Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

'สว.วีระศักดิ์' ร่วมถกเสวนา 'ชุมชนกับภาวะโลกร้อน…โลกรอด…เรารอด' ชี้!! กทม.น่าห่วง 'ฝุ่นพิษ-มลพิษจากขยะ-อากาศแปรปรวน' รุม ควรเร่งแก้

ไม่นานมานี้ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้รับเชิญจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมลงพื้นที่พบปะและสนทนากับชาวชุมชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อสนทนากับผู้นำชุมชนในเขตดุสิต ในหัวข้อสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพฯ ขยะ ฝุ่น PM2.5 ทางระบายน้ำ และภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่เกิดในกรุงเทพมหานครแล้ว

ในการนี้ นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นประธานในกิจกรรม มี แพทย์หญิง วันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, หม่อมหลวง ปุณฑริก สมิติ อดีตปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน, นางสาวรุจิรา อารินท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตดุสิต ร่วมในกิจกรรม

หลังจากเยี่ยมเยือนกลุ่มผู้เปราะบางตามบ้านพักในชุมชนบางกระบือแล้ว คณะได้จัดให้มีการเสวนารับฟังปัญหาของชาวชุมชนและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเขตดุสิต ที่ห้องประชุมโรงเรียนวัดจันทรสโมสร 

จากนั้นเปิดเวทีเสวนา 'ชุมชนกับภาวะโลกร้อน…โลกรอด…เรารอด' โดยมีนายทรงศัก สายเชื้อ และนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นวิทยากร ซึ่งได้รับความสนใจอย่างดียิ่งจากชาวชุมชน ว่าเป็นประเด็นที่ใกล้ตัวกว่าที่คาดคิด มีทั้งมุมคิดทางแก้ไข และมุมคิดการปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะภูมิอากาศสุดขั้วที่มีแต่จะเพิ่มทวีรุนแรงขึ้นตามลำดับ

การเสวนานี้ดำเนินรายการโดยนายสรรเสริญ เริงฤทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตดุสิต อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดก่รน้ำจากสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร

‘คนภูเก็ต’ เหลืออด!! ความรู้สึกดีๆ ต่อ นทท.เริ่มเสื่อมถอย แปลงกายมา ‘หากิน-กอบโกย-ยึดเกาะ’ ย่ำยีหัวใจเจ้าบ้าน

(4 มี.ค.67) จากเพจ ‘เหยี่ยวข่าว ภูเก็ต Newshawk Phuket’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ขออนุญาตเจ้าของบทความนะครับ ... อ่านแล้วจุก!!

#เมื่อเจ้าบ้านกลายเป็นพลเมืองชั้น2 ฉันเป็นคนโลคัล คนท้องถิ่นภูเก็ต ภูมิใจในความเป็นคนภูเก็ตเสมอมา ทำมาหากินอยู่ในวงการท่องเที่ยว ด้านให้บริการ ขายอาหาร และอีกหลากหลาย ฉันยินดีแบ่งปันชายหาดแสนสวย ผู้คนยิ้มแย้มต้อนรับ และช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเสมอ ไม่ชอบการที่นักท่องเที่ยวถูกเอาเปรียบ และไม่ชอบให้ชาวบ้านถูกเอาเปรียบเหมือนกัน 

ความรู้สึกดีๆ เหล่านี้เริ่มเสื่อมถอย เมื่อเริ่มมีนักท่องเที่ยวแปลงกายเป็นนักธุรกิจอสังหา และอีกมากมายหลายอาชีพ เริ่มเข้ามากอบโกย จนหลายคนกลายเป็นมหาเศรษฐีจากการทำมาหากินโดยใช้ทรัพยากรของภูเก็ต และเริ่มแปลงกายแสดงศักดาด้วยอำนาจเงินที่มี ว่าตัวเองคือเจ้าของหาด เจ้าของเกาะ พื้นที่ชายหาดสาธารณะทั้งหมดในภูเก็ต ค่อยๆ ถดถอย คนท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์ลงไปเดินผ่าน เดินเที่ยว กางเสื่อปิคนิคได้อีกต่อไป 

คนภูเก็ตอดทนกันมามากพอแล้ว เราใจดีกันมากแล้ว คนจากพื้นที่ทั่วประเทศทั่วโลก เข้ามาหากินกอบโกย เริ่มต้นกัดกินบ่อนทำลายภูเก็ต ซ้ำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ที่ลงมาหากินมีรายได้ มีผัวจนมีหน้ามีตา กลับหันมาแว้งกัดเจ้าบ้าน เพียงเพราะเปลี่ยนสถานะตัวเอง ใช้วาจาแทนเท้าเหยียบหัวใจเจ้าบ้าน

#ถึงเวลาที่ เจ้าหน้าทั้งภาครัฐและเอกชนรวมถึงเจ้าบ้านคนโลเคิล ที่จะต้องทวงคืน #หาดสาธารณะ มาไว้ให้ลูกหลานเราได้กลับไปกางเสื่อนอนปิคนิคกันได้หรือยัง 
#ถึงเวลาตรวจสอบ การทำมาหากินของต่างชาติกันบ้างได้แล้วหรือยัง
#ถึงเวลาควบคุมคุณภาพนักท่องเที่ยวว่ามาเที่ยว หรือ #มาทำลาย
#ทำไมเจ้าบ้านจึงกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง
#ทำไมหน่วยงานต่างๆต้องอวยนักธุรกิจต่างชาติและที่สำคัญ เขาดูถูกเราได้ เพราะใครหิวเงิน สวาปามกันจนอ้าปากกันไม่ขึ้น 
#คืนชายหาดสาธารณะให้คนโลเคิล

คนปู๊นเต่ ที่เคยต่อสู้ ลงถนนเพราะการเมืองที่เลวร้าย
จนเบื่อมานาน และก็ต้องหลังพิงฝา ลุกขึ้นปลุกคนท้องถิ่นออกมาเรียกร้อง
***วันนี้ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุกันครับ
จะคอยดู คณะ กธ.การท่องเที่ยว สภาบน ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับต้นสายปลายเหตุที่เละเป็นโจ๊กอยู่ ณ.ตอนนี้

###เน้นนะครับ
ต่างชาติ ทำผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอาทิ ขับรถเครื่องก่อกวน จับ ปรับ ดำเนินคดี ส่งตัวกลับ ขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ ห้ามเข้าราชอาณาจักร ส่วนทรัพย์สิน ให้ยึดตกเป็นของแผ่นดินสยาม

คนภูเก็ต หัวใจรักชาติ

‘ก๊อง-ปรเมษฐ์’ ซัด!! ‘พิธา’ ขาดความเข้าใจเรื่องเช่าที่ราชพัสดุ

(4 ก.พ.67) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกินจากพี่น้องประชาชนชาวหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการจัดการที่ดินทำกิน ระบุว่า…

“มองว่าปัญหาข้อแรกคือเรื่องการจัดการที่ดิน รัฐต้องสร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม ข้อสองคือรัฐบาลควรตรวจสอบที่ดินของรัฐที่อยู่กับกระทรวงทั้ง 8 กระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กลาโหม มหาดไทย เกษตร ฯลฯ ว่ามีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่เท่าใด ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ มีเท่าไรที่สามารถนำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและพัฒนาชนบทด้วย”

นายพิธากล่าวต่อว่า “ในส่วนของหนองวัวซอ เป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายๆ กันทั่วประเทศ กล่าวคือ พื้นที่หนองวัวซอมีที่ดินที่ทหารครอบครอง 39,235 ไร่ พื้นที่ที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการซึ่งซ้อนทับกับที่ดินของประชาชนมีอยู่ 9,255 ไร่ มีประชาชนใช้ประโยชน์อยู่ 1,597 ราย พื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ประชาชนคัดค้านการเป็นที่ดินของทหารมาตลอด เรียกร้องการพิสูจน์สิทธิ์มาตลอด แต่ไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จากรัฐ จากการขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จนต่อมากลายเป็นที่ดินราชพัสดุในความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง”

ทั้งนี้ ที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งถือครองโดยกองทัพ ทั้งที่ที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของรัฐที่ควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่กระทรวงการคลังต้องการให้ประชาชนเช่าที่ดินเพียง 3 ปี ซึ่งตนมองว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคง เกษตรกรไม่สามารถวางแผนเพาะปลูก หรือผู้เช่าที่ดินไม่สามารถวางแผนจัดการที่ดินของตนได้ เมื่อเทียบกับการที่รัฐอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังมากถึง 99 ปี

"หากต้องการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไม่มีประเทศพัฒนาแล้วที่ไหนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินมากถึง 60% ดังนั้นกลับไปที่หลักการเดิม ที่ประชาชนควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และรัฐบาลควรจะใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมจริง ๆ" พิธากล่าว

ล่าสุด นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ ‘ถึงแก่น Live’ ก็ได่ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีที่นายพิธา วิพากษ์โครงการหนองวัวซอโมเดล อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยระบุในบางช่วงบางตอนของรายการว่า…

“การที่คุณพิธาพูดว่า ให้ชาวบ้านเช่าแค่ 3 ปี ไม่มีหลักประกัน พูดแบบนี้คือ คนที่ไม่เคยเช่าที่ราชพัสดุ...บ้านผม ชุมชนบ้านครัวเขตปทุมวัน กลางกรุงเลย ก็เช่าที่ราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ มาตั้งแต่รุ่นทวด จนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาก็ต่อให้ทุกปี คนถือสิทธ์เสียชีวิต ทายาทก็ไปทำเรื่องเช่าต่อมาแบบนี้”

‘ชาวไทย’ จองเที่ยวจีนพุ่งสูง หลังเปิดศักราช 'ยุคฟรีวีซ่า' สัมพันธ์ครั้งใหญ่ ดัน ‘ธุรกิจ-วัฒนธรรม’ 2 ชาติแน่นแฟ้น

(4 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนและไทยสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดศักราช ‘ยุคปลอดวีซ่า’ ระหว่างจีนและไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งนักท่องเที่ยวที่สำคัญของกันและกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวชาวไทยก็เดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ในวันแรกของการดำเนินข้อตกลงยกเว้นวีซ่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองหลายแห่งในจีนมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศแตะจุดสูงสุด โดยเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เที่ยวบิน ดีดี3110 (DD3110) ซึ่งให้บริการโดยสายการบินนกแอร์ บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่นครหนานหนิง ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนอย่างราบรื่นในช่วงเที่ยง โดยในเที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารชาวไทย 56 รายที่ใช้สิทธิ์นโยบายฟรีวีซ่าได้สำเร็จในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและเริ่มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจีน

นักเดินทางชาวไทยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางเข้าประเทศจีนจะสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากการยกเว้นวีซ่าดังกล่าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจที่เดินทางระหว่างจีนและไทยในระยะยาว

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวของจีน พบว่าปัจจุบันมีเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยที่ด่านหนานหนิงราว 46 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางการบินของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารชาวไทยทั้งขาเข้าและขาออกผ่านด่านหนานหนิงคิดเป็น 2 ใน 5 ของจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเหตุผลหลักในการเดินทางเข้าออกประเทศจีนคือการท่องเที่ยว การเยี่ยมครอบครัว และการเดินทางเพื่อธุรกิจ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ซีทริป (www.ctrip.com) ระบุว่าในวันที่ 1 มี.ค. ยอดจองผลิตภัณฑ์ของนักเดินทางชาวไทยไปยังจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 160 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 โดยเมืองระดับหนึ่งของจีนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางชาวไทย ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว ขณะเดียวกันการค้นหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเมืองต่างๆ อย่างฉงชิ่งและซีอัน ของคนไทยรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีนสมัยนิยม อาทิ ภาพยนตร์และซีรีส์จีนในเว็บไซต์ฯ ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวน้ำแข็งและหิมะที่ใกล้ที่สุดของไทย โดยตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว การท่องเที่ยวธีมน้ำแข็งและหิมะในกว่างซี อวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ฮาร์บิน และภูมิภาคอื่นๆ ต่างได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่นไทย เป็นอย่างมาก

อ้ายหนิง ชาวไทยที่ศึกษาและทำงานในหนานหนิงมานานหลายปี ระบุว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอได้เห็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วของจีน รวมถึงความสำเร็จในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยหลังจากการดำเนินนโยบายยกเว้นวีซ่าร่วมกัน เธอตั้งตารอที่จะเห็นเพื่อนชาวไทยเดินทางมายังจีนและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ในจีนมากขึ้น โดยเธอระบุว่าชาวไทยที่เดินทางมายังจีน จะได้สัมผัสกับความงดงามของภูมิประเทศทางธรรมชาติของจีน และรับรู้ถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีของจีน อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและพลังงานใหม่ อีกทั้งจะได้ลิ้มรสชาติอาหารอร่อยๆ มากมายด้วย

อ้ายหนิง ระบุว่า พื้นที่ชมวิวและจุดให้บริการหลายแห่งในจีนได้ติดตั้งป้ายภาษาไทย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวไทย เธอแนะนำให้เพื่อนชาวไทยที่เดินทางมาจีนทำความเข้าใจในนโยบายฟรีวีซ่าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มบนโทรศัพท์มือถือของจีน รวมถึงศึกษาแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ เหม่ยถวน เสี่ยวหงซู เพื่อเป็นคู่มือในการเดินทาง

เหยาหัว ผู้อำนวยการสถาบันสังคมวิทยา สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์กว่างซี ระบุว่าการยกเว้นวีซ่าร่วมกันระหว่างจีนและไทยจะช่วยเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้คนจากทั้งสองประเทศดำเนินการเจรจาทางธุรกิจและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น อันเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรระหว่างจีนและไทย

โรงเรียนในสหรัฐฯ ให้นักเรียนเลียเท้าแลกรับเงินบริจาค พอถูกวิจารณ์อย่างหนัก ก็รีบออกมาขอโทษผู้ปกครอง

เมื่อไม่นานมานี้ โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ ถูกสืบสวน หลังปรากฏคลิปไวรัลเป็นภาพเด็กนักเรียนทำชาเลนจ์ ดูดและเลียเท้ากัน ภายในงานระดมทุนที่ได้รับการอนุมัติจากโรงเรียน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งโหมกระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด

วิดีโอที่ก่อความไม่สบายใจดังกล่าวเป็นภาพเด็กอย่างน้อย 4 คนของโรงเรียนมัธยมเดียร์ ครีก กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นของโรงยิมเนเซียม และจากนั้นก็ทั้งดูดและเลียเนยถั่วลิสง ที่ทาอยู่บนเท้าเปล่าของเพื่อนนักเรียน 

"เขากำลังกลืนมัน" เสียงนักเรียนรายหนึ่งพูดขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ในฉากหลังพากันส่งเสียงเชียร์ ในการแข่งขันที่แปลกประหลาดดังกล่าว

ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มีผู้เข้าชมคลิปนี้บนสื่อสังคมออนไลน์เกือบ 50 ล้านวิว และนำมาซึ่งการเปิดสืบสวนอย่างเป็นทางการของกระทรวงศึกษาธิการรัฐโอคลาโฮมา 

"มันน่าสะอิดสะเอียนมาก เราจำเป็นต้องกำจัดสิ่งสกปรกโสโครกเหล่านี้ออกจากโรงเรียนต่าง ๆ ในโอคลาโฮมา หน่วยงานของเรากำลังทำการสืบสวน" ไรอัน วอลเตอร์ส ผู้รับผิดชอบด้านการบริหารการศึกษาสูงสุดของรัฐโอคลาโฮมากล่าว

คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) ณ ที่ชุมนุม Clash of Classes ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานระดมทุนนานหนึ่งสัปดาห์ของโรงเรียนมัธยมแห่งนี้

นักเรียนสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้ ในนั้นรวมถึงทัวร์นาเมนต์การแข่งขันเลียเท้า และรายงานข่าวระบุว่า บางส่วนรู้สึกสนุกกับมัน แต่ครั้งที่วิดีโอเริ่มถูกส่งต่ออย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ บรรดาผู้ปกครองก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพบเห็น

ในตอนแรกคณะผู้บริหารโรงเรียนกล่าวชื่นชมเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมงานระดมทุน Wonderful Week of Fundraising ซึ่งรวบรวมเงินได้ 152,830.38 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็เริ่มคิดได้ ออกมาขอโทษองค์กรนักเรียน และพ่อแม่ผู้ปกครอง

ผู้ปกครองรายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าไม่อยากเชื่อตอนที่ได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมแข่งเลียเท้าในครั้งนี้ "ตอนที่ฉันได้ยินลูกบอกในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ฉันจำเป็นต้องถามย้ำกลับไปอีกรอบ เดี๋ยวก่อน ว่าไงนะ พวกเขาให้เลียเนยถั่วลิสงออกจากเท้าเนี่ยนะ"

"ฉันสนับสนุนทุกการระดมทุนและทุกสิ่ง ๆ ที่เป็นเรื่องสนุก แต่คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะเลยเถิดจนเกินไป" ผู้ปกครองอีกคนกล่าว

เกมการแข่งขันที่แลกกับเงินบริจาคครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจาก เทด ครูซ วุฒิสมาชิกรีพับลิกันเช่นกัน ซึ่งถึงขั้นประณามการแข่งขันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่าเป็นการทำทารุณเด็ก

ศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ ยกฟ้อง-ถอนหมายจับ 'ยิ่งลักษณ์' พร้อมพวก ปมคดีจัดอีเวนต์โรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย งบ 240 ล้านบาท

(4 มี.ค. 67) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ 9:0 พิพากษายกฟ้องคดีที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน ประกอบไปด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน), บริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ นายระวิ โหลทอง จำเลยที่

ความผิดเกี่ยวกับการเสนอโครงการ โรดโชว์ ที่ไม่ใช่กรณีเร่งด่วนขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใช้ดุลยพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง มีเจตนาร่วมกันในการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษอันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ และยังมีการร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวดทั้งที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไข เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจำนวนเงิน 239,700,000 บาท

โดยศาลชี้ว่าจำเลยที่ 1-3 ไม่มีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 และไม่มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 192 และมาตรา 123 /1 รวมถึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ปี 2542 มาตรา 12 และ 13 และชี้ว่าจำเลยที่ 4-6 ไม่มีความผิดตามคำฟ้องเช่นกัน โดยยังไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

จากการไต่สวนพยานและหลักฐานศาลชี้ว่า การที่จำเลย 1-3 ดำเนินนำงบกลางจำนวน 40 ล้านบาท มาจัดดำเนินโครงการโรดโชว์ เป็นการดำเนินนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยถึงการใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และไม่ได้กำหนดเวลากระชั้นชิดเพียงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการใช้งบกลาง ประกอบกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่าสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ จึงเป็นดุลยพินิจที่กระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้นอีกทั้งการจัดโครงการโรดโชว์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด

และยังกล่าวถึงพฤติการณ์ของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ว่าไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบ ในกระบวนการเสนออนุมัติงงบกลาง ในการดำเนินการ และไม่ปรากฏพฤติการณ์ในการร่วมกันแทรกแซงหรือมีคำสั่งให้ เลือกบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตเป็นผู้รับจ้างโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มการจัดจ้าง หรือไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์หรือเลือกเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น

ขณะเดียวกัน จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เห็นว่านายสุรนันทน์ไม่ได้กระทำการ ในลักษณะที่เป็นการชี้นำหรือจูงใจหรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ และไม่ได้มีบุคคลใดสั่งให้เลือกบริษัทเอกชนทั้งสองเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เป็นไปภายใต้เงื่อนไขการดำเนินโครงการที่กระชั้นชิด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำได้ตามระเบียบกฎหมาย จึงไม่ได้ใช้วิธีการประกวดราคา ตามข้อกล่าวหาจึงขาดเรื่องเจตนาพิเศษ ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดโครงการ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

โดยประการสำคัญที่สุดหลังเกิดเหตุรัฐประหารเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าโครงการโรดโชว์ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุจึงอนุมัติเบิกจ่าย สอดคล้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดพบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานรัฐ ดังนั้นจึงฟังได้ว่านายสุรนันทน์ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติ

สำหรับโครงการอีก 10 จังหวัดในวงเงิน 200 ล้านบาท เป็นการดำเนินการที่กระชั้นชิดไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคา และเข้าเงื่อนไขตามระเบียบสำนักนายกฯรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุเช่นเดียวกัน

ส่วนจำเลย 4-6 จากข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดซึ่งกรณีการแบ่งจังหวัดของบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตนั้นเป็นไปตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและเพื่อจัดทำงานนำเสนอจึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันฮั้วประมูลจึงไม่ผิดตามคำฟ้อง

ส่อง 10 เมืองเก่าแก่แห่ง 'อาเซียน' ที่ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่อง

ในอาเซียนหรือประเทศในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นโซนที่มีอารยธรรมโบราณเกิดขึ้นมากมายหลายพันปี ซึ่งมีทั้งที่ผ่านยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด และล่มสลายไปนานแล้ว 

แต่ก็ยังมีหลายแห่งที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน และยังมีผู้คนอาศัยใช้ชีวิตอยู่ยังที่แห่งนั้นดังเดิม แม้ผู้ที่อยู่อาจไม่ใช่ลูกหลานของผู้ก่อตั้งเมืองนั้นมาก็ตาม 

และต่อไปนี้คือ 10 เมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในอาเซียน ที่ยังมีคนอาศัยอยู่ถึงปัจจุบัน 

มโหฬาร !! ตำรวจ ปส. รวบทีมนักบินตายแทน หวังสร้างตัว 9 เครือข่าย 21 ราย ยึดยาบ้า 14 ล้านเม็ด ไอซ์ 1.2 ตัน

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย  เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.  และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นให้เดินหน้าเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่และขยายผลการเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับ รวมทั้งสืบสวนขยายผลเพื่อยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติด รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ

วันนี้ 4 มี.ค.67 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส., พล.ต.ท.คีรีศักดิ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน   ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1,                        พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส.และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมนักบิน 9 เครือข่าย 9 คดี ได้ผู้ต้องหารวม 21 คน ตรวจยึดยาบ้ารวม  14,407,600 เม็ด และ ไอซ์ 1,250 กก. ยึดทรัพย์ของกลางมูลค่า 2 ล้านบาท

คดีที่แรก เมื่อวันที่ 19 ก.พ.67 ที่ผ่านมา ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 หน่วยปราบปรามยาเสพติดนานา จับกุม 4 ผู้ต้องหา“เครือข่าย เอก สายใต้” หลังรับแจ้งจากสายลับว่าขบวนการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.ประจวบคีรีขันธ์  เตรียมลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ไปส่งทางภาคใต้ โดยใช้รถกระบะสีขาว หมายเลขทะเบียน กน 51xx ประจวบคีรีขันธ์ และรถยนต์สีดำ หมายเลขทะเบียน กน 83xx ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจสอบพบรถเป้าหมาย 2 คันขับมุ่งหน้า จว. เชียงใหม่ วันที่ 22 ก.พ.67 พบขับลักษณะตามกันเป็นขบวนผ่าน จว.ลำพูน-ลำปาง-นครสวรรค์-อุทัยธานี มุ่งหน้า จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงกระจายกำลังติดตามในเส้นทางลำเลียง กระทั่งพบรถยนต์จอดริมถนนหมายเลข 3043 ต.วังคัน  อ.ด่านช้าง จว.สุพรรณบุรี ตำรวจจึงขอเข้าตรวจค้น มีนายเอกนรินทร์ หรือเอก หน่อพันธุ์ ผู้ขับขี่ นายก้องภพ หรือเม้ง เลือดแดง โดยสารมาด้วย ตรวจค้นพบยาบ้า 488 มัด รวม 976,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถ ด้านรถกระบะอีก 1 คัน รู้ว่าถูกติดตามจึงขับรถหลบหนี มุ่งหน้า อ.อู่ทอง จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจ สภ.อู่ทอง ช่วยสกัดจับไว้ได้บริเวณแยกอู่ทอง ถ.มาลัยแมน ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จว.สุพรรณบุรี พบนายภิญโญ  เฟื่องฟู ผู้ขับขี่ และนายภัทรพล มาระสิน โดยสารมาด้วย จากพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ ตำรวจเชื่อว่าอาจจมียาเสพติดถูกซุกซ่อนอยู่ที่บ้านพักจึงประสานตำรวจ  กก.4 บก.สกส โดยอาศัยอำนาจเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เพื่อเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 464 ม.1 ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยยอด จว.ประจวบคีรีขันธ์ เบื้องต้นพบยาบ้ารวม 5,600 เม็ด อยู่ในกระดาษชุบเทียนไขมีสัญลักษณ์ดาวห้าดวง ใต้ดาวมีเลข 888 และรูปเสือซุกซ่อนในถุงสีดำ ถูกฝังดินไว้ข้างคอกไก่หลังบ้าน ด้าน นายภิญโญ ยอมรับว่าเป็นยาเสพติดของตนเอง รวมยาบ้า 981,600 เม็ด 

คดีที่ 2 วันที่ 20 ก.พ.67 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 หน่วยปราบปรามยาเสพติดนานา  สืบทราบว่ามีเครือข่ายเตรียมลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่จังหวัดเชียงราย ไปส่งกลุ่มผู้จำหน่ายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้รถยนต์นิสสัน อัลเมร่า สีแดง หมายเลขทะเบียน ขล 74xx ขอนแก่น จากการตรวจสอบพบรถยนต์ขับขี่มุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงราย จนวันที่ 23 ก.พ.67 ขับลงมาจากทางภาคเหนือ ผ่านจังหวัดเชียงราย-พะเยา-แพร่-ลำปาง-กำแพงเพชร-นครสวรรค์ มุ่งหน้ากรุงเทพมหานคร ตามถนนหมายเลข 32 สายเอเชีย กระทั่งเวลา 00.20 น.ของ ที่ 24 ก.พ.67 ชุดจับกุมได้ประสานตำรวจทางหลวงหน่วยบริการประชาชนอ่างทอง ตั้งจุดสกัดเพื่อทำการหยุดรถยนต์เป้าหมาย พบนายประพันธ์ หรือเบิร์ด จันทร์คล้าย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นรถพบยาบ้า  อยู่ในกระสอบสีรุ้งจำนวน 5 กระสอบ 500 มัด รวม 1,000,000 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก สีดำตราแอปเปิล ห่อด้วยกระดาษสีขาวมีตราสัญลักษณ์รูปดาวห้าดวงและเลข 999 บนมัดยา ทั้งนี้ เบิร์ด จันทร์คล้าย เป็นสมาชิกของ “เครือข่าย ซาตานบ้าพลัง999 ” ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลติดตามเครือข่ายที่เหลือมาดำเนินคดี

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ก.พ.67 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ที่มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือนำไปส่งต่อให้กับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ จนทราบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวจะใช้รถยนต์กระบะบรรทุกในการลำเลียงยาเสพติด กลางดึกของวันที่ 16 ก.พ.67 เวลาประมาณ 23.50 น.  ตำรวจพบรถกระบะบรรทุกเสริมโครงเหล็ก ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียน ยน 44XX เชียงใหม่ บริเวณท้ายกระบะว่างเปล่า ขับมุ่งหน้าบ้านแม่อ้อใน ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่อมาเวลา 02.00 น. รถเป้าหมายขับออกมาจากพื้นที่มุ่งหน้า อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ พบมีการบรรทุกพืชผลทางการเกษตรมาเต็มท้ายกระบะ กระทั่งช่วง 04.00 น. ได้ขับมาถึงบริเวณด่านตรวจแม่ทา ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ตำรวจจึงเรียกให้หยุดรถเพื่อสอบถาม พบนายอ่องฟ้า เป็นคนขับ และนายวัญชิต โดยสารมาด้วย สารภาพว่าได้ลำเลียงยาเสพติดบริเวณท้ายรถกระบะจริง โดยได้นำผักกาดขาว วางปิดทับมาเพื่ออำพรางการตรวจค้น ตำรวจจึงเข้าตรวจค้นพบไอซ์ น้ำหนัก 1,200 กิโลกรัม  

คดีที่ 4 จากการสืบสวนของตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ทราบมาว่านายตี๋ หรือ นายอภิชาติ แซ่ห่อ ซึ่งเป็นบุคคล  ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 572/2563 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2563 จะจำหน่ายไอซ์ จำนวนมาก ชุดจับกุมจึงวางแผน  เข้าติดต่อซื้อขาย จนวันที่ 12 ก.พ.67 ชุดล่อซื้อได้รับแจ้งจาก นายตี๋ ว่าจะส่งลูกน้อง 2 คน มาเจรจาซื้อขายยาเสพติดกระทั่งวันที่ 20 ก.พ.67 ติดต่อนัดพบชุดล่อซื้อที่ร้านกาแฟมัชรูมคาเฟ่ ต.ป่าแดด อ.เมือง จว.เชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบเงิน หลังจจากนั้น ได้แจ้งพิกัดของยาเสพติดหลังถูกวางไว้บริเวณหลังป้ายประกาศห้ามทิ้งขยะ หมู่ 3 ต.อุโมงค์ อ.เมืองลำพูน   จว.ลำพูน จากนั้นชุดจับกุมจึงเข้าตรวจสอบพิกัดที่รับแจ้งพบไอซ์ 2 กระสอบ กระสอบละ 25 ก้อน รวมจำนวน 50 ก้อน น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ขณะเดียวกันชุดสืบสวนอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณร้านกาแฟ จึงเข้าแสดงตัวจับกุมลูกน้องของนายตี๋ ทราบชื่อภายหลังคือ นายภัทร์บดินทร์ และ นายยอด 

คดีที่ 5 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนพบเครือข่ายยาเสพติด จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน เข้ามาส่ง   ในพื้นที่ตอนใน กระทั่งวันที่ 22 ก.พ.67 เวลา 15.00 น. ทราบว่าจะส่งมอบยาเสพติดบริเวณถนน ชุดสืบสวนจึงตรวจสอบ พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ยท 78XX เชียงใหม่ จอดริมถนนสาธารณะ หมายเลข 107 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่  และคนขับรถได้ลงมายกกระสอบนำไปวางไว้ข้าง ๆ หลักกิโลเมตรที่ 158 ก่อนจะขับขี่รถออกไปตามเส้นทาง อ.แม่อาย    จว.เชียงใหม่ ตำรวจส่วนหนึ่งจึงติดตามรถกระบะไปและสามารถจับกุมนายสันติ ผู้ต้องหา ได้บริเวณสี่แยกไฟแดงโค้งเจ๊ทา หมู่ 4 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ตำรวจอีกส่วนหนึ่งได้เข้าพิสูจน์ทราบกระสอบต้องสงสัยพบเป็นยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ด  

คดีที่ 6 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนเครือข่ายยาเสพติดมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน นำไปส่งต่อให้กับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ กระทั่งช่วง 05.00 น. วันที่ 26 ก.พ.67  พบความเคลื่อนไหวเครือข่ายขับรถกระบะเดินทางมารับยาเสพติดมุ่งหน้า ต.เมืองงาย อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ซึ่งบริเวณท้ายกระบะมีการเสริมโครงเหล็กสูงข้างในบรรทุกกระสอบเสมอคอกเหล็ก จนช่วงเช้าของวันเดียวกันพบรถกระบะสีเทา หมายเลขทะเบียน ยฉ 57XX เชียงใหม่ จอดบริเวณหน้าร้านขายของชำ บริเวณแยกปิงโค้ง-พร้าว ทางหลวง 1150 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ก่อนที่คนขับจะเดินเข้าร้านขายของชำ ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุม สอบถามทราบชื่อคนขับคือ นายจิรพัทร์ ระบุว่าบรรทุกกระสอบข้าวโพดที่มีการซุกซ่อนยาเสพติดจริง ตรวจสอบพบยาบ้า 7,920,000 เม็ด  

คดีที่ 7 ตำรวจ บก.ปส.4 ได้สืบสวนพบเครือข่ายค้ายาเสพติด จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปส่งในภาคใต้ โดยใช้รถ 2 คัน กระทั่งพบรถเป้าหมายคือ รถกระบะ หมายเลขทะเบียน 2ฒฆ 2xxx กทม. และรถยนต์ หมายเลขทะเบียน               7กก 6xxx กทม. ขับเข้ามาในพื้นที่ จว.ชุมพร จึงประสานให้ตั้งด่านสกัดกั้นบริเวณสี่แยกปากคลอง ต.ปากคลอง อ.ปะทิว     จว.ชุมพร แต่เมื่อรถกระบะขับเข้าด่านกลับเร่งเครื่องเพื่อหลบหนี ก่อนจะเสียหลักตกลงไปบริเวณคอสะพานคลองน้ำดำ  ชุดจับกุมจึงเข้าตรวจสอบพบยาบ้า 1,600,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ท้ายรถกระบะ แต่ไม่พบผู้ขับขี่ ตำรวจจึงกระจายกำลังค้นหาบริเวณโดยรอบกระทั่งจับกุมตัว นายสิทธิกร ได้หลังซ่อนตัวอยู่ในโพรงหญ้า สอบสวนสารภาพว่าเป็นผู้ขับขี่รถกระบะบรรทุกยาบ้ามาจริง ส่วนรถยนต์ซึ่งทำหน้าที่สำรวจเส้นทางสามารถติดตามได้ที่ปั๊มน้ำมันพีทีปะทิว ขาล่องใต้ ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จว.ชุมพร พร้อมจับกุม นายคมกริช เป็นผู้ขับขี่และนายอรรถพล ผู้โดยสารมาด้วย 

คดีที่ 8 ระหว่างที่ ตำรวจ บก.ปส.4 ร่วมกับตำรวจในพื้นที่สนธิกำลังตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ -ชุมพร) หน้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร พบรถยนต์สีขาว หมายเลขทะเบียน 3ขก 5xxx กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถยนต์                      อยู่ในระบบเฝ้าระวังขับผ่านมา มี นายชานนท์ เป็นผู้ขับขี่ และนายสิทธิชัย โดยสารมาด้วย ชุดจับกุมจึงเรียกให้หยุดรถ                    ก่อนจะนำรถเข้าด่านตรวจฯ เพื่อตรวจค้นระหว่างตรวจค้น 2 หนุ่ม แสดงอาการมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงตรวจหาสารเสพติดในร่างกายพบผลเป็นบวก ก่อนนำรถยนต์เข้าเครื่องเอกซเรย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด พบวัตถุลักษณะเป็นก้อน เชื่อว่าเป็นยาเสพติด ซุกซ่อนในช่องลับที่ถูกดัดแปลงท้ายรถยนต์พบยาบ้า 706,000 เม็ด สอบสวนทั้ง 2 สารภาพว่าถูกว่าจ้างให้ขนยาบ้าจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เพื่อไปส่งให้ลูกค้าที่ จว.สงขลา  

คดีที่ 9 ตำรวจ บก.สกส., บก.ปส.3, บก.ขส.บช.ปส.และ ตำรวจภูธรภาค 6 ร่วมกันจับกุม 5 ผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด สืบเนื่องจาก บก.สกส. รับแจ้งว่ามีเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่มักลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ ดอยตุง อ.แม่สาย จว.เชียงราย ไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ จว.พระนครศรีอยุธยา กระทั่งวันที่ 18 ก.พ.67 พบความเคลื่อนไหวของรถเป้าหมาย 3 คัน ในลักษณะขับตามกันเป็นคาราวาน กระทั่งสามารถจับกุมนายชินภัทร อินทอง และ นายรัตนกุล รังเพชร              ได้ที่บริเวณริมถนนเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ (ถนน 206) กม.2 ต.กลางแดด อ.เมืองนครสวรรค์ จว.นครสวรรค์ พร้อมรถกระบะ หมายเลขทะเบียน กน 38xx กำแพงเพชร ที่ซุกซ่อนยาบ้าไว้ 800 มัด รวม 1,600,000 เม็ด ส่วน นายธวัช แก้วศรีงาม ถูกจับกุมพร้อมรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขข 13xx พิษณุโลก บริเวณแยกยอเซฟ ต.ในเมือง อ.เมืองพิจิตร จว.พิจิตร สารภาพนำยาบ้าไปทิ้งไว้ในป่ามันใกล้บึงบอระเพ็ด ตำรวจจึงเข้าตรวจสอบพบยาบ้า 200 มัด รวม 400,000 เม็ด

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ยกท่องเที่ยวไทย ‘ยุคเศรษฐา’ มาถูกทาง เปิดทางเอกชนโชว์ฟอร์ม ส่วนภาครัฐช่วยเป็นแรงหนุน

(4 มี.ค. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวถึงประเด็น การเติบโตที่นำโดยการท่องเที่ยว (Tourism-led Growth) ระบุว่า...

ต้องยอมรับว่า Ignite Thailand จุดพลัง รวมใจ ไทยเป็นหนึ่ง ที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นวิสัยทัศน์ที่ชาญฉลาดเละเป็นไปได้ แต่ก็มีความท้าทายสูงในด้านการดำเนินการ (Implementation) ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หากเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลที่แล้ว ต้องถือว่า Ignite Thailand มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าภาคการท่องเที่ยวมีความสำคัญและมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ รวมทั้ง Medical Hub, Aviation Hub และ Financial Hub เป็นต้น การบริหารจัดการการดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์นี้จึงหนีไม่พ้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมี ททท. เป็นหน่วยงานหลัก แต่ความท้าทายน่าจะอยู่ที่การสร้างความเชื่อมโยงไปสู่ความเป็นศูนย์กลางในสาขาทั้ง 8 สาขา ซึ่งจำเป็นต้องทลายกำแพงที่กีดขวางการทำงานแบบบูรณาการข้ามหน่วยงานของระบบราชการไทย

วันนี้การท่องเที่ยวของไทยได้พัฒนาก้าวหน้ามาอย่างมากจนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากความเก่งกาจของภาครัฐแต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่มาจากความสามารถของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม, ภัตตาคาร, ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ 

การยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เป็นหนึ่งของโลกตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องจัดโครงสร้างการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยวใหม่ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP ลดบทบาทภาครัฐให้เหลือเพียงการวางนโยบายและการกำกับดูแลรวม ทั้งการให้การสนับสนุน/อุดหนุนทางการเงินเท่าที่จำเป็น และที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงการเข้ามาเป็นผู้เล่นแข่งกับธุรกิจเอกชน บทบาทในการลงทุนและการบริหารจัดการต้องเป็นของภาคเอกชนเท่านั้น

สิ่งสำคัญที่นายกรัฐมนตรีเน้นและอาจเป็นบทบาทสำคัญของรัฐบาล คือ การปลดล็อกข้อจำกัดในด้านกฏระเบียบข้อบังคับ และการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งปัจจุบันต้องถือเป็นข้อด้อยที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

ข้อจำกัดทางกฎหมายของไทยมีอยู่มากมาย เพียงไม่กี่เดือนของรัฐบาลนี้ ได้มีการขยายเวลาเปิดสถานบริการ ปรับเปลี่ยนเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวบางประเทศ ที่ต้องชมเชยก็คือ การลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์และสุรานำเข้า ซึ่งจะช่วยให้เครื่องดื่มมีราคาลดลง สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหาร แต่ก็พึงต้องดูแลให้เครื่องดื่มนำเข้าเหล่านี้เสียภาษีอย่างครบถ้วน

ประการสำคัญที่สุด ประเทศไทยจะไม่สามารถเป็น Hub ในด้านต่างๆ ได้เลย หากภาคอุตสาหกรรมและบริการของไทยยังไม่เปิดเสรี แม้จะมีการเปิดเสรีทางการค้าไปมากแล้ว แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนย้ายบริการ ทุน และแรงงานข้ามพรมแดนอยู่มาก แรงงานมีฝีมือยังไม่สามารถเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์, วิศวกร, นักกฎหมาย การจะเป็น Hub ได้อย่างเต็มปากจำเป็นต้องมีบุคลากรมืออาชีพที่เป็นที่สุดของโลกด้วย

'นศ.มหิดล' แจ้งความเอาผิดคู่กรณี หลังถูกชกในฟิตเนส แค่ขอใช้เครื่อง ด้านอีกฝ่าย เผย!! มีปมสะสม บวกคนถูกชกชอบพูดกดดัน จึงเดือด

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค.67) มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายนนท์ (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง) อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา จ.นครปฐม เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.กิจจพัฒน์ จิตติราช พนักงานสอบสวน สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินคดีกับชายรายหนึ่ง ที่ก่อเหตุชกใบหน้าของตนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในห้องฟิตเนสของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในซอยบ้านตั้งสิน ถนนศาลายา-นครชัยศรี หมู่ที่ 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เวลา 17.45 น. นายนนท์เป็นลูกบ้านในคอนโดมิเนียมดังกล่าว เข้าใช้บริการห้องฟิตเนส โดยขอใช้เครื่องเล่นที่มีชายรายหนึ่ง สวมเสื้อยืดสีดำ สวมสร้อยทอง สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ผิวขาว รูปร่างผอมสูง และวางของอยู่ ชายคนดังกล่าวได้ลุกขึ้นจากเครื่องเล่นแล้วพูดว่า "หาเรื่องเหรอ" ก่อนชกต่อยนายนนท์ ได้รับบาดเจ็บ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับคนร้ายตามกฎหมายจนถึงที่สุด และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด

สำหรับชายหัวร้อนคนดังกล่าวได้แก่ ธนานนท์ อินทองสุข นักแข่งรถชื่อดังที่คนในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตรู้จักกันดี เพราะเจ้าตัวเป็นนักซิ่งที่ฝีมือดีมากๆ คนหนึ่ง ลงแข่งมาแล้วหลายรายการ เช่น ศึก IDEMITSU SUPER ENDURANCE ซึ่งเขาแข่งขันในภายใต้สังกัด EXOL TOYOTA PATTAYA 1998

รวมถึงการเป็นตัวแทนประเทศไทย ภายใต้ Team RAAT Thailand ในฐานะตัวแทนของประเทศ ร่วมเข้าชิงชัยในการแข่งขัน FIA Motorsport Games 

หรือจะเป็นการแข่งขันอี-สปอร์ต ของวงการแข่งรถ ธนานนท์ อินทองสุข ก็เคยเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน FIA MOTORSPORT GAMES ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี มาแล้ว 

ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุอื้อฉาวดังกล่าว (4 มี.ค.66) ธนานนท์ เปิดใจกับสื่อมวลชน ยอมรับว่า ตนได้ทำลงไปจริง ๆ ซึ่งมูลเหตุมาจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ขณะที่ตนกำลังออกกำลังกายอยู่ภายในฟิตเนส ปรากฏว่า ผู้เสียหายคนนี้กับเพื่อน มาพยายามที่จะออกกำลังกายข้าง ๆ ตนเพื่อกดดันที่จะใช้อุปกรณ์ต่อจากตน พร้อมกับพูดสบถกับเพื่อน

โดยพยายามที่จะให้ตนได้ยินประมาณว่า “แม่งมีคนใช้อุปกรณ์อยู่ กูไม่เล่นก็ได้” ซึ่งวันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตนก็จำไว้ในใจว่า “อย่าให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและกัน”

กระทั่งเมื่อวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายมาเล่นดัมเบลข้าง ๆ ตน ในลักษณะของการกดดันและถือเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ก่อนจะมาพูดกับตนว่า “กำลังใช้อุปกรณ์อยู่ป่าว ถ้าไม่ใช้ก็ลุก” เลยทำให้ตนเกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมา เนื่องจากมีทุนเก่าเดิมอยู่แล้ว แม้ว่าตัวเขาจะพูดแบบมีหางเสียงก็ตาม

ทั้งนี้ ตัวผู้เสียหายเอง ตนก็เจอเป็นประจำและเห็นว่ามีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว คือชอบกดดันคนอื่นที่กำลังเล่นอุปกรณ์อยู่ เพราะต้องการจะเล่นอุปกรณ์นั้นให้ได้

อย่างไรก็ตาม ธนานนท์ ยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยกมือไหว้ขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป แต่ก็อยากให้ฝั่งผู้เสียหายขอโทษตนเองในเรื่องที่ไม่มีมารยาทกับตนก่อน โดยที่ตนยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แล้วจะต่อสู้ในคดีในชั้นศาลต่อไป

สำหรับข้อหาที่ ธนานนท์ ถูกแจ้งข้อหา ได้แก่ ข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top