Saturday, 18 May 2024
NewsFeed

‘หมอดื้อ’ ประกาศลาออก จาก ‘หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่’ ชี้ ลดความกังวลขององค์กร ปมวิจารณ์เรื่อง ‘วัคซีน-ไวรัสตัดต่อพันธุกรรม’

(26 เม.ย.67) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยระบุว่า…

เรียนทุกท่านครับ

เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน / เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ

ดังนั้น หมอได้ ลาออกจากหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ แล้วครับ ในวันที่ 25/4
และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท ในฐานะกลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง

(ยังคงเป็นอาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา โดยไม่รับค่าตอบแทน)

ซึ่งทางด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

หมอธีระวัฒน์ลาออกจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เพื่อชัยชนะทาง ‘อิสรภาพ’ ในการ ‘พูดความจริง’ เดินหน้าต่อร่วมจัดเสวนา ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ หอศิลป์กรุงเทพ 3 พ.ค.นี้

ตามที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้วยเหตุผลว่า

‘เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน /เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ’

ขอให้กำลังใจแด่ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ได้มีความกล้าหาญและเสียสละในการตัดสินใจครั้งนี้

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นชัยชนะในการประกาศอิสรภาพเพื่อพูดความจริงให้ได้ตรงประเด็นได้มากยิ่งขึ้น ในฐานะ ‘ศาสตราจารย์นายแพทย์’ ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท

และในฐานะ ‘กลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง’ และการลาออกครั้งนี้ไม่ได้ทำให้การทำหน้าที่ของศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหายไป เพราะวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะยังคงเดินหน้าและเคียงข้างในการนำเสนอความจริงและทางออกให้กับประเทศ ร่วมกับศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ต่อไป

ดังนั้น การจัดกิจกรรมระหว่างศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กับวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตจะยังคงเดินหน้าต่อไปในทางวิชาการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยความจริงที่เข้มข้นกว่าเดิม

ดังนั้น จึงจะขอแจ้งตัดชื่อหรือโลโก้ในภาพการประชาสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โดยได้นำแถบดำมาปิดโลโก้ทั้งหมดด้านล่างเอาไว้แล้ว สำหรับการจัดเสวนาที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นี้ คงเหลือแต่ ‘วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต’ เท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนี้เอง

ดังนั้น ช่วยกันแชร์ และขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมเสวนาครั้งที่ 2 ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ วันที่ 3 พ.ค. เปิดข้อมูลและความจริงชัดเจนยิ่งขึ้น ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนร้ายแรงกว่าที่คิด’

โดย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต จัดคลินิกแพทย์เคลื่อนที่ และการเสวนา ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ ในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน และในงานพบกับ…

10.00 น.-13.00 น. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดให้คำปรึกษาและรักษาเบื้องต้น ภาวะลองโควิด และผลกระทบจากวัคซีน โควิด-19 ด้วยการบูรณาการ ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน และธรรมชาติบำบัดฟรี

13.00 น.-17.00 น. งานเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท, นายแพทย์ อรรถพล สุคนธาภิรมย์ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์, อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เข้าร่วมเสวนาอีกหลายท่าน

จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ผู้ป่วย และพี่น้องประชาชนที่สนใจหรือต้องการให้กำลังใจ หรือแบ่งปันข้อมูล เข้าร่วมงานในวันและเวลาดังกล่าว

‘เสก โลโซ’ แนะพี่น้องร่วมวงการ อย่าหลงระเริง หาเงินทองมาได้ อย่าลืมเก็บออมไว้ใช้ตอนแก่

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) ‘เสก โลโซ’ ร็อกเกอร์ชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเพื่อนร่วมอาชีพ ระบุว่า…

“เป็นนักร้อง นักดนตรี นักแสดง เมื่อตอนมีชื่อเสียงหาเงินได้ต้องเก็บออมไว้ใช้ตอนแก่ เก็บไว้รักษาตัวตอนเจ็บป่วย อย่าหลงระเริงกับชื่อเสียงเงินทองนะทุกคน ด้วยรักและห่วงใยครับ…”

โดยมีคนเข้าไปกดไลก์ชื่นชมจำนวนมาก พร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง เช่นว่า

- ไอดอลมาตลอดค่ะ
- เฮียผ่านมาแล้วจึงบอกต่อ
- จริงที่สุดค่ะ
- เอาประสบการณ์ตัวเองมาสอนน้องๆ ดีมากเลยเฮียเสก

- จริงครับยิ่งทุกวันนี้หาเงินยากมากครับ
- จริง เห็นมามากมายแล้ว
- ทุกอาชีพค่ะยามมีต้องเก็บออมตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ

- เฮียพูดถูก…คำพูดเฮียใช้ได้กับทุกอาชีพและทุกคน…ตอนมีแรงทำงาน เก็บเงินไปเถอะ…อย่าไปคิดว่าเงินตราบใดที่ยังไม่ตายก็หาใหม่ได้…เพราะเราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาหาเราเมื่อไหร่และรุนแรงแค่ไหน…ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทดีที่สุด มีมากเก็บมาก มีน้อยเก็บน้อย…ขอให้ได้เก็บ

- เงินทองได้มารักษาอย่างดี ชื่อเสียงที่มีหอมกรุ่นกาย หากแต่เราตาย..หาได้ไปเพื่อนเอ๋ย

‘หวังอี้’ วอน ‘บลิงเคน’ ช่วยแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐฯ’ หวั่น!! ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ จะย่ำแย่เกินการควบคุม

(26 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้บลิงเคนแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ มิเช่นนั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์จะย่ำแย่อย่างไร้การควบคุม

นี่ถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งที่สองในรอบไม่ถึง 1 ปีของบลิงเคน ขณะที่จีนกำลังไม่พอใจกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ รวมถึงการแบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และพยายามที่จะบีบให้บริษัท Bytedance ของจีนขายกิจการ Tiktok แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมในสหรัฐ

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ ให้การต้อนรับนายบลิงเคน ที่เรือนรับรองเตียวหยูไถ่ ในกรุงปักกิ่ง โดยกล่าวกับบลิงเคนว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้พบกันที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายหวังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยลบต่าง ๆ ในความสัมพันธ์ของสองประเทศยังคงเพิ่มมากขึ้น และจีนสนับสนุนการเคารพในผลประโยชน์หลักของแต่ละฝ่าย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐไม่เหยียบย่ำขีดจำกัดของจีนในด้านอธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนา

ด้านผู้ช่วยของบลิงเคนระบุก่อนหน้านี้ว่า บลิงเคนจะยกประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อกังวล อาทิ การที่จีนสนับสนุนรัสเซีย นายบลิงเคนได้กล่าวกับนายหวังในช่วงต้นของการหารือว่า ทั้งสหรัฐและจีนควรที่จะแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ และทั้งสองประเทศควรที่จะมีความชัดเจนที่สุดในประเด็นที่มีความต่างอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการคำนวนผิดพลาด ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เพื่อประชาชนของสองประเทศ แต่เพื่อผู้คนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่มีการยืนยันว่าบลิงเคนจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนหรือไม่

พิษณุโลก-กองทัพภาคที่ 3 นำเยาวชนทัศนศึกษานอกสถานที่ในพื้นทรากรุงเทพมหานคร และกองทัพภาคที่ 4 เพื่อเรียนรู้และสร้างเสริมประสบการณ์ ในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน

พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 3/เสนาธิการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย คุณพธู บุญกอแก้ว รองประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับเยาวชนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 พบปะพร้อมให้โอวาทแก่เยาวชนที่ร่วมโครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่ ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ก่อนจะเดินทางไปยังแหล่งเรียนรู้และสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ห้วงวันที่ 26 -29 เมษายน 2567

โครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่ให้กองทัพภาคที่ 1-4 จัดกิจกรรมนำเยาวชนในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1-4 เดินทางไปทัศนศึกษาห้วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคการศึกษา โดยเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นเยาวชนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า (อายุระหว่าง 11-18 ปี) ประกอบด้วย เยาวชนที่เป็นบุตรหลานกำลังพลและได้รับคัดเลือกเป็นมัคคุเทศก์น้อย มีความสามารถในการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เยาวชนในโครงการ ทหารพันธุ์ดี “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” และเยาวชนที่สนใจเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในส่วนของกองทัพบก รวมทั้งสิ้น 36 คน 

ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้สภาพแวดล้อมทางสังคม ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รวมถึงการดำเนินงานตามศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งให้เยาวชนมีความรักและภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนได้รับทราบภารกิจของทหารในการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ สำหรับสถานที่ที่จะนำเยาวชนไปทัศนศึกษา โดยมีสถานที่สำคัญดังนี้ พิพิธภัณฑ์ครุฑ จังหวัดสมุทรปราการ,กำแพงอนุสรณ์สถาน ,พิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก , อนุสาวรีย์วีรไทย 2484 (พ่อจ่าดำ) ,ห้องประวัติศาสตร์และหอเกียรติยศกองทัพภาคที่ 4, หมู่บ้านคีรีวง ,วัดถ้ำเขาขุนพนม และวัดเจดีย์(ไอ้ไข่) จังหวัดนครศรีธรรมราช 

1 พ.ค.นี้ ปชช. อีก 33 จังหวัดเตรียมพร้อม นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เดินเครื่อง เฟส 3 ครอบคลุม 45 จังหวัด หมอชลน่านยันสิ้นปีขยายได้ทั้งประเทศ

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามเร่งรัดว่า ขณะนี้การดำเนินการจะเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือเฟส 3 ในวันที่ 1พฤษภาคมที่จะถึงนี้ การให้บริการจะครอบคลุมทุกเฟสจำนวน 45 จังหวัด โดยเพิ่มจาก 12 จังหวัดเพิ่มอีก 33 จังหวัด ครอบคลุมอีก 16 เขตสุขภาพ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร พิจิตร ชัยนาท อุทัยธานี สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก  พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย  บึงกาฬ ชัยภูมิ  บุรีรัมย์ สุรินทร์ สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา 

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า กระทรวงสธ.มีความมั่นใจว่า การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสินในเฟส 3 จะสามารถยกระดับการบริการ อำนวยความสะดวกประชาชน ไม่ต้องรอคิว รอรับยา ตรวจเสร็จรับยาที่บ้าน Health Rider เหมือนที่เริ่มมาแล้วในเฟส 1 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 นำร่อง 4 จังหวัด ต่อมาเฟส 2 นำร่องอีก 8 จังหวัด เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง 2 เฟส ประชาชนพอใจการได้รับบริการเกือบ 100 % การให้บริการได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสธ.ครบทุกแห่งและทุกกองทุนสุขภาพ ปัจจุบันมีหน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสธ. 893 แห่ง จาก 902 แห่งทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 99.7 ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาโครงสร้างเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ มีการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นและไลน์หมอพร้อมทั่วประเทศแล้่วกว่า 40 ล้านคน มีการนัดหมายและดำเนินการบริการระบบการแพทย์ทางไกล 55,446 ครั้ง ออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัล 81,317ใบ มีการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์โดย Health Rider 55,376 ออร์เดอร์ ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของผู้รับบริการมีความพึงพอใจดีมาก เนื่องจากได้รับบริการที่รวดเร็ว เจ้าหน้าที่ส่งยาพูดจาสุภาพ ความสมบูรณ์ของพัสดุ ลดระยะเวลาการรอคอย ช่วยลดความแออัดในการรอรับยาที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ในระยะเฟส 4 จะขยายครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2567 อย่างแน่นอน

โฆษกกระทรวง สธ.ฝ่ายการเมืองกล่าวทิ้งท้ายว่า จากการสรุปข้อมูลล่าสุดวันที่ 24 เมษายน 2567 พบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ รับ - ส่งยา ( Health Rider) ดังนี้ จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ 39 จังหวัด หน่วยบริการที่เข้าร่วม 301 แห่ง 3. อสม.และบุคลากรสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการฯแล้ว 5,258 คน วิ่งจัดส่งยาแล้วทั้งประเทศ 85,217 ออร์เดอร์ และมีรายได้ของ Health Rider เป็นความภาคภูมิใจของบุคลากรของกระทรวงสธ. และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันเต็มที่และดียิ่งเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล

‘บิ๊กป้อม’ ประกาศ ‘พลังประชารัฐ’ เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย อุดมการณ์แน่วแน่ ‘ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส’

(26 เม.ย. 67) พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2567 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพปชร., ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา, นายสกลธี ภัททิยกุล, นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์, นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดการประชุมว่า สวัสดี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกท่าน วันนี้เป็นการประชุมใหญ่สามัญของพรรคพลังประชารัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 43 กำหนดให้พรรคการเมืองต้องจัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา เพื่อเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองเพื่ออนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขา พรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมือง ประจำจังหวัด สมาชิกพรรค จำนวนทั้งหมด เกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุม ตามที่กฎหมายกำหนด

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ คณะกรรมการยุทธศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามอุดมการณ์และเจตจำนงของพรรคทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีสวัสดิการที่ดี มีรายได้ มีความสุข ทุกครอบครัว และเพื่อเร่ง พัฒนาประเทศ ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้พรรคฯ เป็นที่ศรัทธาของพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น พรรคจึงได้เตรียมปรับตัวเองให้สอดรับกับสถานการณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ ของพี่น้องประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มอาชีพ ให้มากยิ่งขึ้น

”วันนี้พรรคพลังประชารัฐจึงขอประกาศตัวเองว่า เราขอเป็นพรรค ‘อนุรักษ์นิยมทันสมัย’ ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ ในการปกป้องสถาบันและบริหารเศรษฐกิจ ที่ทันสมัยเพื่อสร้างชีวิตที่สดใส ให้กับคนไทย ทั้งประเทศ 66 ล้านคน ด้วยสโลแกนใหม่ ที่เห็นอยู่บนเวทีนี้ คือ ‘ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส’ โดยเมื่อถึงเวลา ที่เหมาะสมซึ่งอีกไม่นานนัก พรรคจะได้ประกาศรายละเอียดทั้งหมดอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง”

สำหรับการประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดให้พรรคการเมืองมีการจัดประชุมเพื่อรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีและงบการเงินของพรรคการเมือง ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาในหลายประเด็น โดยเฉพาะการแก้ไขข้อบังคับเรื่องระเบียบการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนพรรคให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวทาง ‘อนุรักษ์นิยมทันสมัย’

จากนั้น นายไพบูลย์ ได้แถลงผลการประชุม ซึ่งในการประชุมวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีวาระการพิจารณาที่สำคัญ เรื่องการแก้ไขข้อบังคับพรรคให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย แก้ไขข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. 2566 มีการแก้ไข 9 ข้อ และจากการพิจารณาตรวจสอบงบการเงินประจำปี 2566  ผลการดำเนินงานได้ดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานการดำเนินงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ ซึ่งพรรคพปชร. มีรายได้ทั้งสิ้น 321.875 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 328 ล้านบาท ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 60,970 ราย

ERDI-CMU ร่วมกับ บมจ. เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า เดินหน้าต่อเนื่อง นำเสนอโครงการ Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response" ต่อคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร  

“รศ.ดร. สิริชัย และ ผศ.ดร.พฤกษ์” รับรองผลการประหยัด Platform บริหารจัดการ พลังงานสะอาด ประหยัดจริง 9%

รศ.ดร. สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี และดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ และบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด นำเสนอโครงการ "Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response" ต่อ นายซูชัย มุ่งเจริญพร ประธานคณะอนุกรรมาธิการ และ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ณ ประชุมกรรมาธิการ N 408 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ในวันพุธที่ 24 เมษายน 25567

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย          หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand, Demand Response การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon เป็นหม้อแปลงบริหารระบบจัดการพลังงานที่บริหารจัดการการสิ้นเปลืองให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเสถียรภาพกับการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและยั่งยืน ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม, อาคาร สถานประกอบการ ลดค่าไฟฟ้า 5-20% (Energy Saving) ลดคาร์บอน 5-20% (Low Carbon) มากกว่า 100 ล้านตัน ลดมลพิษ (Low Emission) ทำให้อุปกรณ์อายุการใช้งานยาวนานขึ้น (Long Life Equipment) เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม สถานประกอบการ เจ้าของอาคาร ตามนโยบายของรัฐบาลในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน และลดอุณหภูมิโลก

‘ไทย’ ครองอันดับ 1 ประเทศน่าไปเยือนที่สุดในโลกปี 2024 ชนะขาดด้วยคะแนน 72.15 จากผลสำรวจของ CEOWORLD

(26 เม.ย. 67) ถือเป็นเรื่องราวน่ายินดีสำหรับคนไทย เมื่อเว็บไซต์นิตยสารชื่อดังอย่าง CEOWORLD Magazine จัดอันดับประเทศในโลกที่ควรเยี่ยมชมที่สุดในชีวิตปี 2024

นิตยสาร CEOWORLD รวบรวมรายชื่อประเทศในโลกที่ควรไปเยือนในช่วงชีวิต โดยการจัดอันดับอิงตามความคิดเห็นจากผู้อ่านมากกว่า 295,000 ราย ถือเป็นระดับการมีส่วนร่วมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของนิตยสาร

ปรากฎว่าประเทศไทยติดอันดับ 1 จาก 67 ประเทศทั่วโลก ด้วยคะแนน 72.15 ตามมาด้วย ประเทศกรีซ คะแนน 67.22, ประเทศอินโดนีเซีย คะแนน 65.15, โปรตุเกส คะแนน 64.32, ศรีลังกา คะแนน 60.53

ทั้งนี้ เว็บนิตยสารดังกล่าวระบุไว้ว่า ประเทศไทยประกอบด้วยความหลากหลาย เช่น สถานบันเทิงยามค่ำคืน, อาหารอร่อย, ศิลปะและวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา, แหล่งช็อปปิ้งที่ดีเยี่ยม, แม่น้ำลำคลองที่คดเคี้ยวอย่างสวยงาม, วัดวาอาราม, ตลาดกลางคืน

หากมองหาความสงบในช่วงวันหยุดควรไปเกาะบางกระเจ้า ที่ตั้งอยู่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งห่างจากความวุ่นวายของเมืองที่มีวัด ตลาดน้ำ สวนสาธารณะสุดพิเศษ รวมถึงบ้านที่มีเรื่องราว

เรียนสาขาไหนดี? จบมา มีงานทำ แถม ‘รายได้สูง’

(26 เม.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘Sompob Pordi’ โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ ‘เรียนอะไรได้ตังค์เยอะสุด?’ โดยระบุว่า…

โพสต์ที่แชร์มาเป็นของฝรั่ง ในบ้านเขา ปริญญาตรีที่ทำงานได้เงินมากที่สุด 3 สาขา คือ วิศวะคอมพิวเตอร์ ($80,000/ปี) วิศวะเคมี และคอมพิวเตอร์ซายเอนซ์ ($75,000 /ปี) โดยผู้ที่เรียนจบสามสาขานี้จะมีรายได้สูงกว่าผู้ที่เรียนจบสาขาสังคมสองเท่า

ใน 16 สาขาที่ทำเงินสูงสุด เกือบทั้งหมดเป็นวิศวกรรมศาสตร์ แทรกด้วย คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เภสัชศาสตร์ การเงิน วิเคราะห์ธุรกิจ

ส่วนสาขาวิชาที่รายได้ต่ำสุดก็ยังเป็นพวก liberal art หรือสายสังคม ประเภท มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์, เทววิทยา และ สาขาที่เกี่ยวกับการแสดง

ทั้งหมดนี้เป็นของฝรั่ง แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะฝรั่ง จีน แขก ไทย ก็ไม่ต่างกันแต่อย่างใด

เพราะเหตุนี้ หากประเทศเล็ก ๆ จน ๆ อย่างเราไม่ต้องการเป็นประเทศเล็ก ๆ จน ๆ ตลอดไป ก็ควรรีบปิดคณะ/มหาวิทยาลัยสายสังคมทิ้งซัก 90% ของปัจจุบัน แล้วเอางบประมาณ ทรัพยากร มาทุ่มให้กับสายอื่นที่มีประโยชน์ ที่คุณค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า รวมทั้งสายอาชีวะด้วย

ถ้าทำตามนี้ นอกจากประเทศจะมีความสามารถ มีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ประชากรที่ฉลาดเท่ากับควาย ที่มีค่าแรงขั้นต่ำเป็นเป้าหมายในชีวิต ที่มีความฝันจะเป็นกาฝากสังคม เกาะกินสวัสดิการ จะลดลงด้วย

‘ก.พลังงาน’ สั่ง ‘กกพ.’ บี้ ‘ปตท.’ คืนค่าชอร์ตฟอล 4,700 ลบ. เล็งดึงเงินลดค่าไฟงวดสุดท้ายปี 67 ได้ 7.8 สต./หน่วย

(26 เม.ย. 67) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสั่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตรวจสอบการส่งผ่านราคาก๊าซธรรมชาติ 

กรณีผู้ผลิตไม่สามารถส่งมอบก๊าซฯ ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (ชอร์ตฟอล) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพิ่มเติมจากงวดแรก 4,300 ล้านบาท มีช่วงเวลาอื่นอีกหรือไม่ว่า ล่าสุดทาง กกพ. ได้รายงานผลการตรวจสอบราคาจัดหาก๊าซธรรมชาติของปตท. ระหว่างปี 56-63 พบตัวเลขส่วนต่างราคาชอร์ตฟอลที่ปตท. ซื้อก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย แต่ยังไม่ได้สะท้อนไปเป็นส่วนลดในราคาพูลแก๊สหรือราคารวม อีก 4,700 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ปตท. ต้องส่งคืน เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน หลังจากก่อนหน้านี้คณะกรรมการ หรือบอร์ดปตท. มีมติยอมส่งคืนราคาชอร์ตฟอล ระหว่างต.ค. 63 - ธ.ค. 65 เป็นมูลค่า 4,300 ล้านบาท เพื่อนำมาลดต้นทุนค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 29 เม.ย. คณะอนุกรรมการตรวจสอบการส่งผ่านราคาก๊าซธรรมชาติ กรณีผู้ผลิตไม่สามารถส่งมอบก๊าซได้ตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (ชอร์ตฟอล) จะประชุมพิจารณาตัวเลขส่วนต่างราคาชอร์ตฟอลรอบสอง มูลค่า 4,700 ล้านบาท

ก่อนเสนอให้กกพ.มีมติ และแจ้งไปยังปตท.ให้ดำเนินการต่อไป หากปตท.ยอมรับตัวเลขส่วนต่างราคาชอร์ตฟอล จะสามารถนำมาลดค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปี 67 (ก.ย. - ธ.ค. 67) ได้ประมาณ 0.078 บาทต่อหน่วย หรือ 7.8 สตางค์

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 67 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน มีหนังสือถึงกกพ. สั่งให้ตรวจสอบชอร์ตฟอลเพิ่มเติมจากงวดแรก และให้ดำเนินงานการอย่างเร่งด่วน เมื่อได้ผลอย่างไรให้รายงานความคืบหน้าต่อรมว.พลังงานทุก 30 วัน

ซึ่ง กกพ.ได้ส่งหนังสือรายงานรมว.พลังงานเป็นระยะ จนพบข้อมูลตัวเลขล่าสุด โดยงวดแรกปตท.ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของกกพ. เนื่องจากมองว่า ปตท.คำนวณถูกต้องมาตลอด ตามการบริหารสัญญาซื้อขายก๊าซ 

แต่ทาง กกพ. ได้พิจารณายกอุทธรณ์ ทำให้ปตท.ต้องคืนค่าชอร์ตฟอลตามคำสั่ง ซึ่งครั้งนี้หากปตท.ไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง สามารถยื่นอุทธรณ์ และชี้แจงข้อเท็จจริงได้อีกเช่นกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top