Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

‘เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า’ ชี้อังกฤษเตรียมเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า แก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนทะลัก

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า (ECST) ชี้อังกฤษเตรียมเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าและขึ้นภาษีบุหรี่ควบคู่กันตั้งแต่ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป เพื่อนำรายได้ภาษีไปหนุนบริการสาธารณสุข และยังคงแรงจูงใจให้ผู้สูบบุหรี่หันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ด้านตัวแทนองค์กรต้านการสูบบุหรี่ ของอังกฤษ ชี้การเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นกำลังสำคัญในการหยุดการทะลักเข้ามาของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับที่ประเทศไทยกำลังประสบอย่างหนักในช่วงนี้

นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือ กลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) และเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 100,000 คน เปิด เผยว่า “ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2569 เป็นต้นไป รัฐบาลอังกฤษมีแผนจะเริ่มเก็บภาษีใหม่จากบุหรี่ไฟฟ้า และเพิ่มอัตราภาษียาสูบ โดยคาดว่าภาษีสรรพสามิตสำหรับบุหรี่ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 120 ล้านปอนด์ (ราว 5,469 ล้านบาท) ในปี 2569 ถึง 2570 และเพิ่มขึ้นเป็น 445 ล้านปอนด์ (ราว 20,282 ล้านบาท) ในปี 2571 ถึง 2572”

นอกจากนี้ Deborah Arnott หัวหน้าผู้บริหารของ Action on Smoking and Health หรือ ASH ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่รณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ได้กล่าวว่า “การเก็บภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือสำคัญของหน่วยจัดเก็บรายได้และกองกำลังป้องกันชายแดนในการหยุดยั้งการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายที่ทะลักเข้าสู่ท้องตลาด เช่นเดียวกับกรณีของผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่การจัดเก็บภาษีช่วยลดการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายได้ถึงร้อยละ 80 ในช่วงปี 2543 ถึง 2564 โดยสามารถปรับขึ้นภาษีจากบุหรี่มวนได้ตราบใดที่บุหรี่ไฟฟ้ายังคงมีราคาถูกกว่าบุหรี่มวน เพื่อสนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อช่วยเลิกบุหรี่และเปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ซึ่งนับเป็นวิธีช่วยเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่อย่างถูกกฎหมายมีอยู่ในปัจจุบัน”

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนเครือข่ายฯ อีกราย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทยเพิ่มเติมว่า “การประกาศจัดเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าแบบใหม่ของอังกฤษในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าด้วยกฎหมายและมาตรการที่มีความชัดเจนแทนการแบน สามารถช่วยควบคุมการทะลักของบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนได้ ขณะที่เม็ดเงินภาษีมหาศาลที่จัดเก็บได้ก็จะถูกนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชนได้อีก”

“นับตั้งแต่มาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าถูกบังคับใช้เมื่อราวสิบปีก่อน บุหรี่ไฟฟ้ากลับไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แต่ไปอยู่ในรูปแบบของบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนที่ทะลักเข้าสู่ประเทศไทยผ่านตลาดใต้ดิน และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะไม่กี่ปีให้หลังมานี้จากข้อมูลการส่งออกของทางการจีนพบว่ามีการส่งออกมายังไทยมากกว่า 1,500 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่ามาตรการแบนนั้นไม่สามารถปิดกั้นบุหรี่ไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศต้องสูญเสียโอกาสในการจัดเก็บรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล รวมถึงโอกาสที่จะควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้พ้นมือเด็กและเยาวชนอีกด้วย”

“แม้การไม่สูบและไม่ใช้ทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้านั้นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อสุขภาพ แต่ความพยายามของรัฐบาลอังกฤษที่ต้องการคงราคาบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกว่าบุหรี่มวน เพื่อสร้างแรงจูงใจด้านการเงินให้ผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนการสูบบุหรี่มวนนั้น เป็นแนวคิดที่สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับความจริงและความพยายามที่จะสร้างประโยชน์ด้านสาธารณสุขในภาพรวมให้แก่ประชาชนเพราะสิ่งที่อันตรายน้อยกว่า ก็ควรถูกเก็บภาษีในอัตราที่น้อยกว่า เพื่อให้มีราคาที่ถูกกว่า และจูงใจให้ผู้สูบบุหรี่เลือกใช้มากกว่า” นายอาสากล่าวทิ้งท้าย
Source: ASH comment on Budget decisions on tobacco and vaping - ASH

‘จีน’ เดินหน้าแผนริเริ่ม ‘ภูเขา-แม่น้ำ’ ลุย ‘ฟื้นฟูที่ดิน’ ราว 42 ล้านไร่

(23 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีนเปิดเผยว่า จีนได้ฟื้นฟูที่ดินมากกว่า 100 ล้านหมู่ (ราว 42 ล้านไร่) ระหว่างดำเนินการฟื้นฟูทางนิเวศวิทยาขนานใหญ่หรือที่เรียกว่าแผนริเริ่มซาน-สุ่ย (Shan-Shui Initiative) เมื่อวันจันทร์ (22 เม.ย.) ซึ่งตรงกับวันคุ้มครองโลก (World Earth Day)

ทั้งนี้จากรายงานระบุว่า แผนริเริ่มซาน-สุ่ย หรือแผนริเริ่มภูเขา-แม่น้ำ ถือเป็นความมุมานะพยายามของจีนในการฟื้นฟูพื้นที่ธรรมชาติอันครอบคลุมภูเขา ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และทางน้ำใน 29 ภูมิภาคระดับมณฑลของประเทศ คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมด 10 ล้านเฮกตาร์ (ราว 62 ล้านไร่) ภายในปี 2030

ซึ่งแผนริเริ่มซาน-สุ่ย ประกอบด้วยโครงการเกี่ยวกับการคุ้มครองแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง 31 โครงการ โครงการเกี่ยวกับการคุ้มครองที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต 7 โครงการ และโครงการผืนป่าแนวกันลมสามเหนือ 21 โครงการ

ขณะเดียวกันโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาภาคตะวันตกของจีน 22 โครงการ การฟื้นฟูภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน 4 โครงการ การพัฒนาเชิงบูรณาการของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี 4 โครงการ และการพัฒนาเชิงประสานของภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย 4 โครงการ

ชาร์ลส์ การรังวา หัวหน้าฝ่ายการแก้ไขปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (NbS) ระดับโลกขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมวันคุ้มครองโลกในเมืองหลินอี๋ มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน กล่าวชื่นชมความพยายามและความสำเร็จของจีนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ

‘แน็ก’ ยิ้มไม่หุบ หลัง ‘กามิน’ ทักหา รับ!! ปากหมาไปเยอะ แต่รักจริง ด้านฝ่ายหญิง รีบเคลียร์ใจ!! กลับเกาหลีเพราะมีธุระส่วนตัวต้องจัดการ

(23 เม.ย.67) หลังจากออกมาไลฟ์หน้าเศร้า ยอมรับไม่ได้คุยกับ ‘จี กามิน’ ติ๊กต็อกเกอร์สาวชาวเกาหลี หลังฝ่ายหญิงเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด หากเป็นอย่างนี้ทำงานด้วยกันไม่รอด ถ้ากลับมาต้องจริงใจ 100 เปอร์เซ็นต์ บางช่วงก็เกือบจะร้องไห้

แต่ล่าสุดเหมือนสถานการณ์ต่าง ๆ จะคลี่คลายด้วยดี หลังจากที่ ‘แน็ก ชาลี ไตรรัตน์’ ไปโผล่อยู่ในไลฟ์ของคนสนิท แล้วมีแชตข้อความเด้งเข้ามารัว ๆ ซึ่งเป็นข้อความจากกามิน ทำเอาหนุ่มแน็กนั่งยิ้มแก้มแตก แล้วก็บอกว่าไม่ได้ยินเสียงมานาน เดี๋ยวก็คงไปคุยกัน มีแชตข้อความจากสาว มีคนเดียว เราก็ปากหมาไปเยอะ แต่เราก็รัก ทีมงานเราก็รัก ไม่ได้รักอย่างเดียว หลงด้วย เขามีความน่ารักที่ทำให้เราหลงรักกัน

ด้านกามิน ก็ได้ออกมาไลฟ์เคลียร์เรื่องความต่างของวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ ภาษา และการสื่อสาร แต่ก็เข้าใจแน็ก โดยบอกว่าแน็กเป็นคนที่ดี ส่วนสาเหตุที่ไปเกาหลีขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าไปทำไม จริง ๆ มีธุระส่วนตัวที่ต้องจัดการ ทั้งทำเอกสารภาษี บัญชี มีงานถ่ายคลิปคอนเทนต์โปรโมตให้กับติ๊กต็อกหลังได้รับรางวัลและมีภาพติดที่สถานีรถไฟ มีงานแต่งเพื่อนสนิท ที่สำคัญคุณพ่อผ่าตัดทันตกรรมครั้งใหญ่ พร้อมแจงให้เห็นถึงสิ่งที่จะทำตลอดทั้งวันว่ามีอะไรบ้างอีกด้วย

นอกจากนี้ กามิน ยังเผยอีกว่า ตนเองรักชาลี เขาน่ารัก เรามีความรู้สึกต่อกัน อาจมีความเข้าใจผิดในการสื่อสาร เข้าใจข้อความดรามา น่าเสียดายกับคนที่เชื่อ หลายคนไม่อยากให้มาประเทศไทย นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทำให้อารมณ์เสีย ก่อนมาเมืองไทย ก็มีคนพูดถึงชาลีไม่ดี แต่ตนอยากมาสัมผัสด้วยตนเอง พร้อมกันนี้ยืนยันว่ามาทำงานที่เมืองไทยไม่ใช่เพื่อสร้างรายได้ แต่อยากไปหาชาลี และอยากใช้เวลากับชาลี อย่าเข้าใจตนผิด และยอมรับว่าเห็นชาลีไปพีเคกับสาวคนอื่น ทำให้กามินหึงมาก ๆ อีกด้วย

รฟท. เคาะ!! สร้างรถไฟความเร็วสูง เฟส 2 'นครราชสีมา-หนองคาย' ระยะทาง 357 กม. คาดเริ่มก่อสร้างปี 68 เปิดบริการปี 74

(23 เม.ย.67) นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.จะเสนอโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ระยะทาง 357.12 กม. รวมมูลค่าลงทุน 341,351.42 ล้านบาท หลังคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ได้มีมติอนุมัติเมื่อสัปดาห์ก่อน ให้กระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติภายในปี 2567 คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างงานโยธา 48 เดือน (หรือ 4 ปี) ก่อสร้างงานระบบรถไฟฟ้า 66 เดือน (หรือ 5 ปีครึ่ง) กำหนดเปิดให้บริการปี 2574

ปัจจุบัน โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 ช่วง นครราชสีมา-หนองคาย มีการออกแบบงานโยธาเสร็จเรียบร้อย โดยรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เตรียมเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) อนุมัติ

สำหรับ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 ช่วง นครราชสีมา-หนองคาย แบ่งงานเป็น 2 ส่วน คือ

1.งานรถไฟความเร็วสูง วงเงินลงทุน 335,665.21 ล้านบาท ได้แก่ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน 10,310.10 ล้านบาท, ค่าก่อสร้างงานโยธา วงเงิน235,129.40 ล้านบาท, ค่าลงทุนระบบราง วงเงิน 30,663.75 ล้านบาท, ค่าระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล วงเงิน 29,007.08 ล้านบาท, ค่าจัดหาขบวนรถไฟ วงเงิน 17,874.35 ล้านบาท ค่าจัดหาขบวนรถซ่อมบำรุงทาง วงเงิน 2,620.43 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา วงเงิน 6,466.06 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาบริหารโครงการและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานระบบรถไฟ วงเงิน 2,792.38 ล้านบาท และค่าที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ วงเงิน 801.66 ล้านบาท

2.งานศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา วงเงินลงทุน 5,686.21 ล้านบาท ได้แก่ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน 2,108.51 ล้านบาท ,ค่าก่อสร้างงานโยธา วงเงิน 2,325.46 ล้านบาท ,ค่าลงทุนระบบราง วงเงิน 418.76 ล้านบาทค่าระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล วงเงิน 89.44 ล้านบาท, ค่าเครื่องมือ/อุปกรณ์ยกขนในศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าฯ 429.24 ล้านบาท, ค่าจัดหารถจักรในศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าฯ 210.00 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา วงเงิน 63.95 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาบริหารโครงการและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานระบบรถไฟ วงเงิน 29.38 ล้านบาท และค่าที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ วงเงิน 11.47 ล้านบาท

โครงการรถไฟไทย-จีน เฟส 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย แบ่งเป็นทางวิ่งยกระดับ (Elevated Structure) ระยะทาง 202.48 กม. ทางวิ่งระดับดิน 154.64 กม. (แบบคันทาง 138.93 กม. เป็นสะพานรถไฟ 15.71 กม.) มี 5 สถานี ได้แก่ สถานีบัวใหญ่,สถานีบ้านไผ่, สถานีขอนแก่น, สถานีอุดรธานี, สถานีหนองคายมีหน่วยซ่อมบำรุงทาง 4 แห่ง ได้แก่ หน่วยซ่อมบำรุงบ้านมะค่า , หน่วยซ่อมบำรุงหนองเม็ก, หน่วยซ่อมบำรุงโนนสะอาด , หน่วยซ่อมบำรุงนาทา มีศูนย์ซ่อมบำรุง 2 แห่ง คือ ศูนย์ซ่อมบำรุงนาทา และศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย และมีย่านกองเก็บตู้สินค้าและย่านเปลี่ยนถ่ายสินค้า 1 แห่ง ที่นาทา

นายนิรุฒ กล่าวว่า เบื้องต้นการก่อสร้างงานโยธาทั้งโครงการมูลค่าการลงทุน 341,351.42 ล้านบาท จะแบ่งงานออกเป็น 13 สัญญา โดยในส่วนของการก่อสร้างแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. วงเงิน 235,129.40 ล้านบาท แบ่งงานโยธาเป็น 11 สัญญา เฉลี่ยมูลค่าสัญญาละประมาณ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผู้รับจ้างก่อสร้างที่มีคุณภาพ และการเข้าร่วมประมูลไม่มากราย หรือไม่น้อยรายจนเกินไป นอกจากนี้ ยังมีงาน ศูนย์ซ่อมบำรุงนาทา 1 สัญญา และศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย 1 สัญญา โดยจะใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e - bidding) ตามระเบียบกรมบัญชีกลาง

นอกจากนี้ บอร์ดรฟท.ยังเห็นชอบผลการศึกษาโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและย่านกองเก็บตู้สินค้าเพื่อรองรับการขนส่งทางราง จังหวัดหนองคาย (ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าฯนาทา) ตามมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งเห็นว่าควรแยกการลงทุนออกมาดำเนินการในรูปแบบ PPP โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโครงการที่ช่วยขยายขีดความสามารถทางการขนส่งของจังหวัดหนองคาย ให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทย-ลาว-จีน

โดยหลังจาก บอร์ดรฟท. ให้ความเห็นชอบ จะนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ก่อนเสนอคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) เห็นชอบหลักการและเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติเพื่อดำเนินการคัดลือกเอกชนร่วมลงทุน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571

สำหรับโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา และย่านกองเก็บตู้สินค้า เพื่อรองรับการขนส่งทางราง จ.หนองคาย ขนาดเนื้อที่ ใช้รูปแบบ PPP Net Cost มูลค่าการร่วมลงทุน 7,211.94 ล้านบาท (การรถไฟฯลงทุน 6,560.03 ล้านบาท หรือ 90.96% เอกชนลงทุน 651.91 ล้านบาท หรือ 9.04%) ระยะเวลาร่วมลงทุน 20 ปี ประเมินค่าสัมปทานที่การรถไฟฯ ได้รับตลอดอายุโครงการ ที่4,457.07 ล้านบาท โดย การรถไฟฯ มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 5.87% เอกชน 15.09% มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) รฟท. ที่ 941 ล้านบาท เอกชน 32 ล้านบาท

‘ฮ.กองทัพเรือมาเลเซีย’ 2 ลำ ชนกันกลางอากาศ สลด!! ทหาร 10 นายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

(23 เม.ย.67) กองทัพเรือมาเลเซีย รายงานว่า เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการทางทะเลเอชโอเอ็ม (HOM) และเฮลิคอปเตอร์เฟนเน็กชนกันกลางอากาศเหนือฐานทัพในเมืองลูมุต รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเวลา 9.32 น. ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ทหารบนเฮลิคอปเตอร์เอชโอเอ็ม 7 นาย และบนเฟนเน็กอีก 3 นายเสียชีวิต

รายงานที่สำนักข่าวแชนแนลนิวส์เอเชีย ระบุว่า เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำบินขึ้นเมื่อเวลา 9.03 น. หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองชนกัน เอชโอเอ็มตกไปที่บันไดของสนาม ขณะที่เฟนเน็กตกไปในสระน้ำ ส่งผลให้ทหารทั้ง 10 นายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนร่างของเหยื่อถูกนำส่งโรงพยาบาลกองทัพเรือลูมุต เพื่อระบุอัตลักษณ์ต่อไป

ทั้งนี้ การฝึกบินดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมเดินขบวนสวนสนามเนื่องในวันครบรอบกองทัพเรือ 90 ปี

ด้านกองทัพเรือมาเลเซียเตรียมสอบสวนเพื่อหาสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าวต่อไป และขอให้สาธารณชนหยุดแชร์วิดีโออุบัติเหตุดังกล่าว เพื่อรักษาความรู้สึกอ่อนไหวของครอบครัวผู้สูญเสีย และเพื่อกระบวนการสอบสวน

ภาพอุบัติเหตุที่แชร์ในโซเชียลมีเดีย เผยให้เห็นเฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ บินขึ้นเหนือฐานทัพแบบสะเปะสะปะ จากนั้นกล้องก็จับภาพไปยังเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำทางขวามือ แล้วทั้งสองลำก็ชนกันจนเกิดเพลิงไหม้ และควันโขมง ก่อนตกลงสู่พื้น

กมธ.อุตฯ หวั่น!! พฤติกรรมลอกเลียนเผาทำลายกากอุตสาหกรรม จี้!! ‘ก.อุตฯ’ เคลียร์ระบบจัดเก็บกาก-ตรวจสอบใหม่ทั้งประเทศ

(23 เม.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมที่จังหวัดระยองว่า ไฟไหม้ลักษณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ซ้ำซากมาก สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นอุบัติเหตุจริง กรมโรงงานอุตสาหกรรมต้องหามาตรการป้องกันให้ได้ผล แต่ที่ผ่านมามักจะมีการเผาทำลายหลักฐานกากอุตสาหกรรม แต่การดูแลควบคุมทำไม่ได้ปล่อยให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ

นายอัครเดช กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแล จะต้องเข้าไปตรวจสอบและป้องกันการก่อเหตุให้ได้ผล ที่ผ่านมากลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมาเกิดที่จังหวัดระยอง ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรม ไม่เข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง จะเกิดการเผาทำลายหลักฐานเช่นนี้ขึ้นอีก เหตุการณ์ไฟไหม้โรงเก็บกากอุตสาหกรรมในหลายจังหวัดมีหลักฐานชัดเจน แต่ก็ไม่มีการชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบว่า การดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการไปถึงไหน มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) บ้างหรือไม่

“ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องจัดการปัญหานี้ใหม่อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง ต้องมีการสังคายนาระบบการจัดเก็บกากอุตสาหกรรมใหม่ทั่วประเทศ เพราะเหตุไฟไหม้ที่ผ่านมาส่วนมากเกิดจากการเผาทำลายหลักฐาน ในเมื่อกำจัดกากอุตสาหกรรมไม่ได้และใช้งบประมาณดำเนินการมากก็เลยใช้วิธีเผาทำลายโดยความตั้งใจ ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้นซ้ำซาก ดังนั้นกรณีนี้และหลายกรณีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสอบสวนอย่างจริงจังว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือจงใจเผาทำลาย ถ้าพบการเผาทำลาย ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเนื่องจากส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งกมธ.อุตสาหกรรมเคยตั้งคำถามไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีแต่ยังเกิดเหตุซ้ำซากขึ้นอีก ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังเสียทีนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว” ประธานกมธ.อุตสาหกรรมกล่าว

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า กมธ.คงจะต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาติดตามเหตุไฟไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมอีกครั้ง ทั้งที่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยองว่า ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำซาก ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ก็จะกลายเป็นแฟชั่นเผาเพื่อทำลายหลักฐาน

‘บางจากฯ’ ผนึกกำลัง SME D BANK เสริมแกร่ง SME เติมทุนคู่พัฒนา สร้างโอกาสธุรกิจในปั๊มน้ำมันบางจาก

(23 เม.ย.67) นายปริญญา กิตติการุญจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจค้าปลีก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางจากรีเทล จำกัด, นายวรากร โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และรองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC, นายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ และ นายนิพนธ์ ยุทธนาระวีศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ร่วมเปิดงานสัมมนา ‘SME D Bank เสริมแกร่งเติมทุน สร้างโอกาสธุรกิจในปั๊มน้ำมันบางจาก’ เสริมความรู้ด้านธุรกิจและช่องทางแหล่งเงินทุน เสริมศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจกลางและขนาดย่อมให้แข็งแกร่ง ต่อยอดธุรกิจได้อย่างมั่นคง 

โดยงานนี้ จัดขึ้นภายใต้บริษัท บางจากฯ บริษัท บางจากศรีราชา จำกัด (มหาชน) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยมีผู้ประกอบการสถานีบริการบางจาก ผู้บริหารและวิทยากรจากทั้ง 3 หน่วยงาน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมปันสุข 1-2 สำนักงานใหญ่บริษัท บางจากฯ อาคาร M Tower เมื่อเร็ว ๆ นี้

สำหรับงานสัมมนา ‘SME D Bank เสริมแกร่งเติมทุน สร้างโอกาสธุรกิจในปั้มน้ำมันบางจาก’ จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในสถานีบริการบางจาก ผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าและ ซัพพลายเชน (Supply Chain) หรือผู้สนใจจะลงทุนเปิดร้านในสถานีบริการบางจาก ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ และคำปรึกษาเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจจาก SME D Bank เพื่อประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจเสริมในสถานีบริการ ให้สามารถตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกวัยตามแนวคิด Greenovative Destination for Intergeneration ของบางจากฯ ที่ไม่เพียงให้บริการน้ำมันคุณภาพสูง แต่ยังมีบริการเสริมที่หลากหลาย ครบครัน สามารถเติมเต็มและสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด 

ก่อนหน้านี้ บางจากฯ ได้ร่วมกับ SME D Bank ในการจับคู่คู่ค้าที่มีความสนใจเช่าพื้นที่ในสถานีบริการบางจาก ทำให้ ได้กลุ่มลูกค้า SME ที่ทำธุรกิจ แต่ยังขาดทำเลพื้นที่เช่า มาร่วมทำธุรกิจในสถานีบริการบางจากเพิ่มเติมไปบ้างแล้ว

'นักเขียนซีไรต์' แชร์ประสบการณ์ความหนาวเข้ากระดูกในนิวยอร์ก ชวนให้นึกถึงเมษายนเมืองไทย เจอร้อนจัดๆ คงดีเหลือประมาณ

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.67) นายวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

วันนี้ออกไปทำธุระนอกบ้านหลายชั่วโมง ตั้งแต่ก่อนเที่ยงจนบ่าย รับพลังงานแสงอาทิตย์มาหลายกิโลวัตต์ มองดูตัวเอง คล้าย ๆ เนื้อแดดเดียว ถ้ามีข้าวเหนียวด้วยก็ลงตัว

ผมไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา จึงไม่รู้ว่าเราผ่านจุดร้อนสุดมาแล้วยัง แต่ไอร้อนตอนนี้มันคล้ายอยู่บนดาวซานถี่ ตอนดวงอาทิตย์ขึ้นสามดวงพร้อมกัน

คนไทยที่เจอไอร้อนระดับนี้อาจบ่นอู้ แต่หากเคยผ่านความหนาวของเมืองนอกระดับติดลบ และฮีตเตอร์ไม่ทำงาน จะต้องเปลี่ยนความคิด เห็นว่าร้อนดีกว่า

สมัยผมเรียนและทำงานที่นิวยอร์ก ผมเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับเพื่อนคนไทยและฝรั่งอีกคน เจ้าของตึกเป็นยิว และประพฤติตนเหมือนตัวละครไชล็อกที่เราเรียนในเรื่อง เวนิสวาณิช ทุกประการ 

ยิวแสบคนนี้ปิดฮีตเตอร์ตึกเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนนอนหลับไปแล้ว เรื่องนี้ผิดกฎหมาย แต่ไชล็อกโนสนโนแคร์ เพราะรู้ว่ารายงานไป ทางการนิวยอร์กก็ไม่ทำอะไร เพราะแต่ละวันมีคนหลายร้อยหลายพันคนโดนแบบนี้

ในเมืองร้อน หากเราไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ มันก็ร้อนเท่านั้น แต่ในเมืองหนาว ตึกที่ไม่เปิดฮีตเตอร์ก็คือ การอยู่ในช่องฟรีซเซอร์ตู้เย็น เราต้องสวมเสื้อกันหนาวเต็มยศนอน คล้ายพวกปีนเขาเอเวอเรสต์ มันหนาวเข้าในกระดูก หนาวจนป่วย

ตอนหนาวจัด ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นั้นเอง ผมนึกถึงเดือนเมษายนในเมืองไทย ผมจินตนาการว่าถ้าได้อยู่ในเมืองไทยตอนร้อนจัด ๆ คงดีเหลือประมาณ

ดังนั้นทุกครั้งที่เจออากาศร้อนจัดในเมืองไทย ผมมักนึกถึงคืนที่สวมชุดกันหนาวนอนบนเตียงตัวเอง ในอพาร์ตเมนต์ของไอ้เวรไชล็อก

แล้วความร้อนในเมืองไทยก็คือสวรรค์ดี ๆ นี่เอง

'อรรถวิชช์' ชู RECs 'ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด'  นวัตกรรมช่วยลดโลกร้อน เพิ่มขีดความสามารถผู้ส่งออกไทยสู้เวทีการค้าโลก

(23 เม.ย.67) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานกรรมการบริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยานในการให้ความร่วมมือกันระหว่าง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) เพื่อช่วยองค์กรและผู้ประกอบการไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า "ขณะนี้ผู้ส่งออกสินค้าไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซที่ทำให้โลกร้อนจำพวกคาร์บอน มีเทน และอื่น ๆ หากไม่มีมาตรการหักลบหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง จะโดนข้อกีดกันทางการค้าจากประเทศปลายทางหลายอย่าง เช่น ภาษีคาร์บอน หรือการถูกยกเลิกเป็นคู่ค้า"

โดย บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญในการหามาตรการช่วยลดภาวะโลกร้อน และ ต้องการเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการเข้าสู้เวทีการค้าโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด สามารถให้คำแนะนำ และมีนวัตกรรมที่สามารถจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ ด้วยกลไก ที่เรียกว่า 'Renewable Energy Certificates : RECs' หรือ 'ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด'

"กลไกนี้ จะทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คือ ขาหนึ่งที่สร้างมลภาวะ ขณะที่อีกขาหนึ่งช่วยให้เกิดพลังงานสะอาด ให้หักกลบลบกันไป เพื่อช่วยลดโลกร้อน และเป็นการช่วยผู้ส่งออกไทยให้สู้กับต่างประเทศได้ นี่คือกติกาการค้าใหม่ที่ผู้ส่งออกไทยต้องเจอครับ เป็นเรื่องยากที่ต้องทำให้ง่าย" ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

'โฆษกรัฐ' แจงเสียงวิจารณ์ 'เงินดิจิทัล' เทเข้ากระเป๋าเจ้าสัว ยกตัวเลขร้านค้ามีตั้ง 1.2 ล้านร้าน ของเจ้าสัวแค่หลักหมื่น

(23 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย​ วัชรงค์​ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ภายหลังจากที่มีการประชุมหารือไปหลายรอบ สุดท้ายได้ข้อสรุปเป็นหลักการ ของโครงการเงื่อนไขผู้ที่ได้รับ 50 ล้านคน​ อายุ 16 ปีขึ้นไป​ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท​ มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และจะต้องมีการลงทะเบียนผ่าน Application บน Smartphone

ส่วนการใช้จ่าย​ จะใช้จ่ายในเขตอำเภอตามทะเบียนบ้าน และใช้ในร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โดยรายละเอียดกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้กำหนดว่าร้านค้าขนาดเล็กหมายถึงร้านใดบ้าง และประชาชนมือ​ 1 มีกรอบนี้เวลาการใช้จ่ายเงิน​ 10,000 บาทภายใน 6 เดือน​ เพื่อให้จบในโครงการ​ ขณะที่ร้านค้ามือที่ 1 ที่ขายของให้ประชาชนที่นำเงินดิจิทัลไปใช้ ร้านค้ากลุ่มนี้เป็นร้านอะไรก็ได้​ แม้กระทั่งหาบเร่​ แผงลอย​ ก็สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิ์เป็นร้านค้าได้ แต่เมื่อขายของแล้ว​ ได้เงินดิจิทัลมาแล้ว​ ยังไม่สามารถนำไปขึ้นเป็นเงินได้​ โดยจะต้องนำไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ซึ่งร้านค้าที่ขายให้ประชาชนมือ 1 ที่ผ่านมาแล้ว จะนำไปซื้อของต่อที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตอำเภอ แต่จะสามารถซื้อ​ข้ามเขตจังหวัดได้ และผู้ที่จะขึ้นเงินได้จะต้องเป็นเงินดิจิทัลที่ผ่านการใช้ 2 รอบมาแล้ว​เป็นขั้นต่ำ และร้านค้านั้นๆจะต้องอยู่ในระบบภาษีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม​ ภาษีนิติบุคคล​ หรือภาษีบุคคลธรรมดา​ ตามมาตรา 40 ( 8)​ ของประมวลรัษฎากร

ซึ่งสินค้าที่ยกเว้น​ไม่สามารถซื้อได้​ เช่น​ สินค้าบริการ​ เชื้อเพลิง​ อบายมุข​ สลากกินแบ่ง​รัฐบาล​ เครื่องประดับ โดยจะต้องเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นส่วนใหญ่​ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้มีการลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ปีนี้​ และจะเริ่มใช้ได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินทั้งหมด 5 แสนล้านบาท จะมาจากงบประมาณทั้งหมด โดยเป็นงบประมาณปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท งบประมาณปี 2568​ วงเงิน​ 157,200 ล้านบาท และงบประมาณที่มาจากการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร​ (ธกส.) อีก 172,300 ล้านบาท ส่วนร้านค้าจะกำหนดเวลาให้แน่นอนอีกครั้ง แต่ระยะเวลาการดำเนินโครงการโครงการแลกเงินคืนทั้งหมดไม่เกินเดือน ก.ย.2569

นายชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ ประโยชน์ที่จะได้ในโครงการนี้ปีงบประมาณ 2568 จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2 -​ 1.8% ประโยชน์ของโครงการนี้ จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลาย ๆ โครงการในอดีตที่ผ่านมา ผลของการกระตุ้นไม่ได้จบเพียงปีเดียว ในทางเศรษฐกิจนักวิชาการกระทรวงการคลัง​ ได้จับตัวเลขมาโดยตลอดว่า แนวโน้มของการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ครอบคลุม 3-4 ปี ไม่ใช่ปีแรก 1.2 ถึง 1.8 แล้วจบปีที่ 2 ถึงปีที่ 3 ก็จะยังมีการเติบโต ซึ่งตนได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ​ ทางด้านเศรษฐกิจการคลังมาแล้วว่า การกระตุ้นเที่ยวนี้​ โดยนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต​ ซึ่งกำกับควบคุมว่าจะต้องใช้กับการซื้อสินค้าที่มีผลต่อ GDP สูง จะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 3.2 -​ 3.5 รอบ หรือ money multiplier แต่จะก่อให้เกิดตัวทวีคูณทางการคลังจะเกิดขึ้นประมาณ 1.2 -​ 1.4 เท่าของเม็ดเงิน 5 แสนล้านที่ใส่ไป​ นั่นหมายถึง​ 650,000 ล้านบาท​ ซึ่งจะเป็นตัวเลข GDP ที่จะโตใน 3 ปี

นายชัย​ ยังระบุอีกว่า​ จากการที่ตนได้ไปศึกษาข้อมูลถึงข้อห่วงใย และข้อครหาว่าโครงการนี้ถูกออกแบบ และจะทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าเจ้าสัว และร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น จากการตรวจสอบร้านสะดวกซื้อปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 14,500 สาขา ซึ่งมีเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นของบริษัทเอกชน (บริษัท​ ซีพีออลล์) ​โดยตรง แต่ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ และเมื่อเทียบกับจำนวนร้านค้าขนาดเล็ก และร้านค้าย่อย จากการลงตัวเลขในโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลที่ผ่านมา กระทรวงการคลังรายงานว่า มีตัวเลขร้านลงทะเบียน 1.2 ล้านร้าน​ ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าร้านค้าเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดังนั้น ร้านค้าที่ประชาชนจะนำเงินดิจิทัลไปใช้ได้รอบแรกประมาณ​ 1.2 ล้านร้าน​ ส่วนข้อกังวลว่าจะผูกขาดร้านสะดวกซื้อ 14,500 บาทสาขา อีกครึ่งหนึ่งเป็นของแฟรนไชส์ ขอให้เปรียบเทียบดูร้านค้า 1.2 ล้านแห่งกับหมื่นกว่าแห่ง มันไกลกันเยอะ ดังนั้น โอกาสที่ประชาชนจะไปใช้จ่าย โดยที่ไม่เข้ากระเป๋าของเจ้าสัวจึงมีสูง​ ในข้อเท็จจริงจึงไม่เป็นไปอย่างที่กังวลใจ

นายชัย ยังระบุว่า รัฐบาลไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจ​ ว่าเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ​ ไม่ควรเข้ากระเป๋าใคร​ หรืออย่างไร​ เราไม่ได้มองอย่างนั้น รัฐบาลมองว่า ถ้าเม็ดเงินนี้ผ่านมือประชาชนไปแล้ว เอาไปใช้จริงร่วมกันใช้อย่างเต็มที่ ผ่านกลไกทางด้านการค้า และในที่สุดเงื่อนไขการเบิกเงินก็ต้องเป็นผู้เล่นที่เป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี จึงจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยคิดที่จะตั้งเงื่อนไข​ กีดกันใครก็ตามที่ทำมาหากินแล้วประสบความสำเร็จ​ เติบโตขึ้นมาบนระบบที่ถูกต้อง​ ยอมเสียภาษี​ และวันหนึ่งจะมาถูกต้องข้อรังเกียจว่าคุณหมดสิทธิ์เราจะไม่ทำอย่างนั้น

นายชัย​ กล่าวว่า​ วันนี้มติครม.เห็นชอบในหลักการทั้งหมด​ ที่คณะกรรมการฯ เสนอมา แต่คำว่าเห็นชอบในที่นี้​ คือเห็นชอบในตัวหลักการ แต่เวลาปฏิบัติจากนี้ไปทุกฝ่ายเกี่ยวข้อง กระทรวงการคลัง​ กระทรวงพาณิชย์​ จะต้องไปทำรายละเอียด โดยมีการคำนวณไทม์ไลน์​แล้วว่าจะทันในการลงทะเบียนในไตรมาส​ 3 อย่างแน่นอน​ การจ่ายเงินการโอนรัฐบาลจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน​ ทั้งกฎหมายการเงิน​ การทำโครงการใดก็ตามจะต้องมีเม็ดเงินที่เรียกว่า เม็ดเงินครบเต็มจำนวน การจะใช้เงินตามมาตรา 28 รัฐบาลจะมีการสอบถามอย่างถูกต้อง เช่นประเด็นธกส.​ นายกรัฐมนตรีสั่งในที่ประชุมว่าให้ทำเรื่องเป็นทางการประเด็นไหนให้ถามกฤษฎีกาให้กฤษฎีกาตอบอย่างเป็นทางการให้ชัดเจน และรัฐบาลจะทำให้โปร่งใสให้สิ้นข้อสงสัย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top