Monday, 20 May 2024
NewsFeed

ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

(8 พ.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊ก ‘Thapanasak Thongsuwan’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

คนศึกษาประวัติศาสตร์รู้ดีถึงบทบาท ที่แตกต่างของรัฐบุรุษในแต่ละชาติ แต่เห็นไหม ‘เติ้ง’ หรือ ‘เนห์รู’ ไม่เคยกล่าวร้ายแก่รัฐบุรุษคนแรกเลย 

แม้แต่ ‘สี จิ้นผิง’ หรือ ‘นเรนทรา โมดี’ ก็ไม่เคยเอาตัวไปเปรียบเทียบกับรัฐบุรุษทั้งสอง วิธีตะวันออกเป็นแบบนี้”

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็น”สมรภูมิ” ของ”ยาเสพติด”

ล่าสุดจับได้ 8จ ล้านบาท  ดังนั้นการแก้ปัญหายาเสพติดยังเป็น”งานหนัก” ของ”ทวี สอดส่อง”  รัฐมนตรียุติธรรม หลังรับตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นโยบายแรกๆของที่”ทวี” ลงพื้นที่และกล่าวกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ การ”แก้ปัญหายาเสพติด” ที่เป็นปัญหา”ความทุกข์” ของประชาชน และเป็นปัญหาของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ “ยาเสพติด” ที่ “ผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน” ครึ่งหนึ่ง” ถูก ขบวนการค้ายาเสพติด ลำเลียงมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง จำหน่าย ในพื้นที่ ส่วนหนึ่ง ส่งไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านทางแนวตะเข็บจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน จ.นราธิวาส สงขลา และ สตูล เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะอาศัย เส้นทางขนส่ง จาก มาเลเซีย ไปยังประเทศต่างๆ ตามความต้องการของ ขบวนการ ผู้ค้ายาเสพติดระดับโลก “ผมเป็นหนี้บุญคุณของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เลือกผมและ สส.ของพรรคประชาติเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ดังนั้นผมจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์ร้อนของคนในพื้นที่ ซึ่งมีความเดือดร้อนมากมาย ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน  เรื่องอาชีพ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร และ อื่นๆ  แต่เรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่องของความ”ทุกข์ใจ” สำหรับ ครอบครัวที่มีผู้ติดยาเสพติด และชุมชนที่มีผู้ติดยาเสพติด ซึ่งวันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นี้คือ บางช่วง บางตอน ที่” ทวี” ได้”สื่อสาร” กับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ”สื่อสาร”กับ”สื่อ” ที่ติดตาม รายงานข่าว ในการลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้และนี่คือที่มาของ”โครงการแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง” ทวี” กล่าวทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อ พบปะกับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมา” ตำรวจ ,ทหาร, ปกครอง ,ปปส, และ หน่วยงานราชการมากมาย ได้เข้าไปทำการแก้ปัญหา ยาเสพติด กันมาโดยตลอด แต่ ปัญหายาเสพติด นอกจากไม่ลดลง ยังเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ผู้เสพ ผู้ขาย และ จำนวน ยาเสพติด ที่ลำเลียงจากประเทศเพื่อน เข้ามายังประเทศไทย ทำให้รู้ว่า ยาเสพติด “ไม่กลัวทหาร ,ไม่กลัวตำรวจ, ไม่กลัว พรบ.ฉุกเฉิน ,ไม่กลัว กฎอัยการศึก, เพราะถ้ากลัว ป่านนี้ยาเสพติดคงจะ ถูกปราบปรามหมดไปจากประเทศแล้ว ในอดีต ยาเสพติด กลัวผู้นำศาสนา  แต่ ในปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจ เพราะใน” ปอเนาะ, ในโรงเรียนสอนศาสนา, ก็มีผู้ที่ติดยาเสพติด ดังนั้นโครงการ แก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน จึงเป็นอีก”ทางเลือกหนึ่ง” ของการแก้ปัญหายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการให้ประชาชน ในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล  ร่วมกันคิดและการ”ออกแบบ” การแก้ปัญหายาเสพติด และ กระทรวงยุติธรรม ให้การสนับสนุน งบประมาณ ตาม แผนงาน โครงการ ที่ผ่านการร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน

ซึ่ง สามเดือนที่ผ่านมาที่ได้ ขับเคลื่อน โครงการ แก้ปัญหายาเสพติด โดยคณะทำงานที่เป็นภาคประชาชน มี พล.อ.วิชาญ สุขสง เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้าน “ยุทธศาสตร์ “ และ คณะที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน นักวิชาการ และ องค์กรต่างๆ มี ตำบลต่างๆ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาสาเข้ามาเป็น “ตำบลอาสา” แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว 60 ตำบล มีการประชุมเพื่อกำหนด”ยุทธศาสตร์” เพื่อการ “ปฏิบัติการ” มีการนำตัวแทนของประชาชน”ตำบลอาสา ๆละ 2 คน จำนวน 120 คน ไป ศึกษาดูงาน”ตำบลต้นแบบ” ของการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ จ.ลพบุรี และ จ.นนทบุรี และ ขณะนี้ ให้ทุกตำบล เขียนโครงการ เพื่อของบประมาณ เพื่อ ปฏิบัติการ แก้ปัญหายาเสพติด ให้เป็นผลสำเร็จ ตามแผนที่ประชาชนในตำบลอาสา แต่ละตำบล ได้ร่วมกันประชุมร่วมกันคิดรวมกัน ออกแบบ และหลังจากที่มีการให้ งบประมาณ กับทุกตำบลที่เข้าร่วมโครงการ ตำบลอาสา แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว ทั้ง 60 ตำบล จะเริ่มปฏิบัติการทันทีสำหรับสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวกับการระบาดของยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้  เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี  ได้มีการแถลงข่าวการจับกุม ยาเสพติดรายใหญ่ เป็นยาบ้า 1.400,000 เม็ด และ ยาไอซ์ 350 กิโลกรัม  ได้ผู้ต้องหา 4 คน รถยนต์จำนวน 3 คัน โดยมูลค่าของกลางที่จับได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท ทั้งหมดรับว่า จะลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญยาบ้าวันนี้ราคาเม็ดละ 5 บาทเท่านั้นนี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่มีการจับกุม ยังไม่รวมคดี ยาเสพติด อีกมาหมาย ที่ถูก จับกุม และที่ หลุดรอด ไปได้ ที่มี มากกว่าหลายเท่า สถานการณ์ของ ยาเสพติด ที่ ทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ที่มีการทำ สงคราม ทำให้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต้องการใช้เงินเพื่อทำสงครามภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนยาเสพติดจึงทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นๆ และถ้าติดตามการจับกุมกลุ่มผู้ค้า จะพบว่าเป็นคนจาก จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นจำนวนมาก และจากคำให้การหลังถูกจับกุม ไม่ว่าจะถูกจับที่ภาคไหนของระเทศไทย ทุกคนจะให้การว่า นำยาเสพติดเหล่านั้นมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้  

ดังนั้น จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะไม่มีโรงงาน ผลิตยาเสพติด แต่เป็น “ตลาดใหญ่ของยาเสพติด” เป็น”สมรภูมิ” ของการค้ายาเสพติด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การปราบปรามยาเสพติด การที่จะ”เอาชนะ” ขบวนการค้ายาเสพติด” และการที่จะเอา”ผู้ขาย” และ”ผู้เสพ” ออกจาก”หมู่บ้าน ตำบล” ตามนโยบาย”การแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน” ที่เป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การ”กำกับดูแล” ของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็น”ความหวัง” ของคนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นภารกิจที่”ท้าทาย” ครั้งสำคัญของ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นอย่างยิ่ง

‘ร้านสะดวกซื้อ’ ในญี่ปุ่น เผชิญปัญหา ‘ขาดแคลนแรงงาน’ ทำกระทบเวลาให้บริการ ไม่สามารถเปิด 24 ชม.ได้แล้ว

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) เกียวโด นิวส์ รายงานว่า ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นเกือบ 12% ที่ดำเนินงานโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ จะไม่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงอีกต่อไป ด้วยเหตุผลเรื่องการขาดแคลนแรงงาน และ ความต้องการซื้อที่ลดลงในช่วงดึก จากการสำรวจของเกียวโด นิวส์

โดยการสำรวจนี้ จัดขึ้นในเดือนเมษายน และตอบกลับโดยผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ 7 ราย ยกเว้นบริษัท Yamazaki Baking Co. โดยพบว่า ร้านสะดวกซื้อประมาณ 6,400 แห่ง จาก 55,00 แห่ง ในประเทศ เปิดทำงานในเวลาที่สั้นลง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน

ทั้งนี้ ร้านค้าบางแห่ง ได้เร่งเปิดตัวเครื่องบันทึกเงินสดแบบไร้พนักงาน เพื่อรับมือการขาดแคลนแรงงานที่รุนแรงมากขึ้น

ด้าน เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน คอร์ป ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ได้ลดเวลาทำการของร้านค้าเพิ่มเติม 200 แห่ง นับแต่ปี 2020 ตามคำขอของเจ้าของแฟรนไชส์ ขณะที่บริษัท ลอว์สัน ได้ใช้มาตรการที่คล้ายกันกับร้านค้าอีกประมาณ 100 แห่ง

ในบรรดาร้านสะดวกซื้อชั้นนำ 3 แห่งของญี่ปุ่น ได้แก่ เซเว่น-อิเลฟเว่น , ลอว์สัน และ แฟมิลี่ มาร์ท มีสัดส่วนของร้านค้าที่ทำการสั้นลงค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณ 8-10% เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายเล็กอื่น ๆ

Seicomart ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น มีอัตราการลดเวลาทำงานของร้านค้าสูงสุดที่ร้อยละ 87 ตามมาด้วย Poplar Co. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองฮิโรชิมา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 79

“เรากำลังใช้มาตรการ โดยคำนึงถึงยอดขายและความยั่งยืน” Ministop Co. เปิดเผย ซึ่งได้เปิดให้ร้านค้า 22% เปิดทำการสั้นลง

นับตั้งแต่ เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน เปิดร้านสะดวกซื้อแห่งแรกของประเทศใน โกโต ของโตเกียว ในเดือนพฤษภาคม 2517 ร้านค้าดังกล่าวเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และแพร่หลายไปมากขึ้น โดยลูกค้าไม่เพียงแวะมาซื้อของ แต่ยังมาใช้บริการทางการเงิน จัดส่งพัสดุ และ อื่น ๆ อีกมาก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้ ตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว และความกังวลเกี่ยวกับการทำงานที่มากเกินไป ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางวิกฤตแรงงาน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยข้อพิพาทปี 2019 ระหว่างเจ้าของแฟรนไชส์ ในโอซาก้า และ เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน เกี่ยวกับการดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ได้รับความสนใจจากสาธารณชน โดยเน้นย้ำเรื่องความกังวลนี้ 

‘พีระพันธุ์’ ปัด!! กฤษฎีกาท้วง ตรึงราคาพลังงาน  ย้อนถาม!! ทำเพื่อประชาชนจะไม่ดีตรงไหน 

(8 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเป็นห่วงมาตรการตรึงราคาพลังงานของรัฐบาล อาจส่งผลกระทบได้ในระยะยาว ว่า “ไม่มี ไม่มี ไปตามข่าวมาจากไหน ตนนั่งประชุมอยู่ในที่ประชุมครม.ก็ไม่มี” 

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเอกสารมีความเห็นของกฤษฎีกาว่า ถ้าไปอุดหนุนบ่อยครั้ง จะเป็นการบิดเบือนราคาได้? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “อันนี้ไม่เห็น” 

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าการช่วยเหลือประชาชนต้องเดินหน้าต่อไป? นายพีระพันธุ์ กล่าวย้อนว่า “การช่วยเหลือประชาชนไม่ดีตรงไหน” ส่วนข้อกังวลของหน่วยงานตนยังไม่เห็น 

เมื่อถามว่าสมาคมขนส่งมีข้อกังวลว่าหากปรับราคาดีเซลขึ้นไป 33 บาทต่อลิตร อาจจะกระทบภาคขนส่ง? รมว.พลังงาน กล่าวว่า “เราพยายามตรึงราคาให้มาตลอด แต่ก็ได้รับการร้องเรียนมาเหมือนกันว่า เวลาที่ลดราคาทำไมภาคขนส่งไม่ลดราคาให้ประชาชนบ้าง”

เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลจะตรึงราคาอยู่แค่ 33 บาทต่อลิตร จะไม่ขยายไปกว่านี้ใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์กล่าวว่า “เราพยายามตรึงราคาเท่าที่ตรึงได้ ที่ผ่านมาตรึงราคาได้ที่ 30 บาทต่อลิตร ก็ตรึงไว้ที่ 30 แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา 50 กว่าปี ใช้วิธีตรึงราคาด้วยเงิน ราคาจึงอยู่ที่เงินในกระเป๋าของรัฐ ถ้ามีเงินมากก็ตรึงได้มาก ถ้ามีน้อยก็ตรึงได้น้อย ตอนนี้เงินน้อยก็ตรึงน้อย ถ้าเก็บเงินได้ใหม่ก็ตรึงได้อีก”

“ระบบวิธีใช้เงินไปตรึงราคานี้ ผมพูดมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย ต้องปรับระบบใหม่ ซึ่งกำลังทำอยู่ โดยตอนนี้ผมได้เขียนกฎหมายใหม่และจะใช้เวลาไม่นานเพราะเขียนไประดับหนึ่งแล้ว” รมว.พลังงาน เสริม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทุนน้ำมันยังช่วยดูแลราคาไปได้อีกนานหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “เดิมการดูแลเรื่องราคาน้ำมันตั้งแต่ปี 2516 เราตั้งกองทุนน้ำมัน แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 42/2547 โดยให้อำนาจกองทุนดูแลตรึงราคาหรือรักษาระดับน้ำมัน ได้ 2 ขา

…ขาหนึ่งใช้เงินกองทุน…อีกขาหนึ่งให้อำนาจในการกำหนดเพดานภาษี โดยกองทุนน้ำมันไม่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษี แต่มีอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี เราจึงใช้ตรงนี้ตรึงราคาช่วยดูแลประชาชนได้ นอกจากใช้เงิน ยังใช้เพดานภาษีมาเป็นตัวคุมได้ด้วย โดยเราเป็นคนกำหนดเพดานภาษี แต่คนเก็บคือ กระทรวงการคลัง แต่ต่อมาปี 2562 มีกฎหมายมารองรับยกฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปตัดอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีของกองทุนฯ ออก เหลือแต่ใช้เงินอย่างเดียว ฉะนั้นนับตั้งแต่ปี 2562 ตัวเลขกองทุนฯ จึงเป็นหนี้ขึ้นมาจำนวนมากและติดลบ เป็นต้นมา เพราะการกำหนดเพดานภาษี ซึ่งเป็นอำนาจของกองทุนฯ ไม่มีแล้ว ทั้งนี้ผมได้พยายามขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาปรับลดเพดานภาษีสรรพสามิต แต่เขาไม่เห็นด้วย ทั้งที่เดิมเป็นอำนาจของกองทุนฯ ที่ระบุว่าอย่าเก็บเกินเท่านี้ ดังนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข”

เมื่อถามว่า หมายถึงจะเอาอำนาจการกำหนดเพดานภาษีกลับมาอยู่กับกระทรวงพลังงานใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ก็ควรต้องกลับมาเป็นแบบเดิม โดยอำนาจในการเก็บภาษีไม่ใช่อำนาจของกระทรวงพลังงาน แต่สินค้าตัวนี้กระทรวงพลังงานเป็นคนดูแล ฉะนั้นอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี ควรจะอยู่กับกระทรวงพลังงาน แต่เมื่อกำหนดแล้วกระทรวงการคลังจะเก็บเท่าไหร่ ก็ไปดำเนินการ”

เพจ '2475 Dawn of Revolution' ถูกรุมรีพอร์ตโพสต์หนังสือการ์ตูน คาด!! เพราะเนื้อหาอิงหลักฐาน อาจเบิกเนตรผู้คนจากผู้แหกตา

(8 พ.ค. 67) เพจ '2475 Dawn of Revolution' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เปิดเฟซมา ตกใจ เจอหน้าต่างเด้งเตือน
ว่าเพจโดนลบโพสต์ เพราะมีคนไปรีพอร์ตข้อหาสแปม 
ก็เลยใช้สิทธิ ‘วีโต้’ คัดค้านกลับไป 
จนเฟซบุ๊ก คืนโพสต์กลับมา 

เฮ้ออออ ขอพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการหน่อยสิครับ 😆

📣📣📣 เปิดพรีออเดอร์ 🔥🔥🔥
หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 
ดัดแปลงจาก ภาพยนตร์แอนิเมชัน
ปกแข็ง เย็บกี่ ขนาด A5  พิมพ์สี่สี ทั้งเล่ม
จำนวน 440-480 หน้า

โอนเงินสั่งจองได้ที่ 
ธนาคารกสิกรไทย 
ชื่อบัญชี  บจก.นาคราพิวัฒน์ 
เลขที่บัญชี 1518061840

💝 สั่งจองหนังสือ โดยส่งข้อมูลตามแบบฟอร์มได้ที่ 
https://forms.gle/Ls647MmQh39qmXYD8

** หากจองผ่าน Form ไม่ได้ ให้ติดต่อทาง inbox เพจนะครับ **

เพราะความหมาย 'พอเพียง' ที่ถูกตีความจนผิดเพี้ยน สร้างความสับสนให้ผู้คนคิด "ใครจะไปทำได้-ใครจะทำก็ทำไป"

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'Moneyland.biz' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีมุก ‘พอเพียง’ ที่เป็นกระแสดรามาจากเวทีเดี่ยวสเปเชียล จนสร้างความไม่พอใจแก่คนไทยหลายๆ คนไว้ว่า...

จากกรณีที่คุณโน้ส อุดมเล่นมุกโดยมีการเอาคำว่าพอเพียงมาเล่น ทำไมถึงสร้างความโกรธเคืองไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในบ้านเมือง

ใครมาแตะคำว่า 'พอเพียง' ไม่ได้เลยเหรอ?

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ดูเดี่ยวสเปเชียลแล้ว และก็ขำสนุกพี่โน้สทั้งรายการ แต่ต้องยอมรับว่าคำว่าพอเพียง ก็ทำให้ผมไม่สบายใจเช่นกัน ที่มันไม่สบายใจนั้น ไม่ใช่ว่าแตะคำ ๆ นี้ไม่ได้ จริง ๆ คนทั้งโลกควรแตะคำ ๆ นี้ให้มากด้วยซ้ำ (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม) 

ประเด็นคือเพราะพี่ใช้คำว่า 'พอเพียง' มาเอาฮาโดยใช้ความหมายของคำนี้แบบ 'ผิด ๆ' ซึ่งผลกระทบจากการใช้แบบผิด ๆ ของพี่ มันไม่ใช่แค่ขำแล้วจบ มันมีอิทธิพลต่อคนที่ได้ดูด้วยความไม่เข้าใจไปไกลกว่านั้น 

นอกจากนี้ คำนี้ก็เป็นคำที่คนไทยรู้กันดีว่ามาจากคำสอนของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ มุกนี้ของพี่จึงไม่ต่างจากการออกมาประกาศกับคนทั้งประเทศว่า ที่พระองค์สอนไว้ ใครจะทำก็ทำไป ฉันทำไม่ได้ แล้วมันสามารถส่งผลชี้นำให้คนทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าใจคิดตามได้ว่า ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพอเพียง (ในแบบเข้าใจผิด ๆ) เช่นกัน เพราะพี่โน้สเหมือนเป็นตัวแทนเสียงของคนในสังคมมาเป็นสิบปีแล้ว จากเดี่ยวของพี่ตั้งแต่เดี่ยว 1 ผมดูพี่ผมก็ขำ ไม่ได้โกรธ เพราะผมคิดในแง่ดีว่าพี่คงแค่คิดน้อยไป และเพราะไม่เข้าใจ คนเราพอไม่เข้าใจมันก็เอาไปใช้ผิด ๆ โดยไม่ตั้งใจ แต่พี่ก็สมควรมาก ๆ ที่จะโดนตำหนิในเรื่องนี้ เพราะความคิดน้อยของพี่

เนื่องจาก...ในหลวง ร.๙ ราชาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก พยายามจะให้ประชาชนเข้าใจคำนี้ เพื่อการเติบโตที่แข็งแรงมั่นคงของคนไทยและทั้งประเทศ

แต่ถูกพี่เอาคำนี้มา Make Joke เพราะไม่เข้าใจ แล้วก็ส่งผลกระทบต่อในทางทัศนคติต่อบรรดาคนที่ไม่เข้าใจที่ดูพี่เป็นสิบ ๆ ล้านคน 

ซึ่งต้องยอมรับว่าพี่โน้สมีอิทธิต่อคนรุ่นนี้มากกว่าในหลวง ร.๙ ที่ทรงไม่อยู่แล้วแน่นอน

คน ๆ นึงทำงานหนักด้วยความสละตลอดชีวิต เพื่อหวังให้ประชาชนของเขาเข้าใจคำ ๆ นี้ เพื่อตัวประชาชนเองและประเทศชาติ

แต่คนอีกคนนึง เล่นมุกกับคำ ๆ นี้ 10 นาที ในวิดีโอที่คนดูได้ทั้งประเทศ แล้วสามารถส่งผลชี้นำวิธีคิดที่มีต่อคำ ๆ นี้ให้ถูกละเลยได้เลย เพราะมีพี่โน้สเป็นตัวอย่าง

คำว่า 'พอเพียง'

คือ ปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ประกอบไปด้วย...

3 ห่วง 2 เงื่อนไข

3 ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน
2 เงื่อนไข คือ ความรู้ คุณธรรม

ถ้าเอาให้สรุปแบบสั้นที่สุดก็คือ ทางสายกลาง ต้องมีความรู้และคุณธรรมอยู่ด้วย

เราทำอะไร พอประมาณกับตัวของเรา มีเหตุผลที่สมเหตุผลในการทำ มีภูมิคุ้มกันหรืออาจเรียกว่ามีแผนสำรอง แต่เราจะไม่สามารถคิดทำ 3 อย่างนี้ได้ถูกต้องเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ แต่ความรู้อย่างเดียว แล้วไม่มีคุณธรรม เราก็จะทำโดยไม่สนว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร สิ่งที่เราทำให้ประโยชน์ต่อเราแต่ไปทำร้ายใครหรือไม่

หนึ่งในตัวอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าทุกคนในโลกมีความพอเพียง (มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข) โลกจะไม่มาถึงปัญหาการสู้รบหรือปัญหาโลกร้อนอย่างทุกวันนี้

ทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน ถ้าแคร์ว่า สิ่งที่เราทำ ส่งผลถึงชั้นบรรยากาศโลกอย่างไร สุดท้ายจะเกิดผลอย่างไร มากกว่าการสนแค่ผลประกอบการ การเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ ความสุขสบายของตัวเอง ปัญหาโลกร้อนจะไม่เกิด เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีสักคำพูดที่บอกว่าต้องอยู่อย่างจน ๆ ลำบาก ๆ หรือต้องอยู่ชนบท ไม่มีสักคำว่าให้ทำเกษตรกรรม ไม่มีคำไหนที่บอกว่า ห้ามรวย

ถ้าเข้าใจคำว่าพอเพียง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ถ้าคน ๆ นั้นต้องการจะร่ำรวย เขาจะร่ำรวยได้แบบมั่นคงเสียอีก และจะไม่ทำร้ายใครเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง ไม่ทำร้ายโลกเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง คิดดูว่าถ้าทั้งโลกเป็นแบบนี้ โลกนี้จะน่าอยู่แค่ไหน

- MONEYLAND -

*ขออนุญาตนำคำอธิบายเพิ่มเติมในคอมเมนต์มาใส่ไว้ในโพสต์ เพื่อให้คนที่เพิ่งได้มาอ่านมีความเข้าใจคำว่าพอเพียงมากขึ้นนะครับ

คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า คนบางคนมีไม่พอด้วยซ้ำ แล้วจะพอเพียงได้อย่างไร?

จริง ๆ แล้ว คนมีไม่พอที่เข้าใจความพอเพียง จะสามารถทำให้ตัวเองไม่ลำบากกว่าเดิม รวมทั้งสามารถใช้ความพอเพียงช่วยเป็นฐานในการถีบด้วยเองขึ้นมาให้มีมากขึ้นจนมีพอได้ด้วย

เช่น ตัวเองหาเงินได้วันละไม่ถึงร้อย ก็จะไม่เอาเงินไปใช้จ่ายอะไรที่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีเหตุผล ไม่เกินตัว และเมื่อเป็นได้อย่างนี้ ก็สามารถที่จะถีบตัวเองให้ขึ้นมามีพอ ได้ง่ายกว่าคนที่มีไม่พอ แต่เอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อของฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่ตัวเองไม่มีศักยภาพที่จะทำแบบนั้น 

เช่นนั้น หากเข้าใจคำว่าพอเพียงตามที่ผมได้อธิบายไว้ จะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะรวยสักแค่ไหน หรือยากจนสักแค่ไหน ก็สามารถมีความพอเพียงได้ เพราะพอเพียง คือการทำทุกอย่างในชีวิต (รวมทั้งสร้างฐานะสร้างการเติบโต) ให้สอดคล้องตามอัตภาพของตัวเอง อย่างมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ มีคุณธรรม 

นั่นคือประโยชน์ของการมีความพอเพียง

และมีแต่คนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นที่จะบอกว่า การที่ตนเองอยู่ชนบทไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ได้ คือ ตนเองไม่พอเพียง เพราะการอยู่อย่างลำบากได้ อยู่อย่างจนได้ ไม่ใช่ความหมายของคำว่า พอเพียง ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้น

และคนที่ไม่เข้าใจหลายคน เข้าใจว่าการหาเงินกับความพอเพียงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ถ้าเข้าใจความพอเพียง จะเข้าใจครับว่าการเงินก็สามารถพอเพียงได้ จึงมีหลักปรัชญา 'เศรษฐกิจ' พอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องการเงินล้วน ๆ

ยกตัวอย่าง การมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เดือน ก็ถือเป็น ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ห่วงของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

การลงทุนขยายธุรกิจ ตามความพร้อมและศักยภาพของธุรกิจ และไม่ลงทุนเกินตัว นั่นคือ การรู้จักตน รู้จักประมาณตน และทำอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ห่วง หลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยไม่ทำจนไปตัดทางทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็ก ๆ คือการมีคุณธรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยมีการศึกษาก่อนจนมีความรู้มากพอที่จะใช้ในการขยายธุรกิจให้สำเร็จ ก็คือ 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

คำว่า 'พอเพียง' เดี่ยว ๆ มีความหมายเดียวกับคำว่า 'พอเพียง' ใน 'เศรษฐกิจพอเพียง' กล่าวคือเป็นการนำหลักคิดความพอเพียงมาใช้ในเศรษฐกิจหรือการเงิน

ศึกษาให้เข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการดำเนินชีวิตของเราครับ นี่คือสมบัติอันล้ำค่า ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทิ้งไว้ให้เราและโลกนี้

‘Gen-Y’ แบกหนี้อ่วม!! หลังปรับเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% อึ้ง!! Q1/67 หนี้เสียพุ่ง!! 6.4 หมื่นลบ. - หนี้ต้องจับตา 1.2 หมื่นลบ.

(8 พ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Surapol Opasatien’ ของนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร โพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วงถึงหนี้บัตรเครดิต หลังสถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิต ปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า…

ข้อมูลไตรมาสที่ 1/2567 เกี่ยวกับสินเชื่อบัตรเครดิตจากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ พบว่า ตัวเลข​ ณ​ เดือนมีนาคม​ 2567​ ยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด​ 24 ล้านใบ เป็นเงิน​ 5.5 แสนล้านบาท เติบโต​ 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ถ้าเทียบจากสิ้นปี​ 2566​ หดตัว​ 5.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ)

ส่วนตัวเลขบัญชีสินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น​หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล (Non-Performing Loan หรือ NPLs)​ ค้างชำระเกิน​ 90 วันจะมีจำนวน​ประมาณ​ 1 ล้านบัตรเศษ คิดเป็นยอดเงิน​ 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตนเริ่มไม่สบายใจ พอมาดูยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan หรือ SM) ที่กำลังจะเป็นหนี้เสีย พบว่ามีจำนวนบัตรที่ชำระหนี้ได้แบบตะกุกตะกัก​ ติด ๆ ขัด ๆ​ 1.9 แสนบัตร​ คิดเป็นจำนวนเงิน​ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 32.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

"มาถึงตรงนี้เริ่มตาโตแล้วครับว่า​ แค่สามเดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำ ทำไมมันเกิดการกระโดดในหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ​ ตามต่อไปดูว่าแล้วมันโตจากปลายปี​ 2566​ เท่าใดก็พบว่า​เติบโตถึง​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่ามันจะไหลเพิ่ม​ ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่ นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว​ รายได้ไม่ฟื้นตัว​ เปราะบางจนนุ่มนิ่ม​ มันสะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น​" นายสุรพล ระบุ

ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร กล่าวต่อว่า เมื่อนำข้อมูลบัตรเครดิตที่เป็นยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จำนวนเกือบ 2 แสนใบ เป็นบัตรที่เปิดมานานเท่าใด​ พบว่าเปิดบัตรมาไม่เกิน​ 2 ปี​ มีจำนวน​ 3.6 หมื่นใบ อยู่ในมือคนเจนวาย (Generation Y หรือผู้ที่เกิดปี 2524-2539) จำนวน 2.3 หมื่นใบ เปิดมามากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี มีจำนวน​ 3.9 หมื่นใบ​ อยู่ในมือ​คนเจนวาย จำนวน 2.7 หมื่นใบ เจนเอ็กซ์ (Generation X หรือผู้ที่เกิดปี 2508-2523) จำนวน 9.2 พันใบ เปิดมามากกว่า​ 4 ปีแต่ไม่เกิน​ 6 ปี มีจำนวน​ 4.5 หมื่นใบ​ อยู่ในมือคน​เจนวาย จำนวน​ 3 หมื่นใบ​ เจนเอ็กซ์​ จำนวน 1.2 ​หมื่นใบ คำถามก็คือ​ หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จะไหลต่อเป็น​หนี้เสียอีกเท่าใด​ การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก​ 5% เป็น​ 8% และ​ 10% ตามลำดับ​ ช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงหรือไม่ ตามเป้าประสงค์มาตรการ

"ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ​ การเพิ่มอีก​ 3% ของยอดหนี้ในแต่ละใบ​ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้​ และประการสุดท้าย ค่าใช้จ่ายทั้งหลายมันเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจน เช่น​ ไข่ไก่​ ผักบางชนิด​ น้ำมันก็เริ่มขยับ​ เป็นต้น​ การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธ​จักรแบบเดินเผชิญสืบ​ มันใช้ใจที่ต่างกัน​ ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง​ แต่ถ้ามองเป็นหนังอานิเมะ​ มันก็อาจผิดเพี้ยน​ ต้องกลับมาดูกันเพราะแค่​ 3 เดือนกลิ่นมันแรงแบบโตขึ้น​ 32.4% เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มันไม่ธรรมดานะครับ​ ตั้งโจทย์ผิด​ แต่ตอบโจทย์​ที่ผิดได้ถูก​ ผลลัพธ์​ผลผลิตมันจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่​ วันนี้ฝนตกแล้ว​ ฝนหลังฝุ่นที่ร้อนระอุย่อมสวยงามเสมอ" นายสุรพล ระบุ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ สถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิต ปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ ให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้าง กระทั่งได้ออกมาตรการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิต โดยให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจกำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำของยอดคงค้างทั้งสิ้น สำหรับปี 2566 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 สำหรับปี 2567 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 และตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10

‘ฝูเจี้ยน’ เรือบรรทุกเครื่องบินของ ‘จีน’ ล่องทะเลครั้งแรกสำเร็จ หลังทำการทดลองระบบตัวเครื่อง ปลื้ม!! ผลลัพธ์เป็นไปตามคาด

(8 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฝูเจี้ยน (Fujian) เรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 ของจีน เดินทางกลับถึงอู่ต่อเรือเซี่ยงไฮ้ เจียงหนาน ตอนราว 15.00 น. ของวันพุธ (8 พ.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการทดลองล่องทะเลครั้งแรก

โดยรายงานระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินฝูเจี้ยนได้ทดสอบระบบขับเคลื่อนและระบบไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ระหว่างการทดลองล่องทะเล ระยะ 8 วัน ซึ่งประสบผลลัพธ์ตามการคาดการณ์

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมิถุนายน ปี 2022 เรือฝูเจี้ยนได้รับการทดสอบตามข้อกำหนดการเดินเรือทางทะเล โดยเรือลำนี้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้กว่า 80,000 ตัน

ด้าน ซ่ง เสี่ยวจวิน (Song Xiaojun) ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการทหารของจีนกล่าวว่า เรือฝูเจี้ยนได้รับการพัฒนานวัตกรรมต่อยอดจากเรือ 2 ลำแรก คือ เรือเหลียวหนิง และ เรือซานตง โดยสามารถเดินเรือได้นานขึ้นและมีระบบปล่อยอากาศยานที่ทันสมัย

โดยเรือฝูเจี้ยนจะร่วมปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางเรือของจีนต่อไป

ซ่ง เสี่ยวจวิน กล่าวอีกด้วยว่า ตอนนี้มีเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ ที่ปฏิบัติการอยู่ โดยเรือ 1 ลำ อยู่ระหว่างการบำรุงรักษา เรืออีกลำอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจการฝึก และอีกลำใช้สำหรับการฝึกรบ ทั้ง 3 ลำ จึงมีความสำคัญต่อการปฏิบัติการบนน่านน้ำ

อย่างไรก็ตาม เรือฝูเจี้ยนได้รับการพัฒนาด้วยการรวมเทคโนโลยีขั้นสูง และจะมีการทดสอบเพื่อติดตามผลตามแผนการที่กำหนดไว้ในระยะต่อไป

'สุริยะ' เยือนจีน ฟื้นเจรจารถไฟความเร็วสูง 'ไทย-จีน' ดันเฟส 2 'นครราชสีมา-หนองคาย' ตอกเสาเข็มปีหน้า ได้ใช้ปี 73

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมกับนายอู่ ฮ่าว เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 31 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

นายสุริยะ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันความร่วมมือโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้...

1. งานก่อสร้างโครงการช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา (ระยะที่ 1) โดยได้เห็นชอบแนวทางและมาตรการร่วมกันในการเร่งรัดให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา โดยปัจจุบันก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 2 สัญญาจากทั้งหมด 14 สัญญา อีก 10 สัญญาอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และรอการลงนามจำนวน 2 สัญญา ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนงานคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571

2. ความคืบหน้าการดำเนินการของโครงการระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) ที่ฝ่ายไทยได้ออกแบบรายละเอียด งานโยธาแล้วเสร็จ ซึ่งปัจจุบันรายงาน EIA ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการแล้ว และเตรียมเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ไปพร้อมกับการขออนุมัติโครงการ โดยในการประชุมคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยมีมติ การประชุม ครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 เห็นชอบอนุมัติการดำเนินโครงการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2568 และจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2573 

3. การเชื่อมต่อโครงการรถไฟเชื่อมต่อจากหนองคายไปยังเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ใกล้กับสะพานเดิมที่มีอยู่ โดยระยะห่างประมาณ 30 เมตร ประกอบด้วยทางรถไฟขนาดมาตรฐานและทางขนาด 1 เมตร ปัจจุบันกรมทางหลวง (ทล.) ได้ศึกษาความเหมาะสมแล้วเสร็จและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2567 สำหรับการออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงาน EIA จำนวน 125 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำร่างขอบเขต ของงาน และราคากลาง เพื่อจ้างที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียดต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาพื้นที่นาทาเพื่อเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและย่านกองเก็บตู้สินค้า โดย รฟท. ดำเนินการศึกษาในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเพื่อเป็นสถานีขนส่งสินค้าคอนเทนเนอร์ที่รับรองการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟระหว่างทางรถไฟขนาด 1 เมตร และขนาดทางมาตรฐาน รวมถึงเป็นพื้นที่การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบระหว่างทางถนนและทางราง และใช้เป็นพื้นที่สำหรับรวบรวมและกระจายสินค้า จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ อาคาร คลังสินค้า การให้บริการคลังสินค้า รวมทั้งการให้บริการพิธีการทางศุลกากรเพื่อตรวจปล่อยสินค้า X–ray ตู้สินค้า การตรวจรังสี เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ยังได้กำหนดให้นาทาเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย, ลาว และจีน โดยในการประชุมคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยมีมติการประชุม ครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 เห็นชอบให้เสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาเสนอต่อสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571 

ทั้งนี้ การหารือ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบในการปรับปรุงและดำเนินความร่วมมือให้ลึกซึ้งและประสานงานอย่างใกล้ชิดในการประชุมไตรภาคีระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน เพื่อผลักดันให้โครงการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟดังกล่าวก้าวหน้าต่อไป

4. ฝ่ายไทยได้แจ้งให้ทราบถึงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ซึ่งเป็นองค์การมหาชนภายใต้กระทรวงคมนาคม โดย สทร. จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานประสานงานหลักในการอำนวยความสะดวกและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านระบบรางจากต่างประเทศ

5. ที่ประชุมได้ให้การรับรองและเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 32 ขึ้นในประเทศไทย และร่วมกันขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ให้คืบหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยความร่วมมือและสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันเพื่อให้บรรลุประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งรถไฟของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน

‘ดร.คณิศ’ เผย เหตุผลที่ ‘OKMD’ อยู่รอดมา 20 ปี เพราะการทำงานขององค์กรมีประโยชน์ต่อสังคม

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค. 67) ที่ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์กรมหาชน) หรือ OKMD จัดงาน 20 years of Thailand Knowledge Creation: Past and Future

โดยบรรยากาศเวลา 13.00 น. น.ส.ปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายมณฑล ประภากรเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักพิมพ์มติชน เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ OKMD โดยมี ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ OKMD พร้อมด้วย นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ร่วมให้การต้อนรับ ท่ามแขกผู้มีเกียรติคับคั่ง

ต่อมาเวลา 14.10 น. เริ่มเสวนา หัวข้อ ‘20 years of Thailand knowledge creation: Past’ นำโดย พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรี,พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพล อดีตผู้อำนวยการ OKMD, ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตประธานกรรมการ OKMD

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตประธานกรรมการ OKMD กล่าวว่า Brain Based Learning หรือขบวนการการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ไม่ใช่การศึกษาโดยตรง การเรียนรู้เป็น Alternative (ทางเลือก) ประคองระบบการศึกษา การเรียนรู้ตอนนี้และในอนาคต จะไม่ใช่การเข้าห้อง การพัฒนาสมองของคนแต่ละยุคไม่เหมือนกัน อย่าหวังให้เด็กเก่งเหมือนผู้ใหญ่เป็นไปไม่ได้ เลยไปทำโครงการอบรมกับแรงงานในโรงงาน และเกษตรกร

ดร.คณิศ กล่าวว่า งานของ OKMD มีอยู่ 3-4 ขั้นตอน 1.ทำงานวิจัยเชิงวิชาการให้ผลการศึกษามาก่อน จากนั้น Crack ให้เป็นหลักสูตรที่ทำได้จริง แล้วไปทำ Sandbox แล้วนำไปขยายผล ซึ่งต้องใช้กระทรวงต่างๆ ที่เป็นองค์กรหลัก เป็นผู้ขยายผล

“เข้าใจว่าคำว่า 20 ปี ผ่านขบวนการนี้มา ทำให้ OKMD TK Park มิวเซียมสยาม อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้” ดร.คณิศ กล่าว

ดร.คณิศ กล่าวว่า พล.อ.เอก ประจิน พูดถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง ‘เขาส่งมือสังหารมานะ วันนั้นเกือบแย่แล้วนะ’ จะมีการนำ OKMD ไปอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ TK Park ไปอยู่กระทรวงวัฒนธรรม TCDC ไปอยู่กระทรวงพาณิชย์ เป็นเรื่องที่แปลกมาก ตอนที่ตนเข้ามาทำงานตรงนี้เจอกระแสการเมืองแรงมาก คุณไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออีกหรือไม่ แต่โชคดีที่ พล.อ.เอก ประจิน อยู่ไม่งั้นจะวุ่นวายกว่านี้ รวมถึงมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ช่วยองค์กรไว้

National knowledge Center หรือศูนย์การเรียนแห่งชาติเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะทำกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่จะก่อตั้งที่สามย่าน สภาพัฒน์ฯ สวนลุมพินี ก่อนที่จะมาตั้งที่กองสลาก ถ.ราชดำเนินกลาง ความต่อเนื่องเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์ 20 ปี ถ้าพวกเราไม่ได้ทำ ก็คงไม่มาถึงวันนี้ ‘เชื่อว่ารากยิ่งลึกต้นไม้ยิ่งสูง’

ดร.คณิศ กล่าวว่า มีเรื่องนึงที่ทำให้ OKMD หลุดพ้นมาได้ คือการทำงานกับชุมชน สิ่งที่ทำให้อยู่รอดคือ ต้องเป็นประโยชน์กับประชาชน ถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน คนก็ลืม มีการแนะนำให้มีการกระจายงานออกไปต่างจังหวัด ต้องไปทุกกลุ่ม

“วันก่อนดีใจลงไปที่โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น จ.สงขลา มีนักเที่ยวไปกันเยอะแยะ สิ่งเหล่านี้อยู่กับพวกเรา มันทำให้พวกเราได้เข้าใจว่าการอยู่ในสังคมต้องมีประโยชน์ ส่วนเรื่องการบริหารเชื่อว่าองค์กรต้องมีความต่อเนื่อง ถ้ายิ่งมีเครือข่ายมากก็ยิ่งช่วยทำงาน” ดร.คณิศกล่าว

ดร.คณิศ กล่าวว่า สำหรับความอยู่รอดของ OKMD เรารองบประมาณไม่ได้ ภารกิจที่ทำยิ่งใหญ่มาก การทำงานร่วมกับเอกชนเป็นเรื่องสำคัญ การจัดการแฟชั่นวีคที่เชียงใหม่ OKMD ใช้เงิน 30% เอกชนใช้เงิน 70% อีกทั้งการตั้งกองทุนก็ไม่เหมาะสม เพราะเมื่อมีเงินเยอะ ก็ถูกรัฐบาลดึงไปใช้ รวมถึงเทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนชีวิตพวกเรา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top