Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

ผลโฉม ‘สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9’ สะพานข้ามแม่น้ำที่มีความกว้างมากที่สุดในไทย

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก หลังการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้จัดมหกรรมแห่งความสุข บนสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองจากทางพิเศษ สายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ก่อนเปิดใช้งานจริง

ภายใต้ชื่อกิจกรรม ‘Luck Lock Love : รักล้นสะพาน’ เป็นกิจกรรมที่ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของไทย เป็นครั้งแรกที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถขึ้นมาบนสะพานแห่งนี้ เพื่อเก็บบันทึกความทรงจำ ความสวยงามของกรุงเทพมหานคร ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน บนโค้งน้ำที่สวยที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา

โดย กิจกรรมจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดให้คู่รัก 111 คู่ จดทะเบียนลอยฟ้าบนสะพาน หลังจากนั้นเปิดให้ประชาชนทั่วไป ขึ้นมาเทควิว 360 องศา บนสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 กับโค้งน้ำที่สวยที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา แลนด์มาร์กใหม่ของประเทศไทย

- กิจกรรมคล้องกุญแจ ล็อคใจคู่รัก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นกว่าเดิม (นำกุญแจมาเอง)

- กิจกรรม Street Show สนุกสนานไปกับเหล่าแก๊งค์ตัวตลกโบโซ่ ที่จะมาสร้างเสียงหัวเราะ เติมเต็มรอยยิ้มให้กับทุกคนในครอบครัว

- กิจกรรม รวมเมนูเด็ด จากร้านอาหารชื่อดังที่จะมาเสิร์ฟให้ทุกคนได้อิ่มท้อง กับเมนูอาหารหลักร้อยวิวหลักล้าน

- กิจกรรม ฟังดนตรีสดจากศิลปิน และวงดนตรี ที่พร้อมบรรเลง สร้างความสุข ให้กับทุกคน ถึง 18 กุมภาพันธ์และวันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2567

สำหรับสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 เป็นสะพานขึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ในเส้นทางของทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกตะวันตก เป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่มีความกว้างมากที่สุดในประเทศไทย ตั้งตระหง่านเคียงคู่สะพานพระราม 9

สามารถรองรับการสัญจร ถึง 8 ช่องจราจร มีความยาวช่วงกลางสะพาน 450 เมตร ความยาวของสะพาน 780 เมตร ท้องสะพานมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 41 เมตร (สูงเท่าสะพานพระราม 9)

มีจุดเริ่มต้นบริเวณเชิงลาดสะพานพระราม 9 ฝั่งธนบุรี ในพื้นที่แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปเชื่อมต่อกับทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร และบรรจบกับทางแยกต่างระดับบางโคล่ ในพื้นที่แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา เชื่อมต่อกับทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษเฉลิมมหานครโดยตรง รวมระยะทางทั้งโครงการประมาณ 2 กิโลเมตร โดยคาดการณ์สามารถรองรับปริมาณรถยนต์ได้มากถึง 150,000 คัน/ วัน

ด้านนวัตกรรมการก่อสร้างของสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างทางวิศวกรรมขั้นสูง ทำให้สะพานมั่นคงแข็งแรงสามารถรองรับแรงลมได้มากถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเทียบเท่าความแรงของพายุทอร์นาโด สะพานแห่งนี้จึงมีความมั่นคงและแข็งแรงอย่างมาก ในการรองรับเหตุแผ่นดินไหวหรือพายุ แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานความเป็นไทยอันทรงคุณค่า

โดยสถาปัตยกรรมถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานความเป็นไทย พร้อมด้วยงานประติมากรรมลวดลายอันละเอียดประณีต อลังการ สื่อถึงคติความเชื่อที่แสดงเอกลักษณ์ไทยอย่างเด่นชัด ประกอบไปด้วย

ยอดเสาสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ฝาพระหัตถ์แห่งความเมตตา ส่วนยอดเสาสะพานเปรียบดั่งพระหัตถ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 แสดงถึงการโอบอุ้ม ปกป้อง ความรักความห่วงใย และความเมตตาต่อพสกนิกร

รูปปั้นพญานาคตัวแทน ความยิ่งใหญ่คู่ควรสถาบันอันสูงส่ง โดยพญานาคสีเหลืองทอง แทนปีมะโรงหรือปีงูใหญ่ (พญานาค) อันเป็นปีพระราชสมภพ ตั้งตระหง่านบริเวณโคนเสาสะพาน 4 ต้นตามความเชื่อที่ว่าพญานาค จะทำหน้าที่อารักขาสถาบันอันสูงส่งของไทย

รวงผึ้งทองอร่ามสัญลักษณ์แทนต้นไม้ประจำพระองค์ ซึ่งรั้วสะพานกันกระโดดเป็นลวดลายดอกรวงผึ้งสีทอง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำพระองค์ถูกออกแบบอย่างอ่อนช้อย มอบความรู้สึกสบายตาทั้งยังป้องกัน ไม่ให้ยานพาหนะตกสู่ด้านล่าง

สะพานขึงสีทองอร่าม เฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทย มีการออกแบบภาพรวมสะพานด้วยโทนสีเหลืองทอง อันเป็นสีตัวแทนพระองค์ เพื่อเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือเกล้า พสกนิกรไทย

สายเคเบิลสีเหลือง สื่อถึงความมงคลพระราชสมภพ ซึ่งสายเคเบิลสีเหลือง ตัวแทนสีวันจันทร์ อันเป็นวันพระราชสมภพ โทนสีที่เปรียบไปด้วยพลังแห่งความหวัง ความสุข ความสงบความรุ่งเรือง มั่งคั่ง อีกทั้งยังเป็นสีที่มองแล้วผ่อนคลาย

เสาสะพานโค้งมน งดงามอ่อนช้อย ด้วยการออกแบบเสาสะพานให้โค้งมน เพื่อลดความแข็งกระด้างของโครงสร้างคอนกรีตภาพรวมของโครงสร้างจึงดูอ่อนช้อย ไม่ว่าจะมองจากระดับพื้นดินหรือระดับทางพิเศษ

ราวกันตกออกแบบให้โปร่ง รับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา โดยราวกันตกบริเวณด้านนอกสุดของสะพาน ออกแบบให้โปร่ง นอกจากเพื่อไม่ให้ต้านลมที่ปะทะ ตัวสะพานแล้วยังช่วยไม่ให้บดบังทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยา

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 เป็นสะพานขึง (Cable Stayed Bridge) แบบเสาคู่ที่สร้างคู่ขนานกับสะพานพระราม 9 ซึ่งถือว่าเป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทยที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

กทพ. อยากให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความภาคภูมิใจ เพราะออกแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานความเป็นไทย ผนวกกับการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างทางวิศวกรรมขั้นสูง ทำให้สะพานมั่นคงแข็งแรงสามารถรองรับแรงลมได้มากถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือเทียบเท่าความแรงของพายุทอร์นาโด แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงความสวยงาม และเชื่อมั่นว่าจะกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศไทย

“สะพานจะช่วยลดความแออัดทางจราจรบริเวณทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) ช่วงบริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ บนสะพานพระราม 9 ถึงด่านสุขสวัสดิ์ บริเวณถนนพระราม 2 จาก 100,470 คัน/ วัน ลดลงเหลือ 75,352 คัน/ วัน หรือลดลง 25% และยังสามารถเชื่อมต่อกับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน – บ้านแพ้วอีกด้วย” นายสุรเชษฐ์กล่าว

‘วราวุธ’ ชี้!! ไทยเผชิญวิกฤตประชากร หลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มตัว ชวนร่วมถกหาทางออก 7 มี.ค.นี้ ก่อนชง ครม.-เสนอรายงานต่อ UN

(18 ก.พ. 67) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยถึงการเตรียมการจัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ ‘พัฒนาความมั่นคงครอบครัวไทย ผ่านพ้นภัยวิกฤตประชากร’ ในวันที่ 7 มีนาคม 2567 ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันประเทศไทย เข้าสู่สภาวะสังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์แบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัญหาโครงสร้างประชากรกำลังเป็นปัญหา ที่จะทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตนี้ในอนาคตอันใกล้ เมื่อปี 2566 มีปริมาณผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี กว่า 13 ล้านคน ในขณะที่มีเด็กแรกเกิดไม่ถึง 5 แสนคน โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2566) ประชากรของประเทศไทยลดลงไปถึง 35,000 คน ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คาดว่าประชากรของประเทศไทยที่มีอยู่ 66 ล้านคน นั้น อีกไม่เกิน 50 ปี จะลงไปเหลือประมาณ 30 ล้านคน

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวง พม. จึงได้จัดโครงการประชุมในรูปแบบเวิร์คช็อปสำหรับการสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาความมั่นคงของครอบครัวไทย เพื่อให้พ้นภัยวิกฤตประชากร ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2567 ณ ห้องเพลนารีฮอลล์ 1 (Plenary Hall 1) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ และที่สำคัญ งานนี้ จะมีผู้แทนจากทุกๆ วงการ ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน NGOs และหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้มาร่วมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางวิธีการที่จะเพิ่มจำนวนประชากร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพียงแค่ให้คน 2 คนมาอยู่ด้วยกัน แต่ต้องสร้างสังคมที่มีความสุข ต้องสร้างหนทาง สร้างความอบอุ่น สร้างความมั่นคงให้กับคนรุ่นใหม่ จนกระทั่งทำให้เขารู้สึกว่าอยากจะมีครอบครัว อยากจะมีคนสืบสกุล และมีเด็กเกิดใหม่เพิ่มมากขึ้น

นายวราวุธ กล่าวว่า จากรายงาน กระทรวง พม.ได้เริ่มต้นหารือตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2567 ได้เริ่มมีการพูดคุย และมีการเชิญสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และธนาคารโลก (World bank) มาพูดคุยหารือกันก่อนที่วันที่ 7 มีนาคมที่จะถึงนี้ เราจะร่วมกันเวิร์คช็อป จะมีการหารือกันในหลายๆ กลุ่ม และเมื่อได้ผลการพูดคุยกันแล้วจะมีนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในต้นเดือนเมษายนที่จะถึงนี้

และในปลายเดือนเมษายนนี้ กระทรวง พม. จะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ ไปนำเสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติ เพื่อให้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่าวันนี้ ประเทศไทยของเรานั้นกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างประชากรที่ทุกๆ ประเทศในโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้กันได้อย่างไร ดังนั้นวันที่ 7 มีนาคมนี้ ขอเชิญชวนทุกๆคน ทุกๆ หน่วยงานเกี่ยวข้องกับปัญหาโครงสร้างประชากร มาร่วมกันแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้กันได้ที่ห้องเพลนารีฮอลล์ 1 (Plenary Hall 1) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

‘มะกัน’ โดนแฉ!! เตรียมส่งระเบิด-อาวุธ หนุนอิสราเอลเพิ่ม ขณะ ‘ผู้นำไบเดน’ เล่นบทเรียกร้องหยุดยิงในฉนวนกาซา

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 สำข่าวรอยเตอร์อ้าง หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา อ้างแหล่งข่าวเป็นเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เปิดเผยว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเตรียมจะส่งระเบิดและอาวุธอื่นๆ ให้กับอิสราเอล ในการเติมคลังแสงทางทหารให้กับกองทัพอิสราเอล ในขณะที่อีกด้านผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องผลักดันให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา

การเสนอส่งมอบอาวุธดังกล่าว รวมถึงระเบิด MK-82 และ ยุทโธปกรณ์โจมตีร่วม KMU-572 ซึ่งเพิ่มการนำวิถีให้กับระเบิด รวมถึงฟิวส์ระเบิด FMU-139 คาดว่าอาวุธเหล่านี้น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี การส่งมอบอาวุธเหล่านี้ยังคงอยู่ในระหว่างการตรวจสอบภายในของฝ่ายบริหาร ซึ่งแหล่งข่าวเปิดเผยว่า รายละเอียดในข้อเสนอดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนหน้าที่รัฐบาลไบเดนจะยื่นต่อประธานคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของสภาคองเกรส เพื่อพิจารณา ก่อนจะมีการอนุมัติเห็นชอบก่อนการส่งมอบต่อไป

กระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) และ กระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ยังไม่ได้ตอบสนองต่อการร้องขอความเห็นไปของทางรอยเตอร์ เกี่ยวกับรายงานข่าวนี้

ทั้งนี้ ถึงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไบเดนได้ข้ามการพิจารณาของสภาคองเกรส เกี่ยวกับการขายอาวุธให้กับอิสราเอลไปแล้ว 2 ครั้ง

ขณะที่รัฐบาลไบเดนเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง จากการยังคงจัดหาอาวุธให้กับอิสราเอล ท่ามกลางการกล่าวหาว่าอาวุธที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ถูกใช้ในการโจมตีในฉนวนกาซา ซึ่งเข่นฆ่าสังหาร และทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

โดยนับจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการบุกโจมตี ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินถล่มฉนวนกาซา เพื่อตอบโต้กลุ่มฮามาสที่บุกโจมตีอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาแล้วมากกว่า 28,775 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และทำให้ชาวปาเลสไตน์เกือบทั้งหมด จากที่มีทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านคนในฉนวนกาซา ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นหนีภัยสงคราม

ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของกลุ่มฮามาสที่บุกเข้ามาโจมตีในวันดังกล่าว จำนวน 1,200 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และยังจับไปเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาอีกราว 253 คน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้วกว่าร้อยคน

‘วันชัย’ สวมบทโหร ชี้!! ‘ทักษิณ’ กลับบ้านเป็นฤกษ์จันทร์มหาอุจจ์ เชื่อ ความนิยมจะหวนคืนอีกครั้ง พร้อมแนะจับตาทิศทาง ครม.

(18 ก.พ. 67) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้โพสต์ข้อความเรื่อง​ ‘เมื่อจันทร์ส่องหล้า’ โดยระบุว่า…

ระยะนี้ดาวจันทร์กับดวงเมืองและผู้มีอำนาจทางการเมืองมีความสัมพันธ์และสำคัญมาก เพราะตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 ก.พ. 67 ดาวจันทร์ย้ายจากราศีเมษเข้าสู่ราศีพฤษภในตำแหน่งมหาอุจจ์ อันหมายถึงมหาเสน่ห์ที่จะเกิดขึ้นกับปวงชน อำนาจวาสนาและบารมีจะแน่นปึ้ก! พลังแห่งความยิ่งใหญ่จากจันทร์ดับที่อับแสง จะกลายเป็นจันทร์ส่องหล้าที่สว่างไสว รัฐบาลและผู้มีอำนาจจะสร้างผลงานให้ปรากฏ ดับข้อขัดแย้งและความติดขัดทั้งมวลให้กระจ่างแจ้ง ทั้งในสภาและนอกสภาจะปลอดโปร่งโล่งไสว

“คุณทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจตัวจริงเสียงจริงออกมาแล้ว ระยะเวลาแห่งความเป็นรัฐบาลกับที่อยู่ในเรือนจำเท่ากัน เห็นปัญหาต่างๆ มากมาย แต่ก็คงมีข้อจำกัดทำให้ขยับกับอำนาจไม่เต็มที่ วันนี้เมื่อจันทร์ส่องหล้าแล้ว คงจะทำให้การบริหารจัดการทางการเมือง และการทำงานของคุณเศรษฐา และคณะรัฐมนตรีให้มีพลังที่เป็นเอกภาพ มีการขับเคลื่อนผลงานออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนได้ เพราะคุณทักษิณ คือ ‘ศูนย์รวมแห่งอำนาจตัวจริง’

คุณเศรษฐาแม้จะแสดงบทบาทมาแล้ว 6 เดือน ใครก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง พลังขับเคลื่อนจึงยังไปไม่เต็มสูบ

วันนี้ เวลานี้ ถ้าปล่อยให้เหมือน 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อไทยและรัฐบาลก็จะหมดมนต์ขลัง หมดพลังแห่งความนิยมชมชอบ แต่วันนี้ดาวจันทร์เป็นมหาอุจจ์ ทั้งมหาอุจจ์ตัวจริงก็ออกมาแล้ว ทั้งเสน่ห์ ทั้งความนิยมชมชอบ บริวารว่านเครือจะมาดำรงคงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ในอดีตอีกครั้ง ที่ออกจากเรือนจำในช่วงเช้าของวันที่ 18 ก.พ. เป็นฤกษ์แห่งจันทร์เสน่ห์ จันทร์มหาอุจจ์ มุ่งไปสู่จันทร์ส่องหล้า ทางการเมืองอาจปรับ ครม.อาจปรับเปลี่ยนกระทรวง หรือวิธีการทำงาน อันจะทำให้เศรษฐกิจและสังคม กลับมาเฟื่องฟูเข้มแข็งก็ด้วยจันทร์มหาอุจจ์นี่แหละ”

นายวันชัย ระบุอีกว่า แม้จันทร์จะส่องหล้า ถ้ามากราบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน ยิ่งจะเพิ่มมนต์ขลังมนต์เสน่ห์ มหาอุจจ์มหานิยมที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลนาน

‘ก้าวไกล’ ประกาศจุดยืนปม ‘ทักษิณพักโทษ’ ส่งเสริมอภิสิทธิ์ชนหรือไม่ หลังขาดความโปร่งใสเรื่องอาการป่วย ยัน!! ต้องไม่ตอกย้ำสองมาตรฐาน

(18 ก.พ. 67) เพจพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางออกจาก รพ.ตำรวจ กลับไปยังบ้านพักจันทร์ส่องหล้า เพื่อเข้ารับการพักโทษตามเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์ หลังถูกจองจำนอกเรือนจำครบ 180 วัน เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่า…

จุดยืนพรรคก้าวไกล ต่อกรณีคุณทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษ

แม้รัฐบาลและนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มักย้ำในหลายเวทีถึงความสำคัญของการสร้างหลักนิติรัฐที่เข้มแข็ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์และกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณ ชินวัตร ตลอด 180 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะการได้รับสิทธิรักษาตัวนอกโรงพยาบาลที่เรือนจำเป็นกรณีพิเศษโดยขาดความโปร่งใสเรื่องอาการป่วยของคุณทักษิณ ต่อเนื่องมาจนได้รับสิทธิพักโทษเพื่อปล่อยตัวกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านนั้น กลับเพิ่มคำถามที่มีในใจของประชาชนจำนวนมาก ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน สอดคล้องกับหลักการบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่

แน่นอนว่าหากมองไปที่อดีต ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหาร ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณทักษิณเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางวิถีประชาธิปไตย จนทำให้ประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามต่อความเป็นธรรมของคดีความ กระบวนการทางกฎหมาย และบทลงโทษที่มีต่อคุณทักษิณ

แต่หากมองมาที่ปัจจุบัน เมื่อคุณทักษิณตัดสินใจนำตนเองกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศ ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า คำชี้แจงของรัฐบาลต่อคำถามสำคัญทั้งเรื่องสุขภาพของคุณทักษิณที่ผ่านมา หรือเกณฑ์ที่ใช้ในการอนุมัติให้คุณทักษิณได้รับการพักโทษ ไม่สามารถทำให้สังคมหยุดตั้งคำถามได้ถึงความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติเมื่อเปรียบเทียบกับนักโทษและผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองคนอื่นๆ

พรรคก้าวไกลยืนยันว่า สังคมไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมเพื่อทุกคน ปราศจากระบบสองมาตรฐานหรือนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน

ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการจะอำนวยความยุติธรรมให้แก่คุณทักษิณ ในฐานะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง หรือการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง แนวทางในการดำเนินการ ต้องไม่ใช่การตอกย้ำระบบสองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมในประเทศ หรือส่งเสริมให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นในทางกฎหมาย แต่รัฐบาลต้องยึดแนวทางที่อำนวยความยุติธรรม ให้แก่ทุกคนอย่างทัดเทียมกัน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีเวียนธูปศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 เพื่อตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงเทพยดาฟ้าดิน และหลวงปู่ไต้ฮง ให้ตนเอง และครอบครัว  รวมถึงประเทศชาติ อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัย เฮงๆ ตลอดปีมังกรทอง (มะโรง)

วานนี้ (วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 23.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย  นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย คณะกรรมการ  คณะผู้ช่วยกรรมการ คณะผู้บริหาร อาสาสมัคร รวมทั้งศิษยานุศิษย์ และสาธุชนจำนวนมาก ร่วมในพิธีเวียนธูปศักดิ์สิทธิ์ เพื่อตั้งจิตอธิษฐานเทพยดาฟ้าดิน (เจ้าแห่งสวรรค์) และหลวงปู่ไต้ฮง ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ พร้อมกับสรรเสริญและขอพรจากเทพเจ้า ให้ตนเอง และครอบครัว รวมถึงประเทศชาติ อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัย เฮงๆ ตลอดปีมังกรทอง (มะโรง) ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย

“พิธีเวียนธูป” เนื่องในเทศกาลตรุษจีนนั้น เป็นพิธีที่สำคัญพิธีหนึ่ง จัดขึ้นในวันประสูติของเทพยดาฟ้าดิน (ทีกงแซ) เจ้าแห่งสวรรค์อันเป็นที่เคารพกันทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับชาวจีนแล้ว   ท่านเป็นเทพเจ้าที่ต้องให้ความเคารพอย่างสูงเหมือนกันหมด และเพื่อเป็นสัญญาณว่าได้สิ้นสุดงานเทศกาลตรุษจีนแล้ว โดยทำพิธีเวียนธูปรอบศาลเจ้า 3 รอบ ตั้งจิตอธิษฐาน ระลึกพระคุณเทพยดาฟ้าดิน ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ เช่น หลวงปู่ไต้ฮง ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ พร้อมกับสรรเสริญและขอพรจากเทพเจ้า เพื่อทำให้จิตใจเบิกบาน ผ่องแผ้ว  และเริ่มต้นวันปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีนอย่างมีความสุข และเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

เทศกาลตรุษจีน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีทั้งการสักการะหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ร่วมลงชื่อทำบุญ “พะเก่ง”  คือการลงชื่อสวดชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์อนัมนิกาย  เพื่อ สะเดาะเคราะห์  เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา  รับประทาน “สาคูสิริมงคล” รวมทั้งรับ “ฮู้แดง” ประทับยันต์หลวงปู่ ให้แคล้วคลาดปลอดภัย เพื่อความเป็นสิริมงคล เฮง ๆ ตลอดปีใหม่จีน

ซินเจียยู่อี่   ซินนี้ฮวดไช้ ...  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบคุณ ผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ที่ร่วมทำบุญในเทศกาลตรุษจีน ขอให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญ สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ตลอดปี ตลอดไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก 
แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##

ดีอี ขยายความสำเร็จ ขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ เต็มสูบ หวังฟื้นภาคการเกษตรไทย รุกต่อยอดใช้โดรนในอุตสาหกรรมหนัก สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้สาขาอาชีพอื่นๆ

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ภาคการเกษตรถือเป็นสาขาอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทย โดยเป็นแหล่งรองรับแรงงานขนาดใหญ่ มากกว่า 40 % แต่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมเพียง 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ เกษตรกรจึงประสบปัญหาหลักมาจากต้นทุนการเพาะปลูกต่อไร่สูง ขาดแคลนแรงงาน รวมไปถึงขาดทักษะและโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงที่ผ่านมาการส่งเสริมจากภาครัฐเป็นลักษณะการคิดแทน ทำแทน เมื่อโดรนเพื่อการเกษตรเข้ามาช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตร จากข้อมูลโดรนมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนแรงงานลงกว่า 50% และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น 10% โดยปัจจุบันมีโดรนเพื่อการเกษตร ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง จำนวน  9,063 ลำ และเติบโตเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 11% ปี คาดการณ์ว่าอีก 5 ปี จะมีโดรนเพื่อการเกษตร ไม่น้อยกว่า 80,000 ลำ คิดมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท

ด้วยการขับเคลื่อนแนวนโยบาย “The Growth Engine of Thailand” ของกระทรวงดีอี มุ่งเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ ซึ่งต้องให้ความสำคัญการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ (Thailand Competitiveness) ได้ถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านโครงการ "1 ตำบล 1 ดิจิทัล (ชุมชนโดรนใจ)" ด้วยการส่งเสริมให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากฝีมือคนไทยให้มีโอกาสแสดงความสามารถในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่าสำนักงาน ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ได้ร่วมลงทุนกับภาคเอกชน โดยบริษัท พาวเวอร์ อโกรเทค (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการพัฒนาศูนย์พัฒนาทักษะการบินและควบคุมโดรนเพื่อการเกษตร สำหรับเป็นสถานที่ในการพัฒนาศักยภาพการบังคับโดรนเพื่อการเกษตร ระยะแรก มีการดำเนินงาน 5 จังหวัด คือ พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี ชลบุรี และสงขลา พร้อมเปิดบริการเต็มรูปแบบ ครบทุกสาขาภายในปี 2567 รวมถึง เปิดศูนย์ซ่อมโดรนเพื่อการเกษตร บริการซ่อมบำรุงโดรนเพื่อการเกษตรให้ชุมชน เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ และยกระดับชุมชนให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยพัฒนาช่างในวิชาชีพแขนงต่างๆ เช่น ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้าวิทยุ ช่างอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยมีจำนวน 50 ศูนย์ซ่อม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ดำเนินการรูปแบบ Change Agent 1 ศูนย์ซ่อม ดูแลรับผิดชอบ 10 ชุมชน โดยมีเป้าหมาย 50 ศูนย์ซ่อม 500 ชุมชน

แนวความคิดกระทรวง ดีอี มุ่งพัฒนาทักษะดิจิทัลแก่กลุ่มเกษตรกร กลุ่มชุมชน ให้เป็นผู้มีทักษะในการบังคับการบินและควบคุมโดรนเพื่อการเกษตรที่ได้รับการใบอนุญาติ/ใบประกาศนียบัตร จำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 คน และพัฒนาทักษะการซ่อมบำรุงดูแลรักษาโดรนเพื่อการเกษตร จำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน รวมไปถึงการส่งเสริมมาตรฐานโดรนเพื่อการเกษตรดีชัวร์ (dSURE) สำหรับผู้ประกอบการโดรน เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าเทคโนโลยีดิจิทัลประเภทโดรนเพื่อการเกษตร ผ่านมาตรฐานดีชัวร์ (dSure) ที่ได้รับการรับรองจากดีป้า โดยมีผู้ประกอบการโดรนเพื่อการเกษตรที่ผ่านมาตรฐานดีชัวร์แล้ว จำนวน 6 บริษัท 7 รุ่น ซึ่งผลดีจากการดำเนินงานนั้น โดรนเกษตรช่วยการประหยัดค่าแรงงานคนในการฉีดพ่นสารเคมีในพื้นที่ 1 ไร่ ลงประมาณ 50% ของการใช้แรงงานคน คิดเป็นมูลค่า 2,500 บาท/ไร่/ฤดูกาล และมีความแม่นยำในการฉีดพ่น ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวได้ 10% ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ตามปริมาณผลผลิต ผลผลิตเฉลี่ยของข้าวต่อไร่อยู่ที่ 500 กิโลกรัม ราคาข้าวต่อกิโลกรัมอยู่ที่ 10 บาท การเพิ่มผลผลิต 10% จะส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 5,000 บาท/ไร่/ฤดูกาล สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสในการเข้าถึงและพัฒนาทักษะดิจิทัล จำนวนทั้งสิ้น 1,100 คน รวมไปถึงส่งเสริมการใช้งานโดรนเพื่อการเกษตรกว่า 500 ชุมชน (10,000 ครัวเรือน) ครอบคลุมพื้นที่ 4 ล้านไร่ จะทำให้กลุ่มเกษตรกร ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ลบ.

ดร.ปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เผยว่า ขณะนี้ มี ดีป้า ได้เปิดรับสมัคร เกษตรกร บินได้ ซ่อมเป็น รอบที่ 1: วันที่ 14 พ.ย. 66 - 15 ม.ค. 67 มีผู้สมัครมาทั้งสิ้น 518 ชุมชน, 78 ศูนย์ซ่อม และ รอบที่ 2: วันที่ 16 ม.ค. - 15 มี.ค. 67 อยู่ระหว่างการรับสมัคร จึงอยากเชิญชวน พี่น้องเกษตรกรที่สนใจให้มาสมัครในโครงการนี้ เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเอง โดยในระยะเวลา 1 ปีของการดำเนินโครงการจะเกิดศูนย์บริการฯ ทั่วประเทศจำนวน 50 ศูนย์ ผลักดันให้ชุมชนเกิดการประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตรจำนวน 500 ชุมชน คิดเป็นพื้นที่ทางการเกษตรรวมไม่น้อยกว่า 4 ล้านไร่ พร้อมคาดหวังว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมโดรนโดยกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยมีมาตรฐาน Safety, Functionality, Security รวมทั้งการต่อยอดในการใช้โดรนไปยังสาขาวิชาชีพอื่น ๆ เช่น ก่อสร้าง การขนส่ง การสำรวจ หรือแม้แต่การขนย้ายคนในกรณีฉุกเฉิน เช่น เพลิงไหม้ ขนย้ายผู้บาดเจ็บภายในอาคาร รวมถึงการขยาย พัฒนาซอฟแวร์โดรนและสร้างพื้นฐานต่างๆ ด้านการคมนาคมทางอากาศอีกด้วย 

ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า ย้ำอีกว่า ความร่วมมือภายใต้โครงการประกอบด้วย ความร่วมมือด้านการพัฒนาหลักสูตรผู้บังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากระยะไกล ความร่วมมือด้านการส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลกับกลุ่มชุมชนในห่วงโซ่การผลิต ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานไร้คนขับ ความร่วมมือด้านการส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีโดรน และความร่วมมือด้านการพัฒนาหลักสูตรการดูแลรักษาและการซ่อมบำรุงโดรนระหว่างดีป้าและเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย สถาบันการบินพลเรือน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมวิชาการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุรนารี และผู้ประกอบการโดรนในประเทศเกษตรกรและชุมชนที่สนใจ รวมถึงประชาชนทั่วไปสามารถติดตามข่าวสาร และศึกษารายละเอียดโครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (ชุมชนโดรนใจ) ได้ที่ Facebook Page : depaThailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 08-5125-1340 และ 08-2516-6224.

‘ชาว Gen Z’ เริ่มเบื่อหน่ายโลกโซเชียลมีเดีย หันไป ‘อ่านหนังสือ-กลับเข้าห้องสมุด’ มากขึ้น

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานว่า ‘ชาวเจน Z’ เริ่มหันกลับมา ‘อ่านหนังสือ’ เข้าห้องสมุดมากขึ้น หลังจากเบื่อ ‘โซเชียลมีเดีย’ โดยเลือกอ่านหนังสือหลากหลายประเภท และมีเนื้อหน้าเชิงลึก ไม่ใช่แค่นิยายประโลมโลก

หมดยุคใช้เวลาไปกับ ‘โลกออนไลน์’ แล้ว ในตอนนี้ ‘เจน Z’ คนที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 แทนที่จะใช้นิ้วไถหน้าฟีด มาใช้นิ้วพลิกหน้าหนังสือแทน เปลี่ยนความคิดอ่านหนังสือเป็นเรื่องน่าเบื่อ และมีแต่พวกเด็กเนิร์ดทำกัน

‘ไกอา เกอร์เบอร์’ นางแบบวัย 22 ปี ผู้รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ เพิ่งเปิดตัวชมรมหนังสือออนไลน์ของตัวเองชื่อ ‘Library Science Gerber’ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการแบ่งปันหนังสือของเหล่านักเขียนหน้าใหม่ ให้ผู้อ่านได้พบปะนักเขียน และทำหน้าที่สร้างชุมชนของคนที่รักการอ่านแบบที่เธอเป็น

“หนังสือเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันมีมาตลอดชีวิต การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่เซ็กซี่สำหรับฉันมาก” เกอร์เบอร์กล่าวกับ The Guardian

เกอร์เบอร์ไม่ใช่คนเดียวที่รักการอ่าน ในปี 2023 สหราชอาณาจักรมีการขายหนังสือได้ 669 ล้านเล่ม ซึ่งเป็นยอดสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ ขณะที่รายงานจาก Nielsen BookData เน้นย้ำว่า คนเจน Z ชอบซื้อหนังสือแบบเล่ม โดยชาวเจน Z เป็นลูกค้ารายใหญ่ของอุตสาหกรรมหนังสือ เพราะ 80% ของยอดขายหนังสือตั้งแต่ พ.ย. 2021-พ.ย.2022 มาจากคนรุ่นใหม่

อีกทั้งชาวเจน Z ยังเข้าห้องสมุดเพิ่มขึ้นถึง 71% เพราะพวกเขาชอบอ่านหนังสือในที่เงียบๆ มากกว่าไปอ่านตามร้านกาแฟที่มีคนพลุกพล่านตลอดเวลา

BookTok แหล่งแนะนำหนังสือของชาวเจน Z
‘BookTok’ ถือเป็นชุมชนสำหรับหนอนหนังสือบน TikTok ไว้สำหรับแลกเปลี่ยนความเห็น รีวิวหนังสือ แนะนำหนังสือสำหรับนักอ่านหน้าใหม่ ตลอดจนเป็นพื้นที่ให้นักอ่านและผู้เขียนได้พูดคุยกันเกี่ยวกับผลงานการเขียนของพวกเขา

ปรากฏการณ์ BookTok เริ่มขึ้นในช่วงปี 2020 ที่ทุกคนต้องล็อกดาวน์อยู่บ้าน ผู้คนว่างไม่มีอะไรทำ จึงอยากจะหาหนังสือมาอ่าน และ BookTok นี้เองก็ทำให้หนังสือหลายเล่มเป็นที่รู้จักและติดอันดับหนังสือขายดี ถือเป็นช่องทางที่ทำให้คนได้ค้นพบงานอดิเรกใหม่ และได้รับความรู้ ความเพลิดเพลินไปในตัว

อย่างไรก็ตาม ‘เกรตา แพตเตอร์สัน’ นักวิจารณ์กล่าวว่า BookTok ทำให้การอ่านกลายเป็น ‘สินค้า’ เหล่าติ๊กต็อกเกอร์สามารถทำให้หนังสือบางเล่มกลายเป็นหนังสือขายดี หรือวิจารณ์งานเขียนบางเล่มให้กลายเป็นหนังสือไม่ดีเพียงชั่วข้ามคืน

“เทคโนโลยีทำให้หนังสือกลายเป็นฟาสต์แฟชั่น อินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลกับการบริโภคของผู้คนในทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่การอ่านหนังสือ” แพตเตอร์สันกล่าว

วัฒนธรรมการอ่านของคนเจน Z
‘ฮาลี บราวน์’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Books on the Bedside วัย 28 ปี บัญชี TikTok เกี่ยวกับการอ่านหนังสือของชาวเจน Z กล่าวว่า คนรุนใหม่อ่านหนังสือหลากหลายประเภทอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาชอบอ่านวรรณกรรม บันทึกความทรงจำ นิยายแปล และชอบอ่านวรรณกรรมคลาสสิกมากๆ

นอกจากนี้ มีวัฒนธรรมย่อยในโลกของชาวเจน Z ที่รักการอ่าน เช่น Hot Girl Books ซึ่งเป็นหนังสือที่เหล่าคนดังอ่าน และ Sad Girl Books หนังสือแนวโศกนาฏกรรม ซึ่งบราวน์ระบุว่าทั้ง 2 เทรนด์ล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็นหญิงหรือผู้หญิงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

‘เคนดัลล์ เจนเนอร์’ นางแบบชื่อดัง กลายเป็นตัวแทนของเทรนด์ Hot Girl Books หลังจากที่มีภาพถ่ายของเธออ่านหนังสือ ‘Tonight I'm Someone Else’ ของ เชลซี ฮอดสัน บนเยือยอร์ชในปี 2019 และอีกครั้งในฝรั่งเศสขณะที่เธอกำลังอ่าน ‘Literally Show Me a Healthy Person’ ของ ดาร์ซี ไวล์เดอร์ ซึ่งทำให้หนังสือทั้ง 2 เล่มขายหมดในเว็บไซต์ Amazon ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากภาพถ่ายถูกเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต

ส่วนแนว Sad Girl Books ก็ไม่ได้จำกัดแค่ผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น เพราะทั้งแฮร์รี่ สไตล์ส นักร้องชื่อก้องโลก ก็อ่านหนังสือเรื่อง Didion ส่วนทิโมธี ชาลาเมต์ นักแสดงชื่อดังก็ยอมรับว่า ‘Fyodor Dostoevsky's Crime and Punishment’ เป็นหนึ่งใน หนังสือเล่มโปรดของเขา และเจคอบ เอลอร์ด นักแสดงดาวรุ่งก็ชอบอ่านหนังสือเรื่อง Prima Facie นวนิยายเกี่ยวกับการรล่วงละเมิดทางเพศและระบบกฎหมาย

‘เอบิเกล เบิร์กสตอร์ม’ นักเขียนและตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรม กล่าวว่า ด้วยความอิ่มตัวของโซเชียลมีเดีย รวมความน่ารำคาญและน่าเบื่อของผู้คนในโลกโซเชียล ทำให้คนเจน Z หลีกหนีไปหาหนังสือ โดยที่หนังสือเหล่านั้นจะต้องเป็นหนังสือที่สนุก หรือเลือกอ่านหนังสือจากนักเขียนเก่งเฉพาะทางหรือมีชื่อเสียง

เปิดปาร์ตี้อ่านหนังสือ
บางคนชอบที่จะอ่านหนังสือตามลำพัง เพื่อจะได้มีสมาธิในการอ่าน แต่หลายคนก็ชอบที่อ่านหนังสือกับเพื่อน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นไปในตัว ตามรูฟท็อป บาร์ หรือสวนสาธารณะในนิวยอร์กมักจะมีการจัด ‘ปาร์ตี้การอ่าน’ อยู่เสมอ

‘มอลลี ยัง’ ผู้จัดปาร์ตี้รักการอ่านกล่าวว่า นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการใช้เวลาร่วมกับผู้คนโดยไม่มีสมาร์ทโฟนมารบกวนสมาธิ และได้แลกเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนสิ่งที่เพิ่งอ่านไป

“ผมอ่านทั้งอ่านหนังสือ และได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ ของผม และผมอยากจะทำมันอีก” ยังกล่าว

หลังจากที่รูปถ่ายของเจนเนอร์และเอลอร์ดดีถูกเผยแพร่ คนในโลกโซเชียลตั้งคำถามว่า ในตอนนี้คนเจน Z หันมาอ่านหนังสือที่ยากขึ้น แม้จะยังอยู่ในแนวนวนิยาย แต่ก็เป็นเนื้อหาเชิงลึกลงไปถึงโครงสร้างทางสังคม ซึ่งแสดงว่ากระตือรือร้นที่จะสำรวจโลกแห่งการอ่าน แน่นอนว่าทำให้หนังสือขายดีขึ้นอย่างมาก

‘เจมส์ ดันท์’ กรรมการผู้จัดการของ Waterstones บริษัทจัดจำหน่ายหนังสือในอังกฤษ และซีอีโอของ Barnes & Noble ผู้จัดจำหน่ายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจหนังสือที่ตกต่ำมาเป็นสิบปี

“ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าตอนนี้เทรนด์คนหนุ่มสาวกำลังทำอะไร บอกได้เลยว่าพวกเขากำลังหาหนังสือดีๆ สักเล่มอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก”

‘รมว.ปุ้ย’ นำร่องเปิด ‘ศูนย์แปรรูปสมุนไพรยาเส้น’ เมืองคอน เดินหน้าแปลงโฉมพื้นที่ ปั้นชุมชนต้นแบบ ยกระดับ ศก.ฐานราก

กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้านโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ผ่านการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เปิดศูนย์การเรียนรู้ ‘การแปรรูปสมุนไพรยาเส้น’ โมเดลต้นแบบชุมชนเปลี่ยน ผลสำเร็จการขับเคลื่อนนโยบายของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยการปรับเปลี่ยนการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Reshape The Area) พร้อมเร่งขยายผลครอบคลุมชุมชนทุกภูมิภาคภายในปีนี้ คาดสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการได้ไม่น้อยกว่า 4.8 ล้านบาทต่อปี  

(18 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งยกระดับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขัน เตรียมความพร้อมรับมือกับรูปแบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต ส่งเสริมอัตลักษณ์ของประเทศเพื่อสร้างรายได้ผ่านการสนับสนุน Soft Power จูงใจนานาประเทศผ่านการส่งเสริมการลงทุน การเปิดตลาดประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าได้อย่างเต็มความสามารถ จึงจำเป็นต้องยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้ชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และเติมเต็มโอกาสในการสร้างรายได้จากต้นทุนที่มีในท้องที่ต่างๆ  

ดังนั้น ตนจึงได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เร่งขับเคลื่อนการเสริมศักยภาพและพัฒนาชุมชนด้วยการผลักดันให้ธุรกิจชุมชนเติบโตตามบริบทอุตสาหกรรมใน 2 มิติ ได้แก่ การพัฒนาคน ให้มีทักษะด้านอุตสาหกรรมการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้เติบโตไปพร้อมกัน และการพัฒนาผู้นำทางธุรกิจที่เข้มแข็งเพื่อเชื่อมโยงกับธุรกิจในชุมชน ซึ่งได้นำร่องในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ‘การแปรรูปสมุนไพรยาเส้น’ ณ กลุ่มพัฒนาอาชีพสมุนไพรยาเส้นบ้านเขาทราย ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล ถ่ายทอดองค์ความรู้ในด้านการผลิต เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับเกษตรกรในชุมชน ให้เกิดการดำเนินงานทั้งในเชิงพื้นที่และเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นชุมชนเปลี่ยน (Community Transformation) และสามารถต่อยอดสู่การเป็นชุมชนดีพร้อม ที่มีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน 

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวต่อว่า นอกจากการดำเนินงานดังกล่าวแล้ว ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนจากชุมชน และพัฒนาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งชุมชนมิใช่เพียงเฉพาะราย ตลอดจนเชื่อมโยง และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) ในรูปแบบพี่ช่วยน้อง หรือ ‘Big Brother’ โดยเข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการเปลี่ยนชุมชน ด้วยเครื่องมือ กระบวนการ หรือเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับระดับศักยภาพ ของชุมชนในแต่ละพื้นที่ต่อไป โดยกำหนดเป้าหมายสร้างต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ภายในปี 2567

“ดิฉันมีความเชื่อมั่นในการดำเนินกิจกรรมตามแนวทางการพัฒนาชุมชนให้เป็น ‘ชุมชนเปลี่ยน เปลี่ยนชุมชนให้ดีพร้อม’ ซึ่งจะเป็นโมเดลในการพัฒนาผู้ประกอบการชุมชน และสามารถขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ อันจะทำให้เกิดการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจฐานราก และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพในชุมชน การกระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนของชุมชน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากเติบโต และมีความเข้มแข็ง เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” รมว.อุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์การเรียนรู้ ‘การแปรรูปสมุนไพรยาเส้น’ เป็นโมเดลต้นแบบของชุมชนเปลี่ยน ซึ่งเกิดจากการทำงานสอดประสานกันระหว่างด้านเทคโนโลยี โดยกองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และกองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม รวมถึงในด้านการยกระดับทักษะธุรกิจชุมชน โดยกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ตามนโยบาย ‘RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต’ ในบริบทปรับเปลี่ยนการพัฒนาเชิงพื้นที่ (RESHAPE THE AREA) เพื่อสร้างชุมชนเปลี่ยน เปลี่ยนชุมชนให้ดีพร้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งยึดศักยภาพชุมชนที่ฐานการพัฒนา ส่งเสริมทักษะด้านอุตสาหกรรมที่จำเป็น อาทิ การพัฒนาทักษะการประกอบการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมมาตรฐานการผลิต/ผลิตภัณฑ์ การใช้เครื่องจักรเทคโนโลยี การส่งเสริมการตลาด การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการส่งเสริมเงินทุนหมุนเวียน สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับสินค้าและบริการชุมชน สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการและชุมชนมีส่วนร่วมในโซ่อุปทาน ภายใต้แนวคิด ‘คิดถึงธุรกิจ คิดถึงดีพร้อม’

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีพิธีเปิดศูนย์การเรียนรู้ ‘การแปรรูปสมุนไพรยาเส้น’ ณ กลุ่มพัฒนาอาชีพสมุนไพรยาเส้นบ้านเขาทราย ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ซึ่งคาดว่าการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าว จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน ตลอดจนถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชนอื่นๆ ที่สนใจ และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากการดำเนินการได้ไม่น้อยกว่า 4.8 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกัน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ ยังได้มีการดำเนินกิจกรรม ‘การพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการด้วยแนวคิดเชิงสร้างสรรค์’ ภายใต้โครงการยกระดับธุรกิจอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชน เป็นการนำร่องชุมชนที่ 2 หลังจากที่ได้มีการนำร่องที่ชุมชนเปลี่ยนเป็นที่แรก เพื่อเตรียมความพร้อมให้เศรษฐกิจฐานรากและอุตสาหกรรมชุมชน ให้มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน ด้วยการสร้างองค์ความรู้ ทักษะ แนวคิด และการออกแบบเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Design) ซึ่งจะเป็นการนำเศษวัสดุเหลือใช้ในชุมชนผนวกเข้ากับแนวความคิดเชิงสร้างสรรค์ มาประยุกต์สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ รวมถึงสามารถใช้ทรัพยากรภายในชุมชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ ดีพร้อมได้วางเป้าหมายในการนำร่องพัฒนา ขีดความสามารถผู้ประกอบการด้วยแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ในปี 2567 จำนวน 20 ชุมชนทั่วประเทศ

‘กรมอุทยานฯ’ สั่งลงโทษ ‘เรือนำเที่ยว’ หลังผูกโยงเรือกับปะการัง จ่อถกมาตรการกลุ่มผู้ประกอบการเรือ ป้องกันการทำลายธรรมชาติ

(18 ก.พ.67) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า กรณีเพจ ‘ขยะมรสุม MONSOONGARBAGE THAILAND’ โพสต์ข้อความ และรูปภาพเรือนำเที่ยวผู้ประกอบการ ผูกเชือกท้ายเรือกับโขดหินติดปะการัง จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กรณีดังกล่าวอย่างกว้างขวาง

นายอรรถพล กล่าวอีกว่า ตนได้รับรายงานจาก นายแสงสุรีย์ ซองทอง ห้วหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ว่าจากการตรวจสอบภาพและคลิปวิดีโอ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ จม.3 (เกาะกระดาน) ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และทราบชื่อเรือลำดังกล่าวชื่อเรือ ‘ลิบงทราเวิล’

ขณะนี้ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน พร้อมดำเนินการทางกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเรือลำดังกล่าว ทั้งนี้ อุทยานฯ หาดเจ้าไหม จะประชุมกับกลุ่มผู้ประกอบการเรือที่เข้ามาในเขตอุทยานฯ เพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำที่มีลักษณะเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ”

อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้กำชับให้ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเฉียบขาด ตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 การลงโทษสามารถปรับทางพินัย และสามารถออกประกาศห้ามเรือเข้าบริเวณดังกล่าว โดยมีเหตุผลที่เสี่ยงต่อการทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย

ตลอดจนการประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติในระดับพื้นที่ หรือ ‘PAC’ และการประชุมผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้ทราบโดยทั่วกัน เกี่ยวกับมาตรการในการคุ้มครองดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และบทกำหนดโทษเมื่อมีการฝ่าฝืน เกิดการกระทำผิดขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top