Monday, 26 May 2025
NewsFeed

‘กยศ.’ ปรับโครงสร้างหนี้ หวังช่วยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นภาระ ยัน!! ไม่ถูกบังคับ-ดำเนินคดี ผู้กู้ยืมแห่ทำสัญญานับพันราย

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดให้ผู้กู้ยืมเข้ามาทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นวันแรก มีผู้กู้ยืมเข้ามาทำสัญญากว่า 1,000 ราย ปลดภาระผู้ค้ำประกันหลังจากทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทันที ผู้กู้ยืมสามารถลงทะเบียนนัดหมายวันเข้าทำสัญญาล่วงหน้าทางเว็บไซต์ กยศ. และกองทุนฯ จะทยอยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ให้กับผู้กู้ยืมจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 กองทุนฯ ได้เปิดให้ผู้กู้ยืมที่ลงทะเบียนนัดหมายเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เป็นวันแรก โดยมีผู้กู้ยืมเข้ามาทำสัญญากว่า 1,000 ราย สำหรับผู้กู้ยืมที่มีสิทธิ์เข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้แก่ ลูกหนี้ทุกกลุ่ม โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้กู้ยืมผ่อนชำระเงินคืนกองทุนฯเป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี และในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ให้ส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้น และผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดหลังจากทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้

ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถลงทะเบียนนัดหมายเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้ ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th โดยจะเปิดให้เข้ามาทำสัญญาทุกวันไม่เว้นวันหยุด เวลา 09.00 – 20.00 น. และกองทุนฯจะเปิดโอกาสให้ผู้กู้ยืมตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป ซึ่งการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้กู้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ปลดภาระผู้ค้ำประกัน รวมถึงลดกระบวนการดำเนินคดี/บังคับคดี ซึ่งคาดว่าจะมีเงินกลับเข้ามาที่กองทุนฯ อย่างต่อเนื่อง และทำให้มีเงินหมุนเวียนเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษา รุ่นน้องต่อไป

12 คนบันเทิง ติดลิสต์ 100 Finalists of The People Awards 2024

🔎 ส่อง 12 โฉมหน้าคนบันเทิงที่เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศรู้จักกันดี จาก 100 Finalists of The People Awards 2024 ใต้แนวคิด ‘People Go Beyond’ ต้นแบบคนผู้ทะยานข้ามขีดจำกัด จะมีใครบ้าง มาดูกัน!!

‘วราวุธ’ เชื่อ ไม่เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง แม้ ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน ชี้!! ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรือโรงพยาบาล รัฐบาลก็ยังทำงานกันตามปกติ

(17 ก.พ. 67) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ ถูกมองว่าอาจส่งผลต่อสถานการณ์การเมือง ว่า เบื้องต้นตนต้องขอแสดงความยินดีกับครอบครัวชินวัตร ที่ได้บุคคลอันเป็นที่รักกลับมาสู่อ้อมกอด ถือเป็นเรื่องปกติที่ตนเชื่อว่า ครอบครัวใดเมื่อได้บุคคลอันเป็นที่รัก กลับมาสู่ครอบครัวและอ้อมกอดของทุกคน ได้คงมีความดีใจจึงต้องขอแสดงความดีใจในเบื้องต้น

นายวราวุธ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่กันว่าจะมีแรงกระเพื่อมทางการเมืองนั้น ตนคิดว่า คงไม่ได้ต่างอะไรกันมาก อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนได้เห็นแล้วว่าทางรัฐบาลก็ทำงานไปตามปกติ และเท่าที่ตนเห็นก็ไม่ได้มีการเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใดในการที่รัฐบาลทำงานอยู่ ดังนั้นเมื่อนายทักษิณย้ายจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่ที่บ้านคงไม่มีเหตุการณ์อะไรมาก รัฐบาลก็ยังคงทำงานเช่นเดิม ยังมีปัญหาของประเทศชาติก็ยังมีเหมือนเดิม ปัญหายังอยู่เราก็ต้องแก้ปัญหากันต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงทิศทางทางการเมือง ที่อาจมีการเขย่าและปรับ ครม. ตามที่ยังมีกระแสข่าว นายวราวุธ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ ที่รัฐบาลอยู่กันมา 5-6 เดือนแล้ว แต่คงต้องดูพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลว่าจะมีนโยบายอย่างไร เพราะพรรคชาติไทยพัฒนาเรามีเพียง 10 คน เราก็ติดตามสถานการณ์ไป แต่จะทำอะไรอย่างไรตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงส่งข่าวกันมาก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีวี่แวว ยังไม่มีการส่งสัญญาณมาว่าจะปรับ ครม.

‘ดร.หิมาลัย’ รับลูก!! ‘พีระพันธุ์’ ขึ้น ‘ลำปาง’ รับหนังสือร้องขอความเป็นธรรม หลัง รพ.แห่งหนึ่ง วินิจฉัยโรคผิด สุดท้ายผู้ป่วยอาการทรุดจนเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ ได้เดินทางมาให้กำลังและรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก นายวัชระ บุรณะเครือ ประชาชนชาวตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง บุตรชาย ของนายณรงค์ บูรณะเครือ เป็นผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ซึ่งวินิจฉัยโรคผิดจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ทางด้าน ดร.หิมาลัย เปิดเผยว่า “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากการเผยแพร่ในโซเชียลต่างๆ จึงได้มอบให้ตนเอง ในฐานะคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมสอบถามข้อเท็จจริงในเบื้องต้น และรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่บ้านพักของนายบอล ลูกชายของผู้เสียชีวิต พร้อมเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว หลังจากนี้ ทาง ผอ.รพ.ลำปางก็ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องของการรักษาผู้ป่วยจนเสียชีวิต ว่าเกิดปัญหามาจากอะไร และจะมีการแสดงความรับผิดชอบกรณีนี้อย่างไร” ดร.หิมาลัย กล่าว

ด้านนายวัชระ ได้เปิดเผยว่า ตนเองได้ประสานขอความเป็นธรรมผ่าน ดร.นงค์เยาว์ อาทิตยานนท์ สถานียุติธรรมพรรครวมไทยสร้างชาติ จังหวัดลำปาง ให้ติดต่อขอยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี/คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงร้องเรียนร้องทุกข์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ว่าวินิจฉัยโรคผิด ทำให้บิดาของตนเองคือ นายณรงค์ ผู้ป่วยและเสียชีวิต 

โดยนายวัชระ ได้ให้รายละเอียดว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.ของวันที่ 8 ก.พ. 67 นายณรงค์  บิดาของตนซึ่งมีอายุ 60 ปี เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงทุรนทุราย หายใจติดขัด ตนจึงได้เรียกรถพยาบาลฉุกเฉินของหน่วยกู้ภัยมารับตัว และได้ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลฯ ได้มีเจ้าหน้าที่เวรเปลมารับตัวผู้ป่วย และได้ส่งตัวไปรอคิวตรวจที่ห้องกระดูกและข้อ จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตนเองได้ไปสอบถามมารดาที่รอเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน และถามว่าคนไข้ยังอยู่ที่จุดใด และได้ทราบว่าทางโรงพยาบาลส่งคนไข้ไปยังห้องตรวจตึกผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นห้องตรวจกระดูกและข้อ 

ตนเห็นว่ามันไม่ตรงกับอาการของผู้ป่วย และตนได้สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยในขณะนั้นหายใจติดขัด ดิ้นทุรนทุรายหนักขึ้น ตนจึงได้รีบแจ้งกับเจ้าหน้าที่พยาบาลฯ ให้รีบนำบิดาของตนส่งไปยังห้องฉุกเฉินเป็นการด่วน พยาบาลให้ความเห็นว่าถ้ารอเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะล่าช้า จึงให้ตนนำบิดาซึ่งเป็นผู้ป่วยไปส่งด้วยตนเอง ตนจึงได้นำบิดาไปส่งยังห้องฉุกเฉิน ในขณะนั้น คนไข้มีอาการชีพจรหยุดเต้นทีมแพทย์จึงรีบให้การรักษา และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยแพทย์ให้ความเห็นว่า ผู้ป่วยมีอาการเส้นเลือดโป่งพองในช่องท้องและแตก เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต

ตนและครอบครัวจึงได้รับศพนายณรงค์ฯ บิดาของตน ไปบำเพ็ญกุศล และได้ฌาปนกิจที่สุสานร่องสามดวงในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ตนและครอบครัวได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุของการเสียชีวิตของบิดาของตน น่าจะเกิดจากความล่าช้าในรักษามีการวินิจฉัยโรคผิดตั้งแต่ต้น ทำให้เสียเวลารักษาเกือบ 2 ชั่วโมง เนื่องจากการรักษาครั้งนี้ ตนและครอบครัวได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นเงินร่วม 600,000 บาท 

ดังนั้น ตนและญาติจึงได้มาร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้โรงพยาบาลดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบ และเป็นอุทาหรณ์เป็นกรณีตัวอย่าง ในการดูแลรักษาผู้ป่วย จะได้ไม่เกิดการสูญเสียเหมือนบิดาของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดเหตุทางโรงพยาบาลดังกล่าว ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อชี้แจงแต่อย่างใด

‘ลุงซาเล้ง’ เล่าความประทับใจ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงรถซาเล้งพ่วงข้าง เผย สุดแสนปิติ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้ถวายงานเป็นพลขับให้พระองค์ท่าน

(17 ก.พ. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘มูลนิธิชัยพัฒนา’ ได้โพสต์ภาพเก่าเล่าเรื่อง เป็นภาพที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรถซาเล้งพ่วงข้าง คงเป็นภาพที่อยู่ในความประทับใจของใครต่อใครหลายคน

… แต่ใครจะรู้ว่าภาพดังกล่าวเกิดขึ้นจากเมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรและทรงติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิของมูลนิธิชัยพัฒนา ณ โรงเรียนบ้านเกาะสาหร่ายชัยพัฒนา ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ด้วยภูมิศาสตร์ของโรงเรียนตั้งอยู่บนเกาะ การเดินทางซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนบนเกาะสาหร่ายจึงใช้รถมอเตอร์ไซค์และรถซาเล้งพ่วงข้างในการเดินทาง เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ได้ประทับรถซาเล้งพ่วงข้างเฉกเช่นสามัญชนทั่วไป โดยมีคนท้องถิ่นนำรถของตนน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นรถพระที่นั่งขณะทรงงานบนเกาะ พร้อมทั้งถวายงานเป็นพลขับเพราะคุ้นชินและชำนาญพื้นที่

นายนาซาด หมัดตุกัง หรือ ‘คุณลุงขับซาเล้ง’ ที่เห็นในภาพ เคยถ่ายทอดความประทับใจที่ได้ถวายงานในวันนั้น ว่า…

“ขณะร่วมทาง พระองค์ได้ทรงสอบถามทุกข์สุขของชาวบ้าน พูดคุยอย่างเป็นกันเอง… ส่วนรถซาเล้ง ชาวบ้านละแวกนั้นจะเรียก ‘รถพระเทพฯ’ ...และหากถามถึงความรู้สึก ก็ตื่นเต้นมาก บอกไม่ถูก ผมเป็นมุสลิม เคยไปอยู่มาเลย์ แต่ก็กลับมาอยู่เมืองไทย เมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีปัญหา คนเกาะอยู่กันสุขสบาย… ที่นี่เจริญขึ้นมาก เจ้าเหยียบเมืองตรงไหนก็เจริญ”

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเฟซบุ๊ก : มูลนิธิชัยพัฒนา
https://www.facebook.com/chaipattanafoundation/posts/801975968639531?ref=embed_post

‘เจ้าชายแฮร์รี’ เปิดใจสื่อครั้งแรก หลังบินด่วนเยี่ยม ‘คิงชาร์ลส์’ เผย โรคภัยช่วยนำพาครอบครัวกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

(17 ก.พ. 67) เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ทรงเปิดเผยถึงการเสด็จกลับลอนดอนเพื่อเยี่ยมพระราชบิดาของพระองค์เป็นครั้งแรก ในระหว่างประทานสัมภาษณ์ในรายการ กู๊ดมอร์นิงอเมริกา ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พระองค์ ‘กระโดดขึ้นเครื่องบิน’ ในทันทีที่ทำได้ เพื่อกลับไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร หลังทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เจ้าชายแฮร์รีตรัสว่า พระองค์รู้สึกขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ทรงได้อยู่กับพระราชบิดา ในช่วงสั้นๆ นั้น และทรงเห็นด้วยว่า ครอบครัวสามารถกลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้นจากปัญหาสุขภาพ

ดยุคแห่งซัสเซกซ์ พระราชโอรสองค์เล็กในกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงกล่าวอีกว่า จะเสด็จกลับอังกฤษให้มากขึ้น และพบกับครอบครัวให้มากขึ้นเท่าที่จะทรงทำได้ และตรัสย้ำว่า “ผมรักครอบครัวของผม”

เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งทรงอยู่ระหว่างการร่วมโปรโมตการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติ “อินวิคตัส เกมส์” ในประเทศแคนาดา ทรงยกตัวอย่างของผู้มีส่วนร่วมในอินวิคตัส เกมส์ โดยชี้แนะว่าความกดดันเช่นนั้นสามารถช่วยนำครอบครัวมาอยู่รวมกันได้ “ความเจ็บป่วยใดๆ ก็ตาม จะนำครอบครัวมารวมกัน”

เจ้าชายแฮร์รีเสด็จกลับมายังลอนดอนเพียงลำพังในทันที เมื่อทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงประชวรด้วยโรคร้ายดังกล่าว แม้จะทรงพำนักอยู่ในลอนดอนเพียงหนึ่งวัน และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่พระตำหนักแคลเรนซ์ราว 45 นาที โดยทรงไม่ได้พบกับเจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์ พระเชษฐาของพระองค์ ท่ามกลางรอยร้าวความขัดแย้งระหว่าง 2 พี่น้องเลือดขัตติยะที่ยังคงอยู่

หลังจากเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน พระชายา ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงไปในปี 2020 และทรงย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ในการประทานสัมภาษณ์ครั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รีทรงเปิดเผยด้วยว่า พระองค์กำลังพิจารณาที่จะถือสัญชาติอเมริกัน โดยตรัสว่าพระองค์รักการใช้ชีวิตในอเมริกาทุกๆ วัน แต่พระองค์ยังทรงลังเลเมื่อถูกถามว่าทรงรู้สึกถึงความเป็นอเมริกันในตัวแล้วหรือไม่ เพียงแต่กล่าวถึงการถือสัญชาติอเมริกันว่า ทรงคิดอยู่ แต่แน่นอนว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญมากในตอนนี้

‘วราวุธ’ ส่งทีม ‘ศรส.-พมจ.นนทบุรี’ เร่งช่วยชายสูงวัยตาบอด เตรียมพาตรวจสุขภาพ หลังอาศัยในบ้านกองขยะ-ไร้น้ำไร้ไฟ

(17 ก.พ. 67) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยถึงกรณีกระทรวง พม.ให้การช่วยเหลือชายสูงวัย อายุ 65 ปี พิการตาบอดข้างหนึ่ง ส่วนตาอีกข้างมองเห็นลางๆ อาศัยเพียงลำพังในบ้านเก่าสภาพผุพังทรุดโทรม ภายในบ้าน และรอบบ้านเต็มไปด้วยขยะ และไม่มีน้ำประปา-ไฟฟ้า ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ว่า ขณะนี้ หน่วยงานของกระทรวงพม. ทั้งทีมพม.หนึ่งเดียว และ พม.จังหวัดนนทบุรี ได้ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือดูแลคุณตาคนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการซ่อมแซม ปรับปรุงสภาพของบ้านที่พักอาศัย สำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ การติดตั้งน้ำประปา-ไฟฟ้า การติดต่อญาติพี่น้องว่ามีบุตรหลาน หรือว่าคนรู้จักเป็นญาติอยู่ที่ไหน ในการที่จะช่วยดูแล และเรื่องกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินที่คุณตาอาศัยอยู่ และการมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้ คุณตาได้รับเบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อีกทั้งจะหาเจ้าหน้าที่เข้าดูแลรายเคส เข้าไปดูแลอย่างสม่ำเสมอ ในเบื้องต้นนี้ก่อน ส่วนเรื่องการที่จะย้ายคุณตาไปอยู่ที่ไหน คงจะต้องดูในระยะต่อไป

ทั้งนี้ วันที่ 19 ก.พ. 67 ทางเทศบาลนครนนทบุรี จะเข้าไปช่วยทำความสะอาดภายในบ้านและบริเวณโดยรอบ และวันที่ 20 ก.พ. 67 ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ‘ศรส.จ.นนทบุรี’ ของกระทรวงพม. จะพาคุณตาไปตรวจสุขภาพ นอกจากนี้ ศรส.จ.นนทบุรี และเทศบาลนครนนทบุรี จะช่วยกันติดตามช่วยเหลือดูแลคุณตาเป็นระยะๆ อีกด้วย

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ได้แจ้งข่าว จนทำให้ทางกระทรวง พม. หรือแม้แต่ทีมงานเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. สามารถเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องกลุ่มเปราะบางได้ ซึ่งต้องเรียนว่าในประเทศไทยยังมีพี่น้องกลุ่มเปราะบางอีกจำนวนมากในทุกๆ จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีความเป็นอยู่ที่หนาแน่น มีปริมาณประชากรที่เยอะ ทำให้บางครั้งจะทำให้การเข้าไปถึงในแต่ละครอบครัวนั้น อาจจะไม่ละเอียดเท่าที่ควร

ดังนั้น การบูรณาการการทำงาน การพูดคุยกัน ข้ามหน่วยงานของทุกๆฝ่ายนั้น เป็นหัวใจสำคัญ คงจะไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หรืออาสาสมัครของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่เป็นการทำงานร่วมกัน การแชร์ข้อมูลกัน การบอกต่อซึ่งกันและกัน เพราะว่าบางครั้ง เมื่อเราไปทำงาน จะไปพบปะกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้วนำมาบอกเล่ากันว่า เกิดปัญหาตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งการแชร์ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นหนทางในการที่ทำให้ทุกหน่วยงานเรียกว่ารัฐบาล สามารถเข้า ไปแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที

ซึ่งแน่นอน อาจจะมีตกหล่นบ้าง ต้องกราบขออภัยจริงๆ แต่ในบริบทของกระทรวง พม. นั้น เรามีแนวทางในการที่จะเข้าไปเยียวยา สนับสนุน ดูแล แก้ไขปัญหาในทุกๆ บริบท เพียงแต่ว่าบางครั้ง ถ้าหากมีคนแจ้งเหตุเข้ามาแล้ว กระทรวง พม. จะรีบส่งทีมปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วของศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. เข้าไปแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น และหลังจากนั้น เราจะดูว่าการช่วยเหลือในระยะกลางและระยะยาว จะสามารถแก้ไขให้คุณภาพชีวิตของบุคคลนั้นดีขึ้นได้อย่างไร

นอกจากนี้ นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบเห็นผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน สามารถโทรแจ้งมาที่ ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. ผ่านฮอตไลน์ 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. มีทีมปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือทันที

‘รทสช.’ จัดงาน ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งแรก เดินหน้าตามอุดมการณ์พรรค ด้าน ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ขอมุ่งมั่นทำงานค้ำจุน 3 สถาบันหลักของชาติ

(17 ก.พ. 67) ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดกิจกรรม ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งที่ 1 เพื่อให้อาสาสมัครในโครงการได้ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำของพรรค นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้ จะมีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การมาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อลงเลือกตั้ง และถูกวิจารณ์มากว่าไม่เคยอยู่ในสายตา สื่อบางสำนักบอกว่าเลือกตั้งจะได้สส.ไม่เกิน 7 คน แต่ผลการเลือกตั้งออกมาได้ สส.ได้ถึง 36 คน ถือว่าเกินความคาดหมาย ด้วยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น โดยทำพรรคตามแนวทางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ใช้พละกำลังทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ นี่คือ DNA ของพรรค ตามสโลแกนของพรรคที่ว่าเราจะแก้ไขให้ทุกปัญหา เราจะเป็นที่พึ่งพาได้ทุกเรื่อง ประชาชนที่เดือดร้อนถ้าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ ประชาชนก็มีความสุข

“การทำโครงการอาสาสมัครด้วยใจ เพื่อต้องการแขนขาของพรรคมาช่วยเหลือประชาชน เป็นหูเป็นตา อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็มาช่วยกัน วันนี้เรามีอาสาสมัครที่มาทำงานด้วยใจกว่า 400 คนแล้วจากทั่วประเทศ จากเดิมที่คิดว่า 100 คนก็ดีใจแล้ว โดยการทำงานจะแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ขอขอบคุณที่มาช่วยกัน หวังว่าจะมาช่วยกันสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า อุดมการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ค้ำจุนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่ต่อไป” หัวหน้าพรรคไทยรวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การทำงานการเมืองไม่มีอะไรตอบแทน มีแต่ความเสียสละทำงานด้วยใจ พร้อมช่วยชาวบ้าน ความสุขอยู่ตรงนั้น นั่นคือคำตอบของอาสาสมัคร มีความเสียสละ ถ้ามีปัญหาเดือดร้อนขอให้แจ้งมาที่พรรค พรรคพยายามช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด โดยสามารถแจ้งได้ที่สถานียุติธรรมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทำมาตั้งแต่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม และได้เอามาสานต่อที่พรรครวมไทยสร้างชาติ

ด้านนายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนมีความภาคภูมิใจมาก ที่ได้มาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แม้เส้นทางไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เป็นเส้นทางที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค แต่ตนศรัทธาในจุดยืนของพรรค และจุดยืนของนายพีระพันธุ์ว่า จะเป็นผู้นำพรรคให้สามารถทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและประเทศชาติได้ ในที่สุดเราผ่านการเลือกตั้งมา และโชคดีที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่ที่เป็นที่รักเคารพของคนไทยทั้งประเทศมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค รวมไทยสร้างชาติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ถือธงนำทัพพรรครวมไทยสร้างชาติครั้งแรก ถือเป็นประวัติศาสตร์ของพรรคหลังเลือกตั้งได้ สส.36 คน ได้คะแนนกว่า 4,800,000 คะแนน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ครั้งนี้จึงเป็นงานสำคัญที่ นายพีระพันธุ์ และตนต้องระดมพลทั่วประเทศ จึงเป็นที่มาที่เราได้มาเจอกันในวันนี้ เพราะปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อยากปล่อยให้หายไป เราอยากรักษาพลังส่งต่อภารกิจไปยังรุ่นต่อๆ ไป

“สำหรับ จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อบ้านเมืองประสบปัญหาเราแสดงจุดยืนชัดเจน จึงเห็นภาพเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (14 ก.พ. ) ผมได้ขออนุญาตหัวหน้าพรรค คุยกับ สส.ของพรรค และวิปรัฐบาลว่า จะเสนอญัตติ เรื่อง การถวายความปลอดภัย ขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ นี่คือจุดยืนสำคัญของพรรคในการรักษาสถาบันเสาหลักของประเทศ ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวด้านความรักความสามัคคีของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า“ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวว่า หลังจากวันนี้ไปจะมีการจัดเวทีลักษณะนี้อีกหลายครั้ง ขอขอบคุณด้วยใจจริงที่ทุกคนได้เอื้อมมือมาที่พรรค หวังว่าหลังจากนี้ไปพวกท่านจะไปเชิญชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครได้ซักถามปัญหา โดยมี นายพีระพันธุ์ เป็นผู้ตอบปัญหา เพื่อไขความกระจ่างด้วยตนเอง พร้อมทั้งถ่ายรูปหมู่ร่วมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

‘แกนนำ คปท.’ เชื่อ ‘ทักษิณ’ ไม่ได้ป่วยหนักมาตลอด 180 วัน ชี้!! ภาพกลับบ้านคือหลักฐาน จี้หาตัวผู้ร่วมกันโกหกต้องรับผิดชอบ

(18 ก.พ. 67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเป็นรูป นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั่งรถออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมระบุว่า…

“หลักฐานบุคคล นี่ยืนยันชัดเจนว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ป่วยหนักวิกฤตตลอด 180 วัน ตามที่กล่าวอ้าง กรมราชทัณฑ์ คณะแพทย์ รมต.ยุติธรรม นายกรัฐมนตรี พวกคุณจะรับผิดชอบอย่างไรกับการป่วยทิพย์ครั้งนี้

พวกคุณสมคบคิดกัน ร่วมกันโกหกสังคม ร่วมกันทำลายกระบวนการยุติธรรมมาตลอด 180 วัน วันนี้มันชัดเจนว่า พวกคุณรับใช้ทักษิณมากกว่าความถูกต้องของนิติรัฐไทย หลักฐานวันนี้ จะนำพวกคุณเข้าคุกแทนทักษิณ”

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้!! คนสันหลังหวะออกมาดิ้นพล่าน หลังปวงชนชาวไทย พร้อมใจใส่เสื้อสีม่วงทั้งแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Nantiwat Samart’ ระบุว่า…

“สะดุ้งเป็นแถวๆ

ปวงชนชาวไทยที่รักพระเทพฯ สวมเสื้อสีม่วงทั้งแผ่นดิน ทำเอาคนสันหลังหวะดิ้น ออกมากระแนะกระแหน

ยืนยันว่า การกดแตรไล่รถขบวนเสด็จฯ เป็นการคุกคามหาเรื่อง ไม่ใช่เสรีภาพหรือสิทธิเท่าเทียม
ขบวนเสด็จฯ ถือเป็น VVIP ไม่ใช่แค่รถนำขบวนทั่วไป ตำรวจต้องถวายอารักขาให้ปลอดภัย จากการก่อการร้าย การประทุษร้าย

พวกเดียวกันหาทางช่วย ร้องเรียกหาหลักฐานความผิด เรื่องเล็กอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่คือเกมเดินสามขา เกมในสภาฯ ประสานนอกสภาฯ ด้วยความช่วยเหลือจากเอ็นจีโอ และทูตต่างชาติ ประเทศไหนไม่บอก

ยอมให้ฝรั่งปั่นหัว เพื่อประโยชน์ฝรั่ง ตกเป็นขี้ข้าต่างชาติ รับเงินต่างชาติ ความขัดแย้งในชาติที่มีฝรั่งชักใย สุดท้าย ไทยจะเป็นยูเครน ใครจะได้ประโยชน์?

คนไทยเป็นคนใจอ่อน ไม่ชอบความรุนแรง ไม่อยากให้คนในชาติเผชิญหน้ากัน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเต้นก๋าๆ ท้าต่อย ท้าตี คนไทยทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวการเผชิญหน้า”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top