‘ติ๊กต็อกดัง’ ชำแหละ!! กลยุทธ์ ‘กระบวนการล้มเจ้า’ มักคอย ‘ด้อยค่า-ลดบทบาท-ลดความสำคัญ’

(15 ก.พ.67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก ‘Spark Update’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับขบวนเสด็จฯ โดยระบุว่า…

ถ้าใครอายุ 35 เกินไปแล้วสัก 36-37 ปี ก็จะเห็นภาพชินตาซึ่งก็คือพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ท่านทรงงานหนักมาก บินไปนู้นไปนี่ ไปทํานู่นทํานี่ แต่เราไม่บอกหรอกว่าท่านทําอะไรบ้าง…

ทั้งนี้ แล้วกระบวนการล้มเจ้ามีจริงเหมือนที่ ชาดา ไทยเศรษฐ์ พูดไหม? มีตลอดเวลา…แต่เราอาจจะไม่รู้ตัว ซึ่งปกติสมมติว่าเราต้องไปชกหรือสู้อะไรกับใครสักอย่าง มันต้องมีหลายกลยุทธ์ และกลยุทธ์ที่ทําได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือการไปด้อยค่า ไปลดบทบาท ลดความสําคัญ ทำให้สิ่งที่เราจะไปโจมตีหรือทําลายเกิดไร้ค่า ไม่มีค่า ด้อยค่า และขั้นตอนแรก พวกเธอจงรักภักดีและคอยปกป้องใช่ไหม? พวกเธอคือ ‘สลิ่ม’ คือคนไม่เก๋ ไม่อินเทรนด์ ไม่เลิศ หรือพวกเธอจงรักภักดีใช่ไหม? พูดเรื่องพระราชกรณียกิจ เทิดทูนบูชาองค์สถาบันใช่ไหม? พวกเธอคือ ‘โขนเจ้า’

ฉะนั้นแล้ว สังคมต้องตื่นรู้แล้วว่าพวกนี้มันคือวาทกรรมกระบวนการลดทอนคุณค่า และเป็นกระบวนการแยกคนออกจากสังคม รัฐบาลที่มาจากประชาชนสิ่งแรกที่ควรทำเลยคือการหลอมร่วมใจคนไทยให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยก่อน ซึ่งเราไม่ต้องไปนั่งพูดถึงหรอกว่ากรมสมเด็จพระเทพฯ ท่านทําอะไรมาบ้าง เพราะไม่ว่าจะเป็น เรื่องผู้ยากไร้ทางการศึกษา ทําให้คนมีงานทําเท่าไหร่ คนบนดอยไม่ต้องไปปลูกฝิ่นเป็นโครงการหลวง ซึ่งไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว มันเป็นเรื่องที่หาได้ในอินเทอร์เน็ต แต่จะหารึเปล่า? กล้าที่จะพูดถึงเรื่องของคนทําความดีหรือเปล่า? มันกลายเป็นไม่อินเทรนด์ไปซะตั้งแต่เมื่อไหร่…

ดังนั้น ต้องมีสติในการครองตนก่อนอันดับหนึ่ง การด้อยค่าง่ายที่สุดก็คือไม่เข้าพวก ไม่เก๋ นี่ก็คือการลดบทบาท ลดทอนคุณค่าของสถาบันที่ง่ายที่สุด คือใช้ปากคนที่ไม่ทําอะไรเลยแลกไปทําร้ายทําลายองค์สถาบันที่มีคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองเรา ชีวิตเธอ เธอเล่าได้ร้อยคนพันคน เธอเคยไปช่วยคนจมน้ำไม่ให้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียวก็เล่าไปสามบ้านแปดบ้าน ครอบครัวก็ภาคภูมิใจสุด ๆ เชื้อพระวงศ์เขารับคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์เท่าไหร่ ปี ๆ หนึ่งคนรอดตายเท่าไหร่? เหตุการณ์สถานการณ์ต่าง ๆ นา ๆ ท่านลงไปในพื้นที่ช่วยคนเท่าไหร่? เอาแค่นี้ บ้านเมืองเรามันแข็งแรงมากพอที่จะไม่มีองค์สถาบันไม่ได้หรอก สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นกี่ครั้ง ทําไมต่างชาติไม่ถอนการลงทุน เพราะเขารู้ว่าคนไทยยังมีสถาบันที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจอยู่ เวลาที่มีความวุ่นวายตีกันในประเทศ ถ้าลองเป็นประเทศอื่นวุ่นวายกันขนาดนี้ รบกัน สงครามกลางเมือง เขาถอนการลงทุนไปหมดแล้ว แต่นี่ยังอยู่…แต่ถ้าใครคิดเป็นก็จะรู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ถ้าใครคิดไม่ได้ก็คือไม่ได้อยู่อย่างนั้น และการด้อยค่าว่าทําแบบนั้นเท่แบบนี้เท่เราจะต้องเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งทุกคนมีหมด แต่มันควรอยู่ในกรอบที่เหมาะสมและเหมาะกับบริบทไหม?

เช่นนั้นแล้ว ประเทศเราไม่มีความสิทธิเสรีภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูอย่างพม่า พระออกมายิงจนจีวรปลิว ถามว่าเราอยู่ในบริบทแบบนี้ ทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นนักศึกษาตั้งใจเรียน ถ้ารู้สึกอยากพัฒนาชาติ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ มีเป้าหมายแบบนี้ ก็ไปลงสมัครพรรคการเมือง ไปเป็นสมาชิกพรรค ไปขับเคลื่อน เป็นเอ็นจีโอ ไปดูซิแก้รัฐธรรมนูญไปถึงไหน ไปดูซิว่าเราจะทลายทุนผูกขาดด้วยกฎหมายอะไรได้บ้าง ปรับโครงสร้างระบบค่าน้ำค่าไฟ ทําตัวให้เป็นผู้เชี่ยวชาญไปเลย หากมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ 1 2 3 4 ตั้งใจจะตั้งมูลนิธิมาเพื่อจะทําให้คนไม่ตกงาน 1 ล้านคน ตั้งเป้าไปเลยทําให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีนวัตกรรมสามารถทําคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) ได้ ก็ควรไปทําประโยชน์อย่างนี้ดีกว่า… ไปทําให้มันสร้างสรรค์ เพราะการเคลื่อนไหวเราสามารถทําในอย่างอื่นได้ ซึ่งเราไม่พูดถึงเรื่องที่มันไกลตัวเรามาก ๆ เอาเรื่องทั่วไป เพราะบนโลกใบนี้มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวร อะไรก็เกิดขึ้นได้หมด

สุดท้ายอีกอย่างหนึ่งที่บอกเกี่ยวเสมอว่าเราต้องยึดแกนหลักก่อน ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจ พระมหากษัตริย์ใช้อํานาจนั้นผ่านรัฐสภา ผ่านคณะรัฐมนตรี ผ่านศาล ผ่านอะไรต่าง ๆ ซึ่งต้องยึดหลักตรงนี้ให้มั่นและตั้งสติ…