Monday, 20 May 2024
NewsFeed

‘ก.พลังงาน’ ไฟเขียว!! ตรึง ‘ดีเซล-ไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม’ ถึงสิงหาคม 67

(7 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำเสนอ 3 มาตรการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน และลดภาระค่าครองชีพ ประกอบด้วย 

1. การตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. - 31 ก.ค. 2567
2. การขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม 423 บาท ต่อถัง 15 กิโลกรัมไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 

3. การลดค่าไฟที่ 19.05 สตางค์ จาก 4.18 บาท เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ในงวดเดือน พฤษภาคม ถึง สิงหาคม 2567

“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันราคาพลังงานเกือบทุกชนิดมีความผันผวนในระดับสูง เกิดจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งกระทรวงพลังงานภายใต้การนำของผมได้พยายามที่จะช่วยเหลือประชาชน ลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในส่วนของน้ำมัน รัฐบาลได้กำหนดเพดานไว้ที่ 33 บาทต่อลิตร เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อุดหนุนติดลบกว่าแสนล้านบาทแล้ว หากไม่อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ 34 - 35 บาทต่อลิตร และอาจจะมีการปรับเพดานหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาขายปลีกในไทยก็จะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป

ทั้งนี้ ทั้ง 3 มาตรการที่เสนอเข้าคณะรัฐมนตรีและได้รับการเห็นชอบในวันนี้ ถือว่า เป็นมาตรการช่วยเหลือในระยะสั้น ตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมได้เตรียมรื้อระบบราคาพลังงานใหม่ ซึ่งผมกำลังเร่งดำเนินการอยู่ คาดว่าจะยกร่างกฎหมายใหม่ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้ คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานที่มีความยุติธรรม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และจะเป็นการปรับรูปแบบพลังงานของประเทศที่จะมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคตด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

Microsoft ลุยสร้าง Generative AI ที่ไม่ต้องเชื่อมโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยองค์กรลับสหรัฐฯ วิเคราะห์ข้อมูลลับสุดยอดได้อย่างปลอดภัย

(8 พ.ค. 67) Business Tomorrow เผย Microsoft กำลังสร้างโมเดล Generative AI ที่แยกออกจากโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเตรียมเข้าไปใช้ในหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ เพื่อนำเทคโนโลยีอันทรงพลังเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ หน่วยงานสายลับทั่วโลกต้องการ AI เชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจและวิเคราะห์ปริมาณข้อมูลลับที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ยังคงต้องการข้อมูลโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ทำให้เมื่อมีการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตอาจเสี่ยงการถูกแฮ็กหรือข้อมูลที่รั่วไหลออกไปได้

ทั้งนี้ Microsoft ได้ปรับใช้โมเดลที่ใช้ GPT4 และองค์ประกอบสำคัญที่รองรับบนคลาวด์ด้วยการแยกข้อมูลที่สำคัญและการวิเคราะห์ออกจากอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กรลับของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม Microsoft ใช้เวลา 18 เดือนที่ผ่านมาในการพัฒนาระบบ รวมถึงการยกเครื่อง Super Computer AI ที่มีอยู่ในไอโอวาให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

สืบนครบาล รวบ บัญชีม้ามิจฉาชีพหลอกให้กู้เงินออนไลน์ ใช้อุบายให้โอนค่าค้ำประกันเงินกู้ต่างๆ สุดท้ายสูญเงิน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร  ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้เสียหายผ่านเพจ สืบนครบาล IDMB ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายกิจประดิษฐ โฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.ท.สัญญลักษ์ สังขะภักดี สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.
ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.ชาญชัย น่าดู รอง สว.กก.สส.3 ฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ( ชุดปฏิบัติการที่  3/1) ดำเนินการ จับกุมตัว

นายกิจประดิษฐ อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา ต.ท่าสัก อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์  

ผู้ต้องหามีหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 117/2566  ลงวันที่  22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

จับกุมที่ บริเวณทางเดินเท้า ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี

พฤติการณ์การกระทำความผิดได้มีผู้เสียหายเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งว่า ขณะอยู่บ้านพักอาศัย ตนได้ค้นหา เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ผ่านเว็ปไซต์ จากนั้นได้พบโฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์ ตนสนใจจึงได้แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋าจึงได้ออกอุบาย ให้ตนโอนเงินไปก่อนเพื่อเป็นการค้ำประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15.06 น. ตนจึงได้โอนเงินจากบัญชีธนาคาร ของตนเองไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ เป็นเงินจำนวน 24,728 บาท ต่อมาไม่ได้รับเงินตามที่ได้กู้ยืมไป จึงขอเงินคืน แต่ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋า กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินให้  หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย เบื้องต้นมีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อถูกหลอกให้โอนเงินไป ซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

เบื้องต้นยังพบประวัติการหลอกลวงของผู้ต้องหาใน 
blacklistseller

จากการตรวจสอบในฐานระบบยังพบมีหมายจับอีก 2 หมาย 
1. หมายจับศาลจังหวัดชุมแพที่ 103/2564 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ฉ้อโกง”
2. หมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 321/2565 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนปลอมให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า โดยเมื่อประมาณปี 2564 ด้วยผู้ต้องหาได้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนที่พักอาศัยเเถวบ้าน  ได้ว่าจ้างให้ผู้ต้องหาเปิดบัญชีม้า โดยจะได้รับค่าตอบเเทนในการเปิดบัญชีครั้งล่ะ 500 บาท/ต่อครั้ง โดยมิได้ถามว่าจะนำไปใช้อะไร เเละได้นำเงินค่าจ้างดังกล่าวไปใช้ในชีวิตประจำวัน

พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนสำหรับผู้ที่อยากกู้เงิน ต้องค่อย ๆ ตั้งสติและมองหาแหล่งกู้เงินด่วนที่ปลอดภัย หากต้องการกู้เงินออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ ควรมีการตรวจสอบแหล่งกู้เงินออนไลน์ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ และได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องผ่านเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ https://www.bot.or.th/th/license-loan

‘นักวิชาการ’ ชี้!! ข้าวเก่าค้าง 10 ปี เชื้อราเพียบ ใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานรับเคราะห์เต็มๆ

(8 พ.ค.67) รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิย์ กินข้าวค้างสต๊อก 10 ปีโชว์ว่ายังนุ่มนวลพร้อมนำออกประมูล ว่า…

จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรัปทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่า ข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ

1.ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่าง ๆ (รวมถึงข้าว) ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน

หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing)* อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 °C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว*

2.กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่าง ๆ
3.แม้จะรมยาแต่สถาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าว ด้วง
4.การที่เมล็ดข้าวมีความชื้น ส่งเสริมการเติบโตของมอด แมลงต่าง ๆ* หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15 ครั้ง ตามข่าว ซึ่งข้าวปกติเราล้างไม่ถึง 3 ครั้ง)
5. การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย* ทำให้เน่าได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
6.จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่าย ๆ โดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent) **ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C** และยังจะมีสารพิษอื่น ๆ ตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่เราหุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง

เห็นเจตนาดีของท่านที่จะหาเงินกลับคืน ขอแนะนำว่า…

1.อย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเราจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น สำหรับผู้บริโภคโดยตรง
2.กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ เราจะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อราตกค้างในอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
3.การนำไปขายให้แอฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งเราจะได้เปรียบ กว่าเราจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง โดยเขาไม่ต้องออกแรงเลย และที่สำคัญบาปตกอยู่กับผู้คิด ผู้ขาย แน่นอน
4.ขอแนะนำให้นำข้าวเหล่านี้ ไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู จะดีกว่า สอบถามนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การอาหารต่อไปค่ะ

หมายเหตุ : การตรวจสอบสารพิษเหล่านี้ มีตามมหาวิทยาลัยที่มีห้องแลปตรวจอาหารทั่วไปหรือกรมปศุสัตว์หรือบริษัทรับตรวจสารพิษในอาหาร

ย้อนปูมหลัง 'ความขัดแย้ง-สงครามกลางเมืองพม่า' ที่ยาวนานที่สุดในโลก จากเงื่อนปมที่วางไว้โดย 'อังกฤษ' บ่ม 70 ปี จน 'เมียนมา' ไกลคำว่า 'สันติสุข'

ย้อนหลังไป 400-500 ปีก่อน สหภาพเมียนมาหรืออดีตสหภาพพม่าเป็นอดีตราชอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรด้วยกองทัพที่เข้มแข็ง กระทั่งสามารถเอาชนะไทยเราได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา คือ ปี พ.ศ. 2112 และ ปี พ.ศ. 2310 

โดยครั้งที่ 2 ได้สร้างความเสียหายแก่กรุงศรีอยุธยาแบบยับเยิน จนไทยต้องมาสร้างกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่ และย้ายข้ามมาสร้างกรุงเทพมหานครจวบจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างทำสงครามจนไทยพ่ายเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ระหว่าง ปี พ.ศ. 2308-2312 พม่าก็ทำสงครามชายแดนกับจีนด้วย ทั้งยังสามารถเอาชนะจีน ทำให้ราชวงศ์โก้นบอง (ราชวงศ์คองบอง) มีสิทธิในการปกครองพม่าโดยสมบูรณ์ 

หากได้เล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็จะรู้ว่าเป็น พ.ศ. 2328-2329 หรือต้นยุครัตนโกสินทร์ หลังการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงได้เพียง 3 ปี พม่าได้ส่งกองทัพมา 9 กองทัพ 5 สาย (สงครามเก้าทัพ) มารุกรานไทยเราอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปและไม่มีสงครามระหว่างกันอีกเลย 

ต่อมาในปลายสมัยของราชวงศ์โก้นบอง ซึ่งอยู่ในยุคการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกอย่าง อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นอังกฤษสามารถยึดครองอินเดียที่มีพรมแดนติดกับพม่า และสุดท้ายก็นำมาสู่สงครามระหว่างกันของ 'อังกฤษ-พม่า' ถึง 3 ครั้ง 

- สงครามครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2367) พม่าต้องยก รัฐอัสสัม, รัฐมณีปุระ, รัฐยะไข่ และตะนาวศรี และต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม 1 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงแก่อังกฤษ

- สงครามครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2395) อังกฤษยึด เมาะตะมะ, ย่างกุ้ง, พะสิม, แปร, พะโค

- และสงครามครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2428) อันเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่ทำให้พม่ากลายเป็นอาณานิคมภายใต้อังกฤษอย่างสมบูรณ์กลายเป็นมณฑลหนึ่งของบริติชอินเดีย

จากนั้น อังกฤษปกครองพม่าในฐานะมณฑลหนึ่งของอินเดียในปี พ.ศ. 2429 โดยมีย่างกุ้งเป็นเมืองหลวง และกลายเป็นเมืองยุคใหม่ของพม่าที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐบาล โดยราชวงศ์โก้นบองถูกล้มล้าง พระเจ้าธีบออดีตกษัตริย์ถูกเนรเทศไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนบุรี อินเดีย แล้วแยกการเมืองและศาสนาออกจากกัน ซึ่งแต่เดิมพระสงฆ์จะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากราชวงศ์ และราชวงศ์จะรับรองสถานะทางกฎหมายของพุทธศาสนา

นอกจากนั้นแล้ว อังกฤษยังเข้ามาจัดการระบบศึกษาให้แยกและไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ด้วยการจัดตั้งโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาพม่า และสนับสนุนให้มิชชันนารีเข้ามาสร้างโรงเรียน โดยในโรงเรียนทั้งสองระบบนี้ไม่สอนเกี่ยวกับพุทธศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของพม่า เพื่อทำลายความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมของพม่าที่แตกต่างจากอังกฤษ 

จากเหตุการณ์นี้เอง ก็ก่อให้เกิดการต่อต้านทั่วไปในพม่าตอนเหนือไปจนถึงปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นปีที่อังกฤษเข้าไปปราบปรามด้วยการเผาทำลายทุกหมู่บ้านที่ต่อต้านอังกฤษ สั่งให้ผู้คนอพยพลงไปยังพม่าตอนใต้ และปลดเจ้าหน้าที่ทุกคนที่สนับสนุนฝ่ายกบฏออก พร้อมทั้งนำกลุ่มคนที่สนับสนุนอังกฤษเข้ามาทำหน้าที่แทน จึงทำให้การต่อต้านอังกฤษยุติลง

ข้ามมาในเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากในขณะนั้น 'ข้าว' เป็นที่ต้องการของยุโรปอย่างมาก จึงมีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี โดยมีการอพยพชาวพม่าจากที่สูงลงมายังที่ลุ่ม เพื่อปลูกข้าว และให้มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของประชากร, บริการสาธารณะ และสาธารณูปโภคขึ้นใหม่ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บริการชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษและชาวอินเดีย โดยมีอังกฤษเป็นเจ้าของ และชาวพม่าต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อใช้บริการเหล่านี้ 

ฉะนั้นเศรษฐกิจของพม่าในช่วงนั้นจึงเติบโตขึ้น แต่เป็นการเติบโตภายใต้อำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือหุ้นส่วนชาวอังกฤษและผู้อพยพจากอินเดีย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในสมัยอาณานิคม ส่งผลร้ายต่อพม่า เพราะได้ใช้ทรัพยากรของพม่าไปเฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของอังกฤษเท่านั้น 

ด้านความมั่นคง ชาวพม่าถูกห้ามเป็นทหาร โดยทหารส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย, ชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษ, ชาวกะเหรี่ยง และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในพม่า ทว่าด้วยการใช้อำนาจบังคับกดขี่ข่มเห่งชาวพม่าอย่างมากมายของอังกฤษ จึงทำเกิดขบวนการชาตินิยมพม่าต่อต้านอังกฤษขึ้น มีหลายหมู่บ้านที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นกองโจรติดอาวุธ จนกลายเป็นหมู่บ้านนอกกฎหมาย

ในปี พ.ศ. 2480 อังกฤษได้แยกมณฑลพม่าออกจากบริติชอินเดีย และตั้งเป็นหน่วยการปกครองที่มีสภาเป็นของตนเอง จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในพม่า จนมีการก่อตั้งรัฐพม่าใน พ.ศ. 2486 

ทว่า หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม อังกฤษก็ได้กลับเข้าไปในพม่า และสถาปนาการปกครองระบอบอาณานิคมอีกครั้งใน พ.ศ. 2488 

หลังจากที่อังกฤษกลับเข้ามาปกครองพม่าอีกครั้ง ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับเอกราชของพม่า คือ ความตกลงปางหลวง (Panglong Agreement) เป็นความตกลงระหว่างพม่า, ไทใหญ่, ชีน และกะชีน ผ่านการประชุมปางหลวงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อจัดตั้งสหภาพพม่าภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ 

การประชุมปางหลวงครั้งที่ 1 เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรยึดรัฐชาน (สหรัฐไทยเดิม) คืนจากไทยแล้ว ได้มีการประชุมเพื่อตัดสินชะตากรรมของชาติตนเองเรียกว่า การประชุมปางหลวงจัดขึ้นที่เมืองปางหลวงในรัฐชานในวันที่ 20-28 มีนาคม พ.ศ. 2490 การประชุมครั้งนี้พม่านำโดยนายพลออง ซาน (บิดาของอองซานซูจี) ผู้นำในการเรียกร้องเอกราชได้เรียกร้องให้รัฐชานรวมกับพม่าเพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ 

หลังจากการประชุมครั้งแรก พม่าได้ทำความตกลง 'อองซาน-แอตลี' กับ อังกฤษ เพื่อรวมอาณานิคมของอังกฤษทั้งหมดเข้ากับสหภาพพม่า ฝ่ายรัฐชานจึงจัดการประชุมปางหลวงครั้งที่ 2 ระหว่าง 3-12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เพื่อปฏิเสธการเข้ารวมตัวกับพม่า โดยตัวแทนฝ่ายกะชีนเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายไทใหญ่เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ และตัวแทนจากรัฐชีนเข้าร่วมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ และตกลงจัดตั้งสภาสูงสุดแห่งประชาชนชาวเขาเพื่อต่อรองกับฝ่ายพม่า ตัวแทนฝ่ายพม่า นำโดยอองซานพร้อมกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเข้าร่วมประชุมเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ เพื่อเจรจากับตัวแทนสภาสูงสุดแห่งประชาชนชาวเขาจนเป็นที่มาของการลงนามในสนธิสัญญาปางหลวงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 อย่างไรก็ตาม ความตกลงนี้ไม่บรรลุผลเพราะพม่าไม่ปฏิบัติตาม (อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : WHAT...IF อะไรจะเกิดขึ้น...ถ้าสัญญาปางหลวงสำเร็จ https://thestatestimes.com/post/2022072009)

ทว่า นายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่น ๆ ได้แก่ รัฐมนตรี 6 คน และเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน ถูกลอบสังหารระหว่างการประชุมสภาก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ 6 เดือน ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 จึงทำให้ความตกลงปางหลวงไม่บรรลุผล เพราะพม่าไม่ยอมปฏิบัติตาม จนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ในพม่าซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยกลุ่มติดอาวุธของแต่ละชาติพันธุ์หลายกลุ่มต่อสู้กับกองทัพพม่า 

แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงหลายครั้งและมีการสร้างเขตปกครองตนเองที่เป็นอิสระในปี พ.ศ. 2551 แต่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างก็ยังคงเรียกร้องเอกราช หรือ การรวมเป็นสหพันธรัฐเมียนมาเรื่อยมา

ความขัดแย้งดังกล่าวนี้ ถือเป็นสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมายาวนานที่สุดในโลก กินเวลานานกว่าเจ็ดทศวรรษแล้ว และความขัดแย้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลของพรรค NLD ที่นำโดยอองซานซูจี จากพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 จนมีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะงานนี้ประเทศตะวันตกเปิดหน้าออกตัวสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่างเต็มที่มากขึ้น จึงทำให้การสู้รบอย่างหนักในพื้นที่อิทธิพลของชาติพันธุ์ต่าง ๆ จนทุกวันนี้ 

กล่าวโดยสรุปแล้ว ความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเมียนมา เกิดจากการที่อังกฤษไม่ได้ดำเนินการให้รัฐต่าง ๆ ในพม่า (ขณะนั้น) มีเสรีภาพ มีความเป็นรัฐอิสระ และรวมกันเป็นสหพันธรัฐหรือสหรัฐ แต่กลับปล่อยให้มีความคลุมเครือเกิดขึ้น ทั้งหลังจากการการลอบสังหารนายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่น ๆ 

อังกฤษควรต้องเลื่อนการให้เอกราชกับพม่าไปก่อนเพื่อให้การดำเนินการตามข้อตกลงมีความชัดเจนหรือมีหลักประกันที่เหมาะสมสำหรับรัฐต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รวมไปถึงปัญหาของชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นชาวอินเดียที่ติดตามข้าราชการอังกฤษที่มาทำงานในพม่า

ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้รัฐบาลอังกฤษไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเลย ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามปัญหาความขัดแย้งกว่า 70 ปีในเมียนมา อังกฤษจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

ฉาว ‘ตม.-ข้าราชการไทย’ เห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าชาติ ปูพรมแดงรับชาวเมียนมาเข้าไทยแบบ Elite ในราคาหลักพัน

ไม่นานมานี้เพจ Look Myanmar มีการเปิดข้อมูลเอเย่นต์พม่าโปรโมตการเดินทางเข้าไทยแบบ Exclusive ที่เรียกว่า VIP Pass โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 7,000 บาทเท่านั้น แบ่งเป็น...

‘ฝั่งเมียนมา’ คุณจะได้อภิสิทธิ์เพียงแค่มีพาสปอร์ตและตั๋วโดยสารเข้าไทยเท่านั้น โดยไม่ต้องแสดงเงิน, ตั๋วขากลับและใบจองโรงแรม...ในราคานี้เจ้าหน้าที่ ตม. ฝั่งเมียนมา จะพาคนพม่าข้ามผ่านจุดเช็กอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน รวมถึงผ่านด่าน ตม. ที่สนามบินไปส่งยัง Border Gate

ในขณะที่ ‘ฝั่งไทย’ มีค่าใช้จ่าย 5,000 บาท ซึ่งคนเมียนมาที่จะเข้าไทยจะมีเจ้าหน้าที่มารับถึง Gate พาไปยัง ตม. ด้วยรถกอล์ฟ และทำเรื่องผ่าน ตม. ในช่องทางพิเศษ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงตั๋วขากลับ, ใบจองโรงแรมและเงินติดตัว

และยังมีการระบุอีกว่า “ราคานี้สำหรับคนที่ไม่มีประวัติเสียในการเดินทางเข้าไทย หากใครมีประวัติที่ไม่สามารถเดินทางมาไทยได้หรือติดแบล็กลิสต์ จะคิดอีกราคาหนึ่ง”

ประกาศนี้ไม่ได้มีเพียงประกาศเดียว ยังมีประกาศอีกหลายเอเจนซีที่ระบุว่าสามารถให้บริการ VIP Pass ได้ที่สนามบิน ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่ และภูเก็ตอีกด้วย

ในอดีตการมีอภิสิทธิ์ของฝั่งพม่านั้น มีการพบเห็นได้หลายครั้งในหมู่เศรษฐีพม่า หรือคนมีชื่อเสียงเพื่อให้ไม่ต้องต่อคิวผ่าน ตม. ยาวเหยียด และมีคนเข้ามารับตรงหลัง ตม. เลย ขณะที่ในส่วนของไทยเรามีการให้อภิสิทธิ์สำหรับคนที่ถือบัตร Elite card ซึ่งราคาบัตร Elite card ต่อปีก็ไม่ใช่ถูก ๆ

แต่จากเหตุการณ์นี้...นี่ถือเป็นหลักฐานอย่างโจ่งแจ้งของการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่การท่าร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทยเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่า หลังจากที่รัฐบาลเมียนมาประกาศเกณฑ์ทหาร ก็ทำให้คนพม่าจำนวนมากพากันออกนอกประเทศมาทำธุรกิจ มาศึกษาในไทยทั้งแบบถูกต้องและไม่ถูกต้อง และมีคนจำนวนไม่น้อยหนีคดีความมั่นคงและก่อการร้ายในเมียนมา มาแฝงตัวในประเทศไทย

ถึงแม้ว่าหลายคนจะรู้มาตลอดว่าการท่าอากาศยานมีบริการแบบนี้ อย่างที่ยูทูบเบอร์จีนรายหนึ่งเคยทำคอนเทนต์ลงในยูทูบและติ๊กต็อกมาแล้ว แต่การมาของชาวจีนกับชาวเมียนมานั้นต่างกัน...

คนจีนที่มานั้น ส่วนใหญ่เน้นมาเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย ต่างกับชาวพม่าที่เทครัวมาอาศัยระยะยาวและอาศัยช่องว่างของกฎหมายไทย มาทำมาหากินร่วมกับคนไทย หรือข้าราชการไทยบางคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประเทศชาติ

หวังว่าเสียงเล็ก ๆ ของ ‘เอย่า’ จะไปสะกิดหูท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนะคะ

ไทยเราคงต้องเรียนรู้จากชาติตะวันตกเมื่อต้อนรับผู้ลี้ภัยข้ามชาติเข้ามาพำนักในประเทศมาก ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร ดังตัวอย่างที่มีให้เห็นแล้วในหลายประเทศ

‘สมาคมเศรษฐศาสตร์ฯ’ ออกแถลง ‘ความขัดแย้ง ธปท.-ฝ่ายการเมือง’ ชี้!! ฝ่ายการเมืองไม่ควรข่มขู่แบงก์ชาติในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง

(8 พ.ค.67) ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI ในฐานะนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และนายวิศาล บุปผเวส เลขาธิการสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย รวบรวมรายชื่อเตรียมออกแถลงการณ์เรื่อง ความขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับ ฝ่ายการเมือง ดังนี้…

‘แถลงการณ์ เรื่องความขัดแย้งระหว่าง ธปท. กับ ฝ่ายการเมือง’

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีการตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมือง ว่าเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหรือไม่ จนนำไปสู่วิวาทะระหว่างฝ่ายที่ต้องการปกป้องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย กับฝ่ายที่สนับสนุนความเห็นของภาคการเมือง

เนื่องจากวิวาทะเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นเสาหลักหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคควบคู่กับนโยบายการคลังในทุกประเทศทั่วโลก ในขณะเดียวกันสังคมยังมีความเข้าใจค่อนข้างน้อยในเรื่องความจำเป็นที่ธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระเพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน คณะผู้แถลงการณ์จึงขอแสดงความเห็น ดังนี้...

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมีความจำเป็นด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองเหตุผล

ประการแรก ธนาคารกลางควรมีความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองในระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินนโยบายการเงินเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองระยะสั้น ที่อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพด้านราคา เสถียรภาพของระบบการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน หากอำนาจในการกำหนดปริมาณเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยอยู่ในมือของรัฐบาลผู้ใช้เงิน ก็จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะรัฐบาลมีแรงจูงใจที่จะให้ต้นทุนการใช้เงินหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำลง

ประการที่สอง การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสาธารณชน ตลาดการเงิน ตลาดทุน ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ มีความเชื่อใจธนาคารกลางว่าจะแน่วแน่ในการรักษาเสถียรภาพสามประการที่กล่าวถึงก่อนหน้า จนทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectation) อยู่ในกรอบเป้าหมายจริง ซึ่งจะส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่าย การลงทุน ปริมาณและการหมุนเวียนของเงิน การสร้างสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นไปในทิศทางที่เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพจริง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว หากความเชื่อมั่นดังกล่าวถูกทำลายไป หน่วยเศรษฐกิจก็จะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไป จนอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ฟองสบู่ อันจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในที่สุด ดังตัวอย่างประเทศตุรกีในปัจจุบัน

ความสำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้รับการรับรองจากงานวิชาการจำนวนมากรวมทั้ง ประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกตลอดระยะเวลาหลายสิบปีหรือมากกว่านั้น ที่แสดงให้เห็นว่าการมีเสถียรภาพของราคา ของระบบการเงิน และของระบบสถาบันการเงินส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น การที่ราคามีเสถียรภาพทำให้หน่วยเศรษฐกิจ (ประชาชน ธุรกิจ ภาคการเงิน และอื่น ๆ) สามารถวางแผนการจับจ่าย วางแผนธุรกิจ และแผนการเงิน ได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคา ทำให้การใช้จ่าย การลงทุน การออม เป็นไปตามแผนระยะยาวได้ดีกว่า ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัว และที่สำคัญคือ การป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น ฟองสบู่และการหดตัวรุนแรงที่กล่าวถึงข้างต้น

ความสำคัญชองความเป็นอิสระของธนาคารกลางอันนำไปสู่ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ ‘หลักปฏิบัติ’ ที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลกหลายประการ เช่น ฝายการเมืองไม่ควรแสดงท่าทีกดดันหรือข่มขู่ธนาคารกลางในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง แต่สามารถแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไปอย่างสุภาพ มีการพูดคุยที่อิงบนหลักการ หลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่ใช่นำเสนอข้อมูลด้านเดียว เป็นต้น ส่วนธนาคารกลางเองก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อภารกิจของตนให้เป็นไปตามกรอบนโยบายเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาลและรัฐสภา เหตุผลสำคัญสำคัญคือ ธนาคารกลางต้องมีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน เช่นการออกจดหมายเปิดผนึกอธิบายเหตุผลกรณีที่เงินเฟ้อไม่อยู่ในกรอบเป้าหมาย เป็นต้น

นโยบายการคลังเองก็ต้องรักษาเสถียรภาพด้วยเช่นกัน ผ่านการมีวินัยการคลังที่เหมาะสม เพื่อป้องกันมิให้หนี้สาธารณะ (ทั้งทางการและหนี้ที่เกิดจากนโยบายกึ่งการคลัง) และรายจ่ายในการบริหารหนี้สูงเกินไป ต้องมีนโยบายด้านภาษีที่เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศ มีการใช้จ่ายด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสประเทศในการก้าวทันพัฒนาการสำคัญ ๆ เช่นพัฒนาการด้านเทคโนโลยี การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นต้นคณะผู้แถลงการณ์ขอเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมมือกันในการรักษาเสถียรภาพในด้านที่ตัวเองรับผิดชอบ และทำการประสานเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ผ่านการพูดคุยถกเถียงที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ และมีข้อมูลสนับสนุน พร้อมกับการรักษาระดับความอิสระของธนาคารกลางอย่างที่ควรเป็น ประเทศไทยโชคดีที่มีสถาบันและกระบวนการให้หน่วยงานด้านการเงินการคลังร่วมกันจัดทำกรอบงบประมาณประจำปีตามหลักวินัยการ

เงินการคลังอยู่แล้ว รัฐบาลจึงควรใช้กระบวนการนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

อนึ่ง เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ คณะผู้แถลงการณ์ขอแจ้งว่านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งจะจัดงานเสวนาเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อสร้างการเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน’ วัตถุประสงค์เพื่อระดมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่นในการหาทางออกให้กับประเทศไทยที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางเป็นเวลานาน จนทำให้กลายเป็นผู้ป่วยแห่งอาเซียน งานเสวนาจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยจะจัดให้มีการถ่ายทอดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

แถลงการณ์ ยังเชิญชวนลงชื่อ ระบุว่า...

เรียน เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ทุกท่าน

สิ่งที่ส่งมาด้วย แถลงการณ์เรื่องความขัดแย้งระหว่าง ธปท. กับ ฝ่ายการเมือง และใบร่วมลงนาม

ตามที่มีความขัดแย้งระหว่างธปท. และฝ่ายการเมืองเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ผมและเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์บางคนมีความเป็นห่วงกังวลมาก และต้องการระดมสมองหาทางออกให้สังคม จึงตกลงร่วมกันดำเนินการ 2 เรื่อง...

เรื่องแรก คือ ออกแถลงการณ์ขอให้ “ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมมือกันในการรักษาเสถียรภาพในด้านที่ตัวเองรับผิดชอบ และทำการประสานเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ผ่านการพูดคุยถกเถียงที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ และมีข้อมูลสนับสนุน พร้อมกับการรักษาระดับความอิสระของธนาคารกลางอย่างที่ควรเป็น” ถ้าท่านเห็นด้วยกับแถลงการณ์นี้ กรุณาลงนามร่วมกันครับ

เรื่องที่สอง คือ เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นกรรมการสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยและผมในฐานะนายกสมาคมฯ ตกลงจะจัดการเสวนาหาทางออกด้านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลาง/ระยะยาว เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง และยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทย โดยการระดมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่น ในเร็ว ๆ นี้ เบื้องต้นกำหนดจัดการเสวนาในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00-17.00 น. ที่ศูนย์เรียนรู้ ธปท. สมาคมฯ จะ Confirm วันเวลาที่แน่นอนภายในสัปดาห์นี้ และจะรีบประกาศให้ทราบเพื่อให้นักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่นมีโอกาสร่วมแสดงความเห็นเพื่อหาทางออกให้ประเทศ

จึงเรียนมาเพื่อขอความกรุณาลงนามในแถลงการณ์ (หากท่านเห็นด้วย) และกรุณาส่งใบร่วมลงนาม มายัง คุณนุชนารถ [email protected] โทร 081-442-0052 ภายในวันเสาร์ 11 พฤษภาคม 2567

ผมขอขอบคุณในความร่วมมือครับ
นิพนธ์ พัวพงศกร [email protected]

TikTok ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ หลังบีบให้ ‘ขาย’ หรือ ‘ถูกแบน’ ลั่น!! เป็นการละเมิดสิทธิ ด้วยคำอ้างความมั่นคงของชาติ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค. 67) ติ๊กต็อก (TikTok) ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ในความพยายามที่จะสกัดกั้นการบังคับใช้กฎหมายที่ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งพยายามบีบให้ติ๊กต็อกต้องเลือกว่าจะขายกิจการหรือจะถูกแบน โดยเอกสารฟ้องร้องที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี กล่าวหาว่า กฎหมายดังกล่าวซึ่งได้แก่ กฎหมายการปกป้องชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาตินั้น ละเมิดการคุ้มครองเสรีภาพในการพูดตามรัฐธรรมนูญ

เอกสารฟ้องร้องระบุว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 (First Amendment) อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ติ๊กต็อกระบุในเอกสารฟ้องร้องว่า “นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สภาคองเกรสได้ตรากฎหมายที่มุ่งเป้าแบนแพลตฟอร์มสำหรับการแสดงออกเพียงแพลตฟอร์มเดียวเป็นการถาวร…และห้ามชาวอเมริกันจากการมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก”

ติ๊กต็อกโต้แย้งว่า การอ้างถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติไม่ใช้เหตุผลที่เพียงพอในการจำกัดเสรีภาพในการพูด และรัฐบาลกลางมีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ว่า การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างไร แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถทำได้

ด้านนายจอห์น มูเลนาร์ สส.จากรัฐมิชิแกนและประธานคณะกรรมการสภาผู้แทนฯ ด้านการคัดเลือกที่เกี่ยวกับจีนกล่าวว่า “สภาคองเกรสและฝ่ายบริหารได้สรุปจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะและข้อมูลที่เป็นความลับว่า ติ๊กต็อกมีความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและชาวสหรัฐ โดยข้อมูลระบุว่า ติ๊กต็อกยอมที่จะใช้เวลา เงิน และความพยายามในการต่อสู้ในชั้นศาล มากกว่าการแก้ปัญหาโดยการตัดสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมมั่นใจว่ากฎหมายของเราจะมีผลบังคับใช้”

ฟากสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การฟ้องร้องในวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินความพยายามมาหลายปีที่จะแบนติ๊กต็อก โดยความพยายามที่จะควบคุมแอปฯ ยอดนิยมนี้ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้การบริหารประเทศของทั้ง อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และ ปธน.โจ ไบเดน

'สมศักดิ์' จ่อรื้อประกาศโทษครอบครอง 'ยาบ้า' ชี้!! ครอบครอง 1 เม็ดก็มีความผิด เสพก็มีความผิด

(8 พ.ค.67) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นยาเสพติดที่เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล ว่า การบำบัดยาเสพติดซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพราะเรื่องแก้ไขปัญหายาเสพติดจะมี 6 ด้าน คือ ป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู บูรณาการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้การดำเนินการเกิดความเหลื่อมล้ำในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพราะถ้าหากเครื่องจักรทั้งหมดทำงานไม่ไปด้วยกัน ก็จะทำให้เสียเปล่าในงบประมาณ ทั้งนี้ ต้องมีตัวชี้วัดว่าเมื่อมีการเข้ารับบำบัดแล้ว หายเท่าไหร่อย่างไร ถ้าสมัครใจมาบำบัดแล้วหายก็ต้องมีใบรับรอง ส่วนผู้ที่หนีการบำบัดที่มีประมาณร้อยละ 20 นั้นก็จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะถือว่ายังเป็นคดี ยังมีความผิดอยู่ ยังต้องรับโทษ เพราะในอดีตยังอาจปฏิบัติตามเงื่อนไขไม่ครบ จึงยังมีการลักลั่นอยู่ แต่ถ้าเราดำเนินการแล้วก็ต้องขอให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขับเคลื่อนไปอย่างเต็มที่ด้วยกัน ก็จะแก้ไขได้ตามกำหนดเวลาของรัฐบาล ส่วนการกำหนดเวลาต่าง ๆ ขอให้มีการพูดคุยกันในระดับสูงก่อน จึงจะมีความชัดเจนขึ้น

เมื่อถามถึงประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่สันนิษฐานว่า มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 กรณีแอมเฟตามีนมีปริมาณไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคือให้ถือเป็นผู้ป่วยที่สามารถสมัครเข้ารับการบำบัดแทนการรับโทษจำคุกได้ แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า แน่นอน ต้องมีการพิจารณาแน่นอน ตนขอย้ำถึงเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ ที่มีการเขียนมาก่อนที่ตนจะรับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม มีการเสนอไม่สำเร็จ ตนจึงนำมาปรับและเสนอใหม่และจบมาเป็นกฎหมาย

“ถ้าผมมีโอกาสเสนอผู้บังคับบัญชา ผมจะพูดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย แล้วจะทำให้เกิดเป็นงานที่ชัดเจนขึ้นมา เพราะการนำเสนอที่ผิดพลาด ทำให้เกิดความยุ่งยาก คนครอบครองยาบ้า 1 เม็ดก็มีความผิด เสพยาบ้าก็มีความผิด แต่โทษต่างกัน ดังนั้น ต้องดำเนินการตามแนวทางของกฎหมายที่ชัดเจน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่เท่าไหร่นั้นขอให้ฟังต่อไป” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะต้องปรับให้น้อยกว่า 5 เม็ดหรือไม่ แล้วมีไทม์ไลน์การดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ถูกต้อง ส่วนไทม์ไลน์การดำเนินงานนั้น คาดว่าภาครัฐบาลจะออกมาพูด

ถามถึงการแนวทางในกฎหมายควบคุมกัญชา กัญชง ที่ยังรอการออกร่างพระราชบัญญัติอยู่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องมีการปรับปรุงทั้งนั้น แต่ขั้นตอนการดำเนินการต้องครบ 6 ด้านที่กล่าวมา ส่วนเรื่องการบำบัดในกลุ่มโซนสีแดง สีส้ม จะรักษาแบบเดิมไม่ได้ ต้องเพิ่มขั้นตอน ซึ่งเรากำลังทำงานอยู่ ส่วนเรื่อง ร่างพ.ร.บ.ก็ต้องคุยกัน

“เรื่องของกัญชานั้นแนวทางต้องเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนอย่างไร เราทำโดยลำพังไม่ได้ ต้องเกี่ยวกับหน่วยงานหลายกระทรวง ต้องมาพูดคุย อย่างเรื่องโรงงานพลุระเบิดจะประกาศกระทรวงเดียวไม่ได้ ต้องประกาศ 5 กระทรวง ต้องพูดพร้อมกัน ถ้าพูดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งแล้ว มันตีกัน” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า อันนี้เดี๋ยวรอฟัง ตนอยากฟังความเห็นของประชาชนด้วย และต้องฟังแนวทางจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

เมื่อถามว่าเรื่องกัญชาจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่นาน ภายในเดือนนี้ต้องจบแล้ว 

‘พีระพันธุ์’ รับมอบพวงมาลัยขอบคุณจาก ‘ส.ต.ต.พิจักษณ์’ หลังได้ช่วยเหลือเรื่องสูติบัตร จนเข้าเรียนนายร้อยได้สำเร็จ

(8 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ส.ต.ต.พิจักษณ์ ทองใสเกลี้ยง เข้าพบ และมอบพวงมาลัยเพื่อขอบคุณนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยติดต่อประสานงาน ในกรณีที่ตนขาดคุณสมบัติ และเอกสารบางอย่าง ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ

“สูติบัตรของผม ไม่ปรากฏบิดาโดยกำเนิด จึงไม่มีเอกสารเอาไปยื่นต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งต้องเข้ารายงานตัว วันที่ 10 พ.ค. 2567 และรายตัวต่อโรงเรียนเตรียมทหาร 12 พ.ค. 2567 ซี่งท่านพีระพันธุ์ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประสานกับทางโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ให้พิจารณาคุณสมบัติของผมอีกที”

ส.ต.ต.พิจักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทางครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ขาดเอกสารแบบตน ซึ่งก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสเด็กรุ่นใหม่ในการเป็นทหาร ตำรวจ ทั้งนี้ ตนอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความชอบ และมีญาติเป็นตำรวจด้วย จึงตั้งใจเข้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

ด้านนายพีระพันธุ์ รับพวงมาลัย พร้อมกล่าวอวยพรและให้สัมภาษณ์ว่า ส.ต.ต.พิจักษณ์ ได้มาขอความช่วยเหลือหลังจากที่เป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แต่ก็มาเกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตนจึงได้เชิญแม่ ส.ต.ต.พิจักษณ์ มาพูดคุย และให้คนไปตรวจสอบในพื้นที่ ก็เชื่อได้ว่าพ่อ ของ ส.ต.ต.พิจักษณ์ เป็นคนไทยแน่นอน มีตัวตนจริง เพียงแต่ตามตัวไม่เจอ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่รู้จักดี จึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง และได้ให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปช่วยดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง  

"ก็ต้องขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทาง ในการให้ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาการ ผบ.ตร. ที่ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้ความเป็นธรรมที่ถูกต้อง จึงขอให้น้องประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน ตัวเองเคยผ่านเรื่องเดือดร้อนมาเยอะ วันนี้จะมีโอกาสดูแลคนอื่นแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจากกรณีนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการแก้กฎหมายหรือกฎระเบียบ เพราะหน่วยต้นสังกัด คือตำรวจ ตรวจสอบหมดแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top