Monday, 26 May 2025
NewsFeed

แนวคิดเรื่องการให้จาก ‘บุญเกียรติ โชควัฒนา’

ยิ่งให้มาก ยิ่งได้รับมาก ❤

บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการและกรรมการ บริษัทในเครือสหพัฒน์ เผยแนวคิดดี ๆ เรื่องการให้ ระบุว่า… “ที่สําคัญก็คือ ผลักน้ำออกไป น้ำไหลเข้ามา แต่หากวักน้ำเข้ามา น้ำจะไหลออกไป การผลักน้ำออกไปคือการให้ และเราจะได้รับกลับมา หากคนหวังแต่จะกอบโกย มักจะสูญเสีย ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับกลับมา แต่ที่ได้รับกลับมาอาจจะไม่ใช่เงินทอง แต่ชื่อเสียง ความยอมรับ คนชื่นชม ดังนั้นสหพันธ์จะเน้นการให้ ไม่ได้รีบร้อนจะเป็นเจ้าตลาด ครองตลาด” 

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ แรงงาน จ.สมุทรสงคราม และกลุ่มไทยสมายล์ ลงพื้นที่ เติมกำลังใจ มอบรถเข็นวีลแชร์และอุปกรณ์ให้ผู้พิการและผู้ยากไร้

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย แรงงาน จ.สมุทรสงคราม และทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ 
และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 3 ราย ในพื้นที่ ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จ.สมุทรสงคราม และทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ และไม้เท้าพยุงสามขาช่วยเดิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับ ผู้สูงอายุและผู้พิการ ณ ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม จำนวน 3 ราย ได้แก่ แม่ชีทองคำ ชมแช่ม (อายุ 70 ปี) อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 1 นางอารมณ์ ธุระพันธ์ (อายุ 82 ปี) บ้านเลขที่ 6 และนายมานิตย์ เสมอศาสตร์ (อายุ 86 ปี) บ้านเลขที่ 11 ซึ่งทั้งสามราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน 

และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป ทำให้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือช่วยกันจัดหาอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นลำดับแรก

ผบ.ตร.รับรายงานผลการศึกษาอายุการกระทำผิดเด็กเยาวชน

ผบ.ตร.รับรายงานผลการศึกษาอายุการกระทำผิดเด็กเยาวชน พบแนวโน้มทำผิดสูงขึ้น เกณฑ์อายุที่ทำผิดต่ำลง เตรียมเสนอกระทรวงยุติธรรม ปรับแก้ไขกฎหมายกำหนดโทษคดีเด็กไม่ต้องรับโทษ จากอายุไม่เกิน 15 ปี เป็น 14 ปี

รวมทั้งแนวทางพิจารณาคดี ให้มุ่งเน้นพฤติการณ์กระทำผิดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องบริบทสังคม คุ้มครองความปลอดภัยประชาชนส่วนรวม

วันนี้ (15 ก.พ.67)  พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวปรากฏว่า มีเหตุเด็กชายวัย 14 ปี ก่อเหตุยิงบุคคลในบริเวณศูนย์การค้า และเหตุกลุ่มเยาวชนรุมทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายในพื้นที่ สภ.อรัญประเทศ ซึ่งการก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียต่อร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความหวาดกลัวภัยให้กับประชาชน

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาอายุการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนในห้วงปี พ.ศ.2559 – 2566 พบว่า

1. กลุ่มคดีอุกฉกรรจ์ ห้วงอายุ 10 – 18 ปี รวมทั้งสิ้น 1,645 คดี โดยอายุที่กระทำความผิดสูงสุด ได้แก่ อายุ 17 ปี(418 คดี) อายุ 18 ปี(416 คดี) และ อายุ 16 ปี(367 คดี) ตามลำดับ โดยนับแต่ พ.ศ.2565 เป็นต้นมา เริ่มพบว่าผู้ก่อเหตุอยู่ในห้วงอายุ 10 - 18 ปี มีแนวโน้มสูงขึ้น คดีที่ก่อเหตุสูงสุด ได้แก่ ฆ่าผู้อื่น (954 คดี) ปล้นทรัพย์ (109 คดี) และชิงทรัพย์ (97 คดี) ตามลำดับ

2. กลุ่มคดีความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย รวมทั้งสิ้น 4,318 คดี โดยอายุที่กระทำผิดสูงสุด ได้แก่ อายุ 18 ปี (1,398 คดี) อายุ 17 ปี (1,025 คดี) อายุ 16 ปี (805 คดี) ตามลำดับ โดยพบว่ามีผู้กระทำความผิดที่อายุต่ำกว่า 10 ปี จำนวน 20 คดี และพบว่าห้วงอายุ 10 – 18 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2560 เป็นต้นมา เริ่มสูงขึ้น โดยเป็นความผิดทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายสูงถึง 1,860 คดี

3. กลุ่มคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ รวมทั้งสิ้น 5,903 คดี  โดยอายุที่กระทำความผิดสูงสุด ได้แก่ อายุ 18 ปี(1,820 คดี) อายุ 17 ปี(1,137 คดี) และอายุ 16 ปี(960 คดี) ตามลำดับ โดยพบว่าผู้กระทำความผิดอายุต่ำกว่า 10 ปี จำนวน 29 คดี และพบว่าห้วงอายุ 10 - 18 ปี เริ่มมีการกระทำความผิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 เป็นต้นมา โดยเป็นความผิดลักทรัพย์ 2972 คดี ฉ้อโกง 921 คดี และวิ่งราวทรัพย์ 57 คดี

จะเห็นได้ว่าแนวโน้มการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนในคดีอุกฉกรรจ์ ชีวิตหรือร่างกาย ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ มีแนวโน้มสูงขึ้น และเกณฑ์อายุของผู้กระทำความผิดผู้อายุน้อยลง 

แม้ข้อมูลทางการวิจัยกระบวนการยุติธรรมทางอาญาสำหรับเด็กและเยาวชนยึดหลัก มุ่งคุ้มครองเด็กและเยาวชน เน้นการสงเคราะห์ บำบัดฟื้นฟู แก้ไข เยียวยา เพื่อคำนึงถึงอนาคตของเด็กและเยาวชน แต่อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาการกำหนดโทษ สามารถกำหนดมาตรการที่เหมาะสมกับพฤติการณ์ได้ เช่น ความผิดร้ายแรง การกระทำความผิดซ้ำ  จึงอาจกำหนดโทษจำคุก เพื่อให้หลาบจำได้สำหรับเด็กและเยาวชนในบางกรณีได้  

โดยแนวทางการดำเนินการของต่างประเทศ เช่น ประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ กำหนดอายุเด็กไม่เกิน 10 ปี  ไม่ต้องรับโทษ ซึ่งเกณฑ์อายุน้อยกว่าประเทศไทยที่กำหนดอายุไม่เกิน 12 ปี ส่วนในประเทศเยอรมนี แคนนาดา ฝรั่งเศส จะพิจารณาเกณฑ์อายุและประเภทความผิดร้ายแรงประกอบกัน เพื่อกำหนดโทษจำคุกสำหรับเด็กและเยาวชนได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะทั่วไปสหประชาชาติ (ฉบับที่ 10) ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่กำหนด “เกณฑ์อายุขั้นต่ำที่บุคคลจะมีความรับผิดอาญาไม่ควรต่ำกว่า 12 ปีและบุคคลอายุ 18 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เห็นคล้องตรงกันว่า สังคมไทยควรจะพิจารณากำหนดเกณฑ์อายุของเด็กหรือเยาวชน ขึ้นใหม่ เพื่อสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ   โดยอาจเสนอการแก้ไขกฎหมาย ป.อาญา มาตรา 74  จากเดิมกำหนดเด็กอายุกว่า 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ เป็น เด็กอายุกว่า 10 ปี แต่ไม่เกิน 14 ปี แทน 
 
รวมทั้งพิจารณาบังคับใช้ตามมาตรา 97 วรรคสองฯ แห่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ.2553 มาใช้ในการดำเนินการให้มากขึ้น ซึ่งกำหนดไว้ใจความว่า  คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว ถ้าศาลพิจารณาโดยคำนึงถึงสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญา และนิสัยแล้ว เห็นว่าในขณะกระทำความผิด หรือในระหว่างการพิจารณา  เด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดมีสภาพเช่นเดียวกับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้ศาลมีอำนาจสั่งโอนคดีไปพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาได้

ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้รวบรวมเสนอกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเด็ก เยาวชนให้ตรงกับสถาพบริบทสังคมต่อไป เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมาย เกิดประสิทธิภาพ คุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนส่วนรวม

ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับ ทีมสาวงามMiss LGBT2024 ลงตรวจพื้นที่ซอยคาวบอยตามมาตราการความปลอดภัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ//พร้อมแจกดอกไม้เนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์แก่นักท่องเที่ยว

วันที่14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา21.00น. พ.ต.ท.ขวัญพล  เพ็งเดือน  สวญ.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจและล่ามแปล,อาสาสมัครฯ ลงตรวจพื้นที่ซอยคาวบอยตามมาตราการความปลอดภัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีทีมสาวงามจากเวทีMiss LGBT 2024 นำทีมโดยโน้ต อดิเรก เรือนปิน Miss LGBT Thailand 2024 , อาร์ม อนิวัฒน์ เพ็งจำรัส 1st runner-up Miss LGBT Thailand 2024 ,บิว ศิริน บี 3rd runner-up Miss LGBT Thailand 2024 , เจนนี่ สุภัสรา หนานคำ Miss LGBT TOURISM THAILAND 2024 พร้อมกับสาวงามที่ได้รับรางวัลพิเศษจากเวทีดังกล่าว ร่วมลงพื้นที่ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยมี พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว นำนโยบายดังกล่าวมาร่วมบูรณาการให้เกิดผลสำเร็จและเป็นประโยชน์ในการผลักดันการท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลายทุกมิติอย่างปลอดภัย 

โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ พ.ต.ท.ขวัญพล  เพ็งเดือน สารวัตรใหญ่ ท่องเที่ยว1 ได้กล่าวอีกว่าถือเป็นการแสดงจุดยืนทางด้านความพร้อมในเรื่องของการเอาใจใส่เรื่องความปลอดภัยและพร้อมที่จะเข้าใจนักท่องเที่ยวและกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น  เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าประเทศเรามีเพศทางเลือกที่หลากหลายและมีความสามารถในด้านต่างๆเยอะแยะมากมาย การได้มีส่วนร่วมกับเวทีMiss LGBT2024ในครั้งนี้ถือเป็นนัยยะที่สำคัญในการสร้างความปลอดภัยที่เท่าเทียมโดยจะไม่ทิ้งใคร หรือหลงลืมเพศไหนไว้ข้างหลัง เพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติตลอดจนตำรวจท่องเที่ยวเองก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างมากและในอนาคตอันใกล้นี้อาจมีโครงการนำร่องอาสาสมัครกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่จะมามีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเท่าเทียมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมากขึ้น โดยจะมีการอบรมที่เป็นกิจลักษณะ เพื่อพร้อมต่อการปฎิบัติหน้าที่จริง

ผุดสังเวียนการแข่งขันชกมวยสากล 'อาชีวะไฟท์' ทางออกสังคมไทย แก้ปัญหา 'นักเรียนตีกัน'

เมื่อวานนี้ (14 ก.พ. 67) เรื่องนักเรียนอาชีวะยกพวกตีกัน และบางครั้งก็รุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธปืนไล่ยิงกัน กลางกรุงเทพมหานคร จนหลายครั้ง ไม่ใช่แค่เด็กอาชีวะที่ร่วมก่อเหตุที่ได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิต แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง พลอยโดนลูกหลง บาดเจ็บ-เสียชีวิต ก็มีให้เห็นมาแล้วหลายเหตุการณ์  

ปัญหาดังกล่าว เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซาก มาหลายสิบปี มีให้เห็นตลอดเวลา บางช่วงก็รุนแรงจนสังคมตั้งคำถามกันว่า เหตุใดปัญหาดังกล่าว ถึงแก้ไขไม่ได้เสียที ถึงขนาด อดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัย อย่าง ชวน หลีกภัย ยังนำปัญหาเรื่องนักเรียนอาชีวะสองสถาบันที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นคู่อริกันมาหลายสิบปี และช่วงหลังสถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย นำปัญหาดังกล่าว ไปตั้งกระทู้สดกลางสภาฯ ถามนายกรัฐมนตรีและรมว.อุดมศึกษาฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อันแสดงให้เห็นได้ว่า ปัญหานักเรียนอาชีวะตีกัน ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ แน่นอน

ท่ามกลางความพยายามหาทางออก เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเพราะพบว่า ช่วงสุดสัปดาห์นี้ 17 ก.พ. จะมีการจัดกิจกรรม ‘การแข่งขันชกมวยสากล - อาชีวะไฟท์’ (Archeva Fight) ขึ้นโดยนำนักเรียนอาชีวะทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจากหลายสถาบันฯ  ที่สมัครเข้าแข่งขันมาชกมวยกัน อันเป็นกิจกรรมที่ผู้จัดกิจกรรมบอกว่า “เพื่อเปิดพื้นที่แสดงออกในทางสร้างสรรค์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง  ลดการแบ่งแยก รวมใจเป็นหนึ่ง เพราะแม้ต่างสถาบันแต่ไม่ต่างความคิด ร่วมสร้างสรรค์สายสัมพันธ์”

ส่วนรายละเอียดกิจกรรมอาชีวะไฟท์ดังกล่าวเป็นอย่างไรเรื่องนี้ ‘ธนเดช ตุลยลักษณะ’ หรือ ‘เนศ อาชีวะ-ประธานกลุ่มอาชีวะพ่อกูวิษณุกรรม’ แกนนำหลักในการจัดกิจกรรมดังกล่าว เล่าให้ฟังว่า กลุ่มพ่อกูวิษณุกรรมจัดกิจกรรม อาชีวะไฟท์ เพื่อหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นำไปสู่การช่วยลดปัญหาการตีกันของนักศึกษาอาชีวะของสถาบันต่างๆ โดยเป็นการจัดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างสัมพันธ์ไมตรี ของน้องๆนักเรียน-นักศึกษาอาชีวะของทุกๆสถาบัน ที่เข้าร่วมกิจกรรมอาชีวะไฟท์ เพื่อทำให้นักศึกษาอาชีวะได้รู้จักกันมากขึ้น เพราะเมื่อได้มาเจอกัน ทำให้เกิดความรักความสามัคคีกัน เชื่อว่าจะเป็นอีกกิจกรรมที่ทำให้สามารถลดความรุนแรงเรื่องปัญหาการตีกันของอาชีวะได้

ส่วนที่มาที่ไปของการแข่งขันชกมวย ‘อาชีวะไฟท์’ ครั้งนี้ ทาง ‘ธนเดช-เนศ อาชีวะ-ประธานกลุ่มอาชีวะพ่อกูวิษณุกรรม’ เล่าวไว้ว่า กลุ่มอาชีวะ พ่อกูวิษณุกรรม ได้มีการพูดคุยกันว่า ปัญหาสังคมเรื่องนักเรียน-นักศึกษาอาชีวะ เกิดการเผชิญหน้า มีการตีกัน โดยบางเหตุการณ์ก็รุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธยิงกัน จนทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับลูกหลงอย่างกรณีครูเจี๊ยบ (ครูสอนวิชาคอมพิวเตอร์ระดับชั้น ม.ต้น โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ) ที่โดนลูกหลง นักเรียนอาชีวะคู่อริไล่ยิงกัน จนเสียชีวิตบริเวณป้ายรถเมล์ย่านคลองเตยเมื่อปี 2566 และยังมีประชาชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ได้รับลูกหลงตามไปด้วยตอนที่มีการตีกัน

...ทางกลุ่มเรา คุยกันว่าจะมีทางใดที่แก้ไขปัญหาได้ จนทางกลุ่มเกิดไอเดียขึ้นมาว่า น่าจะมีการจัดกิจกรรมต่อยมวยน่าจะดี เพราะที่ผ่านมา อาจจะเคยมีการจัดกิจกรรมเช่น เตะฟุตบอล แต่ก็พบว่ายังไม่ตรงจุดเพราะมีเสียงสะท้อนว่า จัดเตะฟุตบอลของนักศึกษาอาชีวะ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี ก็พบว่า คนที่เกเร ที่ชอบก่อเรื่อง ตีกัน-ยิงกัน เขาก็ไม่เล่นฟุตบอลอีก เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว แต่น้องๆนักเรียนอาชีวะ ที่ชอบตีกัน เขาไม่ได้มีความสามารถเรื่องการเตะฟุตบอล  ก็อาจแค่ไปเชียร์ แต่ไม่ได้ร่วมลงเตะด้วย ก็ทำให้ไม่รู้สึกว่าเขามีตัวตน แล้วก็ยังพบว่า มีการจัดเตะฟุตบอล แต่กลายเป็นว่า มีการตีกันอีก แทนที่จะได้เชื่อมความสัมพันธ์ โดยบางคนก็ทำเพราะต้องการสร้างตัวตน จะได้ดัง ดูเท่ห์ เพราะเขามีความเชื่อมั่น เลยทำให้กิจกรรมเตะฟุตบอลของอาชีวะ เลยไม่ค่อยตอบโจทย์

“ธนเดช-เนศ’ กล่าวต่อไปว่า แต่สำหรับการจัดแข่งขันชกมวย อาชีวะไฟท์ เราคิดกันว่า กิจกรรมต่อยมวยอาชีวะไฟท์ ทำให้เด็กอาชีวะที่อาจดูแสบ ๆ แต่เล่นฟุตบอลไม่ได้ แต่ต่อยมวยกันได้ ก็เลยทำให้คิดว่าน่าจะจัดกิจกรรมให้เด็กอาชีวะมาชกมวยกันดีกว่า เพราะใช้ความสามารถแค่คนที่จะต่อยคนเดียวและยังเป็นการสร้างตัวตนได้ด้วย ที่น่าจะช่วยแก้ปัญหา ได้ตรงจุดมากกว่า

..สำหรับการเตรียมงานในครั้งนี้ หลังได้ข้อสรุปการจัดกิจกรรมอาชีวะไฟท์แล้ว ทางผู้จัดได้ทำการประชาสัมพันธ์กิจกรรมผ่านช่องทางต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ทราบว่าจะมีการจัดกิจกรรมต่อยมวยอาชีวะไฟท์ โดยจะเป็นศิษย์เก่าหรือศิษย์ปัจจุบันก็สามารถร่วมกิจกรรมได้หมด พบว่า มีกระแสตอบรับที่ดี คนให้ความสนใจ มีน้อง ๆ นักเรียนอาชีวะ สมัครเข้าร่วมกิจกรรมจนครบตามจำนวนที่ตั้งไว้ คือ 10 คู่ชก

‘ธนเดช เนศ’ กล่าวถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นวันเสาร์ที่ 17 ก.พ.นี้ว่า จะเริ่มกิจกรรมการชกกันเวลา 18.00 น. จนถึง 20.00 น. และพอกิจกรรมเสร็จในช่วงค่ำจะมีการเปิดเพลง ร่วมกันร้องเพลง สร้างบรรยากาศแบบเป็นพี่เป็นน้องกัน เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี

..โดยอาชีวะไฟท์จะจัดกันที่ บริเวณด้านหน้าของอาคารชื่นฤทัยในธรรม ถนน ประชาราษฎร์ อำเภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง เวทีจะมีขนาด 5x5 เมตร และจะมีการวางเบาะที่เป็นเบาะหนาไว้ที่พื้น การชกจะเป็นมวยสากล ชกกันคู่ละหนึ่งยก เป็นเวลา 3 นาที โดยจะมีการใส่นวม-ใส่ฟันยาง และมีกรรมการฯ ที่เป็นกรรมการมืออาชีพมาทำหน้าที่กรรมการบนเวที อีกทั้งยังมีการจัดเตรียมรถพยาบาล Ambulance มาเตรียมพร้อมไว้ด้วย รวมถึงมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลความสงบเรียบร้อย-ความปลอดภัยตลอดกิจกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้จัดให้ความสำคัญมาก ส่วนกองเชียร์เราก็จะให้มีการยืนคล้องแขนกันรอบเวทีเพื่อร่วมกันเชียร์ขณะที่มีการต่อยกัน

‘ธนเดช เนศ’ ย้ำว่า ทางผู้จัดกิจกรรมครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่า จะจัดอาชีวะไฟท์แบบนี้อีกหลายครั้ง ไม่ได้จัดแค่รอบนี้รอบเดียว เพราะเมื่อมีการจัดไปเรื่อย ๆ จนคนรับรู้กิจกรรมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าจะช่วยลดความรุนแรงของปัญหาเด็กอาชีวะตีกันได้ คือ หากใครอยากจะเจ๋ง อยากจะเก๋าส์ ก็มาร่วมกิจกรรมได้ในการจัดครั้งต่อ ๆ ไปชองอาชีวะไฟท์ได้

“เพราะนี้คือเวทีที่ตอบโจทย์ความต้องการในการสร้างตัวตนได้ นี้คือสิ่งที่ผู้จัดกิจกรรมอาชีวะไฟท์คาดหวัง ที่เราเชื่อว่าหากกิจกรรมนี้เข้าถึงเด็กอาชีวะได้ในวงกว้าง มันจะทำให้ช่วยแก้ปัญหาช่วยลดการตีกันของเด็กอาชีวะได้”

สุดท้าย กิจกรรมแข่งขันชกมวย อาชีวะไฟท์ จะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ที่จะช่วยลดปัญหานักเรียนอาชีวะตีกันได้หรือไม่ คงต้องรอดูกันไป เพราะปัญหาดังกล่าว เป็นปัญหาที่ต้องแก้แบบระยะยาว ที่คงต้องหาวิธีการแก้ปัญหาหลายอย่างควบคู่กันไปด้วย

‘Huawei’ โชว์เหนือ ผุดแท่นชาร์จ EV 1 วินาทีต่อ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาพอๆ กับเติมน้ำมัน-เร็วกว่าแท่นชาร์จ Tesla ถึง 2 เท่า

(15 ก.พ. 67) รายงานข่าวระบุว่า Huawei Technologies ได้เปิดตัวสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งเป็นผลงานของ Huawei Digital Power มีความสามารถในการอัดประจุไฟฟ้าได้มากถึง 600 kW และโฆษณาว่า “ทุกการชาร์จ 1 วินาที จะได้ระยะเพิ่มขึ้น 1 กม.” นั่นหมายความว่า ชาร์จเพียง10 นาทีจะวิ่งได้ระยะทางไกล 600 กม. ซึ่งใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงและเร็วกว่าสถานี Supercharger ของ Tesla ถึง 2 เท่า

ทั้งนี้ Huawei วางแผนขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูงดังกล่าวด้วยจำนวนกว่า 1 แสนแห่งในประเทศจีนภายในปีนี้ โดยผ่านการร่วมมือกับเจ้าของพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ศูนย์การค้า รวมถึงบริเวณใกล้เคียงมอเตอร์เวย์ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งสถานีชาร์จความเร็วสูงของ Huawei นั้นสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกรุ่นทุกแบรนด์

ปัจจุบัน ประเทศจีนมีสถานีชาร์จราว 2.7 ล้านแห่ง ตามข้อมูลของพันธมิตรส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 40% ภายในปีนี้ แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นหัวชาร์จเร็ว

กสทช. กำชับมือถือทุกค่ายระงับสัญญาณซิมเถื่อน หลังครบกำหนดยืนยันตัว สำหรับผู้ถือครองมากกว่า 101 ซิมพร้อมผนึกกำลังตำรวจเอาผิดคนสวมชื่อเปิดซิมผี

วันนี้ (15 ก.พ. 67) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เป็นประธานประชุม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (ผู้ให้บริการเอไอเอส), บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ผู้ให้บริการ ทรู และ ดีแทค) และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือถึงมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการที่ถือครองซิมการ์ด หลังพ้นกำหนดระยะเวลายืนยันตัวตน พร้อมบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กสทช., ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขยายผลเอาผิดกับผู้ปลอมแปลงเอกสารในการจดทะเบียนซิม ป้องกันมิจฉาชีพนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมออนไลน์

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ ได้กล่าวว่า จากแนวคิดในการจัดระเบียบซิมการ์ด โดยเฉพาะหมายเลขในระบบเติมเงิน ที่ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้งานจริง หรือลงทะเบียนด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง มีการปลอมแปลงเอกสารในการจดทะเบียนซิม โดย กสทช. ได้ออกมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการที่ถือครองซิมการ์ด โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.67 ที่ผ่านมา ตามมาตรการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นสองกลุ่ม คือ ผู้ถือครองซิมการ์ด ตั้งแต่ 6-100 หมายเลข ให้ยืนยันตัวตนภายใน 180 วัน และ ผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลข ขึ้นไป ให้ยืนยันตัวตนภายใน 30 วัน  ซึ่งขณะนี้ในส่วนกลุ่มที่สอง (ผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลข ขึ้นไป) ได้ครบกำหนดแล้ว เมื่อวันที่ 14 ก.พ.67 ที่ผ่านมา กสทช. จึงได้ประชุมเร่งรัดให้ผู้ประกอบการทุกค่าย ดำเนินการระงับบริการ ตามเงื่อนไข ทั้งในส่วนของการโทรออก, การส่งข้อความ SMS 

และการใช้งานอินเตอร์เน็ต จะอนุญาตเพียงการโทรเบอร์ฉุกเฉินเท่านั้น จากสถิติของผู้ประกอบการที่รายงานมายัง กสทช. มีสถิติผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลขขึ้นไปมายืนยันตัวตน ดังนี้ เครือข่ายเอไอเอส ร้อยละ 58.56 ทรูดีแทค ร้อยละ 35 และ เอ็นที ร้อยละ 23.14 โดยจากการตรวจสอบพบว่า หมายเลขบางส่วนที่ยังไม่ได้มายืนยันตัวตน จะเป็นซิมที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้รับข้อความ SMS แจ้งเตือน และบางส่วนเชื่อได้ว่าเป็นซิมเถื่อนที่อยู่ในมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรออนไลน์อื่น ซึ่งไม่กล้ามาแสดงตัวเพื่อยืนยันตน และกลุ่มนี้เป็นเป้าหมายของมาตรการดังกล่าว ในที่ประชุมได้กำชับให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่าย  เริ่มระงับการใช้ (การโทรออกและการใช้เน็ต) ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.67 เป็นต้นไป ก่อนเพิกถอนการใช้ออกจากระบบต่อไป พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้พบว่ามีบุคคลบางกลุ่ม มีพฤติการณ์ปลอมแปลงเอกสาร หรือปลอมบัตรประชาชนในการจดทะเบียนซิมการ์ดโดยมิชอบ, ใช้บัตรประชาชนของผู้อื่น หรือลงทะเบียนด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในส่วนนี้ กสทช. ได้ประสานการทำงานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่ายอย่างใกล้ชิด และได้ส่งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นความผิดฐาน ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ปลอมบัตรและใช้หรือแสดงบัตรปลอม และอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย ขบวนการเหล่านี้ถือเป็นต้นตอของปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ต้องถูกดำเนินคดีและกำจัดให้หมดไป

ฉะเชิงเทรา-สภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา มอบรถวีแชร์ ให้กับคนพิการและกลุ่มเปราะบางในจังหวัดฉะเชิงเทรา

วันนี้ 15 ก.พ. 67 ที่ โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ประธานพิธีมอบรถวีแชร์พื่อมอบให้ให้กับคนพิการและกลุ่มเปราะบางในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีนายจีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวรายงาน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ

โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่าเนื่องด้วยปีมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 พระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา  (ผู้ร่วมบริจาค รวมจำนวนทั้งสิ้น 72 คัน มูลค่า 192,600 บาท) และจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 และเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา วาระปี 2567 – 2569  ณ ห้องชลธี 1  โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เวลา 14.00 – 15.00 น. จัดการรับฟังบรรยายพิเศษ เรื่อง  “ทิศทางยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมภาคตะวันออกและการขับเคลื่อน EEC” โดย ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ เวลา 15.00-17.00 น. ร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 และเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารฯ วาระปี 2567 – 2569 ต่อไป

‘ติ๊กต็อกดัง’ ชำแหละ!! กลยุทธ์ ‘กระบวนการล้มเจ้า’ มักคอย ‘ด้อยค่า-ลดบทบาท-ลดความสำคัญ’

(15 ก.พ.67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก ‘Spark Update’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับขบวนเสด็จฯ โดยระบุว่า…

ถ้าใครอายุ 35 เกินไปแล้วสัก 36-37 ปี ก็จะเห็นภาพชินตาซึ่งก็คือพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ท่านทรงงานหนักมาก บินไปนู้นไปนี่ ไปทํานู่นทํานี่ แต่เราไม่บอกหรอกว่าท่านทําอะไรบ้าง…

ทั้งนี้ แล้วกระบวนการล้มเจ้ามีจริงเหมือนที่ ชาดา ไทยเศรษฐ์ พูดไหม? มีตลอดเวลา…แต่เราอาจจะไม่รู้ตัว ซึ่งปกติสมมติว่าเราต้องไปชกหรือสู้อะไรกับใครสักอย่าง มันต้องมีหลายกลยุทธ์ และกลยุทธ์ที่ทําได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือการไปด้อยค่า ไปลดบทบาท ลดความสําคัญ ทำให้สิ่งที่เราจะไปโจมตีหรือทําลายเกิดไร้ค่า ไม่มีค่า ด้อยค่า และขั้นตอนแรก พวกเธอจงรักภักดีและคอยปกป้องใช่ไหม? พวกเธอคือ ‘สลิ่ม’ คือคนไม่เก๋ ไม่อินเทรนด์ ไม่เลิศ หรือพวกเธอจงรักภักดีใช่ไหม? พูดเรื่องพระราชกรณียกิจ เทิดทูนบูชาองค์สถาบันใช่ไหม? พวกเธอคือ ‘โขนเจ้า’

ฉะนั้นแล้ว สังคมต้องตื่นรู้แล้วว่าพวกนี้มันคือวาทกรรมกระบวนการลดทอนคุณค่า และเป็นกระบวนการแยกคนออกจากสังคม รัฐบาลที่มาจากประชาชนสิ่งแรกที่ควรทำเลยคือการหลอมร่วมใจคนไทยให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยก่อน ซึ่งเราไม่ต้องไปนั่งพูดถึงหรอกว่ากรมสมเด็จพระเทพฯ ท่านทําอะไรมาบ้าง เพราะไม่ว่าจะเป็น เรื่องผู้ยากไร้ทางการศึกษา ทําให้คนมีงานทําเท่าไหร่ คนบนดอยไม่ต้องไปปลูกฝิ่นเป็นโครงการหลวง ซึ่งไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว มันเป็นเรื่องที่หาได้ในอินเทอร์เน็ต แต่จะหารึเปล่า? กล้าที่จะพูดถึงเรื่องของคนทําความดีหรือเปล่า? มันกลายเป็นไม่อินเทรนด์ไปซะตั้งแต่เมื่อไหร่…

ดังนั้น ต้องมีสติในการครองตนก่อนอันดับหนึ่ง การด้อยค่าง่ายที่สุดก็คือไม่เข้าพวก ไม่เก๋ นี่ก็คือการลดบทบาท ลดทอนคุณค่าของสถาบันที่ง่ายที่สุด คือใช้ปากคนที่ไม่ทําอะไรเลยแลกไปทําร้ายทําลายองค์สถาบันที่มีคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองเรา ชีวิตเธอ เธอเล่าได้ร้อยคนพันคน เธอเคยไปช่วยคนจมน้ำไม่ให้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียวก็เล่าไปสามบ้านแปดบ้าน ครอบครัวก็ภาคภูมิใจสุด ๆ เชื้อพระวงศ์เขารับคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์เท่าไหร่ ปี ๆ หนึ่งคนรอดตายเท่าไหร่? เหตุการณ์สถานการณ์ต่าง ๆ นา ๆ ท่านลงไปในพื้นที่ช่วยคนเท่าไหร่? เอาแค่นี้ บ้านเมืองเรามันแข็งแรงมากพอที่จะไม่มีองค์สถาบันไม่ได้หรอก สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นกี่ครั้ง ทําไมต่างชาติไม่ถอนการลงทุน เพราะเขารู้ว่าคนไทยยังมีสถาบันที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจอยู่ เวลาที่มีความวุ่นวายตีกันในประเทศ ถ้าลองเป็นประเทศอื่นวุ่นวายกันขนาดนี้ รบกัน สงครามกลางเมือง เขาถอนการลงทุนไปหมดแล้ว แต่นี่ยังอยู่…แต่ถ้าใครคิดเป็นก็จะรู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ถ้าใครคิดไม่ได้ก็คือไม่ได้อยู่อย่างนั้น และการด้อยค่าว่าทําแบบนั้นเท่แบบนี้เท่เราจะต้องเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งทุกคนมีหมด แต่มันควรอยู่ในกรอบที่เหมาะสมและเหมาะกับบริบทไหม?

เช่นนั้นแล้ว ประเทศเราไม่มีความสิทธิเสรีภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูอย่างพม่า พระออกมายิงจนจีวรปลิว ถามว่าเราอยู่ในบริบทแบบนี้ ทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นนักศึกษาตั้งใจเรียน ถ้ารู้สึกอยากพัฒนาชาติ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ มีเป้าหมายแบบนี้ ก็ไปลงสมัครพรรคการเมือง ไปเป็นสมาชิกพรรค ไปขับเคลื่อน เป็นเอ็นจีโอ ไปดูซิแก้รัฐธรรมนูญไปถึงไหน ไปดูซิว่าเราจะทลายทุนผูกขาดด้วยกฎหมายอะไรได้บ้าง ปรับโครงสร้างระบบค่าน้ำค่าไฟ ทําตัวให้เป็นผู้เชี่ยวชาญไปเลย หากมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ 1 2 3 4 ตั้งใจจะตั้งมูลนิธิมาเพื่อจะทําให้คนไม่ตกงาน 1 ล้านคน ตั้งเป้าไปเลยทําให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีนวัตกรรมสามารถทําคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) ได้ ก็ควรไปทําประโยชน์อย่างนี้ดีกว่า… ไปทําให้มันสร้างสรรค์ เพราะการเคลื่อนไหวเราสามารถทําในอย่างอื่นได้ ซึ่งเราไม่พูดถึงเรื่องที่มันไกลตัวเรามาก ๆ เอาเรื่องทั่วไป เพราะบนโลกใบนี้มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวร อะไรก็เกิดขึ้นได้หมด

สุดท้ายอีกอย่างหนึ่งที่บอกเกี่ยวเสมอว่าเราต้องยึดแกนหลักก่อน ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจ พระมหากษัตริย์ใช้อํานาจนั้นผ่านรัฐสภา ผ่านคณะรัฐมนตรี ผ่านศาล ผ่านอะไรต่าง ๆ ซึ่งต้องยึดหลักตรงนี้ให้มั่นและตั้งสติ…

ลำปาง-ตร.ลำปางแถลงผลจับกุมยาบ้า 5 แสนเม็ด ผตห. 3 คน จากจ.เชียงรายส่งปลายทางจ.ตาก

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 15 ก.พ. 2567 ที่ กก.ภ.จว.ลำปาง แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา 3 คน รถยนต์ 2  คัน ของกลางยาบ้าประมาณ 500,000 เม็ด ในพื้นที่ อ.แม่พริก จ.ลำปาง โดยมี พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา  นวตระกูลพิสุทธิ์  ผบก.ภ.จว.ลำปาง เป็นประธานแถลง พร้อมด้วย พล.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง พ.ต.อ.อนุพันธุ์ กันถารัตน์ ผกก.สภ.แม่พริก พ.อ. วิชาญ ศรีภัทรางกูร รอง ผอ.กรมน.จว.ลำปาง(ท),พ.อ.บรรจง คะวงศ์ดอน รองเสนาธิการ มทบ.32 นายกองตรีปิยะวุฒิ พิทักษ์บริบาล นอภ.แม่พริก หน่วยงาน ป.ป.ส.ภาค 5 และ ตร.ศูนย์พิสูตรหลักฐาน 5 ลำปาง ร่วมแถลง

ตามนโยบายรัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในทุกมิติ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.รับบัญชานำข้อสั่งการไปสู่การปฏิบัติ ตร.ภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผบก.ภ.จว.ลำปาง ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ป.ป.ส.ภาค 5 และ ตร. สภ.แม่พริก จ.ลำปาง บูรณาการกำลังร่วมกัน

ทั้งนี้เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 13 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ตำรวจด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย คือ นายศตวรรษ นายอัครรงค์ และ นายวิทยา ชาว จ.ลำพูน ต่อเนื่องบนถนนพหลโยธินสายลำปาง-ตาก(ขาล่อง)บ้านนาตาโพ ต.วังจันทร์ อ.สามเงา จ.ตาก พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 3 กระสอบ รวมประมาณ 500,000 เม็ด โดยก่อนการจับกุม ตำรวจประจำด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มผู้รับจ้างขนยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงราย เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ ในช่วงเวลาประมาณใกล้รุ่งวันดังกล่าว โดยจะมีรถยนต์กระบะนำเส้นทาง ตำรวจชุดจับกุมจึงได้วางแผนจัดวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตาม ชุดตั้งจุดสกัดบนถนนสายรอง อ.แม่พริก - อ.เถิน จ.ลำปาง และชุดปฏิบัติหน้าที่ประจำด่านตรวจฯโดยเพิ่มความเข้มข้นและคัดกรองรถตามเป้าหมายตามที่ได้รับแจ้ง กระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น.วันที่ 13 ก.พ.2567  ตำรวจชุดติดตามแจ้งว่ามีรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รีโว่ สีเทา หมายเลขทะเบียน บม 5362  ลำพูน ขับนำทางมาตามเส้นทางบนถนนพหลโยธินสายลำปาง-ตาก  มุ่งหน้ามายังด่านตรวจฯ จึงได้วางแผนปล่อยให้ผ่านด่านตรวจฯไปก่อน โดยมีตำรวจชุดหนึ่งติดตามไป ต่อมาได้มีรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ สีดำ หมายเลขทะเบียน 3ขข-4173 กรุงเทพฯคันเป้าหมายแล่นมาถึงด่านตรวจฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ส่งสัญญาณให้หยุดตรวจ พบผู้ขับขี่มีพิรุธ จึงได้แจ้งให้คนขับลดกระจกด้านหลังลงเพื่อตรวจสอบภายในรถพบมีกระสอบฟางลักษณะคล้ายกับกระสอบบรรจุยาเสพติด จึงขอตรวจแต่ผู้ขับขี่ได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวหลบหนีออกจากด่านตรวจฯอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกชุดจึงได้ขับรถยนต์ไล่ติดตามจนสามารถสกัดรถยนต์และจับกุมคนขับไว้ได้ดังกล่าว

ต่อมาได้ควบคุมผู้ขับขี่รถยนต์กระบะทราบชื่อนายศตวรรษ มาสอบสวนพร้อมนำรถยนต์กระบะเข้าเครื่องเอ๊กซเรย์ ที่ด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก พบวัตถุที่อยู่ในกระสอบฟางปุ๋ยลายฟ้า-ขาว  ผลการตรวจสอบพบว่าเป็นยาบ้าห่อมัดด้วยกระดาษรัดด้วยเทปกาวสีครีม ภายในพบยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติกสีชมพู ประทับ A และถุงน้ำเงินเข้มถุงละ 100 เม็ด เป็นยาบ้าชนิดสีชมพูและสีเขียว ประทับตรา Y1 จำนวนดังกล่าว ส่วนรถยนต์นำทางชุดติดตามสามารถสกัดรถได้ที่บริเวณถนนบนทางเข้าที่ทำการดับไฟป่าบ้านปากกอง ต.นาโป่ง อ.เถิน จ.ลำปาง พร้อมผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวม 2 คน คือนายอัครรงค์ เป็นผู้ขับขี่ และนายวิทยา นั่งโดยสารมาด้วย จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คนพร้อมของกลางยาบ้า รถยนต์กระบะ นำตัวส่ง ร.ต.อ.วัชรกิตติ์ ขุนคลังมีวน สว.(สอบสวน) สภ.แม่พริก สอบสวนดำเนินคดีและเร่งสืบสวนขยายผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา กล่าวว่า จากการสืบสวนขยายผลผู้ต้องหารับว่า รับยาบ้ามาจากเขต ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดยขับขี่รถยนต์เส้นทางผ่าน อ.แม่สรวย จ.เชียงราย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ผ่าน อ.บ้านธิ ป่าซาง บ้านโฮ่งและ อ.ลี้ จ.ลำพูน เข้าสู่ถนนพหลโยธินสายลำปาง-ตาก บริเวณสี่แยกอำเภอเถิน ผ่านด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก ส่งปลายทางที่ อ.บ้านตาก จ.ตาก จนกระทั่งถูกจับกุม ได้รับค่าจ้าง 2 ครั้ง จำนวน 10,000 บาทและ 100,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชีของนายอัครรงค์ ส่วนผู้ว่าจ้างสั่งการณ์กำลังอยู่ระหว่างขยายผลเพื่อออกหมายจับ เครือข่ายนี้เป็นเครือข่ายของกลุ่มลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดนเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ ตร.ลำปาง จะได้เร่งรัดสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายผู้ร่วมกระทำความผิดทุกระดับและยึดทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้องเพื่อทำลายเครือข่ายตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ตร.ต่อไป 

ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top