Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

‘ปวิน’ เตือนสติ!! ศึก ‘กะเทยไทย-กะเทยฟิลิปปินส์’ ชี้ ถ้าไฟชาตินิยมถูกจุด ดับยาก แล้วจะพังทุกฝ่าย

(5 มี.ค.67) จากกรณีเหตุการณ์ ‘กะเทยไทย’ จำนวนมากนัดรวมตัวกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในซอยสุขุมวิท 11 เพื่อเข้าไปทำร้าย ‘กะเทยฟิลิปปินส์’ ที่ยกพวกรุมทำร้ายกะเทยไทย จนได้รับบาดเจ็บ จนตำรวจ สน.ลุมพินี เข้ามาตรึงกำลัง พร้อมเจรจาให้เปิดทางหน้าโรงแรม เพื่อนำกลุ่มชาวฟิลิปปินส์ไปโรงพัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนำกะเทยฟิลิปปินส์คนแรกออกมา เกิดเหตุการณ์ชุลมุน กลุ่มกะเทยไทยระดมปาขวดเข้าไปใส่กะเทยฟิลิปปินส์ท่ามกลางตำรวจที่ตรึงกำลังอยู่

ก่อนที่กะเทยไทยหลายคนกรูเข้าไปทำร้ายกะเทยฟิลิปปินส์ ทั้งยังกระโดดทิ้งตัวเข้าใส่กลางวงตำรวจและกระหน่ำทุบกะเทยฟิลิปปินส์ไม่ยั้ง ก่อนลากออกมารุมทำร้ายหน้าโรงแรม จนตำรวจเข้าไประงับเหตุจากนั้นควบคุมตัวทั้งกะเทยไทยที่ก่อเหตุทำร้ายและกะเทยฟิลิปปินส์ที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บไปยัง สน.ลุมพินี

ด้าน ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ รองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยเกียวโต แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ ความว่า แว็บแรกอาจจะอ่านดูแล้วขำๆ กะเทยไทยยกทัพรุมตบกะเทยปินส์ หลังถูกกะเทยปินส์หยามก่อนที่พาพวกรุมตบกะเทยไทย

แต่ถ้าเราอ่านอย่างมีวุฒิภาวะ เหตุการณ์เกินขอบเขตไปมาก เหมือนกรณีชาวภูเก็ตยกพวกไล่ฝรั่งสวิส ทั้งสองกรณี มีการโหมไฟแห่งชาตินิยม เราเป็นไทยต้องไม่ให้ต่างชาติมาย่ำยี แม้ว่าความจริง ทั้งสองกรณีสามารถใช้มาตรการทางด้านกฎหมายแก้ไขได้โดยไม่ต้องมีใครเจ็บตัวอีก

เอาละค่ะ คำแนะนำของดิชั้นอาจเป็นคำแนะนำแบบนางงาม แต่จากการสอนหนังสือเรื่องชาตินิยมมาหลายปี ถ้าไฟชาตินิยมมันถูกจุดแล้ว ดับยาก แล้วจะพังทุกฝ่าย นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องการต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในอาเซียน เราต้องรักกันไม่ใช่หรอ แล้วไอ้ความพยายามสร้างอัตลักษณ์ภูมิภาคร่วมกันหละ หรือวันนี้ ถูกกองทัพกะเทยไทยบดขยี้หมดแล้ว?

‘ยูทูบเบอร์สาว’ ร้อง!! ถูกเดนนรก 7 คน บุกขืนใจถึงในเต็นท์ แถมทำร้ายร่างกายสามีจนอ่วม ขณะตระเวนเที่ยวที่ ‘อินเดีย’

(5 มี.ค.67) ยูทูบเบอร์สาวชาวสเปน ได้โพสต์คลิปเล่าประสบการณ์สุดแย่ ถูกชายฉกรรจ์ 7 คนบุกรุมโทรมถึงเต็นท์ และยังทำร้ายสามีจนบาดเจ็บระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางท่องเที่ยวในอินเดีย กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญที่ทำให้สังคมแดนภารตะโกรธกริ้ว และนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อย 3 คน

หญิงสาวซึ่งถือสัญชาติบราซิล-สเปน ได้แชร์เรื่องราวลงบนอินสตาแกรมของเธอซึ่งมีผู้ติดตามหลายแสนคน เนื่องจากเธอและสามีเป็นยูทูบเบอร์สายเที่ยวซึ่งขับขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนเที่ยวหลายประเทศในเอเชีย

ตำรวจรัฐฌาร์ขัณฑ์ (Jharkhand) ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุยืนยันว่า มีการจับกุมชายต้องสงสัยได้แล้ว 3 คน และอยู่ระหว่างล่าตัวผู้กระทำผิดที่เหลืออีก 4 คน

พีทัมเบอร์ ซิงห์ เคอร์วา ผู้กำกับการตำรวจเขตดุมการ์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ตำรวจสายตรวจไปพบนักท่องเที่ยวทั้งสองอยู่ริมถนนสายหนึ่งเมื่อค่ำวันศุกร์ที่แล้ว (1) โดยทั้งคู่มีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ และต่อมาแพทย์ยืนยันว่าฝ่ายหญิงถูกรุมโทรม

เคอร์วา ระบุว่า ชายต้องสงสัย 3 คนถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) และพนักงานสอบสวนทราบแล้วว่าอีก 4 คนที่เหลือเป็นใคร จึงคาดว่าจะได้ตัวครบทุกคน “เร็วๆ นี้”

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องเอาตัวพวกเขามาลงโทษขั้นสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก” เคอร์วา กล่าว พร้อมระบุว่าเหยื่อทั้ง 2 คนจะได้รับเงินชดเชยเยียวยาสูงสุด 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะกรรมาธิการสตรีแห่งชาติอินเดียเรียกร้องให้ตำรวจตั้งข้อหารุมโทรมกับชายทั้ง 7 คน ซึ่งจะมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ยูทูบเบอร์สาวรายนี้กล่าวผ่านคลิปวิดีโอในเพจอินสตาแกรมของเธอว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา ซึ่งเราหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก”

“ฉันถูกผู้ชาย 7 คนรุมโทรม พวกมันทุบตีและปล้นทรัพย์สินของเรา” เธอกล่าว ก่อนที่คลิปนี้จะถูกลบทิ้งไป

ต่อมาในวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ทั้งคู่ได้โพสต์คลิปลงในเพจอินสตาแกรมร่วมซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน โดยเล่าว่า “ตำรวจกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจับกุมพวกมัน พวกเขารู้แล้วว่าพวกมันเป็นใคร”

“เราอยากทวงความยุติธรรม ไม่ใช่แค่สำหรับเราสองคน แต่เพื่อผู้หญิงและเด็กสาวอีกหลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้มา”

ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Antena 3 ของสเปน ยูทูบเบอร์สาวและสามีเล่าว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้รุมขืนใจเธอ และทำร้ายร่างกายสามีของเธอซ้ำๆ หลายครั้ง

“พวกเขาข่มขืนฉัน ผลัดกันทำผลัดกันดูอย่างนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง”

หญิงสาวให้สัมภาษณ์ พร้อมอธิบายว่าที่เธอและสามีตัดสินใจตั้งแคมป์พักแรม ก็เพราะแถวนั้นไม่มีโรงแรมเลยสักแห่งเดียว

สถานทูตบราซิลประจำกรุงนิวเดลีให้สัมภาษณ์กับ NBC News ว่า ทางสถานทูตได้ยื่นประท้วง “การก่ออาชญากรรมสุดป่าเถื่อน” ต่อสามีภรรยาคู่นี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเปนก็ยืนยันว่า สถานทูตประจำกรุงนิวเดลีได้ติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองคนและพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลอย่างเต็มที่

ยูทูบเบอร์สาว และสามีของเธอได้แชร์คลิปประสบการณ์การเดินทางทั้งในศรีลังกาและปากีสถาน และเผยว่าเคยตั้งแคมป์มาแล้วใน 66 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ “อันตราย”

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติอาชญากรรมแห่งชาติอินเดียพบว่า มีผู้แจ้งความคดีรุมโทรมเฉลี่ยถึง 86 กรณีต่อวันในปี 2022 ทว่าในความเป็นจริงยังมีผู้หญิงอินเดียอีกจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ แต่ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัว

สะเทือนใจ!! ‘ต่างชาติกร่าง’ ทำร้ายคนไทยบนผืนแผ่นดินไทย เปรียบ!! หากเกิดขึ้นใน ‘สหรัฐฯ’ อาจลามถึงขั้นลงถนนประท้วง

จากกรณีชาวต่างชาติได้เข้าทำร้ายคุณหมอ ขณะนั่งพักอยู่ที่บันไดริมชายหาดในภูเก็ต จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ภายหลังชาวต่างชาติรายดังกล่าวพร้อมภรรยาได้ออกมาขอโทษคุณหมอผู้เสียหาย แต่ทางคุณหมอยืนยันจะเอาผิดทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (4 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘David William’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่รู้จักกันบนโลกโซเชียลมีเดียจากการที่เขาสามารถใช้สำเนียงการพูดได้หลากหลายเพื่อคำคอนเทนต์สนุกๆ บนโลกโซเชียล จนยอดผู้ติดตามในเพจเฟซบุ๊กสูงถึง 1.4 ล้านคน ได้ออกมาโพสต์วิดีโอแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

ครูเดวิด กล่าวว่า คุณมาประเทศของคนอื่น มาอยู่ในบ้านของคนอื่น ซึ่งเขายินดีที่จะให้คุณอยู่ ทั้ง ๆ ที่คุณไม่มีสิทธิ์ แถมคุณยังมีโอกาสได้ทำธุรกิจ อยู่ดีกินดี แล้วมาทำอย่างนี้ได้อย่างไร? ถ้าจะมาทำตัวแบบนี้กับคนที่ให้บ้านอยู่อาศัย ก็เชิญกลับประเทศคุณไปเถอะ

ครูเดวิดกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่งงมากจริง ๆ คือ ที่ที่คุณหมอนั่งเป็นพื้นที่สาธารณะ และคุณหมอก็เป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศ นั่งในพื้นที่ที่เป็นสาธารณะในพื้นที่ประเทศตัวเอง แล้วจะไปไล่ให้คุณหมอออกจากพื้นที่ตรงนั้น ด้วยพฤติกรรมแบบนั้นได้อย่างไร?

นอกจากนี้ครูเดวิดยังได้ยกตัวอย่างนิสัยของชาวตะวันตก โดยระบุว่า… “จะมีฝรั่งบางจำพวกที่เมื่อมาเที่ยวที่ประเทศในเอเชีย จะชอบคิดว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน เหนือกว่าทุกสิ่ง”

ครูเดวิดได้แสดงความคิดเห็นเตือนสติคนไทยไว้ด้วยว่า… “ก็อยากจะขอเตือนคนไทยทุกคนด้วยความเคารพอย่างยิ่ง อยากให้เลิกใจดีขนาดนี้ได้แล้ว ซึ่งจากลักษณะของคนไทยที่สังเกตได้คืออยากให้ทุกคนมาอยู่ร่วมด้วย และเป็นหนึ่งประเทศที่น่ารักกับชาวต่างชาติมาก ๆ แต่ก็ต้องแยกแยะระหว่างชาวต่างชาติที่อยู่ประเทศไทย เคารพกฎหมาย รักคนไทย ให้ความเคารพคนไทย กับฝรั่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด ฝรั่งที่ไม่เคยให้เกียรติคนอื่ และฝรั่งที่ชอบดูถูกคนไทย”

ครูเดวิดได้เปรียบเทียบหากเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนว่า… “ผมขอการันตีเลยว่าหากเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ผู้คนที่นั่นเป็นคนที่รักชาติบ้านเกิด และภูมิใจในประเทศของตัวเองแบบสุด ๆ แต่เขาก็สามารถอยู่กับชาวต่างชาติได้ แต่ชาวต่างชาติก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมาก ๆ ว่ารักสหรัฐอเมริกาแบบแท้จริง”

“และแน่นอนว่า หากมีชาวต่างชาติ ทำร้ายคนสหรัฐฯ เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คนสหรัฐฯ จะไล่ชาวต่างชาติคนนั้นออกจากประเทศ ไม่เท่านั้นนะ ทุกอย่างจะลุกเป็นไฟ จะมีการลงถนนประท้วงด้วยซ้ำ”

ครูเดวิดได้สรุปทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอคนไทยอย่าปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไป เพื่อให้ชาวโลกรู้ เพื่อให้ชาวโลกเห็นว่าคนไทยจะไม่ยอมโดนดูถูกในประเทศตัวเอง และพวกเรามีสิทธิในการปกป้องศักดิ์ศรีของพวกเราอย่างแน่นอน”

'รมว.ปุ้ย' รับลูก!! 'เศรษฐา' เร่งออกมาตรฐาน 'บันไดเลื่อน-ทางเลื่อน'  จ่อบังคับใช้โดยเร็ว เพิ่มความปลอดภัย ปิดทางอุบัติเหตุซ้ำรอย

(5 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เร่งรัดให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรฐานบันไดเลื่อน และทางเลื่อนอัตโนมัติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและป้องกันอุบัติเหตุซ้ำรอยนั้น คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (บอร์ด สมอ.) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐานดังกล่าวแล้ว โดยอ้างอิงข้อกำหนดด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ สมอ. เร่งดำเนินการประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็วที่สุด 

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า คณะกรรมการได้พิจารณาร่างมาตรฐานบันไดเลื่อน และทางเลื่อนอัตโนมัติที่ สมอ. เสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบแล้ว รวมทั้งยังได้เห็นชอบร่างมาตรฐานอื่นๆ อีก จำนวน 111 เรื่อง เช่น กลอนสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ, ท่อยางและท่อพลาสติกสำหรับใช้กับก๊าซหุงต้ม, ฟิล์มติดกระจกรถยนต์, เต้ารับเต้าเสียบที่ใช้ในรถยนต์, หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง, ระบบอากาศยานไร้คนขับ และกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า รวมทั้งมาตรฐานเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนที่ทำหน้าที่ให้ความร้อนแก่ของเหลวที่นำมาทบทวนใหม่ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน เพื่อให้มีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น เช่น กาต้มน้ำไฟฟ้า, กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า และหม้อหุงข้าว เป็นต้น 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐาน 'บันไดเลื่อนและทางเลื่อนอัตโนมัติ' เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยและระบบไฟฟ้า ที่อ้างอิงตามมาตรฐานระหว่างประเทศ (มาตรฐาน ISO) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง เป็นที่ยอมรับของสากล และทั่วโลกได้นำไปใช้ โดยมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่สำคัญ ได้แก่ การป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากวงจรควบคุม การป้องกันอันตรายที่เกิดจากการแตกหักระหว่างทำงาน การป้องกันการรับน้ำหนักและบรรทุกเกิน และจะมีเซนเซอร์ตรวจจับความผิดปกติต่างๆ ในขณะทำงาน เช่น เมื่อบันไดเลื่อนหรือทางเลื่อนมีความเร็วผิดปกติ ระบบเบรกไม่ทำงาน มีขั้นบันไดหรือแผ่นพื้นเลื่อนที่แอ่น มีชิ้นส่วนอุปกรณ์ใดๆ หลุดหายไป หรือหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในซี่หวีบันไดเลื่อนหรือทางลาดเลื่อน เซนเซอร์จะตรวจจับความผิดปกติดังกล่าว และจะหยุดการทำงานทันที เพื่อป้องกันอันตรายขณะมีผู้ใช้งานได้ ทั้งนี้ สมอ. จะเร่งดำเนินการประกาศรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องทำ และนำเข้าเฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามฏหมาย โดยหลังจากนี้ สมอ. จะแจ้งให้ผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำเข้าบันไดเลื่อนและทางเลื่อนอัตโนมัติทุกราย ให้เตรียมยื่นขออนุญาตให้ถูกต้อง ทันตามกำหนดเวลาที่มาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อไป

‘กะเทยฟิลิปปินส์’ โพสต์คลิปร่ำไห้ วอนขอให้ช่วยเพื่อนๆ แต่เจอชาวเน็ตปินส์ สวด!! หัดเรียนรู้ที่จะ ‘ถ่อมตัว-ยอมจำนน’

(5 มี.ค.67) กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโซเชียลเลยจริง ๆ กับกระแสวันกะเทยผ่านศึก ตำนานศึกกู้ชาติกะเทยไทย VS กะเทยฟิลิปปินส์ ซึ่งจบลงเป็นที่เรียบร้อยหลังผ่านไป 10 ชั่วโมง

ล่าสุด มีหนึ่งในชาวฟิลิปปินส์ได้ออกมาลงคลิปวิดีโอร้องไห้ เช็ดน้ำตาลงโซเชียล พร้อมระบุว่า “ได้โปรดช่วยเพื่อนฉันด้วย”

งานนี้ ชาวโซเชียลไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ตามเจอคลิปวิดีโอดังกล่าวจึงแห่เข้าไปคอมเมนต์เป็นภาษาอังกฤษ ชี้แจงให้คนฟิลิปปินส์รู้ว่าเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมเจ้าของโพสต์ถึงขอให้ช่วยทั้ง ๆ ที่พรรคพวกตัวเองเป็นคนไปทำคนไทยก่อน

“พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน” , “เป็นพวกคุณที่เข้ามาทำร้ายร่างกายกันก่อน คุณจะให้คนอื่นมอบดอกไม้ให้เหรอฟิลิปปินส์”, “มันปกติใช่มั้ย? กะเทยปินส์ 20 คนรุมกะเทยไทย”

ทั้งนี้ มีชาวฟิลิปปินส์เข้ามาคอมเมนต์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอีกด้วย “ให้ความเคารพคนอื่นก่อน แล้วจะได้ความเคารพกลับคืน” , “มาสำนึกผิดทีหลังเหรอ ไม่ว่าใครจะเริ่มต่อสู้ก่อนกับความจริงที่ว่าคุณอยู่ต่างประเทศ จงเรียนรู้ที่จะถ่อมตัวหรือยอมจำนน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น คุณจะออกจากโรงแรมไม่ได้”

ก่อนเจ้าของโพสต์จะมาตอบคอมเมนต์ดังกล่าวว่า “คือแม่ อย่าแสดงความคิดเห็นแบบนั้น!!!!” ทางด้านคอมเมนต์ดังกล่าวจึงมาตอบกลับอีกทีว่า “ไม่มีอะไรผิดกับสิ่งที่ฉันพูด ฉันแค่พูดความจริง ความเห็นอกเห็นใจชาวฟิลิปปินส์ก็จริงอยู่ แต่เมืองไทยไม่ใช่บ้านเรา ไม่รู้ว่าไส้รู้พุงขนาดนั้นว่า ประเทศไทยเหมือนบ้านเราไหม”

‘จิรายุ’ เคลียร์ปม ‘หนองวัวซอ’ อุดแรงปั่น ‘แด๊ดดี้’ ชี้!! ที่ดินราชพัสดุไม่ใช่ ‘กรรมสิทธิ’ แต่ต่อสิทธิได้

จากรายการ ‘คุยจบครบกระแส’ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 ดำเนินรายการโดย ‘นายหัวไทร’ เฉลียว คงตุก / จาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ได้สัมภาษณ์พิเศษ ‘นายจิรายุ ห่วงทรัพย์’ โฆษกกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยเรื่อง การนำที่ดินทหารมาให้ชาวบ้านที่บุกรุกเช่าในอัตราราคาถูก แต่กลับถูก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ติงว่าการให้เช่า 3 ปี เป็นระยะเวลาที่สั้นไป ไม่มั่นคง ทาสีไม่ทันแห้งก็ถูกเอาคืน ซึ่งเรื่องนี้ นายจิรายุ ได้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ไว้อย่างชัดเจน ว่า...

“เรื่องของการเช่าที่ดินทหารไม่น่าจะเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ก็กลับมาเป็นประเด็นจนได้ เมื่อคุณพิธา ไปย้อนรอยรัฐบาลถึงโครงการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ‘หนองวัวซอโมเดล’ ให้ผู้เช่าชาวจังหวัดอุดรธานี ว่า เป็นการออกเอกสารให้ชาวบ้านเช่าแค่ระยะสั้นๆ แค่ 3ปีคนที่จะลงทุนจะไปทำอะไร โดยเปรียบเปรยว่า 3 ปี วางแผนเพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้เลย เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวยังหม้อยังไม่ทันได้ดำ เปิดร้านทาสีก็ยังไม่แห้ง ผลผลิตยังไม่ออกผล สัญญาก็จะหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหากคนที่ไม่เข้าใจ พอได้ฟังเช่นนี้ ก็อาจจะเข้าใจผิดได้...

“ทั้งนี้ หากย้อนความกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัย คสช. ยึดอำนาจ ที่ดินของทหารซึ่งมีจำนวนมาก มิได้มีเส้นแบ่งเขตชัดเจน แล้วก็ทำให้เกิดการบุกรุกของประชาชน แล้วพอมีผู้บุกรุกแล้วเจ้าหน้าที่ไปตรวจพบ ก็สามารถไล่ออกได้ทุกเวลา แต่เนื่องจากรัฐบาลต้องการทำให้พื้นที่ซึ่งมีโอกาสต่อประโยชน์ในการทำมาหากินอยู่ในระบบที่ถูกต้อง ทางกรมธนารักษ์ จึงได้ให้สิทธิ์กลับไปยังส่วนราชการในทุกกระทรวง-ทบวง-กรม ได้นำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี เพราะเป็นการนำพื้นที่ไปสร้างประโยชน์แก่ประชาชน...

“อย่างไรก็ตาม ที่ดินเหล่านี้ ซึ่งคุณพิธาอาจจะไม่ทราบ คือ มีการต่อสัญญาเมื่อหมดสัญญาทั้งสิ้น โดยท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ท่านก็เคยได้ออกชี้แจงข้อเท็จจริงมาแล้วว่า หลังจาก 3 ปีก็มีการต่อสัญญาให้ทุกปี หรือทุกครั้งที่หมดสัญญา...

“ฉะนั้น ประเด็นที่คุณพิธา พูดถึงกรรมสิทธิผิดความหมาย และการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วมีการเรียกคืนนั้น ก็เหมือนกับการเล่นการเมืองที่ภายใต้การให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดของประชาชนได้ เพราะที่ผ่านมา การจัดสรรที่ดินทำกิน ในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการ ‘มอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ’ ไม่ใช่ ‘กรรมสิทธิ์’ ตามที่นายพิธากล่าวอ้างอยู่แล้ว” (พิธาพลิกลิ้น ไม่ได้บอกว่าให้ประชาชนเป็นที่อยู่อาศัย คอยจ่ายค่าเช่าให้กับรัฐบาล ไม่ใช่แบบนั้น แต่ต้องเป็นสิทธิในการบริหารอนาคตของตัวเอง สิทธิในการมอบที่ดินให้กับลูกหลาน การมีกรรมสิทธิ์ในการจะเอาที่ดินเข้าธนาคาร นำเงินออกมาแก้ปัญหา ช่วยทำให้ จ.อุดรธานี น่าอยู่)

สำหรับกรณีที่ราชพัสดุ ‘หนองวัวซอโมเดล’ นายจิรายุ กล่าวว่า เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน

“รัฐบาลนายเศรษฐา เพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่อง ในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดล รัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก” นายจิรายุ ย้ำชัด

เมื่อถามว่า แล้วถ้าจะต่อสัญญาแบบระยะยาวให้แก่ผู้เช่าได้หรือไม่ นายจิรายุ เผยว่า โดยส่วนใหญ่ระเบียบการให้เช่าที่ของกรมธนารักษ์ มักจะยืนพื้นการให้เช่าไว้ที่ 3 ปี แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นมาตรฐานแบบเหมารวม เนื่องจากบางพื้นที่และบางกิจกรรมที่แตกต่าง ก็ทำให้ไม่สามารถกำหนด เป็น 3 ปี 5 ปี หรือกี่ปีแบบเดียวกันได้ เช่น บางพื้นที่ใช้ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ การให้สัญญาเช่า 3ปีก็เยอะไปสำหรับบางผู้เช่า หรือบางกรณีมีที่ให้เช่าแถวสถานีขนส่ง บางคนก็อยากประกอบกิจการอื่นๆ โดยมองว่าควรได้ทำระยะยาว ซึ่งตรงนี้มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมในพื้นที่ 

แต่โดยสรุปแล้ว นี่ถือว่าเป็นเจตนาที่ดี ที่ทางรัฐบาลต้องการมอบโอกาสในการทำมาหากินผ่านที่ดินทำกินให้กับประชาชนนั่นเอง

'บิ๊กฮั่น' รับ!! กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ซึ้งใจ 'มาดามแป้ง' รับฟังปัญหา-ทำงานโปร่งใส ขออนุมัติเงิน 40.5 ลบ. หนุนไทยลีก 2-3 ช่วยประคองหยาดเหงื่อทุกทีม

(5 มี.ค. 67) 'บิ๊กฮั่น' มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Miti Tiyapairat' ยอมรับว่าตนถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อ 'มาดามแป้ง' นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนใหม่ ขออนุมัติเงินจำนวน 40.5 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับเหล่าบรรดาทีมในศึกไทยลีก 2 และ ไทยลีก 3

โดย 'มาดามแป้ง' ยืนยันในที่ประชุมสภากรรมการ ว่า ทีมจาก ไทยลีก 3 ทางสมาคมฯ ได้อนุมัติเงินสนับสนุนงวดที่ 2-4 (ครบ) จำนวน 72 ทีม ๆ ละ 375,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000,000 บาท ขณะที่ทีมจาก ไทยลีก 2 อนุมัติเงินสนับสนุน งวดที่ 2-3 จำนวน 18 ทีมๆ ละ 750,000บาท รวมเป็นเงิน 13,500,000 บาท

"วันนี้เป็นการประชุมสภากรรมการครั้งแรก ที่มีพี่แป้งเป็นนายกสมาคม

"สิ่งที่ผมรู้สึกและรู้สึกประทับใจมาก ๆ คือความรวดเร็วในการทำงาน ความโปร่งใสในการนำข้อมูลทุกอย่างมาวางบนโต๊ะ และที่สำคัญคือการเปิดรับฟังความคิดเห็น ที่สภากรรมการได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

"เราได้เห็นปัญหา เราได้รับฟังข้อเท็จจริง จำนวนตัวเลขทั้งรายรับ รายจ่าย รวมไปถึงเงินคงเหลือในแต่ละบัญชีของทั้งสมาคมและบริษัทไทยลีก

"เราได้รับรู้สัญญาของคู่สัญญาของสมาคมและไทยลีก เนื้อหาของสัญญาเป็นอย่างไร ปัญหาคืออะไร หักค่าหัวคิวเท่าไหร่

"โดยท่านนายกนวลพรรณ ได้นำมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะตัวเลขในบัญชีที่คงเหลือเงินอยู่จำนวนหนึ่ง แล้วก็เป็นการนำเสนอของนายกสมาคม คุณนวลพรรณ ที่ได้ขออนุมัติในที่ประชุมถึงการขอมติให้นำเงินออกมาจ่ายให้กับทีมสโมสรในระดับ T2 และ T3 จำนวน 40.5 ล้านบาท

"ในแว่บแรกที่ท่านนายกได้นำเสนอตัวเลข 40.5 ล้านบาทและขออนุมัติสั่งจ่าย ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะนี่คือหยาดเหงื่อของทุกทีม ประธานสโมสร นักเตะ สตาฟฟ์ คนดู ที่ถูกหมางเมินมานาน ในที่สุดทุกทีมก็ได้รับซักที

"นอกจากนี้อาจจะยังมีหลายเรื่องที่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาดังนั้นผมจึงขอเล่าคร่าว ๆ เท่านี้ก่อน

"ผมขอขอบพระคุณท่านนายกนวลพรรณ ล่ำซำ ที่ได้เล็งเห็นทุกหยาดเหงื่อของคนฟุตบอลมีค่าเป็นลำดับแรก ซึ้งใจมาก ๆ 40.5 ล้านก้อนนี้จะต่อชีวิตให้อีกหลายร้อยชีวิตได้มีกำลังใจในการทำอาชีพฟุตบอลต่อไปครับ

"รักฟุตบอลไทย ให้กำลังคนฟุตบอลไทยทุกคน

"เราจะสู้ไปด้วยกันครับ"

‘สว.สมชาย‘ หนุน ‘ปู’ กลับสู่ ‘ไทย-กระบวนการยุติธรรม’ แต่อย่าทำซ้ำรอย ‘พี่ชาย’ ไม่เช่นนั้น เกิดวิกฤติศรัทธาแน่

(5 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจจะได้กลับประเทศ ตามรอยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ปัญหาคือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีคดีที่ศาลตัดสินจำคุก 5 ปี ประเด็นคือจะใช้เกณฑ์ไหน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนเห็นด้วยกับนักโทษที่หลบหนีคดีแล้วศาลตัดสิน โดยเฉพาะส่วนใหญ่ที่เป็นนักการเมืองทึ่เกี่ยวกับคดีทุจริต เมื่อจะกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้ว ก็กลับมาได้ 

นายสมชาย กล่าวต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคนไทย ก็สามารถกลับเข้าประเทศได้ตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อกลับเข้ามาแล้ว ก็ต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรม ศาลตัดสินจำคุก 5 ปี ก็ต้องรับโทษ เว้นแต่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งตนคิดว่าเกณฑ์เรื่องการพักโทษ ก็ยังมีข้อสงสัยและข้อครหา ที่กำลังตรวจสอบกันอยู่ เกี่ยวกับการพักโทษของนายทักษิณ ว่าถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ 

นายสมชาย กล่าวอีกว่า เกณฑ์อายุ 70 ปีนั้น นายทักษิณเข้าเกณฑ์แน่นอน แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อายุยังไม่ถึง 60 ปีเลย และการพักโทษก็ต้องรวมถึงการเป็นโรคเรื้อรังที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วย ซึ่งจะมีข้อคำถามว่า การประเมินนั้น จะอยู่ในเกณฑ์หรือไม่ หากดูจากการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่นอกประเทศ ก็ยังแข็งแรงอยู่ เหมือนกับนายทักษิณชกมวยอยู่นอกประเทศ

“วันก่อนยังเห็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปชิมอาหารอยู่สิงคโปร์ ยังร่าเริงอยู่ ก็ยังถือว่าไม่เข้าเงื่อนไขการขอพักโทษ ดังนั้น หากน.ส.ยิ่งลักษณ์จะกลับประเทศ ก็ต้องทำใจไว้ในการเข้ารับโทษในเรือนจำ ผมคิดว่าคนไทยเห็นแล้วว่า กระบวนการท้ายน้ำของระบบยุติธรรมของกรมราชทัณฑ์มีปัญหา เพราะฉะนั้น ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าประเทศมาแล้วไม่รับกระบวนการยุติธรรมแต่ทำซ้ำไปอยู่ชั้น 14 โดยอ้างว่าป่วย เพื่อที่จะพักโทษอีก ผมคิดว่าวิกฤติศรัทธา กระบวนการยุติธรรมจะเยอะขึ้น” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ตนสนับสนุนให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางกลับประเทศ แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนเมื่อเข้าเรือนจำแล้ว จะทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษเพื่อลดโทษ หรืออะไรก็ตาม จะเข้าเรือนจำแล้วอยู่กี่เดือนกี่วัน เลื่อนจากนักโทษชั้นกลาง เป็นชั้นดี ชั้นเยี่ยม ชั้นดีเยี่ยม แล้วได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในปีถัดๆ ไป ตนคิดว่า ก็เหมือนนักโทษทั่วๆ ไปกว่า 210,000 คน ที่ยังค้างอยู่ในเรือนจำ คิดว่าสังคมรับได้ แต่ถ้ามาวิธีพิเศษเหาะเหินเดินอากาศ เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมก็จะวิกฤตซ้ำ 

เมื่อถามว่าเมื่ออ่านเกมแล้ว คิดว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะกลับประเทศหรือไม่นั้น นายสมชาย กล่าวว่า ไม่รู้ แต่มีคนพยายามจะสร้างเงื่อนไขศรีธนญชัยทางกฎหมาย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อกฎหมาย ปัญหาอยู่ที่เราเลือกใช้ วิธีลอดช่องกฎหมาย ซึ่งวันหน้าคนที่เอื้ออำนวยน่าจะได้รับผลทางกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค สว. ได้เชิญตัวแทนจากคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ เพราะฉะนั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้ จะมีผลในวันหน้าต่อการประพฤติปฏิบัติมิชอบของฝ่ายข้าราชการ ซึ่งจะเป็นบทเรียนให้กับข้าราชการ เพราะคนที่ได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นนายทักษิณหรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในอนาคตหากกลับประเทศ เขาคงไม่มารับผิดชอบต่อข้าราชการประจำ ดังนั้น ข้าราชการประจำก็ต้องรับไป

นายสมชาย กล่าวด้วยว่า ยกตัวอย่างคดีของนายวรยุทธ หรือบอส กระทิงแดง ผ่านมา 10 ปีแล้ว ก็ยังดำเนินการฟ้องผู้เกี่ยวข้องที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นการให้ความช่วยเหลือกับนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อให้ข้าราชการเกษียณอายุไปแล้ว ก็หนีอาญาแผ่นดินไม่ได้ ถ้ามีข้อมูลเพียงพอที่จะชี้ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เวชระเบียน หรือไทม์ไลน์ต่างๆ ข้อเท็จจริงปรากฏไม่เปลี่ยน 

“คนที่คิดว่าลอดช่องกฎหมายได้ ติดคุกมานักต่อนักแล้ว มีคดีที่ข้าราชการติดคุกแทนนักการเมืองก็มาก เห็นชัดเจนคือกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวกับคดีจำนำข้าว ทั้งข้าราชการ กระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิต ใครอยากได้ตำแหน่ง แล้วไปอาสาทำ ก็ต้องรับความชอบในวันนี้ และความผิดในวันหน้า ซึ่งจะเป็นบทเรียนของการบิดเบี้ยวกฎหมาย“ นายสมชาย กล่าว 

ILINK พบนักลงทุน Opp Day Q4/66 ฉายผลงานความสำเร็จ ทำรายได้ 6,965.19 ลบ. มีกำไรสุทธิเด่น พร้อมตั้งเป้าทั้งปี 67 แตะ 7,002 ลบ. เน้นโกยกำไร New High ต่อเนื่อง บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลแรง 0.39 บาทต่อหุ้น เตรียมประกาศ 8 พ.ค. นี้

ILINK ปิดงบปีไตรมาส 4/66 ทำตัวเลขสวย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมอัปเดตนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ พบนักลงทุนในงาน 'Opportunity Day' จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ชี้ชัดถึงผลการดำเนินงานธุรกิจในปี 2566 ที่ผ่านมา โดดเด่น กอบโกยรายได้ พร้อมทำกำไรเติบโตตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า “จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ” พร้อมเคาะตัวเลข เผยปันผลให้ 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) เพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล โชว์ศักยภาพธุรกิจดันรายได้ปีนี้แตะ 7,002 ล้านบาท มั่นใจฟื้นตัวเน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง 

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ ILINK เผยถึงภาพรวมและผลการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจ จากผลงานตลอดทั้งปี 2566 ว่า “กลุ่มธุรกิจในเครือของอินเตอร์ลิ้งค์ มีธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ พลิกบวกทำรายได้ 4 ไตรมาสรวม 6,965.19 ล้านบาท ขานรับทำกำไรสำหรับงวดโดดเด่น รวมแล้วอยู่ที่ 712.20 ล้าทบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% โดยเป็นการตอกย้ำว่า ทุกธุรกิจในเครือประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ พร้อมทำกำไรเซอร์ไพรส์ สูงเป็นประวัติการณ์ ชี้ชัดถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแบบมีคุณภาพ

ซึ่งรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานจากทั้งปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือ 51.82% เป็นผลสำเร็จเติบโตหลัก ๆ มาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดสาย LAN และในหมวดของสาย Solar ที่ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนให้ครัวเรือนติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) ก็เป็นตัวผลักดันให้ตลาดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) เติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ด้านรายได้ในกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) เป็นรายได้จากบริษัทย่อย IPOWER ซึ่งรับเหมาดำเนินงานโครงการที่เกิดขึ้นตามสัญญาจ้าง โดยมุ่งเน้นไปที่งานวางระบบไฟฟ้าสายเคเบิลใต้น้ำ, งานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง, งานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อย และงานวางระบบไฟฟ้าสายเคเบิลใต้ดิน ซึ่งนับว่าเป็นงานที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญสูง ทำให้มีรายได้ที่ก้าวกระโดดรวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% พร้อมกันนี้ ปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 นี้ ที่จะส่งผลทำกำไร พร้อมรายได้สะสมไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้แน่นอน

โดยรายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) เป็นรายได้จากบริษัทย่อย ITEL ทำรายได้รวม 4 ไตรมาส 2,754.94 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32% ถึงแม้จะทำรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 นั้น แต่ในทางกลับกัน บริษัทย่อย ITEL กลับสามารถเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิเทียบกับยอดขายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตแบบมีคุณภาพได้เป็นอย่างดี

สำหรับภาพรวมของทิศทางตลอดทั้งปี 2567 ด้านการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจทั้ง 3 ในเครือ มีการวางแผนตั้งเป้าหมายแน่วแน่ให้กอบโกยรายได้แตะ 7,002 ล้านบาท ไปพร้อมกับเน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง ดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN จากสินค้านวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series : UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) ซึ่งนับเป็นสินค้าชิ้นโบว์แดงแห่งปีที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ได้คิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุคนี้โดยเฉพาะ จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ขณะที่การประมูลงานของกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการในปีนี้ เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือมาอย่างยาวนาน และเป็นความเชี่ยวชาญที่กลุ่มธุรกิจมีความชำนาญโดดเด่น 

ซึ่งคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญาอีกเพียบตลอดทั้งปีนี้ พร้อมเร่งลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนเพิ่มเติม Backlog ให้แน่นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และสำหรับแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทย่อย ITEL กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งปีนี้มีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่ เร่งรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปีนี้แน่นอนอีกด้วย และคาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งปี 2567 นี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.39 บาท จากจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งสิ้น 543,632,325 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 212.02 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นี้

“นับเป็นการชี้ชัดถึงการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบริษัทแม่ และบริษัทลูก ตอกย้ำถึงความสำเร็จตามแบบแผนของการวางยุทธศาสตร์ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งในแง่รายได้ และกำไรสุทธิ โดยอาศัยจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญของแต่ละกลุ่มธุรกิจเป็นสำคัญ โดยสามารถสร้างผลงานได้เป็นที่ประจักษ์ พร้อมนำพากลุ่มธุรกิจไปสู่ผลลัพธ์ที่ก้าวหน้า เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนได้อย่างมีคุณภาพ”  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top