Monday, 26 May 2025
NewsFeed

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 2 คดี รวบหนุ่มแดนมังกรนักเว็บพนัน หลอกเหยื่อ 2,500 ล้าน หนีเข้าไทย และแกะรอยรวบหนุ่มปากีสวมตัวทำบัตรฟอกตัวเป็นไทย

วันนี้ (16 ก.พ.67) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.ท.กฤตกรอิชณน์ คงขำ สว.ตม.จว.ปัตตานี ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 2 คดี 

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รวมทั้ง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

คดีแรก รวบหนุ่มแดนมังกรนักเว็บพนันรวมหัวหลอกผู้เสียหายร่วม 2,500 ล้านบาท เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน : กก.1 บก.สส.สตม. จับกุม นายหวง มิน (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติจีน และกัมพูชา ผู้ต้องหาตามหมายจับระหว่างพิจารณาของศาลอาญา ที่ 97/2567 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน (ออกหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน) นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 มาตรา 16 สถานที่จับกุม แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ สืบเนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร้องขอให้ทางการประเทศไทยจับกุมตัวชั่วคราว นายหวง มิน (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติจีน เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 266 ของประมวลกฎหมายอาญาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีพฤติการณ์กระทำความผิด กล่าวคือ

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 สำนักงานตำรวจความมั่นคงสาธารณะนครเทียนจิน สาขาหนานไค ได้ยื่นฟ้องและดำเนินการสอบสวนนายหวง มิน และพวกในข้อหากระทำผิดฐานฉ้อโกง หลังจากที่สอบสวนพบว่า นายหวง มิน ได้สมรู้ร่วมคิดกันกับพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมายโดยใช้แพลตฟอร์มการพนัน “WANHE Football” ของต่างประเทศ จัดตั้งแก๊งฉ้อโกง “ZHONGHE” ในประเทศจีน และใช้การเงินและการลงทุนเป็นข้ออ้างหลอกลวงนักลงทุน และใช้วิธีการอ้างว่า แพลตฟอร์มการพนัน “WANHE Football” เป็นโครงการการลงทุนการแข่งขันกีฬารูปแบบใหม่ ให้นักลงทุนในประเทศจีนเข้าร่วมการพนันและได้รับผลกำไรโดยวิธี “การเดิมพันตรงกันข้าม” โดยนายหวง มิน เป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของแก๊งฉ้อโกงมีหน้าที่รับผิดชอบในการประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณะและดึงดูดนักลงทุนให้เข้าร่วมการพนัน ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2565 ถึงเมษายน 2566 นายหวง มิน ได้ร่วมกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายหลายร้อยคนมีมูลค่าความเสียหายร่วม 500 ล้านหยวน (ประมาณ 2,500 ล้านบาท)

ต่อมาจากการรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 สำนักงานอัยการประชาชนเขตหนานไค นครเมียนจิน จึงได้อนุมัติหมายจับนายหวง มิน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน จากการสืบสวนของทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่านายหวง มิน ได้หลบหนีคดีเดินทางออกนอกประเทศ และได้ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จึงได้ร้องขอให้ทางการไทยจับกุมตัวชั่วคราว นายหวง มิน เพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน พนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาออกหมายจับนายหวง มิน และได้ส่งหมายจับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อทำการจับกุม

คดีที่ 2 ตม.จว.ปัตตานี แกะรอยรวบหนุ่มปากีสวมตัวทำบัตรฟอกตัวเป็นไทย : ตม.จว.ปัตตานี ร่วมกับ ตม.จว.ภูเก็ต และ สภ.แม่ลาน จว.ปัตตานี จับกุม นาย JAFFAR (นามสมมติ) อายุ31 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานี ที่ จ.47/2567 ลงวันที่ 19 มกราคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสาร หรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมแปลงเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตน มีหน้าที่และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ, ร่วมกันแจ้งข้อความหรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตร, กระทำเพื่อให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีรายการเอกสารการทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบ” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่ลาน จว.ปัตตานี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านพัก ถ.สุรินทร์ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต จว.ภูเก็ต

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่อง เมื่อเดือน พฤษภาคม 2562 ตม.จว.ปัตตานี ได้จับกุมนาย IKRAM (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สัญชาติปากีสถาน ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และได้ดำเนินการผลักดันออกนอกราชอาณาจักร จากการออกสืบสวนในพื้นที่ยังสืบทราบข้อมูลว่ายังมีชาวปากีสถานแอบลักลอบทำงานในพื้นที่ จึงได้ออกตรวจเอ็กซเรย์พื้นที่พบ นายซามิฯ (นามสมมติ) ลักษณะคล้ายคนต่างด้าว ได้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนสัญชาติไทย ชุดสืบสวนจึงได้ทำการจัดเก็บข้อมูลเพื่อสืบสวนเพิ่มเติม และได้ทำการตรวจสอบกับนายทะเบียนอำเภอแม่ลาน พบว่าบัตรประชาชนดังกล่าวได้มาโดยไม่ชอบ จึงดำเนินการจำหน่ายบัตรดังกล่าวที่นายซามิฯ แสดง และได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.แม่ลาน เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายซามิฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ต่อมาชุดสืบสวนได้จับกุมนายซามิฯ ในข้อหาใช้หรือแสดงบัตรฯลฯ, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.แม่ลาน ดำเนินคดีตามกฎหมาย

นอกจากนี้ จากการประสานข้อมูลกับนายทะเบียนอำเภอแม่ลานยังทราบว่านาย IKRAM ที่เคยโดนจับกุม และถูกผลักดันส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร มีความสัมพันธ์เป็นพี่ชายของนายซามิฯ และมีการสวมบัตรประชาชนเช่นเดียวกับนายซามิฯ ต่อมาทางอำเภอแม่ลานได้ทำการจำหน่ายบัตรฯ อีกจำนวน 9 บัตร และได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.แม่ลาน เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยศาลจังหวัดปัตตานีได้อนุมัติออกหมายจับผู้ถือบัตรดังกล่าว จำนวน 9 หมายจับ รวมของนาย IKRAM ซึ่งจากคำให้การของซามิฯ ทราบว่าผู้ต้องหารายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทย ต่อมาชุดสืบสวน ตม.จว.ปัตตานี ได้นำหมายจับทั้ง 9 หมาย มาตรวจสอบพบว่า หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ จ.425/2564 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2564 ระบุชายไม่ทราบชื่อตามรูปภาพ บุคคลตามหมายจับนี้น่าจะกระทำความผิดด้วยการสวมบัตรประจำตัวประชาชนของนายอับดุลราชีพ

โดยแนวทางการสืบสวนพบว่าบุคคลดังกล่าวน่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน จากการนำข้อมูลการเปิดบัญชีธนาคาร ข้อมูลทางโซเชียล (FACEBOOK) โพสต์รูปงานพิธีแต่งงานกับภรรยาซึ่งเป็นคนไทย ในการ์ดงานแต่งระบุชื่อ นาย JAFFAR พร้อมทั้งมีการนำภาพถ่ายจากหมายจับและภาพถ่าย นาย JAFFAR มาเปรียบเทียบผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (BIOMETRIC) จึงรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดพร้อมทำรายงานการสืบสวนนำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.แม่ลาน จว.ปัตตานี เพื่อขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนหมายจับจากหมายจับตามรูปภาพ ขอระบุชื่อ ชื่อสกุลสัญชาติ และหมายเลขหนังสือเดินทางของผู้กระทำความผิดตามหมายจับดังกล่าว กระทั่งศาลจังหวัดปัตตานีได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.47/2567 ลงวันที่ 19 มกราคม 2567 ในฐานความผิด " ร่วมกันแจ้งข้อความหรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ   ต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรฯลฯ” จากการสืบสวนของ ตม.จว.ปัตตานี ทราบว่า นาย JAFFAR พักอยู่ที่บ้านพักใน ย่าน ถ.สุรินทร์ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต จว.ภูเก็ต จึงได้ไปตรวจสอบ เมื่อพบนาย JAFFAR จึงได้แสดงหมายจับและจับกุมนำตัวส่งพนักงานสวบสวน สภ.แม่ลาน จว.ปัตตานี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th  

‘สรรเพชญ’ ห่วง!! ‘ค่าตั๋วเครื่องบิน’ ในประเทศพุ่ง จี้!! ภาครัฐเร่งแก้ปัญหา-ควบคุมราคาที่สูงเกินจริง

(16 ก.พ.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา ได้ออกมาแสดงความเห็นจี้ถามภาครัฐ ในการทำหน้าที่ควบคุม ‘ราคาตั๋วเครื่องบิน’ ซึ่งในปัจจุบันมีการปล่อยให้ราคาพุ่งสูงขึ้นมาก จนกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง โดยเฉพาะใน Social Media ว่า “...ตนรู้สึกเป็นห่วงประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงนี้ ที่ต้องเจอกับปัญหาราคาตั๋วแพงเกินความเป็นจริง จนหลายคนได้ล้มเลิกการเดินทางสัญจรออกไป ทั้งการเดินทางกลับบ้าน การท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ ฯลฯ พร้อมติงภาครัฐ ที่ปล่อยให้ราคาตั๋วเครื่องบินแพงเกินความเป็นจริง จนอาจทำลายระบบเศรษฐกิจที่ต้องการกระตุ้น และกระจายรายได้ 

“...ผมรู้สึกเป็นห่วงประชาชน ที่จำเป็นต้องเดินทางโดยเครื่องบินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพื่อกลับไปเยี่ยมเยือนบ้าน เพื่อท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจก็ตาม เพราะขณะนี้ต้องเจอกับราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศที่แพงขึ้น โดยไม่มีกลไกควบคุมราคาค่าตั๋วเครื่องบิน ที่แพงเกินความเป็นจริง จนกลายเป็นการทำลายโอกาสของพ่อแม่พี่น้อง และทำลายรายได้ที่จะเกิดขึ้นตามมา จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายรายได้ ยังเป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้หรือไม่ หรือกระตุ้นเพียงคนรวย ตามที่เป็นข่าว ท่านลองคิดดูแล้วกัน หากจะบินจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ต ท่านต้องเสียค่าตั๋วเกือบ 15,000 บาท ต่อให้ท่านเป็นคนรวย ท่านอาจจะคิดไม่ตกแน่นอนว่าจะเดินทางดีหรือไม่? หากไม่สำคัญจริง ๆ อาจจะเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน แล้วหากประชาชนมีธุระสำคัญต้องเดินทางโดยปัจจุบันทันด่วนล่ะ ? วันนี้เราต้องยอมรับนะครับ ค่าตั๋วสายการบินราคาประหยัด หรือสายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost) ภายในประเทศหากสูงกว่า 5,000 บาท ก็ถือว่าแพงมากแล้ว แต่ตอนนี้ราคาค่าตั๋วภายในประเทศทะลุไปหลักหมื่น ความรู้สึกมันไม่ใช่ มันฝืนความรู้สึกไปมาก เอาเปรียบประชาชนผู้โดยสารมากเกินไป ทั้งด้านคุณภาพและการบริการต่าง ๆ ก็สวนทางกัน ภาครัฐจำเป็นต้องควบคุมราคาตั๋วเครื่องบินไม่ให้สูงเหมือนในขณะนี้ และในขณะเดียวกันเมื่อผู้โดยสารต้องจ่ายราคาค่าตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้นแล้ว ก็หวังว่าสายการบินจะช่วยปรับปรุงการบริการต่าง ๆ ให้ดีขึ้นด้วย” 

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกว่า “ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะถือเป็นการทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการเดินทางสัญจร และการท่องเที่ยวภายในประเทศ นโยบายของรัฐบาลเองต้องการกระจายรายได้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลไกการควบคุมราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศกลับสวนทาง จากข่าวสารที่มีการพูดถึงในสังคมออนไลน์ขณะนี้ ผมจึงอยากเรียกร้องให้ กระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงมาติดตามและแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะมันคือโอกาสต่าง ๆ ของเรา ของพี่น้องประชาชน” 

ในตอนท้าย นายสรรเพชญ ยังตั้งข้อสังเกตถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับผิดชอบการกำกับดูแลราคาค่าตั๋วเครื่องบิน ให้ออกมาชี้แจงความกระจ่างให้สังคมได้รับรู้ถึงแนวทางการกำหนดราคาตั๋วว่า “เท่าที่ทราบ หน่วยงานหลักที่กำกับราคาตั๋วเครื่องบิน คือ คณะกรรมการการบินพลเรือน โดยยึดตามประกาศคณะกรรมการการบินพลเรือน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าโดยสารและค่าระวางสำหรับอากาศยานขนส่งในเส้นทางบินภายในประเทศ พ.ศ. 2561 ที่มีการกำหนดราคาเพดานขั้นสูงเอาไว้ ผมจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาทำความเข้าใจถึงแนวทางการปรับลดราคา การกำหนดราคาตั๋วเครื่องบิน ต่อสาธารณชนเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่า หากไม่มีการควบคุมค่าตั๋วเครื่องบิน มันจะแพงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพแก่ประชาชนอย่างมาก และอาจส่งผลให้ประชาชนเดินทางน้อยลงในอนาคตได้” นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้าย

‘กูรูฟุตบอลไทย’ ชี้!! เส้นทางวงการฟุตบอลไทยยุคนี้ สดใส หลังโครงสร้างสมาคมใหม่ เหมือน รบ.แห่งชาติด้านฟุตบอล

จากผลการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งได้นายกสมาคมคนใหม่ อย่าง ‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ชนะการเลือกตั้งและกลายเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลหญิงคนแรกของไทย ทำให้เกิดการจุดประกายให้กับวงการฟุตบอลไทยว่าจะกลับมาสู่ยุคเฟื่องฟูอีกหรือไม่? รายการ The Tomorrow มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES จึงได้คลุกวงในพูดคุยกับ คุณศิริชัย ยิ่งเจริญ ผู้จัดรายการ BANGKOK PREMIER LEAGUE ซึ่งอยู่ในแวดวงกีฬาฟุตบอลไทยมาอย่างยาวนาน ถึงทิศทางและโอกาสของฟุตบอลไทยในปัจจุบันและอนาคต เมื่อวันที่ 17 ก.พ.67โดยคุณศิริชัย กล่าวว่า…

แม้วงการฟุตบอลไทยจะเริ่มกลับมาเติบโต ถ้าเอาจริงๆ แล้วถ้าเทียบกับวงการฟุตบอลทั่วโลกถือว่ายังอยู่ในช่วงไข่ด้วยซ้ำไป ซึ่งตรงนี้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย จะต้องมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเข้ามาดูแลและขับเคลื่อน ภายหลังจากได้นายกสมาคมฯ คนใหม่ อย่าง ‘มาดามแป้ง’ โดยส่วนตัวผมเห็นว่า มาดามแป้งมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการประสานงานในภาคส่วนต่างๆ เนื่องจากเป็นผู้จัดการทีมชาติอยู่แล้ว และยังมีใจรักและทุ่มเท ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนเราได้รัฐบาลแห่งชาติด้านฟุตบอล ซึ่งคาดหวังว่าวงการฟุตบอลไทยน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น 

เมื่อพูดถึงนักกีฬาดาวเด่นที่จะมาเป็นกำลังสำคัญจากทัวร์นาเมนต์การแข่งขันในไทยนั้น? คุณศิริชัย กล่าวว่า “ถ้าจะให้อธิบายถึงลีกฟุตบอลไทยอาชีพในปัจจุบันจะแบ่งเป็น 5 ระดับด้วยกัน คือ Tier 1  Tier 2  และ Tier 3 และรองลงมาแบบสมัครเล่น ได้แก่ ‘ไทยแลนด์ เซมิโปรลีก’ และ ‘ไทยแลนด์ เมเจอร์ลีก’ โดยมี BANGKOK PREMIER LEAGUE ซึ่งเป็นรายการที่จัดการแข่งขันอยู่ในกลุ่มไทยแลนด์ เซมิโปรลีก เป็นแม่เหล็กที่น่าสนใจ เพราะรายการนี้สามารถสร้างนักเตะรุ่นใหม่เลื่อนชั้นสู่ระดับอาชีพได้มากมาย เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่สร้างความร่วมมือกับโรงเรียนระดับมัธยมปลาย เพื่อเฟ้นหานักกีฬาฟุตบอลเยาวชนเมล็ดพันธุ์ใหม่ เข้าสู่ทีมโดยมีเป้าหมายพัฒนาไปสู่นักฟุตบอลอาชีพ ที่ต้องมีใจรัก มีความพร้อมและทุ่มเท โดยเฉพาะสภาพร่างกาย และวินัยในการฝึกซ้อม”

เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากนำเสนอเพื่อให้วงการฟุตบอลไทยเกิดการพัฒนา? คุณศิริชัย กล่าวว่า “เราควรปูพื้นฐานใหม่ด้านกีฬาฟุตบอลทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่โภชนาการ เทคนิคการเล่น วิทยาศาสตร์การกีฬา สภาพร่างกาย ซึ่งควรเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่วัยเด็กหรือเยาวชน โดยที่ครอบครัวและผู้ปกครองก็จะมีส่วนสำคัญในด้านนี้ เช่น การส่งเสริมให้บุตรหลานอยากเป็นนักฟุตบอลด้วยใจรัก สนุกไปกับมัน ภายใต้ความพร้อมด้านงบประมาณ ค่าใช้จ่าย”

อย่างไรก็ตาม คุณศิริชัย ก็ไม่ได้ตีกรอบให้ผู้ปกครองต้องผูกเด็กไว้กับกีฬาฟุตบอลเท่านั้น ควรหาแรงบันดาลใจของบุตรหลานตัวเองให้ได้ว่าชอบกีฬาอะไร โดยการพาไปชมกีฬาหลาย ๆ ประเภทหรือทดลองเล่นกีฬาเหล่านั้นเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริง เมื่อมีใจรักและมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม โอกาสประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้นตาม 

“อย่างไรก็ตาม กีฬาฟุตบอล ก็ยังถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก สามารถสร้างเม็ดเงินได้อย่างมหาศาลและเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งมูลค่าของกีฬา มูลค่าของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง หรือมูลค่าแฝงทางสังคมที่เกินกว่าตัวเงิน เช่น ความภาคภูมิใจของทีมกีฬา หรือตัวนักกีฬาเอง และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ ซึ่งเชื่อว่าสมาคมฟุตบอลไทยยุคใหม่จะทำให้ภาพความสำเร็จเหล่านี้มาสู่เมืองไทยได้มากขึ้น” คุณศิริชัย ทิ้งท้าย

'รมว.ปุ้ย' สั่งเข้ม!! 'สมอ.' ระดม 20 หน่วยงานพระกาฬ 'ร่วมสกัด-ตรวจโรงงาน' บล็อกสินค้าด้อยคุณภาพเข้าไทย

(16 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่สินค้าด้อยคุณภาพราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาชนะพลาสติก และภาชนะเมลามีน ฯลฯ ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับประชาชน ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงยังได้กำชับให้เข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า 

นอกจากนี้ ยังให้เร่งตรวจสอบผู้นำเข้าสินค้าที่เป็นสินค้าควบคุมของ สมอ. ทั้ง 144 รายการ โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ให้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้ 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. รับข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทราฯ โดยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ได้เชิญหน่วยตรวจ (Inspection Body - IB) ซึ่งเป็น Outsource ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก สมอ. ทั้ง 20 หน่วยงาน เช่น สถาบันยานยนต์, สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สถาบันสิ่งทอ, บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล อินสเปคชั่น กรุ๊ป จำกัด, บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด และบริษัท แบงค็อก เซอร์ติฟิเคชั่น จำกัด เป็นต้น 

ทั้งนี้ เพื่อมาประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการทำงานร่วมกัน เพื่อสกัดกั้นสินค้าไม่ได้มาตรฐานไม่ให้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้สามารถรองรับกับปริมาณงานตรวจโรงงานที่จะเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนมาตรฐานบังคับที่จะมีผลบังคับใช้ในปลายปี 2567 เพิ่มอีกกว่า 40 มาตรฐาน เนื่องจาก IB เหล่านี้ ได้รับการแต่งตั้งจาก สมอ. ให้เป็นหน่วยตรวจโรงงานแทน สมอ. สามารถตรวจติดตามโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. แล้ว เพื่อควบคุมสินค้าให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยมาตรฐานในการตรวจโรงงานของ สมอ. และ IB ที่เป็น Outsource ใช้เกณฑ์ในการตรวจที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

‘โรม’ โต้!! ‘เต้ อาชีวะ’ ปมภาพบู๊ตำรวจปี 57 ยัน!! ปกป้องร่างกายตามสิทธิ - กฎหมาย

(16 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกลุ่มภาคีราชภักดียื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้สอบจริยธรรม กรณีนำภาพขึ้นมาอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจาเกี่ยวกับการทบทวนมาตรการอารักขาขบวนเสด็จ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา อาจมีการตัดแปะ บิดเบือนว่า ตนยินดีเลย แต่ผู้ร้องต้องไม่ลืมว่ามีสิทธิ์แค่ร้องคนอื่น แต่ต้องรับผิดชอบในการร้องเช่นกัน ยืนยันว่าไม่มีการตัดต่อภาพ การที่ตนนำภาพประกอบขึ้นสภาฯ ในวันนั้น ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการในสภาฯ แล้ว แล้วมีการอนุมัติจากนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น รวมถึงกฎหมาย PDPA หรือพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ได้บังคับใช้ครอบคลุมมาถึงการทำหน้าที่ในสภาฯ

“ผมไม่ได้เป็นห่วงอะไรเลย ถ้าจะร้องก็ร้องได้ ยินดี แต่อย่าลืมว่าผู้ร้องมีภาระหน้าที่ทางกฎหมาย ผมยืนยันว่าทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นปรากฎตามข้อมูลที่ถูกต้อง ผมไม่ได้ไปตัดต่อ ปลอมแปลง” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวชี้แจงกรณีที่นายอัครวุธ ไกรศรีสมบัติ หรือ เต้ อาชีวะ ประธานกลุ่มภาคีราชภักดี เปิดเผยข้อมูลในช่วงที่ยังที่ทำกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองปี 2557 หลังมีการรัฐประหาร และมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมย้อนว่าจะมาสอนให้รักสงบได้อย่างไรว่า ในช่วงนั้นตนชุมนุมที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพฯ ยืนยันว่าการชุมนุมขณะนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบหรือขัดขวางการจราจร ต่อมามีการสลายการชุมนุม จับกุมผู้ที่มาร่วมชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากนั้นทหารได้ใช้วอดำทุบไปที่มือของผู้ชุมนุมเพื่อให้เขาปล่อยไม้ที่ถือไว้ โดยปกติถ้าเราเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกกฎหมาย เราสามารถป้องกันตัวเองได้ และตนพยายามเดินคล้องแขนกับกลุ่มเพื่อนไปหาเพื่อนเราที่ถูกจับกุม ตนแทบไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่คิดจะทำอะไรด้วย แต่ตนจำเป็นต้องปกป้องตัวเองตามสิทธิ์ที่จะต้องปกป้องร่างกาย และตนไม่ได้มีการตัดสินถึงขนาดจำคุกในคดีเลย คนที่รัฐประหารต่างหากที่ผิด เพราะทำไมต้องนิรโทษกรรมตัวเอง

เมื่อถามว่า กลุ่มภาคีราชภักดี ยังเปิดรูปที่ถ่ายร่วมกับแกนนำกลุ่มทะลุวัง อย่างน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อาจถูกมองว่าเป็นการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในขณะนั้นตนอยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาฯ ถ้า กมธ. ไม่ลงพื้นที่ไปติดตามข้อมูล เราจะทำหน้าที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนได้อย่างไร ยืนยันว่าตนทำหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งใด ๆ หากมีประเด็นอะไร ตนก็สามารถนำเข้าที่ประชุม กมธ. ได้ ต่อให้ตนไปร่วมชุมนุม มันก็ไม่ได้หมายความว่าตนเป็นท่อน้ำเลี้ยง ไม่ได้หมายความว่าม็อบนี้จะเกิดขึ้นได้เพราะตน เท่าที่ทราบกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษทางกฎหมายใด ๆ ทุกวันนี้นิสิตนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมยังต่อสู้คดีอยู่เลย

“ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเบื้องหลังแน่นอน ในวันที่ผมเป็นผู้ชุมนุมทางการเมือง ก็ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังผม ในวันที่ผมมาเป็นการนักการเมืองก็ไม่ได้ไปอยู่เบื้องหลังใคร เยาวชนคนรุ่นใหม่ยุคนี้เขาไม่ยอมให้ใครมาอยู่เบื้องหลัง ตรงกันข้ามผม ผมไม่แน่ใจว่ากลุ่ม ศปปส. ที่ไปทำร้ายร่างกายประชาชนใจกลางเมืองหลวง ผมไม่แน่ใจว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีใด ๆ ไปแล้วบ้าง ผมไม่ทราบ” นายรังสิมันต์ กล่าว

บทสรุป ‘แอโร่ซอฟ’ มอบทุน 100 ล้าน สานฝันการศึกษา ‘เด็กไทย’ ด้าน ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ เผย “เพราะพวกเขาเป็นอนาคตของชาติ”

(16 ก.พ. 67) บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ แอโร่ซอฟ (Aerosoft) จัดงานแถลงผลสำเร็จโครงการสนับสนุนการศึกษาเด็กไทยทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อโครงการ ‘Aerosoft Give Scholarships มอบทุน 100 ล้าน สานฝันให้เด็กไทย’ ซึ่งเป็นโครงการมอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์กีฬาให้แก่ 1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 2. ศึกษาพิเศษ 3. ศูนย์ศึกษาพิเศษ และ 4. ศึกษาสงเคราะห์ ทั่วประเทศ รวม 2,549 โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2567

โดยทุนที่มอบให้ในครั้งนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย มอบเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่เรียนดี / ความประพฤติดี ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3-5 โรงเรียนละ 6 ทุน ทุนละ 5,000 บาท (ระดับชั้นละ 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คน) มอบทุนสนับสนุนตามวัตถุประสงค์ของโรงเรียน ทุนละ 5,000 บาท และมอบอุปกรณ์กีฬาให้แก่โรงเรียน โรงเรียนละ 5,571 บาท เป็นทุนที่มอบให้ในลักษณะให้ฟรี โดยไม่มีพันธะผูกมัดใด ๆ

คุณพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ในนามผู้บริหารคณะครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษา ขอขอบคุณ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด และผู้ใหญ่ใจดี คุณโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้จัดทำโครงการ ‘Aerosoft Give Scholarships มอบทุน 100 ล้าน สานฝันให้เด็กไทย’ ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและสร้างอนาคตให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี และหวังว่านักเรียนทุกคนที่ได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้ จะนำไปต่อยอดและเพิ่มทักษะการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป

ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า โครงการมอบทุนการศึกษา ของบริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ในครั้งนี้ นับว่าเป็นโครงการที่สำคัญเป็นการสนับสนุนให้เด็ก ๆ นักเรียนทั่วประเทศ ได้มีโอกาสนำทุนไปต่อยอดทางการศึกษาเพิ่มเติม และต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี โดยเฉพาะคุณโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ แทนน้อง ๆ เด็กนักเรียนทุกคนที่ได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านการพัฒนาคนผ่านการศึกษาของเด็ก ๆ

ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า น้อง ๆ จะนำทุนนี้ไปใช้ประโยชน์ด้านการศึกษาและการพัฒนาชีวิตมากยิ่งขึ้น ตามนโยบายที่ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบนโยบายที่สำคัญไว้ 2 คำ นั่นคือ เรียนดี และมีความสุข แน่นอนว่า นักเรียนที่ได้รับทุนในครั้งนี้ เป็นเด็กที่เรียนดีอยู่แล้ว จึงผ่านเกณฑ์การคัดเลือก อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีผลการเรียนที่ดีนั้น นักเรียนจะต้องมีความสุขก่อน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า นักเรียนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาปากท้อง จากผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และครอบครัว ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนของเด็ก ๆ ดังนั้น การมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในครั้งนี้ จึงมีความน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะการให้การศึกษากับเด็ก ถือว่าเป็นการให้ที่มีคุณค่าและมีความยั่งยืน ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

คุณโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ แอโร่ซอฟ (Aerosoft) กล่าวถึงการมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้ว่า ทางบริษัทฯ และตัวผมเอง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียน ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของชาติ ซึ่งจะเติบโตมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ จึงได้จัดโครงการมอบทุนการศึกษาประจำปี 2567 จนแล้วเสร็จ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 103,293,766 บาท เพื่อเป็นการสานฝันแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ได้ใช้เป็นทุนในการต่อยอดศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

“ในนามบริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพคน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ และแน่นอนว่า การศึกษานับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างคนที่มีคุณภาพ ผมหวังว่าเด็ก ๆ ที่ได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้ จะมีโอกาสสร้างฝันและต่อยอดทางการศึกษา เพื่อก้าวไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป ถือเป็นการให้ไม่มีที่สิ้นสุด”

สำหรับ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด เป็นองค์กรธุรกิจที่ยึดแนวทาง มีความมุ่งมั่นรับผิดชอบโดยเฉพาะในด้านสังคม ซึ่งทางบริษัทฯ และคุณโกมล ได้แบ่งปันเพื่อตอบแทนสังคมมาอย่างต่อเนื่อง

โดยก่อนหน้านี้ ได้บริจาคเงินจำนวน 100 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ประกอบด้วยอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและตา (Face Shield) จำนวน 3,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจไฮโฟลว์ (Airvo 2) จำนวน 10 ชิ้น เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้ง ได้บริจาครองเท้าให้เด็กนักเรียนและผู้ยากไร้ในชุมชนต่าง ๆ ปีละกว่า 20,000 คู่ เป็นประจำทุกปี

นอกจากนี้ คุณโกมล ยังเป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร 2020 (EURO 2020) โดยใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท ให้คนไทยได้ดูฟุตบอลยูโรฟรี ๆ เพื่อเป็นการคืนความสุขให้คนไทย ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นห้วงวิกฤตที่คนไทยต้องใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน พร้อมทั้งได้เปิดให้กลุ่มกิจการรายย่อยนำสินค้าและบริการ มาประชาสัมพันธ์ฟรีช่วงบอลยูโร 2020 อีกด้วย

ขณะเดียวกัน คุณโกมล ยังได้ดำเนินงานด้านงานวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ข้าว เพื่อแก้ปัญหา พร้อมยกระดับวงการข้าวไทยครบวงจร ภายใต้มูลนิธิรวมใจพัฒนา โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดีเป็นที่ยอมรับของเกษตรกร โรงสีข้าว และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สู่ความยั่งยืนด้านข้าวของประเทศไทย เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ชี้!! หนี้ครัวเรือนไทย ปัญหาที่เริ่มส่อเค้า จะเขย่าโครงสร้างประเทศ หรือแก้นโยบายการเงินที่ผิดพลาด

ทีมข่าว THE STATES TIMES  ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'หนี้วิกฤตแล้ว จริงไหม?' เมื่อวันที่ 18 ก.พ.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

ปัญหาหนี้มักจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทุกครั้งที่เศรษฐกิจมีการเติบโตช้าและหรือดอกเบี้ยขึ้นสูง อาทิตย์ก่อนเราคุยกันเรื่องหุ้นกู้ที่อาจจะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เพราะเริ่มมีสัญญาณมาเป็นระยะๆ ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ กล่าวคือ ตลาดการเงินเริ่มขาดสภาพคล่อง ดอกเบี้ยขึ้นสูง เงินเฟ้อติดลบ และ GDP ขยายตัวต่ำ

หนี้ครัวเรือนก็เริ่มตั้งเค้าส่อปัญหาขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมาบริษัทศูนย์ข้อมูลเครดิต (เครดิตบูโร) รายงานภาวะหนี้ครัวเรือนเมื่อสิ้นปี 2566 ปรากฏว่ามีการเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 13.7 ล้านล้านบาท (ไม่รวมหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ หนี้ กยศ. และหนี้นอกระบบ) เพิ่มขึ้น 3.7% year on year และเร็วกว่าการเติบโตของ GDP กว่า 2 เท่าตัว ในจำนวนนี้หนี้ที่เป็น NPL มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มหนี้สินเชื่อรถยนต์ แต่ที่น่าวิตกกว่านั้นก็คือ สินเชื่อที่อยู่อาศัยเริ่มมีปัญหาผิดชำระหนี้ และกลายเป็นหนี้รอการเสีย (Special Mention-SM) ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 30% และส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อซื้อบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ลูกหนี้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ หากไม่สามารถชำระหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ได้ จะกลายเป็น NPL และถูกยึดบ้านในที่สุด 

ตามการวิเคราะห์ของเครดิตบูโร นอกจากเหตุผลด้านรายได้แล้ว สาเหตุสำคัญมาจากดอกเบี้ยหน้ากระดาน (MRR) ที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เงินงวดที่จะต้องผ่อนชำระกระโดดขึ้นสูงเกินกว่าวิสัยที่จะรับภาระได้ สถานการณ์เช่นนี้หากไม่ได้รับการแก้ไข จะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ไม่พียงแต่ผลทางการเงินต่อลูกหนี้ และระบบสถาบันการเงินเท่านั้น แต่จะมีผลในทางสังคมอย่างมากเพราะบ้านเป็นปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อการครองชีพ

เป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้ยกปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวาระแห่งชาติ และตั้งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ ที่ผ่านมาได้มีผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมออกมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ

หนี้ครัวเรือนที่ระดับ 90% ของ GDP โดยตัวเองแล้วไม่น่าจะถือว่าเป็นระดับที่น่าตื่นตระหนก ประเทศที่พัฒนาแล้วและมีระบบการเงินก้าวหน้าล้วนมีหนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนสูงกว่านี้ ในทางตรงกันข้าม หนี้ครัวเรือนในระดับสูงอาจบ่งบอกว่าครัวเรือนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในสังคมสมัยใหม่ แต่ที่ภาครัฐควรทำคือการให้การศึกษาและการปลูกฝังวินัยการเงินแก่ประชาชนให้มีการวางแผนการใช้จ่ายเงินที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถในการหารายได้

และที่สำคัญกว่านั้น ขณะนี้สถานการณ์ทางการเงินของประเทศได้สร้างความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหนี้เป็นอย่างยิ่ง การตึงตัวของตลาดการเงิน และการที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและเงินเฟ้อที่ติดลบมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทางการ โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย สร้างขึ้นมาเอง แต่ไม่ยอมรับผิดชอบ กลับโยนความผิดไปที่ปัญหาโครงสร้างของประเทศ แน่นอนทุกประเทศรวมทั้งไทย ต่างก็มีปัญหาโครงสร้างแตกต่างกันไป ซึ่งต้องใช้เวลาในการแก้ไข ที่ผ่านมาเรามีการปฏิวัติรัฐประหารก็เพื่อปฏิรูปและปรับโครงสร้างประเทศมิใช่หรือ? ทำให้ผมคิดถึงลุงกำนันแห่ง กปปส. ซึ่งกล่าวไว้ว่าประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่ 10 ปีให้หลังก็ยังปฏิรูปไม่แล้วเสร็จ 

ทุกวันนี้ ธปท. ก็ยังโทษโครงสร้างประเทศอยู่วันยังค่ำ เห็นทีจะต้องมีการปฏิวัติรัฐประหารอีกสักทีใช่ไหม? กว่าจะปฏิรูปหรือปรับโครงสร้างเสร็จ คนไทยคงโดนยึดบ้านและกลายเป็นคนไร้บ้าน (Homeless) กันทั้งประเทศ

เอ็นดู!! ‘นร.ต่างชาติ’ วอนชาวเน็ตช่วยแปลคำศัพท์นาฏศิลป์ หลังครูสอนรำไทยเล่นใช้ศัพท์ยากจนมึน!! อย่าง ‘โจ๊ะพรึม’

(16 ก.พ.67) กลายเป็นกระทู้ไวรัลในเว็บไซต์ reddit เมื่อมีผู้ใช้บัญชีชาวต่างชาติรายหนึ่งเข้ามาตั้งกระทู้ ขอความช่วยเหลือชาวไทย หลังได้การบ้านจากคุณครูที่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับกุมขมับ

โดยเจ้าของโพสต์ระบุว่า “สวัสดีทุกคน ฉันเป็นชาวต่างชาติในประเทศไทย และที่โรงเรียนฉันตอนนี้กำลังจะมีกิจกรรม ‘รำไทย’ ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ซึ่งครูสอนรำไทยของฉันส่งสิ่งนี้มาให้” พร้อมแนบภาพแช็ตการสอนท่ารำยาวพรืด

งานนี้เจ้าตัวถึงกับบอกว่า “แช็ตที่ครูส่งมามันเข้าใจยากมาก ใครสามารถช่วยฉันแปลสิ่งนี้ได้ โปรดช่วยฉัน ฉันขอร้อง ฉันลองแปลภาษาในกูเกิ้ลแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจ”

โดยในภาพแชทดังกล่าว เป็นการอธิบายท่าเต้นรำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์ทางนาฏศิลป์ไทย อาจทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจยาก ตัวอย่างท่ารำ เช่น

- ท่า 2 จีบ ยืนคว่ำหน้า ขวา บัวบาน เท้า แตะ
- ท่า 3 จีบส่งท้าย มือขวาบัวบาน เท้า ย่ำยกขา หน้า
- ท่า 4 คำว่า โจ๊ะพรึม มือซ้าย แตะแก้มขวา ตีสะโพก สลัดเอว

งานนี้ก็มีคอมเมนต์เข้ามาช่วยเหลือเจ้าของโพสต์ มีทั้งผู้ใช้บัญชีที่ใจดี เข้ามาช่วยแปลท่ารำเป็นภาษาอังกฤษที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น

บางคอมเมนต์เผยว่า “ดูเหมือนจะเป็นขั้นตอนการรำนาฏศิลป์ไทย แต่มีการพิมพ์ผิดมากมายในนั้น ฉันไม่คิดว่าเว็บแปลภาษาจะเข้าใจเรื่องนี้ได้”

รวมทั้งมีคอมเมนต์จำนวนมากแนะนำว่า “นี่คือการสอนรำแบบทีละขั้นตอน การแปลคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากคำบางคำที่ใช้ในที่นี้เป็นชื่อของการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงมาก ฉันแนะนำให้คุณขอตัวอย่างวิดีโอการเต้นรำจากครูของคุณ จะง่ายกว่า”

ทั้งยังมีคอมเมนต์เดาว่า “เพราะผมเห็นคำว่า โจ๊ะพรึม คุณอาจได้เต้นเพลง สาวกันตรึม ลองทักไปถามครูของคุณดู”

กลายเป็นไวรัลที่ทั้งน่าเอ็นดูและเรียกรอยยิ้มจากโลกโซเชียล ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาแนะนำและร่วมส่งกำลังใจ ขอให้เจ้าของโพสต์สามารถรำไทยตามโจทย์ที่ครูนาฏศิลป์ให้ได้อย่างสวยงาม

พิจิตร-ป.ป.ท.เขต 6 ลุยตรวจเมืองชาละวันเห็นแล้วทึ่งผู้รับเหมาเสนอราคาต่ำกว่าราคากลาง 64.73%

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 นายสุภาพ ศิริ ผอ.ปปท. เขต 6 พร้อมเจ้าหน้าที่ ปปท.เขต 6 ร่วมกับ กอ.รมน.จังหวัดพิจิตร , ท้องถิ่นจังหวัดพิจิตร และคณะทำงานเครือข่ายศูนย์ประสานงานต่อต้านการทุจริตจังหวัดพิจิตร ลงพื้นที่ตรวจสอบเฝ้าระวังเชิงรุกการดำเนินโครงการก่อสร้างถนน คสล. และการขุดคลอง ซึ่งเป็นงบประมาณของ อบจ.พิจิตร , เทศบาลตำบลวังกรด อ.เมืองพิจิตร , อบต.สากเหล็ก โดยได้เข้าดำเนินการตรวจสอบงานก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าวในช่วงระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ. 67 ที่ผ่านมา

โครงการแรกเป็นการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบ้านดงป่าคำหมู่ 3 คอนกรีตเสริมเหล็กสายบ้านดงป่าคำ หมู่ที่ 3 เทศบาลตำบลดงป่าคำ - บ้านดงป่าคำใต้ หมู่ที่ 5 ตำบลดงกลาง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร , โครงการขุดลอกลำคลองคต บ้านหนองโสน หมู่ที่ 10 เทศบาลตำบลหนองปล้อง-บ้านบ่อแต้ หมู่ที่ 3 ตำบลหนองพระ อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร เป็นหน่วยรับผิดชอบดำเนินการ โดยวิธีการประกวดราคา อิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งเป็นการเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการขุดลอกลำคลองคตบ้านหนองโสนหมู่ 10  เทศบาลตำบลหนองปล้อง –บ้านบ่อแต้ หมู่ 3 ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน ผู้รับจ้างเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 64.73% , การก่อสร้างถนน คสล. พจ.ถ. 89-002 สายหมู่ 2-หมู่ 5 ของ อบต.สากเหล็ก ซึ่งงานอยู่ระหว่างผู้รับจ้างกำลังจะส่งมอบงานงวดสุดท้าย , โครงการของเทศบาลตำบลวังกรด ก่อสร้างถนน คสล. สายรอบหนองพระนาค หมู่ 4 ต.บ้านบุ่ง งบ 4,590,000 บาท ผู้รับเหมาฟันงานเหลือ 3,846,441.02 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 25% 

โดยการตรวจครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายป้องกันการทุจริตที่อาจก่อเกิดจากความผิดพลาดของการตรวจรับงาน ทั้งนี้ ป.ป.ท.เขต 6 มีนโยบายป้องกันสำคัญกว่าการปราบปราม เพราะการป้องกันตั้งแต่ต้นด้วยการตรวจเข้มให้ความรู้กับผู้บริหารท้องถิ่น คณะกรรมการตรวจงานจ้าง นายช่างผู้ควบคุมงาน เพื่อให้เพิ่มการใส่ใจและรายละเอียดที่ต้องให้เป็นไปตามสัญญา ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกับข้าราชการในทุกระดับมิให้กระทำการผิดพลาดจนเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วจะแก้ไขเนื้องานก่อสร้างไม่ได้ก็กลับกลายเป็นจะต้องไปแก้ต่างในชั้นศาล ซึ่ง ป.ป.ท.เขต 6  ไม่ได้มุ่งหวังอยากให้ใครต้องกระทำผิดพลาดถึงขั้นนั้น จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างเข้มข้นเพื่อให้คำแนะนำในการปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของระเบียบ กฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการเข้าตรวจโครงการต่างๆ ไม่พบการทุจริต แต่พบการทำงานของผู้รับเหมาที่มีจุดบกพร่อง ซึ่งสามารถแก้ไขได้เพราะงานยังอยู่ระหว่างดำเนินการและในประกันสัญญาจ้าง งานบางโครงการก็ยังไม่ได้เบิกจ่ายจึงให้ข้อสังเกตและคำแนะนำให้ช่างผู้ควบคุมงานและผู้รับจ้างเข้ามาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้งานออกมามีคุณภาพตามสัญญาจ้าง  ประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนดังกล่าวนั่นเอง

สิทธิพจน์/พิจิตร/

ประชุมเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร และการบริการประชาชน การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ

วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร และการบริการประชาชน การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม 

ภายหลังการประชุม เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ไกรบุญ ฯ มอบหมายให้ พล.ต.ท.อุดร ยอมเจริญ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง โฆษก ตร. พร้อมผู้แทนจาก สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ,กระทรวงสาธารณสุข , กระทรวงมหาดไทย,กระทรวงวัฒนธรรม,กรมการศาสนา , กรมเจ้าท่า และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) แถลงเรื่องการรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร และการบริการประชาชน ในโอกาสดังกล่าว

เนื่องจากในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา รัฐบาลจึงเห็นสมควรดำเนินการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย โดยสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี พระอรหันตธาตุของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ จากสถูปโบราณปิปราห์วา เมืองสาญจี สาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2567 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
และส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทย
และสาธารณรัฐอินเดีย รวมทั้งให้ประชาชนได้เข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุฯ โดยมีกำหนดการ สรุปได้ดังนี้

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15.00 น. อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุฯ จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 มาประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และในช่วงเย็นวันเดียวกัน กระทรวงวัฒนธรรม กำหนดให้มีการซักซ้อมขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 17.00 น. อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไปประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 07.00 น. พิธีตักบาตร ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง 

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ -  3 มีนาคม 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะ เวลา 09.00 – 20.00 น. ในช่วงเวลา 17.00 – 18.00 น. มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์

วันที่ 5 - 8 มีนาคม 2567 ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะ เวลา 09.00 – 20.00 น.

วันที่ 10 - 13 มีนาคม 2567 ณ วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะ เวลา 09.00 – 20.00 น. 

วันที่ 15 - 18 มีนาคม 2567 ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะ เวลา 09.00 – 20.00 น.

สำหรับ พระสงฆ์ ประชาชนชาวไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ที่จะเข้าไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุฯ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ขอความร่วมมือให้เดินผ่านจุดคัดกรอง จำนวน 2 จุด ซึ่งอยู่รอบสนามหลวงบริเวณถนนผ่ากลาง ฝั่งตรงข้ามศาลฎีกา และฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหน่วยรับผิดชอบการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร มีการตั้งกองอำนวยการร่วม ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 

สำหรับบริหารจัดการ จัดเตรียมสถานที่จอดรถ ณ ท้องสนามหลวงด้านทิศเหนือ กองสลากเก่า และถนนราชินีด้านหลังศาลฎีกา สำหรับประชาชนที่นำรถยนต์มา เตรียมสถานที่จอดรถสำรอง ณ หอประชุมกองทัพเรือ , กรมเจ้าท่าจัดเรือข้ามฟาก รับ-ส่งประชาชนจากหอประชุมกองทัพเรือไปยังท่าช้าง ส่วนประชาชน นักเรียน นักศึกษาที่เดินทางเป็นหมู่คณะจากในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ให้นำรถบัสไปจอดที่ร้านตำรับไท บริเวณแยกอรุณอมรินทร์ และใต้สะพานพระราม 8 จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร ดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินให้แก่ประชาชน สำหรับสถานบันการศึกษา หรือจังหวัดใกล้เคียงประสงค์ขอให้ส่วนราชการจัดรถบัสให้บริการรับ-ส่งประชาชน นักเรียน นักศึกษา ขอให้ประสานมายังกองอำนวยการร่วม หรือผ่านสำนักงานจังหวัดได้ 

กรณีประชาชนเดินทางรถโดยสารสาธารณะ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อำนวยความสะดวกจัดรถโดยสารให้บริการรับ-ส่งประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุฯ ณ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึง 3 มีนาคม 2567 โดยจัดเดินรถโดยสารให้บริการประชาชน 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - สนามหลวง (ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า) และเส้นทางที่ 2 วงเวียนใหญ่ - สนามหลวง (ตรงข้ามศาลฎีกา) ได้จัดเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ทั้งจุดต้นทางและปลายทาง 

ส่วนกรมเจ้าท่า ได้ร่วมกับบริษัทเอกชนต่าง ๆ จัดเรือบริการฟรี โดยให้บริการ (1) เรือข้ามฟาก จาก ท่าวัดระฆัง - ท่าวังหลัง - ท่าวัดอรุณ ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึง 3 มีนาคม 2567 เวลา 08.30 – 18.00 น. , เรือจาก บริษัท ไทย สมายส์ โบ้ท จากท่าน้ำนนท์ ถึงท่าช้าง ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 3 มีนาคม 2567 ให้บริการวันละ 4 เที่ยว , เรือจากบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จากท่าน้ำนนท์ ถึงท่าช้าง ระหว่าง วันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2567 จากท่าน้ำนนท์ เวลา 09.00 น. , 10.00 น. , 15.00 น. และ 16.00 น. 

การบริการทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร จัดชุดบริการทางการแพทย์ประจำเต็นท์บริการ และชุดพยาบาลเดินเท้า พร้อมรถพยาบาลกู้ชีพ สำหรับให้บริการประชาชนที่อาจเจ็บป่วยในขณะเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุฯ การประปานครหลวง จัดรถน้ำดื่ม จำนวน 3 คัน ให้บริการประชาชน กรุงเทพมหานคร จัดรถสุขาเคลื่อนที่บริเวณรอบท้องสนามหลวง ทั้งฝั่งศาลฎีกา และฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก จัดเจ้าหน้าที่บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณจุดขึ้น-ลงรถรับจ้างสาธารณะรอบท้องสนามหลวง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top