Wednesday, 11 June 2025
NewsFeed

'หัวเว่ย' เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ HarmonyOS Next เตรียมโบกมือลาซอฟต์แวร์ระบบ Android อย่างถาวร

หัวเว่ย เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเอง HarmonyOS Next ซึ่งทางบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน คาดหมายว่ามันจะช่วยให้พวกเขาตัดขาดจากระบบนิเวศของแอนดรอยด์โดยสิ้นเชิง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หัวเว่ยแถลงว่ามีแผนเปิดตัวเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของแพลตฟอร์ม HarmonyOS Next ในไตรมาสที่สองของปีนี้ ตามด้วยเวอร์ชันเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ก้าวย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนอันทะเยอทะยานของหัวเว่ย ที่จะส่งเสริมระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตนเอง

บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เปิดตัวระบบ Harmony ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเป็นครั้งแรกในปี 2019 และเปิดตัวระบบปฏิบัติการนี้บนสมาร์ทโฟนบางรุ่นของพวกเขาในอีก 1 ปีต่อมา ไม่นานหลังจากสหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตร ที่เล็งเป้าหมายตัดขาดระบบ Harmony จากการเข้าถึงการสนับสนุนด้านเทคนิคของ Google สำหรับระบบปฏิบัติการ Android

ผลก็คือ ต่างจากเวอร์ชันลูกค้าทั่วไปของ HarmonyOS ก่อนหน้านี้ เวอร์ชันใหม่จะไม่สามารถใช้แอปที่สร้างขึ้นสำหรับ Android บนระบบได้อีกต่อไป

เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หัวเว่ยสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Mate60 ซึ่งทางบริษัทบอกว่าจะใช้พลังงานจากชุดชิปที่พัฒนาในประเทศ การเปิดตัวดังกล่าวเป็นตัวแทนของการกลับมาอย่างน่าทึ่งของหัวเว่ย ในการหวนคืนสู่ตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมียม หลังจากต้องต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

ตามรายงานของรอยเตอร์ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งนี้ คาดหมายว่าจะมีรายได้ในปี 2023 แตะระดับ 700,000 ล้วนหยวน( 97,300 ล้านดอลลาร์) เติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี

‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมต้อนรับ ‘ปธน.เยอรมนี’ 24-26 ม.ค.นี้ หารือทวิภาคี ผลักดันความร่วมมือ 'ไทย-เยอรมนี' ในทุกมิติ

(23 ม.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมให้การต้อนรับและหารือทวิภาคีกับ ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในห้วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2567 ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะให้การต้อนรับประธานาธิบดีเยอรมนีฯ ภริยา และคณะ อย่างเป็นทางการ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีเยอรมนีฯ พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน พร้อมทั้งร่วมหารือร่วมกับภาคเอกชนของเยอรมนี หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนีฯ จะร่วมแถลงข่าว และภายหลังเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนีฯ และภริยา พร้อมด้วยคณะผู้แทนเยอรมนี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเยือนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยประธานาธิบดีเยอรมนีฯ พร้อมคณะ จะเดินทางไปศึกษาดูงานในหลายภาคส่วนที่มีศักยภาพของไทย อาทิ โรงงานผลิตรถยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำไฮบริด โครงการผลิตข้าวที่ยั่งยืนแบบครบวงจร อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอาชีวศึกษา

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การเยือนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสที่สำคัญของไทยและเยอรมนี ในการเสริมสร้างความเป็นพันธมิตร ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติให้มีความก้าวหน้า บนพื้นฐานของค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของไทยในเวทีระหว่างประเทศ” นายชัย กล่าว

อนึ่ง การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ ประธานาธิบดีฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และเป็นการเยือนประเทศไทยในระดับประธานาธิบดีของเยอรมนีเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การเยือนของประธานาธิบดีโยฮันเนส เรา เมื่อปี 2545 นอกจากนี้ การเยือนในครั้งนี้ ยังถือเป็นการต้อนรับผู้นำรัฐจากต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

'LINK THANK YOU VIP 2024' มอบความสุขแทนคำขอบคุณ ด้วยมื้อค่ำสุดพิเศษ สานสัมพันธ์อันดีแก่คู่ค้า กลุ่มธุรกิจร้านค้า กรุงเทพฯ และภูมิภาคกลางให้เหนียวแน่น นำพาธุรกิจเติบโต ต่อเนื่องไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพ

ปีนี้จัดงานใหญ่ ! เลี้ยงขอบคุณคู่ค้า และพันธมิตร รวมกว่า 200 ท่าน บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ ส่งความสุขมอบให้คู่ค้ากลุ่มธุรกิจร้านค้า กรุงเทพฯ และภูมิภาคกลาง ในงานเลี้ยงมื้อค่ำสุดพิเศษริมหาดทรายกับ 'LINK THANK YOU VIP 2024' ที่โรงแรม เมอเวนพิค สยาม โฮเทล นาจอมเทียน พัทยา เมื่อวันที่ 20 – 21 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา

งานในวันนี้ ได้นำพาลูกค้าทุกท่านสัมผัสประสบการณ์กับ LINK ที่พิเศษกว่าที่เคย โดยจัดขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนคำขอบคุณแก่ลูกค้า และพันธมิตรกลุ่มธุรกิจร้านค้า กรุงเทพฯ และภูมิภาคกลางที่ให้การสนับสนุนสินค้า LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE ด้วยดีเสมอมา รวมถึงเป็นการร่วมอัปเดตเทรนด์ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์แห่งโลกเทคโนโลยี นวัตกรรมอัจฉริยะใหม่อย่าง Super S Series ในงานนี้อีกด้วย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์แก่งานระบบโครงสร้างพื้นฐานแห่งยุคดิจิทัลนี้ โดยมี คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ พร้อมด้วย ดร.ชลิดา อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ร่วมพูดคุย และกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พร้อมดูแลลูกค้าอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง

ท่ามกลางบรรยากาศสุดผ่อนคลาย ชมวิวทิวทัศน์ริมหาดทรายที่มองเห็นท้องทะเลสีคราม พร้อมชมแสงสุดท้ายของตะวันที่กระทบบนผิวน้ำ แตะเส้นขอบฟ้า ซึ่งอบอวลไปด้วยสายลมที่ร่มรื่นโชยพัดผ่าน จัดขึ้นภายใต้ธีม 'โลกใต้สมุทร Under the Sea' ให้ทุกท่านได้ดื่มด่ำกับกลิ่นอายใต้ท้องทะเล พร้อมบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยดวงดาวทอประกายเต็มท้องฟ้าที่ได้สัมผัสกับที่สุดแห่งความผ่อนคลายในยามค่ำคืน 

งานนี้ ได้รับการตอบรับจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจร้านค้า กรุงเทพฯ และภูมิภาคกลางจำนวนกว่า 200 ท่าน อย่างดีเยี่ยม และได้ร่วมดูแลลูกค้าอย่างอบอุ่น ไปพร้อมกับได้อิ่มเอมกับอาหารมื้อพิเศษ แบบ PRIVATE มีอาหารทะเลจัดเลี้ยงให้แบบไม่มีอั้น ในบรรยากาศสุดชิว รับลมทะเลเย็นสบายริมชายหาด และนอกจากจะได้ดื่มด่ำกับรสชาติอาหารที่อิ่มอร่อยแล้ว ยังได้เต็มอิ่มกับความบันเทิง ทั้งกิจกรรมที่บริษัทฯ คัดสรรมามอบให้ลูกค้าได้ร่วมเล่นอย่างสนุกสนาน ที่รับประกันได้ว่าทุกท่านต้องขนรางวัลใหญ่สุดพรีเมียม จากอินเตอร์ลิ้งค์ฯ กลับบ้านกันล้นมืออย่างแน่นอน

อีกทั้งยังมีชุดการแสดง คาบาเร่ต์โชว์ ที่ขึ้นชื่อที่สุดประจำเมืองพัทยา นำมาจัดแสดงให้ชมอย่างสุดตระการตาให้ทุกท่านได้เต็มอิ่มกับความสวยงาม ไปพร้อมกับความบันเทิง ส่งมอบรอยยิ้มแห่งความสุข สนุกสนานประทับใจ พร้อมกันนี้ยังได้ครื้นเครง รื่นเริงไปกับเสียงเพลง และวงดนตรีที่จัดเตรียมมามอบช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับลูกค้าทุกท่านในวันนี้โดยเฉพาะ

นับเป็นการตอบแทนคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ได้มาร่วมบันทึกช่วงเวลาพิเศษในวันนี้ไปด้วยกัน และขอขอบพระคุณทุกการสนับสนุนจากลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทุกท่าน ที่ให้ความเชื่อมั่น และไว้วางใจในสินค้า LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE ด้วยดีตลอดมา รวมถึงเป็นการนัดกระชับมิตรอย่างเหนียวแน่นอีกด้วย เพื่อสานสัมพันธ์อันดีร่วมกัน ที่จะเน้นย้ำถึงการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ให้ทำกำไรเติบโต พร้อมกับสร้างยอดขาย ส่งเสริมรายได้ให้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างฐานทัพได้อย่างแข็งแกร่ง และเติบโตแบบมีคุณภาพอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

สตม.รวบหนุ่มกิมจิหนีหมายจับเกาหลีฉ้อโกง 500 ล้านวอน แอบกบดานในไทยจน Overstay

บก.ตม.3 จับ MR.K (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก จว.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อประมาณต้นเดือน มกราคม 2567 กก.สส.บก.ตม.3 ได้สืบสวนทราบว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติเกาหลีใต้    มีพฤติการณ์น่าสงสัยซึ่งอาจเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย จึงได้สืบสวนข้อมูลในเชิงลึกพบว่า MR.K (นามสมมติ) อายุ 43 ปี

ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อเดือน เมษายน 2566 และอยู่ในประเทศไทยจนกระทั่งการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) โดยไม่ดำเนินการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้ขอให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย ตรวจสอบประวัติของ MR.K รับแจ้งว่า MR.K เป็นบุคคลที่มีหมายจับและเป็นที่ต้องการตัวของประเทศเกาหลีใต้ ในข้อหา “ฉ้อโกง” มูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านวอน (12 ล้านบาท) และองค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE) กก.สส.บก.ตม.3 จึงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน ติดตาม 

เพื่อจับกุมตัว MR.K ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 สืบทราบว่า MR.K ได้หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ คอนโดแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ จึงได้ไปเฝ้าสังเกตการณ์และได้พบ MR.K จึงได้จับกุมในข้อหา "เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน      สภ.ช้างเผือก จว.เชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป         

สตม.ตามรวบผู้ร้ายข้ามแดนหนีโทษจำคุก 10 ปี พบ ! ถือ 2 สัญชาติ หลบทำงานดีเจย่านป่าตอง

ตม.จว.ภูเก็ต จับกุม นายอาชมาล (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเบลเยี่ยม และโมร็อกโก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 878/2566 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่น         

โดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ครอบครองเครื่องกระสุนปืน ชิ้นส่วนอะไหล่หรืออุปกรณ์เสริม  ซึ่งติดตั้งบนอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เพื่อดำเนินการตาม  พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 

สืบเนื่องจาก สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือถึง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งหมายจับนายอาชมาล (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเบลเยี่ยม ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 878/2566 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566ในความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต , ครอบครองเครื่องกระสุนปืน ชิ้นส่วนอะไหล่หรืออุปกรณ์เสริมซึ่งติดตั้งบนอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” เพื่อให้ทำการจับกุมแล้วนำตัวส่งให้พนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 โดยตามความผิดดังกล่าวศาลอุทธรณ์แห่งกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ได้ตัดสินให้จำคุกนายอาชมาล เป็นเวลา 10 ปี      

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดสืบสวนติดตามจับกุมนายอาชมาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตม.จว.ภูเก็ต จึงได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า ก่อนหน้าที่จะมีการดำเนินการออกหมายจับ ผู้ต้องหารายนี้ได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศเบลเยี่ยมเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทยหลายครั้ง ต่อมาภายหลังพบว่ามีการเปลี่ยนมาใช้หนังสือเดินทางของประเทศโมร็อกโก และแจ้งที่พักอาศัยไม่เป็นหลักแหล่งทั้งกรุงเทพฯ ศรีสะเกษ และภูเก็ต สลับกันไป โดยล่าสุดพบว่ามีการเดินทางเข้ามาและแจ้งสถานที่พำนักในพื้นที่ จว.ภูเก็ต และจากตรวจสอบการแจ้งที่พักในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งย่านป่าตอง ต้องสงสัยว่าผู้ต้องหารายนี้จะพักอาศัยอยู่ จึงได้มีการลงพื้นที่หาข่าวจนสืบทราบว่าตัวผู้ต้องหารายนี้ เคยเข้าพักและไป ๆ มา ๆ     อยู่หลายครั้ง และแฝงตัวทำงานเป็นดีเจในสถานบริการแห่งหนึ่งในพื้นที่ป่าตอง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมพิสูจน์ทราบจนแน่ชัดว่าผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ภายในอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าว จึงได้เข้าตรวจสอบพบ นายอาชมาล พร้อมหนังสือประเทศโมร็อกโก และหนังสือเดินทางประเทศเบลเยี่ยมที่เคยใช้เดินทาง จึงได้แสดงหมายจับ และจับกุมนำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘อินฟลูฯ สาว’ ทำคอนเทนต์เดินอัดคลิปกลางถนน ไม่สนโลก ลั่น!! “เดี๋ยวรถก็หยุดให้เอง” ท่ามกลางชาวเน็ตแห่วิจารณ์ยับ

(23 ม.ค.67) บัญชี X ของ ‘Red Skull’ ได้โพสต์คลิปที่ได้รับมาจากสมาชิกรายหนึ่ง โดยเป็นคลิปหญิงสาวอินฟลูเอนเซอร์คนดัง เดินลงไปบนถนน พร้อมถือไม้เซลฟี่ ถ่ายคลิปตัวเอง พร้อมเดินหมุนวนไปมาบนท้องถนนที่มีรถสัญจรไปมา โดยตั้งคำถามว่า สามารถทำแบบนี้ได้หรือ และเสี่ยงอันตรายมากไปหรือไม่

โดยทวิตของ Red Skull ระบุว่า "ไม่มั่นใจว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรอคะ สำหรับการถ่ายแบบ? คนในรูปค่อนข้างมีชื่อเสียงมากๆ ด้วยค่ะ ถ้าเยาวชนเห็นแล้วเลียนแบบทำตามลง Tiktok น่าจะไม่ดีนะคะ แล้วเจ้าตัวพิมพ์ตอบคอมเมนต์ว่า เดินๆ ไปเดี๋ยวเขาหยุดให้เราเอง น่าจะพีกนะคะ เขามีชื่อเสียงใน social มากๆ เลยคิดว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยิ่งพีก"

ซึ่งหลังจากมีการโพสต์คลิปดังกล่าว ชาวเน็ตจะทำการขุดจนพบว่า หญิงสาวรายนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มียอดฟอลอินสตาแกรมเกือบแสน ที่สำคัญเป็นลูกสาวคนเล็กของอดีตทหารยศใหญ่ คลิปวิดีโอที่เป็นดรามาเจ้าตัวก็เป็นคนลงเอง แถมตอบคอมเมนต์คนอื่นว่า "เดินๆ ไป เดี๋ยวรถเขาหยุดให้เราเอง"

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ว่าการกระทำดังกล่าว ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ได้ อาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งต่อตัวเจ้าของคลิปเอง และผู้ใช้รถใช้ถนนด้วย 

สตม.รวบหนุ่มอินโด หนีคดีหลอกลงทุน Forex ซุกไทย Overstay นานกว่า 2 ปี

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในช่วงวันคริสต์มาส และเทศกาล ปีใหม่ 2567 โดยสั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม., พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.พูลศักดิ์ แก้วศรีขาว ผกก.ตม.จว.นราธิวาส, พ.ต.อ.เด่นชาย เจริญยุทธ ผกก.สส.บก.ตม.6, พ.ต.อ.เกรียงไกร อาริยะยิ่ง ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต, พ.ต.ต.กรัณฑ์วาริษฐ์ สมจันทร์ สว.ตม.จว.นราธิวาส ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา รายสำคัญ ดังนี้

1. สตม.รวบหนุ่มอินโด หนีคดีหลอกลงทุน Forex ซุกไทย Overstay นานกว่า 2 ปี บก.สส.สตม. จับกุมนายพอล (นามสมมติ) อายุ 39 ปี สัญชาติอินโดนีเซีย โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดี ตามกฎหมาย 

พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายพอล (นามสมมติ) อายุ 39 ปี สัญชาติอินโดนีเซีย การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด (Overstay)  นานกว่า 2 ปี  และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE) จึงได้ประสานงาน ไปยังเจ้าหน้าที่ กงสุลฝ่ายตำรวจ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย รับแจ้งว่า 

นายพอล เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย กระทำความผิดในข้อหา ฉ้อโกง โดยการหลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน Forex มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทยประมาณ 320 ล้านบาท และปัจจุบันยังหลบหนีคดีเป็นที่ต้องการตัวของทางการอินโดนีเซีย พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการจัดกำลังสืบสวนติดตามจับกุม จนกระทั่งต่อมาสืบทราบว่า นายพอล ได้ไปซื้อบ้านหรูราคากว่า 8 ล้านบาท อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี โดยใช้ชื่อภรรยาซึ่งเป็นคนไทยเป็นผู้ซื้อและเป็นเจ้าบ้าน 

จึงได้ทำการขออนุมัติศาลแขวงนนทบุรีออกหมายค้นบ้านพักหลังดังกล่าว จากการตรวจค้นพบนายพอล และพบเงินสดสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่า ประมาณ 2 ล้านบาท อยู่ในตู้เซฟภายในห้องนอน สอบถามนายพอล ให้การว่าตนเองถูกทางอินโดนีเซียออกหมายจับ ในข้อหาหลอกให้ร่วมลงทุน Forex มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 320 ล้านบาท จริง และได้หลบหนีหมายจับของทางการอินโดนีเซียมากบดานอยู่ในประเทศไทย โดยไม่คิดว่าจะถูกตามตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อหาและจับกุมนายพอล ในข้อหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สตม.จับกุมชาวบังกลาเทศ 19 คน 'ใช้ดวงตรา รอยตราประทับปลอม และลักลอบหลบหนีเข้าเมือง' เพื่อไปทำงานมาเลเซีย

ตม.จว.นราธิวาส จับกุมชาวบังกลาเทศ จำนวน 19 คน โดยกล่าวหาว่า “ปลอมหรือใช้รอยตราประทับปลอมฯ, ปลอมหรือใช้เอกสารราชการปลอมฯ, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ตากใบ จว.นราธิวาส ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พฤติการณ์จับกุม ก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากประชาชนว่าพบเห็นบุคคลลักษณะคล้ายคนต่างด้าว อยู่บริเวณภายในตลาดตาบา ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จว.นราธิวาส จึงเดินทางไปตรวจสอบเมื่อไปถึงสถานที่ดังกล่าวพบเห็นคนต่างด้าว จำนวน 1 คน อยู่บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จว.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวคนต่างด้าว หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง โดยคนต่างด้าวดังกล่าวแจ้งว่าหนังสือเดินทางของตนอยู่ในตัวอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าว และแจ้งอีกว่ายังมีคนต่างด้าวอยู่ภายในตัวอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวอีก เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ให้คนต่างด้าวดังกล่าวพาเข้าไปตรวจสอบ เมื่อเข้าไปภายในตัวอาคารพบคนต่างด้าวอยู่ภายในอีกจำนวน 18 คน โดยผลการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ทั้ง 19 คน เป็นหนังสือเดินทางประเทศบังกลาเทศทั้งหมด พบว่ามีรอยตราประทับขาเข้าของด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รหัส A0370 ระบุวันที่ 2 JAN 2024 จำนวน 2 เล่ม ระบุวันที่ 8 JAN 2024 จำนวน 15 เล่ม 

ระบุวันที่ 9 JAN 2024 จำนวน 2 เล่ม และยังพบว่าทั้ง 19 เล่ม แผ่นปะตรวจลงตรา (Visa) มีลักษณะผิดปกติ จึงได้ตรวจสอบกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. ผลการตรวจสอบไม่ปรากฎข้อมูลการเดินทางเข้าราชอาณาจักรแต่อย่างใด จึงได้นำตัวมาตรวจสอบที่ สภ.ตากใบ จากการสอบถามชาวบังกลาเทศทั้ง 19 คน รับว่าพวกตนได้เดินทางมาจากประเทศบังกลาเทศและพักอาศัยอยู่ประเทศกัมพูชา โดยมีชาวบังกลาเทศที่อยู่ในประเทศกัมพูชาคอยช่วยเหลือสนับสนุนที่พัก รวมทั้งเอาหนังสือเดินทางของพวกตนไปดำเนินการประทับรอยตราประทับขาเข้าประเทศไทยให้ และนำมาคืนก่อนที่จะพาพวกตนลักลอบข้ามพรมแดนมายังประเทศไทยเพื่อจะเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียแต่ถูกจับกุมเสียก่อน โดยได้จ่ายค่าเดินทางพร้อมค่าใช้จ่ายการประทับตราขาเข้าประเทศไทยให้กับนายหน้าแล้วทั้งหมดที่ประเทศบังกลาเทศ เป็นเงินจำนวนคนละ 400,000 - 500,000 ตากา คิดเป็นเงินไทยประมาณ 145,000 บาท เจ้าหน้าที่ ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ตากใบ เพื่อดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาดังกล่าว 

ทั้งนี้ ตม.จว.นราธิวาส และ สภ.ตากใบ จะได้ร่วมกันสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป   

ในภาพรวมขบวนการเครือข่ายลักลอบขนชาวบังกลาเทศ เริ่มพบความเคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นปี 2566 ซึ่งทิศทางการลักลอบมาจากประเทศกัมพูชา ผ่านช่องทางธรรมชาติด้านพื้นที่ จว.สระแก้ว ในช่วงต้นปี 2566 เป็นการลักลอบเดินทางโดยเครื่องบิน และมีการเก็บค่าดำเนินการกับชาวบังกลาเทศที่ลักลอบฯ ค่อนข้างสูง หลักแสนบาท ก่อนที่ขบวนการดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนวิธีการลักลอบ จากโดยสารเครื่องบิน ไปเป็นการเดินทาง 

โดยรถยนต์ ในลักษณะเคลื่อนย้ายคนต่างด้าวเป็นทอด ๆ จากชายแดนประเทศกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งแนวโน้มในการกระทำความผิดของผู้ร่วมขบวนการยังพบการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่องและมีการเปลี่ยนแผนประทุษกรรมและรูปแบบการเคลื่อนย้าย โดยช่วงหลังมีการตรวจพบเป็นลักษณะการปลอมแปลง รอยตราประทับของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและปลอมแผ่นประการตรวจลงตรา (Visa) เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ในการเดินทางออกไปประเทศมาเลเซีย 

สถาบันพระปกเกล้า ติวเข้มผู้นำเยาวชนพลเมืองดี วิถีประชาธิปไตย มุ่งสู่ผู้นำชุมชนในท้องถิ่น

วันที่ 22 ม.ค.67 สถาบันพระปกเกล้า จัดอบรมโครงการผู้นำเยาวชนพลเมืองดี จ.สงขลา ได้รับเกียรติจาก อ.วิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า บรรยายเรื่อง 'พลเมืองดี วิถีประชาธิปไตย' นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเยาวชนสัมพันธ์ Team Building และการบรรยายเรื่อง “ดิจิทัลกับการพัฒนาสังคมและมรดกทางวัฒนธรรม” โดย อาจารย์กู้เกียรติ ภูมิรัตน์ ที่ปรึกษาเลขาธิการด้านการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง 

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากกรรมการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองสถาบันพระปกเกล้า จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง เข้าร่วมสังเกตการณ์ และร่วมให้คำแนะนำ สร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงชื่นชมน้องๆ เยาวชน ที่เป็นพลเมืองมีส่วนร่วมพัฒนาโครงการเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่น และศูนย์ ฯ จะร่วมเป็นเครือข่ายเผยแพร่ผลงานของน้อง ๆ ต่อไป

โครงการผู้นำเยาวชนพลเมืองดี มีกลุ่มเป้าหมายนักเรียน 60 คน ครูที่ปรึกษา 10 คน จาก 10 โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดสงขลา กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 มกราคม 2567 ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ทั้งการบรรยายเกี่ยวกับ การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการเมืองภาคพลเมือง การเขียนโครงการเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองในพื้นที่ รวมทั้งกิจกรรมการระดมความคิดเห็นเพื่อให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมและขยายผลต่อยอดความเป็นพลเมืองในพื้นที่ด้วย

ด้าน อ.วิทวัส ชัยภาคภูมิ ระบุว่า การเป็นพลเมืองที่ดี ต้องมีทั้ง สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ และคุณลักษณะพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5 ประการ ได้แก่ มีวินัย มีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบ มีเหตุผล และมีจิตสาธารณะ

รู้จัก ‘มายด์ อุทัยทิพย์’ อดีตเน็ตไอดอลชื่อดัง จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากฟิลิปปินส์

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครฮอตไปกว่า ‘มายด์ อุทัยทิพย์’ หรือ ‘มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ’ อดีตเน็ตไอดอลชื่อดัง เจ้าของตำแหน่ง Miss Uthaitip Freshy Idol 2008

เมื่อช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ชื่อของ ‘มายด์ ณภศศิ’ กลับมาได้รับความสนใจในวงการบันเทิงอีกครั้ง หลังมีข่าวถูกโยงเป็นหวานใจคนใหม่ของ ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ ไฮโซหนุ่ม เจ้าของโบนันซ่า เขาใหญ่ 

ล่าสุด เกิดกระแสดรามาอีกครั้ง เรื่องใส่ชุดซ้ำ ‘แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ’ อดีตภรรยา ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ แถมโดนเปรียบเทียบจากชาวเน็ต ว่าใครใส่แล้วสวยกว่ากัน ชนิดที่เรียกว่า ขยับตัวทำอะไรก็ถูกจับตาความเคลื่อนไหวไปหมด

วันนี้ ทีมงานจะพาไปรู้จัก ‘มายด์ ณภศศิ’ อย่างลึกซึ้งกันอีกครั้ง

‘มายด์ ณภศศิ’ เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2534 ครอบครัวทำธุรกิจค้าขายไม้แปรรูป ภายใต้ชื่อ “บายพาสค้าไม้” ที่จังหวัดชลบุรี

ภายหลังสอบได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สายศิลป์คำนวณ (ต.อ.70) จึงย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

‘มายด์’ เป็นเด็กที่ขยันทั้งเรียนและการทำกิจกรรมให้กับโรงเรียนมาอย่างเนื่อง ช่วงที่เรียนมัธยมปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ทำกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น เป็นนางนพมาศ ปี 2550 ถือป้ายโรงเรียนในกิจกรรมกีฬาสี เชียร์ลีดเดอร์ในกีฬาประเพณีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนเตรียมทหาร ครั้งที่ 25 และ 26 นอกจากนี้ ยังอยู่ในโครงการความสามารถพิเศษทางภาษาไทย (Gifted ไทย) 

หลังจากจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ‘มายด์’ ได้เข้าศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสารสนเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังได้เป็นผู้นำเชียร์ คณะนิเทศศาสตร์ ในงานกีฬาเฟรชชี่ และจุฬาฯคฑากร อีกด้วย

จบระดับปริญญาโท จากวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ (ANTI-AGING) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สาขาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ

และ ระดับปริญญาเอกจาก Lyceum of the Philippines University ประเทศฟิลิปปินส์ หลักสูตร : Doctorof Philosophy in Management (PhD in Management)

ส่วนผลงานในวงการบันเทิง มายด์ เป็นที่รู้จักจากการแสดงโฆษณาต่าง ๆ โดยเริ่มเข้าวงการจากการได้รับตำแหน่ง Miss Uthaitip Freshy Idol 2008 นอกจากนี้ ยังมีงานบันเทิงทั้งถ่ายแบบ เดินแบบ งานแสดง พิธีกร ดีเจ ฯลฯ เรียกว่ามายด์ เคยทำมาหมดแล้ว

ปัจจุบัน มายด์ เป็นนักธุรกิจเต็มตัว โดเป็นเจ้าของธุรกิจ คลินิกกายภาพบำบัดชื่อ “Restart 24 Rehabilitation Center” และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร LYFEWELLNESS อีกด้วย

เรียกได้ว่า ทั้งเก่งทั้งขยัน และ ‘ดีกรี’ ไม่ธรรมดาเลย สำหรับสาวสวยหน้าหวาน ‘ดร.มายด์’ คนนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top