Monday, 26 May 2025
NewsFeed

2 เหตุผลที่ลูกค้าเริ่มส่งคืน Apple Vision Pro เพื่อรับเงินคืนเต็มจำนวน ใช้แล้วเหมือนคนเมารถ-ครีเอเตอร์ทำคอนเทนต์รีวิวจบแล้วจาก

เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.67) รายงานจากหลายแหล่งบนโซเชียลมีเดียกำลังพูดถึงการส่งคืนอุปกรณ์ Apple Vision Pro เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวนกำลังเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน สาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไร?

Apple Vision Pro อุปกรณ์เพื่อการเข้าสู่โลก Mixed-reality หรือ Spatial computer ตามที่ Apple ชอบเรียก หลังจากเปิดจำหน่ายและส่งมอบสินค้าออกไปให้ผู้ที่สั่งจองในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ได้สร้างกระแสในโซเชี่ยลกันอย่างคึกคัก มีการโพสต์ข้อมูลและการรีวิวจากผู้ใช้ รวมถึงการโชว์ประสิทธิภาพการทำงานที่ตื่นตาตื่นใจออกมามากมายสำหรับผู้ที่ได้สินค้ากันไปการส่งมอบล็อตแรก 

แล้วทำไมถึงมีคนส่งคืนอุปกรณ์เพื่อขอรับเงินคืนกันแล้ว?

ประการแรก คาดว่ามาจากกลุ่มคนที่วางแผนไว้ตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ Vision Pro พวกเขาตั้งใจที่จะส่งคืนอุปกรณ์ภายในกรอบเวลาการรับประกันความพึงพอใจของ Apple ซึ่งเป็นมาตรฐานในต่างประเทศที่กำหนดเอาไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวน โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเป็นเหล่าบรรดาครีเอเตอร์ ผู้ที่รับสินค้ามาเพื่อจัดทำคอนเทนต์ เมื่อถ่ายวิดีโอหรือโพสต์บนโซเชียลมีเดียสำเร็จแล้ว การเก็บสินค้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะฉะนั้นก่อนวันศุกร์ซึ่งเป็นเส้นตายที่จะถึงนี้ พวกเขาที่ได้สินค้ามาเป็นล็อตแรกจะต้องรีบทำเรื่องขอส่งคืนเพื่อจะได้ประหยัดเงินเป็นจำนวน 3,499 ดอลลาร์ไปในกระบวนการนี้นั้นเอง

แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเป็นเรื่องน่ากังวลมากกว่าสำหรับ Apple นั้นคือ กลุ่มลูกค้าจริงที่พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า อุปกรณ์สวมใส่ตัวนี้ไม่เหมาะสำหรับพวกเขาในการใช้งาน

เมื่อดูตามความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียจะพบว่า เหตุผลของคนจำนวนมากที่ขอส่งคืนอุปกรณ์ Vision Pro มาจากอาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในอุปกรณ์สวมใส่บนใบหน้า มันคืออาการ Motion Sickness นั้นเอง พวกเขามีอาการปวดหัวคล้ายกับคนเมารถในขณะใช้งาน มันเกิดขึ้นประจำกับอุปกรณ์ประเภทนี้แม้ทาง Apple จะพยายามเพิ่มความคมชัดและปรับให้ระบบโฟกัสสามารถทำงานร่วมกับสายตามนุษย์ได้อย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม อาการเหล่านี้ก็ยังคงไม่หายไป บางคนสามารถทนใช้งานได้นานโดยที่ไม่รู้สึกอะไร แต่กับบางคนพวกเขาใช้งานได้เพียงในเวลาไม่นานเท่านั้นก็จะเกิดอาการเวียนหัวหรือปวดหัวแบบคนเมารถในทันที

แม้ว่ารายงานข่าวจะพูดถึงการส่งคืนอุปกรณ์ Vision Pro จะดูเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกสำหรับอุปกรณ์ราคาหลักแสนบาท แต่ก็ยากที่จะบอกว่าปัญหาใหญ่สำหรับ Apple เพราะเราก็ไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงของการส่งมอบสินค้าคืน แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้คือเหตุผลที่ผู้คนบอกแก่ Apple ในการส่งคืนสินค้า จะเป็นการกระตุ้นให้วิศวกรและนักออกแบบนำไปพัฒนาเพื่อเริ่มสร้างอุปกรณ์รุ่นถัดไป
เพราะแม้ทีมพัฒนาของ Apple เอง ที่ทำงานอยู่กับ Vision Pro พวกเขาก็ยังเชื่อว่าอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 4 เจนเนอเรชั่นกว่าอุปกรณ์จะเป็นรูปเป็นร่างตามอุดมคติที่ตั้งใจของเขานั่นเอง

'ดนัยณัฏฐ์' คิกออฟ!! 'แฟรนไชส์เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2024' ต่อยอดโอกาสใหม่ทางธุรกิจ 15-18 ก.พ.นี้ ที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว

เมื่อวานนี้ (15 ก.พ. 67) นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ‘งานแฟรนไชส์เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2024’ พร้อมด้วย นาวสาวปนัดดา แสงธรรมชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท สกุล วี กรุ๊ป จำกัด, นายพรภิชิต สมัครธรรม Chief Executive Officer THE STATES TIMES, นายอนันนต์ รัตนมั่นคง Vice President of Food and Beverage Services Group บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด, นายมานะ ฮาดสุวรรณ ผู้บริหารแบรน์แฟรนไชส์โลโซโตเกียว, นางสาวชยานิษฐ์ จิรธรบุญญาสิทธิ์ ผู้บริหารแฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวเรือปัญจะรส และนางวลัยลักษณ์ วณิชชาภิวงศ์ กรรมการผู้จัดการแฟรนไชส์ชาตันหยง เข้าร่วมด้วย

สำหรับสุดยอดงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์แห่งปี ‘งานแฟรนไชส์เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2024’ (Franchise SMEs EXPO 2024) มีผู้ประกอบการร่วมงานหลากหลายธุรกิจ พร้อมกับมีโปรโมชันลดพิเศษสุด ๆ จากธุรกิจแฟรนไชส์ ‘เยอะ ครบ คุ้ม’ อาทิ ธุรกิจอาหารและขนม ธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการ ธุรกิจนำเข้าสินค้าต่างประเทศ และระบบซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการร้าน เรียกได้ว่ามางานนี้ได้ครบจบในที่เดียว

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแฟรนไชส์ อาชีพทำเงิน หรือโอกาสใหม่ ๆ สามารถเข้าร่วมงานฟรีทุกวัน 10.30-20.00 น. ระหว่างวันที่ 15-18 กุมภาพันธ์ 2567 ณ บีซีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ลงทะเบียนเข้าชมงานรับฟรีเครื่องดื่ม 1 แก้ว ทุกวัน!!

'เครือข่ายโรงพยาบาล-รร.แพทย์' ร้อง 'ชลน่าน' ช่วยสางปม 'สปสช.' ค้างจ่าย ทำขาดสภาพคล่อง

สภาพคล่องในเครือข่ายโรงพยาบาล-โรงเรียนแพทย์ เริ่มก่อตัวชัด และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก็ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ รมว.สธฯ เมื่อ 14 ก.พ. เพื่อช่วยสางปัญหา สปสช.ค้างจ่าย 'รพ.- คลินิกในกทม.' หลังเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ซึ่งขณะนี้ทางด้านคลินิกใน กทม.ก็มีการใส่ชุดดำ-ขึ้นป้ายประท้วงเงียบกันแล้วด้วย

เกี่ยวกับเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 นพ.พินัย ล้วนเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ และสาธารณสุข กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการขาดสภาพคล่องจากการบริการของ สปสช. ในพื้นที่ กทม.เริ่มชัดเจน หลังมีการเปลี่ยนแปลงจากการจ่ายเงินแบบรายหัว เป็นรายการการให้บริการ ในปี 2564 ซึ่งในปีงบประมาณ 2566 มีการตั้งวงเงิน 2,685 ล้านบาท จากเงินประชากรบัตรทอง 2.52 ล้านคน จ่ายให้หน่วยปฐมภูมิ 365 แห่ง

แต่กลับพบว่ามียอดเรียกเก็บจากการบริการรับต่อ OP refer ถึง 1,900 ล้านบาท และยังต้องจ่ายให้หน่วยปฐมภูมิ 1,345 ล้านบาท ทำให้ขาดเงินและงบประมาณไม่เพียงพอถึง 560 ล้านบาท ที่ผ่านมา ทาง สปสช.มีจ่ายเงินให้กับคลินิก ในการให้บริการผู้ป่วยนอก 70% เท่านั้น

ด้าน นางศรินทร สนธิศิริกฤตย์ เจ้าของคลินิกเวชกรรมอารีรักษ์ คลองเตย กล่าวว่า เคยเข้าร่วมทำ รพ.สนามคลองเตยเมื่อช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต่อมาจึงมีแนวคิดเปิดคลินิก เมื่อ 1 ก.พ.2566 เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นแออัดในพื้นที่คลองเตย เพื่อให้บริการผู้ที่ขาดโอกาสทางสุขภาพอย่างเท่าเทียม โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นคนในสิทธิหลักประกันสุขภาพ และสิทธิ์บริการอื่นเพียง 5%

โดยเม็ดเงินที่หมุนเวียนในคลินิกมาจาก สปสช.เป็นหลัก แต่เมื่อเริ่มเปิดคลินิกพบว่า มีปัญหาคือ ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจาก สปสช. ได้เต็มจำนวน มีการจ่ายเพียง 70% ของยอดเรียกเก็บ และ สปสช.แจ้งว่าจะพิจารณาจัดสรรเงินให้กับคลินิกแบบเต็มจำนวน หลังเดือน ก.ย.2566

นางศรินทร กล่าวว่า ที่ผ่านมา คลินิกต้องแบกภาระขาดทุนเดือนละ 200,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายจริงที่คลินิกอยู่ที่เดือนละ 500,000-700,000 บาท เป็นค่าตอบแทนแพทย์ - พยาบาล - นักวิชาการสาธารณสุข 450,000 บาท ที่เหลือเป็นค่ายา และเวชภัณฑ์ รวมทั้งปัญหาการส่งต่อคนไข้ไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ด้วย 

นอกจากนี้ยังมีปัญหาการให้ผู้ป่วยนอกไปรับยาที่จุดบริหารไหนก็ได้ หรือ OPD ANYWHERE ทำให้ตั้งแต่เปิดคลินิกมาขาดทุนไปแล้ว 10 ล้านบาท จึงอยากให้ สปสช.มาพูดคุยและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

"คลินิกใน กทม.หารือร่วมกันว่า จะตัดสินใจขึ้นป้ายดำ ใส่ชุดดำเพื่อแสดงการร้องทุกข์และสะท้อนให้เห็นปัญหาของคลินิก ที่ผ่านมา สปสช. นิ่งเฉยกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทำได้เพียงแค่โปรยยาหอมให้ใจเย็น และให้เป็นกรรมการแก้ไขปัญหา และเสนอไปยังบอร์ด แต่ทุกอย่างก็ถูกตัดทิ้ง ไม่ได้รับตอบสนอง"

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้ รพ.ยังคงให้บริการประชาชนตามปกติ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า เมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โรงพยาบาลกำลังเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่อง ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการเบิกจ่ายของ สปสช. 90 ล้านบาท คาดว่า ยอดสะสมปัจจุบันน่าจะถึง 100 ล้านบาท และหากไม่รีบแก้ไขเกรงว่า โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างสะดวก

ที่ผ่านมาทางตัวแทน เครือข่ายโรงพยาบาล กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ ประเทศไทย (UHOSNET) ได้ทำหนังสือถึง รมว. สธ. ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. และในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ทางตัวแทนจะไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรี และแถลงข่าวที่กระทรวงสาธารณสุข

"หากไม่เร่งแก้ไข มีผลในระยะยาวแน่นอน และโรงพยาบาลคงไม่สามารถยืนต่อไปได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล คนเป็นหมอ พูดเรื่องเงินทองก็ลำบากใจ ให้พูดกับคนไข้ก็ลำบาก ต้องให้รัฐมนตรีสาธารณสุข ช่วยแก้ไข"

‘สรยุทธ’ งง!! โพสต์ข้อความสวัสดีวันพฤหัสฯ ไม่ได้ใช้พื้นหลัง ‘สีม่วง’ แต่เจอเพจอื่นอ้างโดน ‘ทัวร์ลง’ ลั่น!! ปกติใช้พื้นตามสีประจำวันอยู่แล้ว

(16 ก.พ. 67) เพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "ทัวร์ลงที่ไหนเหรอครับ ปกติก็โพสต์ใช้พื้นตามสีประจำวันอยู่แล้ว"

โดยเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ กลับมีประเด็นเกิดขึ้น เมื่อมีเพจเฟซบุ๊ก ข่าวเด่นประเด็นร้อน ที่นิยามตนเองว่าเป็นเพจข่าวเด่น ข่าวดัง กับประเด็นที่ร้อนแรง มีผู้ติดตามกว่า 2.4 แสนคน ระบุว่า “เพจ #สรยุทธ โดนทัวร์ลง หลังโพสต์สวัสดีวันพฤหัสฯ เป็นพื้นสีส้ม ไม่ใช่สีม่วงตามที่เป็นกระแสในตอนนี้”

“พวงเพ็ชร” ลุยกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า วันเดียว ยึดของกลางกว่า 5 ล้าน หลังพ่อแม่แห่ร้อง สคบ. เด็ก-เยาวชน เข้าถึงง่ายเหตุราคาถูก

15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 22.00 น.  นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พร้อมด้วยผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร และกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่ย่านคลองถม ถ.วรจักร แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เพื่อติดตามและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า หลังประชาชนร้องเรียนผ่าน สคบ. ว่ามีการเปิดร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าราคาถูก ทำให้มีเด็กและเยาวชนไปซื้อมาใช้เป็นจำนวนมาก

การลงพื้นที่วันนี้เป็นไปตามภารกิจหลักของชุดปฏิบัติการ สคบ. ที่บูรณาการความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ในการปราบปรามและกวาดล้างการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยในช่วงบ่ายชุดปฏิบัติการ สคบ. ได้ลงพื้นที่ย่านนวลจันทร์และเสนานิคม สามารถตรวจยึดและจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้ 2 แห่ง มูลค่า 2 ล้านบาท และในช่วงค่ำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ย่านคลองถม พร้อมชุดปฏิบัติการ สคบ. กรุงเทพมหานครและกรมควบคุมโรค สามารถตรวจยึดของกลางจากร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้ 7 แห่ง มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ขณะที่ผู้ค้าทำการหลบหนีระหว่างการลงพื้นที่ โดยรวมตลอดทั้งวันสามารถยึดของกลาง รวมมูลค่าทั้งสิ้น กว่า 5 ล้านบาท 

“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ที่ นอกจากเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว อาจส่งผลกระทบและมอมเมาเด็กและเยาวชน ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล สคบ. ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบ ติดตาม และกวาดล้างอย่างจริงจัง ประกอบกับมีผู้ปกครองเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าว จากการลงพื้นที่วันนี้ พบว่าการหาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าทำได้ง่าย และราคาไม่แพง เด็กและเยาวชนสามารถหาซื้อได้จากตลาดใจกลางเมือง ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เราจะเร่งติดตามและขยายผลการลงพื้นที่อีกหลายจุด เพื่อกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าให้หมดไป ขณะเดียวกันจะพูดคุยกับทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อหาแนวทางสกัดกั้นการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ หากผู้ใดพบเห็นการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งได้หลายช่องทาง เช่น สายด่วน สคบ. 1166 เว็บไซต์ www.ocpb.go.th แอปพลิเคชัน OCPB Connect  ศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด รวมถึง Traffy Fondue ของ กทม.” นางพวงเพ็ชร กล่าว 

ปัจจุบันการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

‘บิ๊กโจ๊ก’ นำ ‘สมาคมชาวปักษ์ใต้’ แสดงพลัง ถวายกำลังใจ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’

เมื่อวานนี้ (15 ก.พ. 67) สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล นายกสมาคม พร้อมด้วยอุปนายก และกรรมการบริหารสมาคม ที่ปรึกษา อนุกรรมการ สมาชิกสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ สมาคมและชมรมเครือข่ายชาวใต้ทั้ง 14 จังหวัดทั่วทุกพื้นที่ พี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่า ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และสื่อมวลชนทุกสำนัก ได้มาร่วมกิจกรรมถวายพระพร และถวายกำลังใจแด่ ‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ ณ สมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ เพื่อปกป้อง และแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อ ‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ หลังกลุ่มทะลุวังแสดงพฤติกรรมก้าวล่วงขบวนเสด็จ ขับรถเข้าประชิด และเป่านกหวีดไล่ตามขบวนเสด็จ

สมาคมมีความซาบซึ้งในน้ำใจของทุกท่านที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเป็นการรวมพลังที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชจริยาวัตรที่ได้ประจักษ์ คือ พระเมตตาและความเอาพระทัยใส่ในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน พระองค์ทรงมีพระปณิธานที่จะช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก เดือดร้อน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ พสกนิกรต่างยกย่องและชื่นชมในพระบารมี ดังนั้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ ที่ทรงมีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองในด้านต่าง ๆ มากมายมาโดยตลอด 

วันนี้จึงได้มีการรวมใจรวมพลังจากพี่น้องทั้งหลายทุกหมู่เหล่า ที่ได้มาร่วมกันถวายพระพรและถวายกำลังใจแด่พระองค์ท่าน โดยมีสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯเป็นแกนนำในการจัดกิจกรรมขึ้นในครั้งนี้ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

สมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ โดยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล นายกสมาคม อุปนายก และกรรมการบริหารสมาคม ก็ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย ที่ได้มาร่วมกิจกรรมกันในครั้งนี้

สมุทรปราการ-ยิ่งใหญ่ !! ครบรอบ 12 ปี วันสถาปนา PWS นักธุรกิจร่วมมอบทุนสนับสนุนการศึกษา กว่า 3 ล้านบาท

โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จัดงานครบรอบ 12 ปี วันสถาปนาโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา (PWS) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี พร้อมกับได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา สังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา จำนวน 233 ทุน ภายใต้โครงการ “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” ประจำปีการศึกษา 2567 

โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ในฐานะผู้ริเริ่มก่อตั้งโครงการ “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ตลอดจนคณะครูโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ร่วมให้การต้อนรับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ข้าราชการ และผู้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษานำเข้ากองทุน ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน

ภายในงานยังได้รับเกียรติจากท่านศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ สุขสำราญ ราชบัณฑิต อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครองท้องถิ่น นายสุรพล เจริญภูมิ รองอธิบดีกรมการปกครองท้องถิ่น นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ 

นายประทีป นทีทวีวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนตัวแทนหน่วยงานองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวแทนสถานประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม บริษัท ห้างร้าน และผู้มีจิตศรัทธาร่วมในงานครั้งนี้

โดยทางด้าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์จังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ในฐานะผู้ริเริ่มก่อตั้งโครงการ ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งเป็นวันสถาปนาโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ที่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 นับถึงปัจจุบัน รวมเวลา 12 ปี ประกอบกับผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษาและโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ได้ร่วมกันจัดตั้ง กองทุน ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน เพื่อให้นักธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธา ได้ทำกิจกรรมร่วมกับทางโรงเรียน 

โดยการร่วมมอบเงินสนับสนุนส่งเสริมการศึกษา อีกทั้งเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่ประพฤติตนเป็นเด็กดี มุ่งมั่น ตั้งใจเรียน สมควรได้รับการส่งเสริม สนับสนุนให้ได้รับทุนการศึกษา พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีโอกาสเทียบเท่าผู้อื่น อีกทั้งโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษาได้ส่งเสริมการแข่งขันทางวิชาการ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ และการมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้ จำนวน 233 ทุนด้วยกัน 

ประกอบกับ ในปีนี้โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษาของเราได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจาก นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ห้างร้าน ข้าราชการ และหน่วยงานต่างๆ โดยได้รับเงินสนับสนุนเข้ากองทุนการศึกษา ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ้งโรงเรียน จำนวนเงินกว่า 3 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม โอกาสต่อไปคาดว่าในปี 2570 โดยนางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา มีนโยบายในการช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ในส่วนของค่าเทอมค่าใช้จ่ายของลูกๆ PWS โดยจะไม่เสียค่าเทอมแม้แต่บาทเดียวเพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง

‘ไมโครซอฟท์’ เดินหน้าขยายความเป็นผู้นำโลกด้านการแข่งขัน จ่อลงทุน 'โครงสร้างพื้นฐาน AI' ใน ‘เยอรมนี’ 1.24 แสนล้านบาท

(16 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เปิดเผยแผนการลงทุนระยะ 2 ปี มูลค่า 3.2 พันล้านยูโร (ราว 1.24 แสนล้านบาท) เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในเยอรมนี ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์ในประเทศนี้

ไมโครซอฟท์จะขยายภูมิภาคคลาวด์ที่มีอยู่ในแฟรงก์เฟิร์ต อัมไมน์ ของรัฐเฮสส์ และเพิ่มขีดความสามารถด้านคลาวด์ในนอร์ธ ไรน์-เวสต์ฟาเรีย มากกว่าสองเท่า ผ่านโครงสร้างพื้นฐานใหม่ พร้อมกับวางแผนฝึกอบรมทักษะทางดิจิทัลแก่ประชาชนในเยอรมนีมากกว่า 1.2 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025

ด้าน แบรด สมิธ รองประธานและประธานของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ไมโครซอฟท์อยากทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีได้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเดินหน้าขยายความเป็นผู้นำโลกในด้านความสามารถทางการแข่งขัน โดยความต้องการปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้นในภาคส่วนสำคัญอย่างการผลิต ยานยนต์ และเภสัชภัณฑ์

โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า การลงทุนมูลค่านับพันล้านยูโรของไมโครซอฟท์ถือเป็นข่าวดีมากสำหรับเยอรมนี โดยโครงการดังกล่าวสะท้อนว่าเยอรมนีมีทำเลที่ตั้งอันน่าดึงดูดใจและได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อสิ้นปี 2023 รัฐบาลเยอรมนีประกาศการลงทุนด้านการวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มูลค่า 1.6 พันล้านยูโร (ราว 6.22 หมื่นล้านบาท) ภายในปี 2025
ไมโครซอฟท์เสริมว่าบริษัทเยอรมนีชื่อดังหลายแห่ง เช่น ซีเมนส์ ไบเออร์ และคอมเมิร์ซแบงก์ กำลังใช้งานแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ของไมโครซอฟท์แล้ว

ผลสำรวจจากบิตคอม (Bitkom) สมาคมดิจิทัล พบว่าชาวเยอรมนีส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าปัญญาประดิษฐ์จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างชัดเจนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า และมีทัศนคติเปิดกว้างต่อปัญญาประดิษฐ์ในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์

‘ดีอี’ ทลายอาชญากรไซเบอร์เพิ่มอีก ‘3 คดี’ รวด บุกจับแก๊งคอลเซนเตอร์ - ขบวนการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล-เครือข่ายพนันออนไลน์ ‘ประเสริฐ’ เผยเตรียมปรับกฎหมายเพิ่มโทษ หวังปราบอาชญากรรมไซเบอร์เด็ดขาด

วันที่15 กุมภาพันธ์ 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงข่าวการขยายผลการจับกุมผู้กระทำผิดในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอี , สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ,กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ซึ่งในครั้งนี้นับเป็น EP.7 โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามฐานความผิดที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด 9 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุมอีก 2 คน 

นายประเสริฐ กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล PDPC Eagle Eye และตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและขยายผลดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ ซึ่งปัจจุบันได้มีการตรวจสอบและขยายผลไปสู่การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตั้งแต่ EP.1 จนถึง ครั้งนี้เป็น EP.7

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยในข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องประชาชนที่อาจมีการรั่วไหลไปยังกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหลอกลวง อันเป็นภัยร้ายที่ทางรัฐบาลเร่งปราบปรามอย่างจริงจังตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะกรณีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลและมีการซื้อ – ขายในรูปแบบต่างๆที่สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงดีอีเร่งให้มีการปรับกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อกลุ่มบุคคลใดที่มีพฤติกรรมในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนให้มีโทษที่เด็ดขาดและรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นหากประชาชนผู้เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลท่านใดที่ได้รับความเสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถร้องเรียนกับ PDPC ได้เพื่อนำเรื่องให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาทางปกครอง และยังสามารถฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดีทางแพ่งได้อีกทางหนึ่งด้วย 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีได้ผลักดันให้การแก้ปัญหาภัยออนไลน์ ถือเป็น 1 ใน 7 Flagships ที่เป็นนโยบายหลักของกระทรวง และหนึ่งในมาตรการดังกล่าวคือการประสานงานความร่วมมือและบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ‘คดีแรก’ ขยายผลสืบสวนจับกุม ผู้ต้องหารายที่ 9 เครือข่ายขบวนการขายข้อมูลส่วนบุคคลให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทำมานาน 1-2 ปี มีรายชื่อประชาชนกลุ่มลูกค้าเครดิตดี ถูกส่งต่อเป็นจำนวนมาก ส่วน ‘คดีที่สอง’ สืบสวนจับกุมเครือข่ายหลอกลวงคนไทยบังคับทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน และ ‘คดีที่สาม’ ทลายเครือข่ายการพนันออนไลน์ จำนวน 2 เครือข่าย ได้แก่ ramruay.net และ pok9.com ตรวจยึดของกลางและ ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท พบยอดเงินหมุนเวียนเดือนละกว่า 300 ล้านบาท จับผู้ต้องหาได้เบื้องต้น 5 ราย ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างติดตามจับกุมเพิ่มเติม 

ขณะที่ พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแลศูนย์ PDPC Eagle Eye และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย PDPA ได้ประสานข้อมูลการสืบสวนร่วมกับ บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. ในการตรวจสอบขยายผลเพื่อดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ทั้งในแหล่งข้อมูลที่มีการรั่วไหลและผู้ที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลจนสืบทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงินภาคเอกชนแห่งหนึ่ง คือ นายสุวรรณฯ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี มีพฤติกรรมลักลอบนำข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินของตนเองมาดัดแปลง แก้ไข และนำไปจำหน่ายต่อให้กลุ่มที่สนใจ อาทิ ตัวแทนสินเชื่อ ตัวแทนประกัน ซึ่งบางกรณีตกไปอยู่ในมือของกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสุวรรณฯ ในความผิดฐาน ‘ล่วงรู้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้นำไปเปิดเผยแก่ผู้อื่น, ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ’  ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2560  ตามหมายจับศาลอาญาที่ 506/2567 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 และได้ดำเนินการจับกุมในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567

“สถิตินับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 จนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ศูนย์ PDPC Eagle Eye ได้ตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนบนเว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ อย่างเกินความจำเป็นหรือไม่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมจำนวน 5,869 หน่วย ซึ่งได้มีการเตือนและแก้ไขแล้ว มีการตรวจพบการประกาศซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค (Facebook) และได้มีการปิดกั้นแล้ว จำนวน 54 เรื่อง และได้มีการร่วมมือกับ บช.สอท. ในการตรวจสอบขยายผลจากการจับกุมผู้ลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลรายก่อนหน้า จนส่งผลให้เกิดการตรวจสอบและขยายผลนำไปสู่การจับกุมได้ในวันนี้อีก 1 รายและอยู่ระหว่างการจับกุมอีก 2 ราย” ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล PDPC กล่าว

ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าว PDPC ให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาภัยออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง โดยจะเร่งรัดและเคร่งครัดในการตรวจ ปราบปราม ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล และ การลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งได้มีการทำงานร่วมกันระหว่าง PDPC Eagle Eye และ บช.สอท. กับ สกมช. อย่างเข้มข้นในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงดังกล่าว มีกรณีที่ศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา นอกจากนี้สำนักงานยังคงเดินหน้าเพื่อสนองรับนโยบายในการมีมาตรการในการจัดการกับหน่วยงานที่ไม่มีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เดินสายให้ความรู้แก่ประชาชน ตลอดจนถึงการเร่งปรับแก้การบังคับใช้กฎหมายให้มีบทลงโทษที่หนักยิ่งขึ้นสำหรับการลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล 

‘ธนกร’ หนุน รบ.เดินหน้า ‘แลนด์บริดจ์’ พัฒนาพื้นที่ระเบียง ศก.ใต้ เชื่อ!! เป็นเครื่องมือดึงดูดนักลงทุน - ประโยชน์มหาศาลเข้าประเทศ

(16 ก.พ. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ตนขอสนับสนุนมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ที่ได้ผ่านความเห็นชอบ รับรองรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์แล้ว เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาเดินหน้าโครงการในขั้นตอนต่อไปอย่างรอบคอบ

เมื่อถามว่า พรรคฝ่ายค้านมีข้อมูลมาอ้างอิงถึงความไม่คุ้มค่าของโครงการในหลายประเด็น นายธนกร กล่าวว่า ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ พยายามหาข้อมูลให้มากที่สุด แต่ข้อมูลของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ก็มีเหตุผลรองรับ ทำให้ผ่านความเห็นชอบรับรองผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว เพื่อเป็นรากฐานให้นายกฯ และรัฐบาล พิจารณาเดินหน้าเชิญชวนนักลงทุนมาร่วมในโครงการนี้ ตนเชื่อว่า นายกฯ จะพิจารณาอย่างรอบคอบและนำข้อเสนอ ข้อท้วงติงของฝ่ายค้านมาประกอบการพิจารณาด้วย

“ไทย ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านขนส่งและการค้าของภูมิภาคเอเชีย จะเชื่อมโยงไปทวีปต่าง ๆ ในโลก หากเกิดโครงการแลนด์บริดจ์ จะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC และจะเป็นเครื่องมือ หรือแม่เหล็กดึงดูดจูงใจผู้ประกอบการ นักลงทุนมาลงทุนในบ้านเรา เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมหลังท่าและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จะทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน คนในพื้นที่อย่างมากและมั่นใจว่าจะสร้างประโยชน์มหาศาลมาสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top