Tuesday, 7 May 2024
NewsFeed

‘สมอ.’ เดินตามนโยบาย Quick win จาก ‘รมว.ปุ้ย’ 6 เดือน กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพกว่า 220 ลบ.

(26 เม.ย. 67) นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการแถลงผลการดำเนินงานของ สมอ. รอบ 6 เดือน ประจำปีงบประมาณ 2567 ว่า สมอ. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้านการมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ และคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย ตามนโยบาย Quick win ของนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ในการกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาด โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศเป็นวงกว้าง โดย สมอ. ได้ดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. จำนวน 144 รายการ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในทุกช่องทาง ทั้งการลงพื้นที่ตรวจสอบ การเฝ้าระวังผ่านระบบ NSW และตรวจติดตามการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567) ได้ตรวจจับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ลักลอบผลิตและนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 191 ราย  ยึดอายัดสินค้าเป็นมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) เหล็กและวัสดุก่อสร้าง 87.70 ล้านบาท 2) ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 73.23 ล้านบาท และ 3) ยานยนต์ 54.09 ล้านบาท 

ด้านการกำหนดมาตรฐาน สมอ. ตั้งเป้ากำหนดมาตรฐานในปีนี้ 1,000 เรื่อง ครึ่งปีแรกกำหนดมาตรฐานไปแล้ว 469 เรื่อง เช่น เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ฝารองนั่งสุขภัณฑ์ไฟฟ้า หลอดฟลูออเรสเซนส์สำหรับเปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน และมาตรฐานวิธีทดสอบยานยนต์ EV เป็นต้น

ทั้งนี้ ได้ประกาศให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นสินค้าควบคุมเพิ่มอีก 24 ผลิตภัณฑ์ เช่น บันไดเลื่อน ลิฟท์ คาร์ซีท แบตเตอรี่รถ EV ภาชนะพลาสติก และภาชนะสเตนเลส เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ประกาศใช้มาตรฐานด้านการท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนนโยบาย Soft Power อีกจำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่

1) มาตรฐานการเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ 2) มาตรฐานการดำเนินงานเกี่ยวกับชายหาด 3) มาตรฐานโรงแรมย้อนยุค 4) มาตรฐานร้านอาหารแบบดั้งเดิม  5) มาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และ 6) มาตรฐานการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสาธารณประโยชน์โดยหน่วยงานคุ้มครองพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ

พร้อมทั้งทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ที่เชื่อมโยงกับนโยบาย Soft Power จำนวน 10 มาตรฐาน เช่น ข้าวเกรียบกรือโป๊ะ สุรากลั่นชุมชน ไวน์ผลไม้ เป็นต้น และได้จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อรองรับการขับเคลื่อนนโยบายฮาลาล จำนวน 3 มาตรฐาน คือ (1) แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด (2) เส้นหมี่ และ (3) โยเกิร์ตกรอบ 

ด้านการออกใบอนุญาต สมอ. ได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต โดยผลงานครึ่งปีงบประมาณแรกได้ออกใบอนุญาต มอก. จำนวน 7,454 ฉบับ ใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวน 1,597 ฉบับ ใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมเอส จำนวน 132 ฉบับ และใบรับรองระบบงาน จำนวน 212 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 9,395 ฉบับ

ด้านการมาตรฐานระหว่างประเทศ สมอ. ได้เข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) และเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) ด้านการมาตรฐานกับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการของไทย รวมถึงปกป้องผลประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก อาทิ

1) การเจรจาทำ FTA กับศรีลังกา ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังศรีลังกา ปีละกว่า 10,800 ล้านบาท  2) การเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) สมอ. - BMSI (ไต้หวัน) เพื่อให้ไต้หวันยอมรับผลทดสอบและรับรอง ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการตรวจสอบสินค้า เป็นการช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าไปยังไต้หวัน ในปี 2566 กว่า 13,000 ล้านบาท

3) การเจรจากับอินเดียให้เลื่อนการบังคับใช้กฎระเบียบควบคุมคุณภาพสำหรับสินค้าแผ่นไม้ของอินเดีย ทำให้ผู้ประกอบการไทยรักษาตลาดส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย ปีละกว่า 2,700 ล้านบาท 

และ 4) การเจรจาร่างกฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานสำหรับรถยนต์ใหม่ของออสเตรเลีย โดยขอให้ออสเตรเลียพิจารณากำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซ CO2 อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวลาในการเตรียมตัว 

“6 เดือนหลังจากนี้ สมอ. จะเร่งรัดการดำเนินงานในทุก ๆ ด้าน ให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อเสริมแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมของไทย รวมทั้ง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มากยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน”

‘เซี่ยงไฮ้’ เตรียมเปิดสวนสนุก ‘เปปปาพิก’ ใหญ่สุดในโลก ปี 2027 หวังขับเคลื่อน ศก. - ยกระดับให้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

(25 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮาสโบร (Hasbro) บริษัทของเล่นและเกมชั้นนำ และบริษัท แมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส จำกัด (Max-Matching Entertainments) เปิดเผยว่าสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิก (Peppa Pig) แห่งแรกในเอเชียที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะเปิดตัวที่มหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนในปี 2027

สวนสนุกแห่งนี้ใช้เงินลงทุนกว่า 2.4 พันล้านหยวน (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) จะครอบคลุมพื้นที่ราว 290 หมู่ (ราว 121 ไร่) บนเกาะฉางซิง เขตฉงหมิงของเซี่ยงไฮ้ โดยอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ไปทางเหนือ 90 กิโลเมตร หรือราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งหากขับรถจากกลางเมือง

ด้าน จ้าวหยาง ประธานบริษัทแมกซ์-แมทชิง เอนเตอร์เทนเมนท์ส ระบุว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะโดดเด่นด้วยองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรม โดยมีพื้นที่ เครื่องเล่น การแสดงแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจ และมีโรงแรมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 3 ช่วงวัยในหนึ่งครอบครัว

ไช่เสี่ยวเฟย รองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารเกาะฉางซิง เปิดเผยว่า สวนสนุกเปปปาพิกจะยกระดับเซี่ยงไฮ้ให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้ ทั้งทำให้เกาะฉางซิง เขตฉงหมิง และเซี่ยงไฮ้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อโดยรวมอีกด้วย

ด้านแมตต์ พรูลซ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายประสบการณ์ระดับโลก ความร่วมมือ และดนตรีของฮาสโบร ระบุว่า บริษัทฯ จะทำงานต่อไปเพื่อนำสวนสนุกกลางแจ้งเปปปาพิกและประสบการณ์ความสนุกสนานที่น่าจดจำไปยังเมืองต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ และครอบครัวชาวจีน

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ ซ้อมแผนเตรียมรับอุบัติภัยหมู่ในและนอก รพ.ฯ

พลเรือตรี สรรชัย เลิศวีระศิริกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ได้มีนโยบาย การซ้อมแผน Mass Casualty Incident การรับมือกับอุบัติภัยหมู่ ดำเนินการจัดการซ้อมแผนเผชิญเหตุด้านการแพทย์ ABKH-07 แผนเผชิญเหตุ รองรับผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมากนอกโรงพยาบาลทางบก และ ABKH-06 แผนเผชิญเหตุ รองรับผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมากในโรงพยาบาล Standard Operating Procedure (SOP) เพื่อเตรียมความพร้อมด้านองค์บุคคล องค์วัตถุ องค์ยุทธวิธี และการบริหารจัดการ ในการเผชิญเหตุด้านการแพทย์ทั้งในโรงพยาบาล และนอกโรงพยาบาล เพื่อเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย จากกองทัพเรือ และในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยดังกล่าว

มีชุมชนที่เป็นทั้งกำลังพล ครอบครัว กำลังพลของ ทร. และประชาชนในชุมชนของภาคพลเรือนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอาศัยอยู่ โดยดำเนินการฝึกแผนรองรับผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมากนอกโรงพยาบาล ณ บริเวณสวนสาธารณะหนองตะเคียน และซ้อมแผนรองรับผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมากในโรงพยาบาล บริเวณพื้นที่ส่วนกลางห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอก รพ. อาภากรเกียรติวงศ์ ฐท.สส. เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567

‘เต้ มงคลกิตติ์’ โผล่ซบ ‘ประชาธิปัตย์’ ยอมรับ!! มาทดแทนบุญคุณ ‘เฉลิมชัย’

(26 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เข้าพบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อช่วงสายของวันนี้ เพื่อขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายนายมงคลกิตติ์ ได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคเรียบร้อยแล้ว โดยนายมงคลกิตติ์ จะเข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 พรรคประชาธิปัตย์ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ ในวันที่ 27 เม.ย.67 ด้วย

นายมงคลกิตติ์ เปิดเผยว่า ตนได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว โดยพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้ และอยู่ระหว่างการตัดสินใจ เมื่อตนตัดสินใจว่าจะสมัครเป็นสมาชิกพรรค จึงได้ไปพบนายเฉลิมชัย ที่บ้านในเวลา 11.30 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ จากนั้นช่วงบ่ายตนจึงเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งได้พบกับนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคด้วย ซึ่งนายชวน ก็บอกยินดีที่มีคนมาช่วยพรรค

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า การที่ตนเลือกเข้าประชาธิปัตย์ เพราะตนเข้าใจกฎระเบียบต่าง ๆ อยู่แล้วและเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการขุนพล รวมทั้งเป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ และเป็นพรรคที่มีการเมืองเยอะที่สุด เมื่อตนเข้ามา ก็จะดึงคนรุ่นใหม่ให้พรรคพอสมควร ตนต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นหลักของบ้านเมือง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้และต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเยอะ ๆ

เมื่อถามว่าทำไมเลือกเข้าพรรคประชาธิปัตย์ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายเฉลิมชัย มาเป็น 10 ปีมีบุญคุณต่อกัน ดังนั้น ตนเลือกเข้ามาเพราะต้องการช่วยพรรค และทดแทนบุญคุณนายเฉลิมชัย ตนได้เป็น สส.ครั้งแรก ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากนายเฉลิมชัย

เมื่อถามว่ามีการพูดคุยถึงตำแหน่งในพรรคหรือไม่ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยกัน จะให้ตนทำอะไรก็ได้จะทำเต็มที่ ซึ่งตนสามารถช่วยเหลือพรรคได้เรียกว่าเป็น ม้าเร็ว เคลื่อนที่ไป 77 จังหวัด ซึ่งการลงพื้นที่ตนชำนาญทั้งหมด ไม่ต้องฝึกกันแล้ว

ส่วนการตรวจสอบการทุจริตก็เห็นฝีมือตนอยู่แล้ว และถ้ามีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ตนก็พร้อมจะลงสมัครทั้งกรุงเทพฯ นนทบุรี และพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม การประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคฯ ในวันที่ 27 เม.ย. นี้ ตนไปร่วมสังเกตการณ์ด้วยแน่นอน

องค์บุญแห่งล้านนา ครูบาธรรมชัย เจ้าอาวาสวัดศรีพันต้น แจกหม้อข้าวหม้อแกง ให้แก่สตรีแม่บ้านเพื่อช่วยงานสังคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าครูบาธรรมชัย เจ้าอาวาสวัดศรีพันต้น สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมชัย จังหวัดน่านและ สำนักปฏิบัติธรรม ธรรมชัย แผ่นดินทอง อำเภอ หนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ได้แจกหม้อข้าวหม้อแกง เพื่อให้สตรีแม่บ้านในเขตชุมชนได้ใช้ เพราะหม้อเป็นกิจวัตรที่สตรีแม่บ้านจะต้องใช้เป็นประจำ บางวัดบางกลุ่มสตรีแม่บ้านไม่มีปัจจัยซื้อตามชนบท หลวงพ่อครูบาธรรมชัย(กล่าวว่า)ท่านเล็งเห็นว่ากิจกรรมงานบุญประจำปีกิจกรรมงานบุญของวัดหรือชุมชนหม้อข้าวหม้อแกงมีความจำเป็นต่อสตรีแม่บ้านเป็นอันดับต้นๆๆท่านมีโอกาสใด้ลงพื้นที่ใด้เห็นความลำบากขอตั้งโครงการหม้อข้าวหม้อแกงแจกจ่ายให้แก่สตรีแม่บ้านเพื่อช่วยงานสังคม โดยครั้งนี้ได้หม้อข้าวหม้อแกงแจกจำนวน 32 ชุมชนเป็นจำนวน 40 กว่าชุดแล้ว ทั้งจังหวัดน่าน จังหวัดแพร่ และจังหวัดเชียงราย โดยดูจากกลุ่มสตรีแม่บ้านที่อยู่ตามชลบทในครั้งนี้

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมขึ้นฉากกั้น ปิดจุดถ่ายภาพหน้าร้าน LAWSON ใกล้ ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ เพื่อตัดปัญหานักท่องเที่ยวไร้ระเบียบ ‘ทิ้งขยะเรี่ยราด-ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร’

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 67) เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ มีจุดถ่ายภาพมุมมหาชนของนักท่องเที่ยว บริเวณเชิงเขาโยชิดะสู่ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งแต่ละวันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่พยายามจะถ่ายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ยืนอยู่หน้าร้าน Lawson's เพื่อต้องการถ่ายภาพความแตกต่างระหว่างร้านที่สว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนกับภูเขาอันงดงามอลังการด้านหลัง

แต่หลังจากนี้ จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ของ เมืองฟูจิคาวากุจิโกะ เปิดเผยว่า หลังจากประสบปัญหานักท่องเที่ยวทิ้งขยะและไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างต่อเนื่อง เช่น การข้ามถนน ไปจนถึงการปีนป่ายอาคารรอบ ๆ แม้จะมีป้ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเตือนแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์เดิม ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป

เหตุผลดังกล่าว ทำให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เตรียมสร้างฉากกั้นมีความสูง 2.5 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ที่จะถูกติดตั้งขึ้นในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อบดบังไม่ให้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเดิมอีก

เปิดโลกที่ไร้กรอบด้วย เทคโนโลยีการแก้ไขสายตาด้วย AI ( Smart Sight ) ศูนย์เลสิกโรงพยาบาลพญาไท3

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ศูนย์เลสิกโรงพยาบาลพญาไท3 จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเทคโนโลยีการแก้ไขสายตาด้วย AI  ( Smart Sight ReLEx  ) โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท3 กล่าวต้อนรับเปิดงานในครั้งนี้ ร่วมด้วยคณะผู้บริหารและทีมแพทย์  แสดงถึงความพร้อมก้าวไปอีกขั้นของการแก้ปัญหาด้านสายตาโดยการใช้เทคโนโลยี  AI เข้ามาช่วยควบคุมและคำนวณการแยกชั้นกระจกตาให้เป็นเลนส์ รวมถึงมีระบบการจดจำรูม่านตา ติดตามการเคลื่อนไหวและการหมุนของดวงตา ก่อนทำการผ่าตัดและขณะทำการผ่าตัด โดยทำงานร่วมกับการออกแบบและวางแผนการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์เลสิกโรงพยาบาลพญาไท 3 ซึ่งวิธีนี้เป็นการรักษาภาวะสายตาผิดปกติแบบไร้ใบมีด แผลเล็กใน Version ล่าสุด ที่มีความแม่นยำสูงได้ผลการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ พญ. กิตติกมล วงศ์ไพศาลสิน จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการแก้ไขสายตา ศูนย์เลสิก โรงพยาบาลพญาไท 3 ยังได้ร่วมพูดคุยถึงเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย โดยเลือกใช้เครื่องรักษาสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงด้วยเทคนิคการรักษาที่ครบวงจรไม่ว่าจะเป็น เทคนิค Smart Surf ,  Smart Lasik Smart Sight , การผ่าตัดใส่เลนส์เสริม ICL ,  การรักษาภาวะตาแห้ง IPL หากคุณมีปัญหาด้านสายตาศูนย์เลสิก โรงพยาบาลพญาไท3ของเราพร้อมที่จะดูแลและพร้อมเปิดโลกที่ไร้กรอบที่ตอบโจทย์ทุกการแก้ไขปัญหาสายตาสำหรับคุณ

โรงพยาบาลพญาไท 3 จัดอบรมการช่วยเหลือชีวิตขั้นพื้นฐาน CPR แก่ตำรวจนครบาล

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 โรงพยาบาลพญาไท3 จัดอบรมการช่วยเหลือชีวิตขั้นพื้นฐาน CPR        ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 โดยได้รับเกียรติจาก นพ.อภิชัย โตวณะบุตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท3 และ พ.ต.อ.อชิรวิทย์ ทองจันดี รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ การเข้าอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานนี้ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปใช้ช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ภายในงานมีการสอนวิธีช่วยเหลือชีวิติขั้นพื้นฐาน CPR ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ให้ผู้ร่วมเข้าอบรมได้ปฏิบัติจริงทำให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยได้วิทยากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พว.ดวงพร  แหล่งหล้า พว.พัชราภรณ์ เพชรรัตน์ BLS instructor เป็นผู้ให้ความรู้ในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

โรงพยาบาลพญาไท3 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ไว้วางใจให้เราได้ดูแล และหวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านจะได้นำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลประชาชน ช่วยเหลือสังคมต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ยื่นเสนอ ครม.ให้ช่วยเหลือค่าไฟฟ้า เดินหน้าผลักดัน ให้ปชช.ใช้ไฟฟ้า ในราคาที่ถูก

(27 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ยื่นเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอใช้งบกลางในการดูแลค่าไฟฟ้าประชาชนงวดที่จะถึงนี้ คือ ในเดือนพ.ค.-ส.ค. 2567 พร้อมทั้งดูแลราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ ครม. นำเข้าสู่การพิจารณาในวาระการประชุม ครม. ครั้งต่อไป

โดยเชื่อว่า ครม. จะพิจารณาได้ทันก่อนถึงกำหนดบิลค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค. 2567 จะออกมา ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ของบประมาณสำหรับดูแลค่าไฟฟ้าเท่าเดิม (งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ใช้งบกลางดูแลค่าไฟฟ้าประมาณ 2,000 ล้านบาท) หากได้รับการอนุมัติจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 อัตรา คือ กลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย จะจ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 3.99 บาทต่อหน่วย ขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าเกิน 300 หน่วยจะจ่ายค่าไฟฟ้า 4.18 บาทต่อหน่วย แต่กรณีที่ ครม. ไม่อนุมัติงบกลางช่วยค่าไฟฟ้า ก็จะส่งผลให้ทุกกลุ่มต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย  

สำหรับในส่วนของ LPG นั้น ยังต้องรอลุ้นเช่นกันว่า ครม.จะพิจารณาให้งบกลางมาช่วยเหลือหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้กำหนดให้ตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 โดยให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นำเงินในบัญชี LPG มาอุดหนุนราคาในเดือน เม.ย. 2567 ส่วนอีก 2 เดือนที่เหลือ คือ เดือน พ.ค.-มิ.ย. 2567 จะของบกลางจากรัฐบาลมาอุดหนุนราคา เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ เหลือเงินดูแลราคา LPG ได้แค่เดือน เม.ย. 2567 ก็จะเต็มกรอบวงเงินแล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ใจว่า ครม.จะพิจารณาได้ทันก่อนเข้าสู่เดือน พ.ค. 2567 หรือไม่ หากไม่ทันอาจจำเป็นต้องให้กองทุนน้ำมันฯ ดูแลราคา LPG ต่อไปเอง โดยยอมปล่อยให้เงินไหลออกจากกองทุนฯ แบบไม่มีการเก็บเงินเข้ามาเลย

ขณะที่การดูแลราคาดีเซลนั้น ทางกระทรวงพลังงานยังรอการพิจารณาจากกระทรวงการคลังและ ครม. ในการประชุมครั้งต่อไป ว่าจะมีการพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตดีเซลให้หรือไม่ หลังจากสิ้นสุดมาตรการลดภาษีดีเซล 1 บาทต่อลิตร ไปเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเข้าไปพยุงราคาไว้ 50 สตางค์ต่อลิตร และยอมปล่อยราคาปรับขึ้นตามภาษีดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร ไปเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา  

ท่าเรือสำราญพัทยา ‘แหลมบาลีฮาย’ พร้อมเป็นต้นทาง เรือสำราญระดับโลก เพื่อเปิดโอกาสใหม่ ในการท่องเที่ยวอ่าวไทย เปิดรับ นทท.กระเป๋าหนัก

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การพัฒนาท่าเรือสำราญพัทยา แหลมบาลีฮาย เพื่อใช้เป็นต้นทางเปิดรับ เรือสำราญระดับโลก โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้เอาการแผนการพัฒนาการเดินทาง ทางน้ำ ที่น่าสนใจ และเป็นอีกโอกาสในการสร้างรายได้ในการรับนักท่องเที่ยวรายได้สูงเข้าประเทศ คือการก่อสร้างท่าเรือสำราญ ในเขตอ่าวไทยตอนบน 

โดยโครงการได้มีการศึกษาและเปรียบเทียบในหลายที่ แล้วมาลงตัวที่ แหลมบาลีฮาย พัทยา 
เพื่อสร้างเป็นท่าเรือต้นทาง (Home Port) และท่าเรือจอดพัก (Port of Call) ของเรือสำราญระดับโลก ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในไทย ซึ่งมีเรือได้เริ่มเข้ามาทำเส้นทางเดินเรือประจำ บ้างแล้ว

ซึ่งปัจจุบัน ใช้อาคารท่าเรือสำราญของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งก็ไม่ตอบรับกับความต้องการของสายเรือสำราญ และนักท่องเที่ยว ซึ่งควรจะเป็นท่าเรือที่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

เรามาทำความเข้าใจรูปแบบ การใช้งานของท่าเรือสำราญกันก่อน
1. ท่าเรือต้นทาง (Home Port) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของสายเรือนั้นๆ ในการออกเดินทางสู่ปลายทาง หรือไปเที่ยวในจุดต่างๆ และกลับมาส่งผู้โดยสารที่เดิม
ซึ่งท่าเรือเหล่านี้ จะมีกิจกรรมเช่น 
- การพักคอยการเดินทางของผู้โดยสาร
- การเปลี่ยนกะของเจ้าหน้าที่ในเรือ
- การเติมหรือเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่จะไปให้บริการบนเรือ
ตัวอย่างเช่น ท่าเรือสิงคโปร์ และท่าเรือแหลมฉบัง 

2. ท่าเรือจอดพัก (Port of Call) ซึ่งเป็นการจอดแวะพัก เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปเดินท่องเที่ยวตามพื้นที่ต่างๆ และเปลี่ยนอิริยาบถ จากการนั่งเรือ
ซึ่งท่าเรือเหล่านี้ จะมีกิจกรรมเช่น
- การจัดทัวร์ระยะสั้นรับนักท่องเที่ยว
- รับนักท่องเที่ยว ของ ร้านอาหาร และบาร์ท้องถิ่น
โดยแบ่งท่าเรือเป็น 2 กลุ่มคือ 
- มีท่าเทียบเรือ (ลงจากเรือขึ้นบกได้โดยตรง)
- ท่าทอดสมอระยะไกล (ต้องนั่งเรือเล็กเข้าฝั่งอีกที) ซึ่งในกรณีนี้ ผู้โดยสารจมบางส่วนจะไม่ลงไปเพราะเสียเวลา และกลับขึ้นเรือยาก
ตัวอย่างเช่น สมุย, พัทยา, ภูเก็ต และฟูก๊วก (เวียดนาม)

ซึ่งท่าเรือพัทยา จะถูกออกแบบให้เป็นผสม (Hybrid) เป็นทั้ง Home Port และ Port of Call เพื่อให้พัทยาได้ประโยชน์สูงสุด 

โดยจากที่ปรึกษา ได้สรุปพื้นที่เป็นบริเวณแหลมบาลีฮาย เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี มีความเหมาะสมเนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้เคียงมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และหลากหลาย ดึงดูดให้มีผู้โดยสารมาใช้ท่าเรือสำราญ 

ซึ่งมีการออกแบบรองรับ ท่าเรือทั้ง 2 แบบ แบ่งเป็น
- ท่าเรือต้นทาง (Home Port) รองรับเรือขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 1,500 คน 
- ท่าเรือแวะพัก (Port of call) สำหรับรองรับเรือขนส่งผู้โดยสาร 3,500-4,000 คน

จากการศึกษาคาดการณ์จำนวนเที่ยวเรือ
ในปี 2570 ประมาณ 60 เที่ยวต่อปี และเพิ่มเป็น 100 เที่ยวในอีก 10 ปี (ปี 2580) 
โดยคาดการณ์สัดส่วนรายได้จากการดำเนินงานท่าเทียบเรือ 73% (3,730 ล้านบาท ) ได้แก่ ค่าธรรมเนียมจอดเรือ ค่าธรรมเนียมผ่านท่า
รายได้จากการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ 27% (1,390 ล้านบาท) ได้แก่ ค่าเช่าพื้นที่ ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าที่จอดเรือเฟอร์รี และสปีดโบ๊ต

รูปแบบการก่อสร้าง
เป็นท่าเรือใหม่ห่างจากชายฝั่งลงไปในทะเลประมาณ 1 กม. เพื่อลดการเวนคืน และยังสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ ที่ความลึกร่องน้ำประมาณ 12-14 เมตร 
รองรับเรือสำราญขนาดระวางบรรทุก 236,000 ตันกรอส ได้พร้อมกัน 2 ลำ ความยาวท่าเทียบเรือรวม 420 เมตร 

ส่วนอาคารผู้โดยสาร รองรับได้ 3,500-4,000 คน/เที่ยว 
สิ่งอำนวยความสะดวก
- โถงพักคอย 
- จุดตรวจความปลอดภัย 
- จุดเช็กอินรับบัตรโดยสาร 60 ช่อง 
- จุดตรวจคนเข้าเมือง 26 ช่อง 
- จุดฝากสัมภาระ 
- อาคารและลานจอด รองรับรถยนต์ได้ 132 คัน และรถบัส 82 คัน

มูลค่าการลงทุน
เบื้องต้นประมาณการค่าลงทุนรวม 7,412 ล้านบาท แบ่งเป็น 
1. ค่าลงทุน 5,934 ล้านบาท 
- ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานนอกชายฝั่ง 4,315 ล้านบาท 
- ท่าเทียบเรือ อาคารผู้โดยสาร 2,881 ล้านบาท 
- สะพานเชื่อมท่าเรือ 675 ล้านบาท 
- ลานจอดรถ 567 ล้านบาท 
- ท่าเรือโดยสาร และเรือเร็ว 192 ล้านบาท
- ค่าอุปกรณ์ 400 ล้านบาท 
- ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 608 ล้านบาท 
- ถนนยกระดับ 1611 ล้านบาท 

2.ค่าดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) 1,478 ล้านบาท

รูปแบบการลงทุน
เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) 
- ภาครัฐ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเทียบเรือ และทางเข้า มูลค่า 5,534.56 ล้านบาท (66%)
- เอกชนอาจ ลงทุนในส่วนของอาคารผู้โดยสาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มูลค่า 1,877.66 ล้านบาท (34%) เครื่องมือและอุปกรณ์และบริหาร 30 ปี
ซึ่งจากการศึกษา มีอัตราผลตอบแทน 20% ระยะเวลาคืนทุนเท่ากับ 10 ปี

ซึ่งจากแผนก็น่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อีกมหาศาล


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top