่าง และเพิ่มกำไรด้วยการขยายสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label) 

“บริษัทฯ มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่องค์กรที่มีความยั่งยืนระดับโลก พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สะท้อนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สำหรับความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มบริษัทฯ หลังจากได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว คาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2567 โดยการควบบริษัทครั้งนี้ ตั้งเป้าสร้างยอดขายและอัตรากำไรที่ดีขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน” นายธานินทร์ กล่าวปิดท้าย

‘อนุทิน’ ยัน!! พรรคร่วมฯ ไม่ขัดแย้ง ปม ‘กัญชา’ ยกคำนายกฯ “ทุกฝ่ายต้องทำเพื่อ ปชช.”

(10 พ.ค. 67) ที่ จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนกัญชาออกมาคัดค้าน ทั้งที่สภาและจะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบด้วย ว่า คนกลุ่มนี้พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง เพราะลงทุนธุรกิจมากพอสมควร ถ้าการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ต้องให้โอกาสพวกเขาชี้แจงข้อมูลไว้ตัดสินใจ เป็นเรื่องปกติ

เมื่อถามว่า จะมีปัญหาหรือไม่ ที่มีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องมีกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กลุ่มที่เห็นด้วยกับกัญชา ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีข้อมูล ทำการศึกษา และไปรวมกลุ่มกับประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมพัฒนากัญชาให้เป็นผลิตภัณฑ์ ที่มีมาตรฐาน ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย

เมื่อถามว่า จะถึงขั้นสร้างความขัดแย้งหรือไม่ นายอนุทิน ย้ำว่า ความขัดแย้งไม่ควรจะมี นโยบายกัญชาอยู่ในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เน้นใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในทางปฏิบัติก็อยู่ในกรอบมาตลอด ทุกอย่างต้องมีการควบคุมตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน จะเปลี่ยนกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ เราต้องมีข้อมูลใหม่ ๆ 

“ตอนที่เราปลดกัญชาออกจากยาเสพติด นายสมศักดิ์กับตน อยู่ในกรรมการชุดนี้ มีมติในที่ประชุมเป็นเอกสาร ไม่ใช่มีมติเสียงข้างมาก-ข้างน้อย ตนก็ได้เรียนกับนายสมศักดิ์ไปว่า คงต้องรื้อรายงานการประชุม และมาดูว่าทำไมวันนั้นตัวท่านเอง ตน และกรรมการอีกหลายคน ถอดกัญชาออกจากยาเสพติด"

เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ลักษณะที่ว่าอาจจะยังมีความเห็นไม่ตรงกัน นายอนุทิน เผยว่า นั่นคือพาดหัวข่าว แต่ในเนื้อข่าวไม่ใช่ ได้คุยกับนายสมศักดิ์แล้ว มีหลายเรื่องที่เห็นตรงกันและไม่ตรงกัน ไม่ได้หมายความว่าขัดแย้งกัน ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขได้สัปดาห์เดียว เรื่องกัญชาตนทำมา 4 ปี ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว 

“มั่นใจว่าวินาทีนี้ ตนน่าจะมีข้อมูลที่ต้องให้ นายสมศักดิ์ นำไปประกอบพิจารณา ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์ ไม่ได้ทำด้วยทิฐิ นโยบายของพรรคภูมิใจไทยใครจะมายุ่งเกี่ยวไม่ได้ก็ไม่ใช่ ต้องดูประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก" 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า ทำไมคิดว่าเหตุการณ์นี้จะกระทบกับพรรคภูมิใจไทย เพราะเรายึดประโยชน์ของประชาชน นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกพรรคการเมืองต้องมองประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก พรรคการเมืองมีนายคือประชาชน นายกฯ พูดไม่ผิด เราต้องมองประโยชน์ประชาชน แต่เรื่องนโยบายของแต่ละพรรค เราอยู่รัฐบาลเดียวกัน ต้องพยายามผลักดันเกื้อกูลกันให้มากที่สุด ให้นโยบายของแต่ละพรรคไปถึงฝั่งฝัน ได้ก็จะวินวินกับทุกคน พรรคภูมิใจไทย ก็มีนโยบายกัญชา ตอนที่มาร่วมรัฐบาลถึงได้ถูกบรรจุไว้ในนั้น หลายคนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันแล้ว ต้องเคารพนโยบายของแต่ละพรรค พรรคภูมิใจไทยก็ทำมาตลอด

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะสร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ เป็นเรื่องความคิดฐานข้อมูลไม่เท่ากัน ใครมีข้อมูลมากกว่าต้องทำให้เกิดความเข้าใจ จะนำกัญชาไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ ถ้าอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากประกาศปัจจุบัน ต้องเข้าคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน 

“หากไปถึงจุดนั้น ตนในฐานะที่เป็นหนึ่งในกรรมการ หากฟังข้อมูลในที่ประชุมนำเสนอไม่ครบ ก็อาจจะต้องชี้แจง แต่ถ้าไปถึงขั้นลงคะแนนเสียง ทุกฝ่ายต้องยอมรับในมติของคณะกรรมการ พรรคภูมิใจไทยพูดได้ชัดเจนว่า เราจะยอมรับในมติของคณะกรรมการ แต่ขอให้เราได้ทำงานของเราก่อน" 

เหตุผลที่ต้องขยับราคาดีเซลขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตร

กบน. ขยับราคาดีเซลขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตร ช่วยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ที่ยังติดลบกว่าแสนล้านบาท โดยลดการชดเชยดีเซลลงจาก 3.08 บาทต่อลิตร เป็น 2.58 บาทต่อลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประเภทน้ำมันดีเซลลดลงประมาณวันละ 35.42 ล้านบาท จากวันละ 216.99 ล้านบาท เป็น 181.57 ล้านบาท

(10 พ.ค. 67) นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว เห็นว่ายังมีรายจ่ายต่อวันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในขณะนี้ยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากสถานการณ์ด้านสงคราม และเศรษฐกิจ กบน. จึงมีมติลดอัตราเงินชดเชยประเภทน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 จาก 3.08 บาท/ลิตร เป็น 2.58 บาท/ลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประเภทน้ำมันดีเซลลดลงประมาณวันละ 35.42 ล้านบาท จากวันละ 216.99 ล้านบาท เป็น 181.57 ล้านบาท การลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันประเภทดีเซลในครั้งนี้ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.50 บาท/ลิตร เป็น 31.44 บาท/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ที่เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน โดยวางกรอบการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ถึง 31 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สิ้นสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ และการดำเนินการนี้เป็นไปตามมติ กบน. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่เห็นชอบในหลักการให้ปรับอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกเกินกว่า 30 บาทต่อลิตรได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม กบน.จะพิจารณาลดการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแบบค่อยเป็นค่อยไปให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไป และให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนให้น้อยที่สุด  

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ติดลบอยู่ 109,186 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 61,640 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,546 ล้านบาท

'รทสช.' ใช้ TikTok เชิงรุก 'รับฟัง-แก้ปัญหา' ให้ประชาชนได้จริง แม้ปัญหานั้นๆ จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ดูแลของ สส.พรรคก็ตาม

นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในประเทศไทยภายหลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ก็มีบุคคลจำพวกหนึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทย บุคคลจำพวกนั้นก็คือ ‘นักการเมือง’ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาล หรือเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมืองของพรรคการเมือง หรือเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งหรือแสวงหาตำแหน่งจากการเลือกตั้ง 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่เริ่มต้นในยุคสุโขทัยราว พ.ศ. 1781 รวมระยะเวลาร่วม 700 ปีที่ไม่เคยปรากฏมี ‘นักการเมือง’ เลยนั้น น่าคิดว่าทำไมบ้านเมือง ก็ยังสามารถดำรงคงอยู่รอดมาได้ 

กลับกัน 90 กว่าปีที่มีระบบเลือกตั้งเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น บ้านเมืองกลับกลายเป็นย่ำแย่ลง เพราะ ‘นักการเมือง’ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว' แทนที่จะเป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม'

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดการทุจริตโกงกินด้วยฝีมือนักการเมืองเกิดขึ้นมากมาย จนประชาชนที่มีใจรักชาติบ้านเมืองทนไม่ไหว พากันต่อต้านประท้วงจนที่สุดก็เกิดรัฐประหารหลายครั้ง 

ดังนั้นหากใช้สติปัญญาพินิจไตร่ตรองปัญหาของชาติบ้านเมืองแล้ว แน่นอนที่สุดว่า ‘นักการเมือง’ นี่แหละ ที่เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของชาติบ้านเมืองที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วนที่สุด

ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่การแก้ไขเป็นไปได้ยากมาก ด้วยปมหลักของปัญหาอยู่ที่ ‘จิตสำนึก’ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะ ‘จิตสำนึก’ ของ ‘นักการเมือง’ เท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึง ‘จิตสำนึก’ ของประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยเช่นกัน 

เพราะถ้าคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ มี ‘จิตสำนึก’ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนแล้ว ย่อมจะเลือกแต่ ‘นักการเมือง’ ที่เป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม' อย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาการทุจริตโกงกินเกิดขึ้น บ้านเมืองจะมีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเจริญเกิดขึ้นมากกว่าและดีกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม แม้ในเมืองไทยจะเต็มไปด้วย ‘นักการเมือง’ แย่ ๆ อยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทั้งหมด 

เราอาจจะไม่ใช้คำว่า ‘นักการเมือง’ น้ำดีแบบสุดโต่ง แต่อยากใช้คำว่า 'นักการเมืองที่มีจิตสำนึกดี' ต่อประเทศ ต่อสังคมไทย และต่อรากฐานความเป็นไทยที่กำลังถูกเซาะกร่อน กับพรรค ๆ นี้ พรรคที่มีชื่อว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ 'อุดมการณ์เดียวกัน' อุดมการณ์แห่ง ‘จิตสำนึก’ ถึงความรักใน ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ ด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงคงอยู่ได้ด้วยความเจริญก้าวหน้าและสงบร่มเย็น

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า Social Media มีส่วนอย่างสำคัญต่อความคิดของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะในมิติทางสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเราจะพบว่า พรรคการเมืองบางพรรคที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Social Media ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำลังอยู่ในสภาพของพรรคการเมืองที่ไร้ซึ่ง ‘จิตสำนึก’ ความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง โดยใช้ Social Media เป็นเครื่องมือในการ ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง สร้างความแตกแยก ด้วยการให้ร้ายและด้อยค่าสามสถาบันหลักของชาติ สถาบันที่นำพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยมาแล้วกว่า 800 ปี และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้น ต่างเชื่อข้อมูลผิด ๆ ด้วยความงมงาย ขาดสติสัมปชัญญะ และไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพินิจพิเคราะห์เพื่อแยกแยะความผิด ถูก ชอบ ชั่วดี แต่อย่างใด  

กลับกัน การนำ Social Media ของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ในปัจจุบัน เป็นการใช้งานอย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกที่รักหรือมักที่ชังอย่างใด 

ยกตัวอย่างเช่นกรณีของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ชาวบ้านปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ที่ประสบปัญหาจากการกู้หนี้นอกระบบจนกำลังจะเสียบ้านและที่ดินของพ่อซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้กับเจ้าหนี้ ด้วยยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นทบต้นทบดอก ซึ่งเธอได้เคยไปขอความช่วยเหลือมาแล้วจาก หลายหน่วยงาน หลายพรรคการเมือง แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด...แต่วันหนึ่งเธอเจอคลิปหาเสียงใน ‘Tiktok’ ที่มีข้อความ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เธอจึงตัดสินใจเข้ามาขอความช่วยเหลือ 

...และด้วยการช่วยเหลือของ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้การประสานงานของทีมงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่สุดก็สามารถแก้ไขปัญหาของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้ง ๆ ที่พรรคการเมืองนี้ไม่มี สส. อยู่ในพื้นที่ที่เธออยู่อาศัยและมีสิทธิเลือกตั้งแต่อย่างใดเลย

นับเป็นเรื่องและตัวอย่างที่ดียิ่งของการเมืองไทยที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกที่รักหรือมักที่ชังอย่างใด แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพรรคการเมืองนี้ที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเต็มความสามารถและไม่คำนึงถึงประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น 

ทั้งนี้ หากมองสิ่งที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ทำอยู่ ช่วยลบคำสบประมาทและการครหาที่ว่า “ชาวบ้านจะพบนักการเมืองได้ เฉพาะก่อนการเลือกตั้ง และนักการเมืองจะเข้าหากราบไหว้เพื่อขอคะแนน เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วชาวบ้านก็ไร้ค่า” หรือ “จะพบนักการเมืองหรือตัวแทนได้ เฉพาะงานแต่ง งานบวช งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ ที่มีคนมาร่วมงานเยอะ ๆ” ได้อย่างน่าสนใจ

เรียกได้ว่า คำกล่าวที่ว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ จึงเป็นเรื่องที่ทำจริง ไม่ใช่แค่ลมปาก จนกลายเป็นมิติใหม่ทางการเมืองที่มีคนเริ่มพูดถึง ภายใต้การใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ ผ่าน Tiktok เพื่อสร้างประโยชน์และความสุขให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ผ่าน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top