Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

'รมว.ปุ้ย' ย้ำ!! รัฐหนุนเต็มที่ ลงทุนผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในไทย ต่อเนื่องภารกิจ ดันไทยฮับผลิตแบตฯ อีวีแห่งอาเซียน

(4 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังให้คณะผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบ เพื่อรับทราบแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาการลงทุนสร้างโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในประเทศไทย รวมทั้งการสร้างซัพพลายเชนเพื่อให้ไทยเป็นฮับการผลิตแบตเตอรี่ของภูมิภาคอาเซียน โดยระบุว่า...

รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้เปิดการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ 17 ชิ้น โดยเฉพาะแบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ที่จะได้รับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนไทย, ญี่ปุ่น, จีน และยุโรป เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีมาตรการพัฒนาปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 อีกด้วย 

ส่วนการสร้าง Supply Chain ของแบตเตอรี่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นพี่เลี้ยงส่งเสริมด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องตลอดซัพพลายเชน มีการพิจารณามาตรการส่งเสริมและจัดการแบตเตอรี่ในประเทศ มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมาตรการที่เกิดขึ้นเป็นการเอื้อต่อการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายส่งเสริมกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการหารือทราบว่าบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กำลังวางแผนหาพาร์ตเนอร์และแหล่งผลิตในประเทศไทย โดยเป้าหมายคือพัฒนาบริษัทในพื้นที่และสนับสนุนรัฐบาลไทยในการรักษามาตรฐาน ขณะเดียวกันได้เปิดตัวสายการผลิตและในอนาคตก็พร้อมที่จะเปิดการอบรมนักศึกษาไทยให้เรียนรู้จากเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย ดังนั้น จึงอยากให้มั่นใจว่านโยบายรัฐบาลให้การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ซึ่งล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของมาตรการสนับสนุนผู้นำเข้า ผู้ทดสอบ และการรีไซเคิล

“วันนี้ ประเทศไทยเรามีความน่าสนใจในหลายเรื่อง ทั้งบริษัทต่าง ๆ ที่มาตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวีในประเทศไทยมากขึ้น และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังได้ออกมาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการรีไซเคิลแบตเตอรี่ เพื่อให้เกิดการดูแลทั้งระบบของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

สำหรับการหารือร่วมกันระหว่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มีคณะผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมด้วย อาทิ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

'รมว.ปุ้ย' ชู!! 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขจัดอุปสรรคผู้ประกอบการ-หนุนฮาลาล กรุยทางเข้าถึง 'เงินทุน-สร้างบริการใหม่' คิกออฟแล้วกับกลุ่มโคเนื้อชุมพร

'รมว.พิมพ์ภัทรา' เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก เร่งเครื่อง 'อาเซียน ฮาลาล ฮับ' (ASEAN Halal Hub) ชูกลไกบูรณาการใช้ศักยภาพหน่วยงานภายใต้สังกัด เชื่อมต่อจุดเด่นวัตถุดิบและการผลิตในพื้นที่ ปลื้ม!! โมเดลความสำเร็จ ดีพร้อม จับมือ SME D Bank ผ่านการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) พร้อมชู 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' หนุนโรงแปรรูปเนื้อโคมาตรฐานฮาลาล จ.ชุมพร เข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมสร้างโอกาสให้กับธุรกิจฮาลาลและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้กว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 24,000 ล้านบาท

(5 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีมอบสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ให้แก่ บริษัท ดี แอนด์ แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ผู้ผลิตและแปรรูปเนื้อโค มาตรฐานฮาลาล จ.ชุมพร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ภาคใต้ ว่า จากนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การผลักดันของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ 'อาเซียน ฮาลาล ฮับ' (ASEAN Halal Hub) นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยใช้กลไกในการนำศักยภาพของหน่วยงานภายใต้สังกัดมาบูรณาการการทำงานควบคู่กับใช้จุดเด่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยมาต่อยอด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดชุมพร ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบและศักยภาพการผลิตอาหาร จึงเหมาะแก่การผลักดันเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก สามารถตอบโจทย์ความต้องการตลาดผู้บริโภคอาหารฮาลาลทั่วโลกที่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 13.5% ตามสัดส่วนประชากรมุสลิมโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และนับเป็นจุดเริ่มต้นในการเร่งผลักดันนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่อาเซียนฮาลาลฮับของรัฐบาล

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม และ SME D Bank เร่งบูรณาการความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ด้วยการสนับสนุนบริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด และกลุ่มอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่จังหวัดชุมพร และใกล้เคียงให้เข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปยกระดับศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจ โดยได้นำแนวทาง 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขจัดขั้นตอนการทำงานที่เป็นอุปสรรคควบคู่กับการสร้างบริการใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งทุนพัฒนาธุรกิจได้ ไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ที่ติดข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน แต่ด้วยศักยภาพและโอกาสเติบโตของธุรกิจ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงให้การสนับสนุนเพื่อเข้าถึงเงินทุนสำเร็จผ่านโครงการสินเชื่อแฟคตอริ่ง วงเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายนี้ มีเงินไปลงทุนขยายกิจการ และหาก บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ผลิตได้เต็มกำลังการผลิตแล้ว คาดว่าจะสร้างยอดขายได้กว่า 14,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถรับซื้อโคจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะสามารถกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่า 24,000 ล้านบาท รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ ครม.สัญจร จ.ชุมพร และระนอง เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ได้รับมอบหมายให้รับฟังแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว พบว่า บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด จ.ชุมพร มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและสามารถเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยได้ 

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความต้องการขอรับการสนับสนุนเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากภาครัฐ ดังนั้น ดีพร้อม จึงได้นำเรียน รมว.พิมพ์ภัทรา เพื่อทราบถึงความต้องการดังกล่าวของบริษัท โดย รมว.อุตสาหกรรม สั่งการให้ ดีพร้อม บูรณาการความร่วมมือกับ SME D Bank และสถาบันการเงินต่าง ๆ ผ่านกลไกการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) เพื่อให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Financial Inclusion) ภายใต้นโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยนอุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ด้วยการเร่งพัฒนากลไกการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในวงเงิน 10 ล้านบาท และช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศให้สามารถสร้างยอดขายและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมทั้งต่อยอดและพัฒนาธุรกิจโคแปรรูปฮาลาลให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการส่งเสริมและผลักดันศักยภาพกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐานฮาลาล รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือในมาตรฐานฮาลาลและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพของผู้ประกอบการโคในพื้นที่และการสร้างแบรนด์เนื้อโคคุณภาพของภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวเพิ่มเติมว่า SME D Bank พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาล สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตยั่งยืนด้วยกระบวนการ 'เติมทุนคู่พัฒนา' โดยด้าน 'การเงิน' จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ควบคู่ด้าน 'การพัฒนา' ยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME D Coach เชื่อมโยงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไว้ในจุดเดียว รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้ครอบคลุมและกว้างขวางยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ระบบพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. ช่วยเติมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

'หมอปาย' ขอบคุณทุกกำลังใจจากคนไทย หลังถูกชาวต่างชาติทำร้าย พร้อมดีใจ!! ที่ช่วยยืนหยัด ‘เพื่อความยุติธรรม - ทวงคืนหาดสาธารณะ’

(4 มี.ค. 67) จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรม ถูกชายต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างเตะหลังขณะนั่งบันไดชมจันทร์หน้าวิลล่าแห่งหนึ่ง บริเวณชายหาดภูเก็ต แถมยังถูกหญิงไทยซึ่งเป็นภรรยาของฝรั่งคนดังกล่าวด่ากราด อ้างมีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่คู่กรณีโต้ลั่นไม่ได้เตะ แค่สะดุดแล้วเท้าไปโดนหลัง

แม้ฝรั่งและภรรยาจะออกมาขอโทษแล้ว แต่ ชาวภูเก็ต ได้มีการเคลื่อนไหวนัดรวมพลังกันในวันที่ 3 มีนาคม ทวงคืนหาดบนพื้นที่สาธารณะ หลังเกิดเหตุการณ์ชาวต่างชาติเตะแพทย์หญิงที่ภูเก็ต ล่าสุดเทศบาลตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง ติดประกาศคำสั่งให้รื้อถอนแนวบันไดและสิ่งปลูกสร้าง ที่รุกล้ำชายหาดพื้นที่สาธารณะ ภายใน 30 วัน ภายหลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และพบว่าบริษัทเอกชนเจ้าของวิลล่า สร้างแนวบันไดไม้และคอนกรีต ลานนั่งเล่นไม้ แนวกำแพงกันดินหินกล่องรุกล้ำชายหาด ขณะที่ชาวบ้านป่าคลอก และใกล้เคียง เมื่อเห็นประกาศ ต่างพากันมาถ่ายรูปบริเวณบันไดจุดเกิดเหตุกันไม่ขาดสาย โดยบอกว่าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนถูกรื้อถอนนั้น ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘Phuket Times ภูเก็ตไทม์’ โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า ‘หมอปาย’ ขอขอบคุณชาวภูเก็ต และคนไทยทั้งประเทศ ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม ทวงคืนหาดสาธารณะ

โดยหมอปายระบุข้อความว่า “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นค่ะ รู้สึกกำลังใจดี ที่ได้กำลังใจจากคนภูเก็ต+คนไทย หนูรู้สึกดีใจและขอบคุณทุกคนมากๆ เลยค่ะ ที่ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและทวงคืนหาดสาธารณะของพวกเราคืนค่ะ”

โฆษกเกษตร เผย ชาวสวนทุเรียนเตรียมพร้อม ดันทุเรียนคุณภาพส่งจีน “ธรรมนัส” สั่งคุมเข้มตลอดห่วงโซ่อุปทาน เสริมแกร่งสู้ประเทศคู่แข่ง

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงสถานการณ์ส่งออกทุเรียนไทยไปยังตลาดประเทศจีน ในปี 2567 ยังคงมีช่องทางการตลาดที่สดใส แม้ปัจจุบันทุเรียนไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการส่งออกไปยังตลาดจีน จากการแข่งขันของประเทศคู่แข่ง โดยล่าสุด ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้กรมวิชาการเกษตร  เร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ควบคุมคุณภาพทุเรียนส่งออกไปจีนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั้งในส่วนของนโยบาย สวน โรงคัดบรรจุ การส่งออก การขนส่ง การตลาด การแปรรูป และการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการ พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนขยายผลไปยังทุกภูมิภาคที่ผลิตทุเรียนเพื่อส่งออก และได้เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ สวพ.6 และศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรีกว่า 180 คน เพื่อสลับเปลี่ยนหมุนเวียนทำหน้าที่ ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนสิ้นสุดฤดูกาลส่งออก และเพิ่มผู้จัดการเขตพื้นที่ทุเรียน (DIZ) จากเดิม 6 คน เพิ่มเป็น 9 คน พร้อมจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากพบการสวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP หรือการให้เช่าโรงคัดบรรจุพร้อมกับใบรับรอง GMP-DOA เป็นต้น ”

โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญอย่างมากกับการส่งเสริม สนับสนุน การส่งออกสินค้าเกษตรคุณภาพไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะทุเรียน ที่เป็นไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ภายใต้การนำของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ใช้แนวนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เป็นธงนำในการสร้างรายได้ และขยายโอกาสให้ภาคเกษตร มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเป็น 3 เท่าภายใน 4 ปีของรัฐบาล  จึงเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตร ที่ช่วยเสริมจุดแข็งในการด้านการตลาด จากการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ

ทั้งนี้ สถิติการส่งออกทุเรียน ปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาไทยส่งออกทุเรียนไปจีนทั้งหมด 57,000 ตู้/ชิปเม้นท์ ปริมาณสูงถึง 945,900 ตัน มูลค่า 120,469.34 ล้านบาท โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 สูงถึงร้อยละ 38.47 (ปี พ.ศ. 2565 ส่งออกทุเรียนไปจีน 8.11 แสนตัน มูลค่ากว่า 8.7 หมื่นล้านบาท) สำหรับช่องทางการส่งออก พบว่ารถยนต์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.9 รองลลงมาคือทางเรือ ร้อยละ 31.72 และทางรถไฟ ร้อยละ 1.17 

ครบรอบ 10 ปี เที่ยวบิน MH 370 สาบสูญ 'มาเลเซีย' เตรียมรื้อแผนค้นหาใต้ทะเลลึกอีกครั้ง

รัฐบาลมาเลเซียเตรียมพิจารณาแผนการค้นหาซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH 370 ที่หายสาบสูญไปจากจอเรดาร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 ขณะออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต อย่างเป็นปริศนาจนถึงวันนี้ ที่กำลังจะครบรอบ 10 ปีของเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวก็ยังไม่สามารถหาซากเครื่องบินพบ 

ทางการมาเลเซีย เคยประสานความร่วมมือกับหลายชาติ ทั้งจีน และ ออสเตรเลีย พยายามค้นหาเครื่องบิน MH 370 มาโดยตลอด 

แต่ทว่า พื้นที่ในการค้นหากว้างขวางมากถึง 1.2 แสนตารางกิโลเมตร ครอบคลุมน่านน้ำตั้งแต่ชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ไปจนถึงมหาสมุทรอินเดีย และ เอเชียกลาง และใช้เวลาสำรวจนานมากกว่า 2 ปีตั้งแต่ปี 2017 - 2019 ทุ่มเทงบประมาณถึง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.68 พันล้านบาท) แต่ก็ยังหาเครื่องบิน MH 370 ไม่พบ ทิ้งไว้แต่เพียงความสิ้นหวังของครอบครัวผู้โดยสาร และ ลูกเรือ ที่หายสาบสูญไปพร้อมกับเที่ยวบินมรณะ 

แต่มาวันนี้ แอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวในงานรำลึกครบรอบ 10 ปี โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน MH 370 ว่า รัฐบาลมาเลเซียยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะค้นหา และ การค้นหาจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน 

พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้กำลังพิจารณาแผนการของ บริษัทสำรวจพื้นผิวใต้ทะเลของสหรัฐอเมริกา Ocean Infinity ที่ได้ยื่นเสนอโครงการค้นหา MH 370 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทีมสำรวจก่อนหน้าประสบความล้มเหลวไปแล้วถึง 2 ครั้ง 

รัฐมนตรี โลค กล่าวว่า ตอนนี้ โครงการครั้งใหม่ของ Ocean Infinity กำลังได้รับการพิจารณาในสภา โดยบริษัทสำรวจของสหรัฐฯ ยินดีรับประกันผลงานแบบ ‘ไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย’ แต่ถ้าหาเจอ ทางรัฐบาลมาเลเซียถึงจะจ่ายค่าบริการสำรวจให้แก่ Ocean Infinity เป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดหวังว่า การค้นหาครั้งใหม่จะเริ่มต้นได้ในเร็ว ๆ นี้

แต่สำหรับครอบครัว และ ญาติมิตรผู้สูญเสีย หลังจากผ่านมา 10 ปี พวกเขาคิดอย่างไรกับการติดตามหาเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่สาบสูญ 

ครอบครัวผู้เสียชีวิตบางกลุ่ม เรียกร้อง และ ยืนยันให้รัฐบาลมาเลเซียค้นหาเครื่องบินจนเจอ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในกระบวนการยุติธรรม 

อาทิ นาย ไป๋ จง ชาวจีนผู้สูญเสียภรรยาจากเหตุโศกนาฏกรรม กล่าวหนักแน่นว่า ไม่ว่าจะผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้น ก็ยังคงต้องการคำตอบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเชื่อว่าเราจะสามารถค้นพบความจริงได้ในสักวันหนึ่ง

ในขณะที่ เกรซ นาธาน ทนายความมาเลเซียผู้สูญเสียแม่ไปกับเหตุการณ์ครั้งนั้น กล่าวว่าเธอรู้สึกยินดีที่ได้ยินว่าจะมีการเริ่มโครงการค้นหาซากเครื่องบินอีกครั้ง แต่ก็ควรอยู่ในโลกความจริง และไม่ต้องการให้รัฐบาลเสียงบประมาณเป็นพัน ๆ ล้านไปกับการพยายามค้นหาโดยเปล่าประโยชน์ 

แต่หากมองในอีกแง่หนึ่ง การผลักดันให้มีการค้นหา MH 370 จนสำเร็จก็เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมการบิน เพราะ MH370 จะไม่ถูกทิ้งเป็นประวัติศาสตร์ แต่จะนำไปสู่อนาคตของการวางมาตรฐานความปลอดภัยในการบิน เป็นเครื่องเตือนใจที่จะทำให้ผู้ที่รับผิดชอบนึกถึงทุกครั้งก่อนนำเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า 

ซึ่งเชื่อว่า ปริศนา MH 370 ถูกค้นพบ และ คลี่คลายได้อย่างแน่นอนในสักวันหนึ่ง

พุ่งเป้า!! 'ไทย' จ่อทบทวน กม.คุม 'อินฟลูเอนเซอร์' เทียบเกณฑ์ ตปท.  หลังพบทำคอนเทนต์เชิงลบ สร้างกระแส หวังเพิ่มยอดวิว

(4 มี.ค.67) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2566 และภาพรวมปี 2566 ว่า ด้านสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอินฟลูเอนเซอร์ (influencer) ข้อมูลจาก Nielsen ในปี 2565 พบว่า ประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ รวมกันมากถึง 13.5 ล้านคน โดยประเทศไทยมีจำนวนกว่า 2 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งการขยายตัวของอินฟลูเอนเซอร์ส่วนหนึ่งมาจากการเป็นช่องทางสร้างรายได้ ทั้งจากการโฆษณาหรือ รีวิวสินค้า โดยในปี 2566 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับทั่วโลกถึง 19.01 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 140.33 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 7.4 เท่า ภายใน 7 ปี

นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับไทย อินฟลูเอนเซอร์ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ได้ค่อนข้างสูง เฉลี่ยตั้งแต่ 800-700,000 บาทขึ้นไปต่อโพสต์ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันผลิตคอนเทนต์ และการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม (Engagement) ของอินฟลูเอนเซอร์มักมีการสร้างคอนเทนต์ให้เป็นกระแสโดยไม่ได้คำนึ่งถึงความถูกต้องเหมาะสมก่อนเผยแพร่ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมหลายประการ

อาทิ การนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เช่น การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ จากรายงานผลการดำเนินงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พบจำนวนยอดละสมผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม 7,394 บัญชี โดยเป็นจำนวนข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนรวมกันกว่า 5,061 เรื่อง

นายดนุชา กล่าวว่า การชักจูงหรือชวนเชื่อที่ผิดกฎหมาย อาทิ การโฆษณาเว็บพนันออนไลน์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ในปี 2566 พบว่าคนรุ่นใหม่เล่นพนันออนไลน์ประมาณ 3 ล้านคน โดย 1 ใน 4 เป็นนักพนันฯ หน้าใหม่ หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 7.4 แสนคน โดยส่วนใหญ่ 87.7% พบเห็นการโฆษณาหรือได้รับการชักชวนทางออนไลน์ ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1 ล้านคน
.
การละเมิดสิทธิพบว่าอินฟลูเอนเซอร์บางรายมีการเสนอข่าวอาชญากรรมราวกับละคร เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เสียหาย ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังพบการทำข่าวโดยใช้ภาพผู้คนหรือ วิดีโอของผู้อื่นมาตัดต่อลงคอนเทนต์ของตน โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา
.
นายดนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาบางประเภทที่ไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย แต่อาจนำไปสู่การสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม อาทิ คอนเทนต์ การอวดความรำรวย จากการศึกษาของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบกลุ่มเจนซี (Gen Z) จำนวน 74.8% เป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตนในรูปแบบนี้มากที่สุด หรือการนำเสนอภาพบุคคลที่ได้รับการปรับแต่งให้ดูดี จนกลายเป็นมาตรฐานความงามที่ไม่แท้จริง ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับเด็กและเยาวชนในสังคม และอาจกระทบต่อการก่อหนี้เพื่อนำมาซื้อสินค้าและบริการ

“ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลเชิงลบของอินฟลูเอนเซอร์ต่อสังคมหลายแง่มุม ซึ่งในต่างประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ออกระเบียบห้ามเผยแพร่ผิดกฎหมาย นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ แจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย พร้อมแสดงเครื่องหมายกำกับ เพื่อลดปัญหาความกดดันทางสังคมต่อมาตรฐานความงามที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน”นายดนุชา กล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้มีกฎหมายควบคุม อาทิ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. … ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแลการนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อปัจจุบัน แต่ยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน

“นอกจากนี้ แนวทางการกำกับดูแลส่วนใหญ่เน้นไปที่การตรวจสอบ เฝ้าระวังการนำเสนอ และการตักเตือน/แก้ไข ซึ่งหากไทยจะขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหาของสื่อกลุ่มต่าง ๆ โดยอาจศึกษาจากกรณีตัวอย่างของกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมต่อไป” นายดนุชากล่าว

'เต้-มงคลกิตติ์' แจ้งจับ 'พิธา-พวก' เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง อาจต้องโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหลายราย

(4 มี.ค.67) ที่ศูนย์รับแจ้งความ บชก. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ฉบับเต็มรวม 32 หน้า มามอบให้กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ประกอบการพิจารณาดำเนินคดีอาญา กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และผู้บริหารพรรคก้าวไกล รวมความ 10 ราย

นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าก้าวไกลเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ตนได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินคดีกับนายพิธาและพวกตามกฎหมาย ซึ่งหลังยื่นคำร้องดังกล่าว ทาง ผบ. ตร.ได้ดำเนินการมีคำสั่งมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งวันนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้นัดให้ตนนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม มามอบให้กับพนักงานสอบสวน ในฐานะผู้ร้อง

"มองว่าคดีนี้ต้องทำให้เป็นเยี่ยงอย่างเพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคตเพราะการใช้นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และพยายามให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครองประเทศ ที่สำคัญมีการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยธรรมวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว มีความชัดเจนว่าการกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเป็นความผิดร้ายแรง แต่เป็นความผิดเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ดังนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เชื่อว่าหากพนักงานสอบสวนดำเนินคดีจะมีผู้ถูกออกหมายจับ อาจต้องโทษถึงประหารชีวิตถึง 10 ราย และจำคุกตลอดชีวิตอีกหลายคน" นายมงคลกิตติ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเจ้าของสำนวนคดี ได้รับคำวินิจฉัยดังกล่าวไว้ประกอบการพิจารณา ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘แฟรงค์’ อาการไม่สู้ดี ‘ชีพจรเต้นอ่อน - นน.เหลือแค่ 38’ ฮึด!! ยืนหยัดสู้หนักแน่น บอก!! “ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต”

(4 มี.ค. 67) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยความคืบหน้าการอดอาหารและน้ำประท้วงเข้าสู่วันที่ 20 ของ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์ ผู้ต้องขังคดีมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สืบเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าบีบแตรใส่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2567 ทั้งนี้ เพื่อยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องพร้อมกับ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน

ล่าสุด ศูนย์ทนายความฯ อัปเดตอาการ แฟรงค์ ณัฐนนท์ ว่า Update การอดอาหารและน้ำประท้วงของ #แฟรงค์ ณัฐนนท์ เพื่อ 3 ข้อเรียกร้องพร้อมกับ #ตะวัน เข้าสู่วันที่ 20 (4 มี.ค.) ปัจจุบันยังคงอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ การตอบสนอง-รับรู้ช้า รู้สึกร้อนในร่างกายมาก อ่อนแรงและซูบผอมมาก

แฟรงค์บอกว่า สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสัญญาณชีพจรเต้นอ่อนมากถึง 3 ครั้ง น้ำหนักยังอยู่ที่ 38 กก. (ก่อนถูกคุมขังอยู่ที่ประมาณ 45 กก.)

สภาพร่างกายและอาการของแฟรงค์ในขณะนี้ ทนายสังเกตว่า

- การรับรู้ตอบสนองช้า กว่าจะโต้กลับใช้เวลาเกือบ 1 นาที
- แฟรงค์ดูเหม่อลอย เหนื่อยหอบมาก ตัวเหลืองซีด
- ปากแตกแห้ง พูดเบามาก ทั้งยังอ้าปากค้างไว้ตลอดเวลา เพราะรู้สึกร้อนมาก จากภายในร่างกายและจากสภาพอากาศ
- แฟรงค์ไม่ยอมใส่เครื่องช่วยหายใจ ตอนนี้จึงหายใจลำบาก
- รู้สึกเหนื่อยมาก แม้ว่าจะนั่ง หรือนอนเฉยๆ ก็ตาม
- มีอาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ และเวียนศีรษะเป็นระยะ
- เจ็บหน้าอกเมื่อนอนตะแคง อาจเพราะซูบผอมมากจนช่วงหน้าอกเห็นกระดูกซี่โครงชัดเจน
- อ่อนแรงมาก มีแรงยกแขนได้เพียงระยะสั้นๆ
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ มักจะเป็นตะคริวและเหน็บชา
- ตอนนี้ไม่มีอาการชักเกร็งแล้ว

แฟรงค์ไม่ได้จิบน้ำ หรือรับยารักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดมานานแล้ว กลางคืนจึงนอนไม่หลับเลย แต่แฟรงค์ยังคงเข้มแข็งและอดทนมาก แฟรงค์เป็นห่วงทุกคนข้างนอก และบอกว่า “ผมภาวนาให้ #ตะวัน ฝันดีทุกคืนเลย”

ถึงจุดนี้ผมหนักแน่นสุดๆ

“ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต”

แฟรงค์ฝากบอกแม่และยาย “ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ”

เพื่อนๆ และแม่ของแฟรงค์ พูดกับแฟรงค์ก่อนหมดเวลาเข้าเยี่ยมว่า “หายใจเข้าไว้นะแฟรงค์ อยู่กับลมหายใจเข้าไว้ จะได้ลดความเจ็บปวดทรมานนะ เก่งมาก”

แฟรงค์น้ำตาซึม และบอกทุกคนว่า “ไว้เจอกันนะ”

5 นักมวยไทย ที่มียอดผู้ติดตามทางโซเชียลมากที่สุด

สำหรับนักมวยไทยในปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง มีแฟนคลับหลากหลายกลุ่ม โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่คนที่ชื่นชอบกีฬามวยไทยเท่านั้น ยิ่งปัจจุบันเมื่อมีโลกโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยนักกีฬาแต่ละคนสามารถติดต่อสื่อสารกับเหล่าแฟนคลับได้ง่ายขึ้น รวดเร็วทันที และไปไกลยังต่างประเทศได้อีกด้วย

ขณะที่คอนเทนต์ที่นักมวยไทยต่างนำเสนอต่อแฟน ๆ บนโซเชียลส่วนใหญ่จะเป็นการให้ความรู้ด้านมวยไทยและเทคนิคต่าง ๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงคอนเทนต์แนวตลก เฮฮา เรียกรอยยิ้ม

และต่อไปนี้…คือ ‘5 อันดับนักมวยไทย’ ที่มียอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียยอดฮิต ทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี และติ๊กต็อกมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ จะมีใครบ้างไปดูกันเล้ย!! ✨🇹🇭

เปิดไทม์ไลน์ 'กะเทยไทย' รวมพล ซ.สุขุมวิท 11 แก้แค้นกะเทยปินส์ หลังกะเทยไทยโดนรุมตบ แถมถูกไลฟ์สดทั่วฟิลิปปินส์ หยามศักดิ์ศรีขั้นสุด

(5 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความไล่ไทม์ไลน์ประเด็นร้อน ‘กะเทยไทย รวมตัวกันที่สุขุมวิท 11 หลังมีคลิปถูกกะเทยฟิลิปปินส์รุมตบ 20:2’ โดยระบุว่า…

“ไทย 🇹🇭 : เหตุการณ์ สุขุมวิท11 

🕓 เวลา 04.00 น. 5/03/2024 นาทีตำรวจนำตัว 2 สาว กระเทยฟิลิปปินส์ ไปสถานีตำรวจในเหตุทะเลาะวิวาท ถูกประชาทัณฑ์

🕓ไทม์ไลน์ 4/03/204
*เหตุทะเลาะวิวาท กระเทยฟิลิปปินส์ถือพาสปอร์ตนักท่องเที่ยว (จากคำบอกเล่า อาจแอบแฝงทำงาน) มีปัญหามาช้านาน รุ่นสู่รุ่นกับกระเทยไทย ในย่านสุขุมวิท 11

*จากคลิป กระเทยฟิลิปปินส์ หาเรื่องเพื่อให้สาวสองไทยเปิดก่อน ยั่วยุ ให้นิ้วกลางยั่วยุ ใช้คำหยาบมาก  เนื่องจากฝั่งฟิลิปปินส์มีหลายคน และถ่ายทอดสด บันทึกคลิป เผยแพร่ไปยังฟิลิปปินส์ ต่อมามีการเคลียร์กันและจบ 

*เวลาประมาณ 05.00 น. 4/03 กระเทยไทย 5-6 คน ถูกกระเทยฟิลิปปินส์เกือบ 20 รุมตบ ละแวกที่ทำงาน และที่พักในซอยสุขุมวิท 11 (จากคำบอกเล่า รุมตบ และชิงทรัพย์กระเป๋าแอร์เมสของแท้ และ กระเป๋าเงินหายขณะมีเรื่อง) มีหลักฐานกล้องวงจรปิดทั้งหมด และการบันทึกคลิปจากมือถือ เผยแพร่จากฝั่งฟิลิปปินส์

🌈 4 มีนาคม 2024 จากคลิปที่กระเทยฟิลิปปินส์ เผยแพร่ในฟิลิปปินส์ แชร์เข้ากลุ่ม ทำนองสะใจ และเป็นไวรัล แชร์จำนวนมากในกลุ่มสาวสอง กลุ่มนางงาม

🌈 ช่วงเย็น 4/03 เกิดการรวมตัว กระเทยไทย โดยไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างไม่รู้จักกัน เดินทางไปเต็มซอย ไปที่โรงแรมที่กระเทยฟิลิปปินส์พัก ซอยสุขุมวิท 11 จากหลักร้อยอาจสูงถึง 2,000 คน 
ประเด็นนี้ มองได้ว่า เมื่อดูคลิปการเย้ยหยัน กร่าง สะใจ ทำให้มีอารมณ์ และก่อเหตุในไทยซึ่งเป็นเจ้าบ้าน / คลิปในความเห็น

1.ปัญหามีมาช้านาน กระเทยฟิลิปปินส์มารวมตัวกันแฝงทำงาน จนเกิดเป็นมาเฟียย่อม ๆ และทำร้าย คนไทย และโพสต์ประจานด้วยความสะใจ ซึ่งก่อนหน้าทราบว่าพวกกระเทยฟิลิปปินส์มาทำอะไร ต่างคนต่างอยู่ จนมีปัญหาทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ฝั่งกระเทยไทยมีคนไม่ครบ 32 ทางร่างกาย เป็นผู้บาดเจ็บ 

2.ขณะที่กระเทยไทยรวมตัวกัน กระเทยฟิลิปปินส์มีการยั่วยุทางหน้าต่างโรงแรม
3.กระเทย ฟิลิปปินส์ไม่สามารถออกจากโรงแรมได้ ถูกล้อมไว้หมดแล้ว 
4.กระเทยฟิลิปปินส์ถูกรุม 1 คน ขณะลงมาเอาข้าวจากการสั่งหน้าลิฟต์ 

5.ตำรวจไม่สามารถนำกระกระเทยฟิลิปปินส์ไปสถานีตำรวจได้ และขอกำลังเสริมมาจำนวนมาก ยิ่งดึกกระเทยไทยยิ่งมาเยอะ เกินกำลังตำรวจที่จะควบคุมได้ (ตำรวจนำกระเทยฟิลิปปินส์ ไปสน. รอบแรก 2 คน รอบสอง 2 คน เฉพาะหัวโจก ที่เหลือยังอยู่ในโรงแรม)

*การถ่ายทอดสดในช่องทางต่าง ๆ คนฟิลิปปินส์มาดูจำนวนมาก กระแสขึ้นเทรนในทวิตเตอร์ x และแพลตฟอร์มอื่น ๆ  

*ฝั่งกระเทยไทยต้องการให้ตำรวจ ดำเนินคดี ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด หรือแบนหนังสือเดินทาง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top