Wednesday, 11 June 2025
NewsFeed

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติสัญจร พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมมอบเข็มแม่นปืนกิตติมศักดิ์แก่ผู้ช่วย ผบ.ตร. 6 ท่าน และใบประกาศเกียรติคุณผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567 แก่หน่วยงาน

วันนี้ (22 ม.ค. 67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ณ ห้องประชุมซีบอร์ด 3 โรงแรมฮิลตัน จ.ชลบุรี โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 และผู้บังคับบัญชาในสังกัด ภ.2 ร่วมประชุม นอกจากนี้ มีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ไปยังศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมประชุม

ก่อนการประชุม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานพิธีมอบเข็มแม่นปืนกิตติมศักดิ์แก่ผู้บังคับบัญชาระดับผู้ช่วย ผบ.ตร. จำนวน 6 นาย ได้แก่ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ , พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ , พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี , พล.ต.อ.อิทธิพล อัจริยะประดิษฐ์ , พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร รอง จตช. 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบใบประกาศเกียรติคุณผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567 โดยแบ่งเป็นประเภทความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไปและความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อันดับ 1 ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รอง ผบช.น. เป็นผู้รับมอบ , อันดับ 2 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 2 พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 เป็นผู้รับมอบ , อันดับ 3 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี รอง ผบช.ภ.4 เป็นผู้รับมอบ และประเภทการจับกุมบุคคลตามหมายจับ อันดับ 1 ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล , อันดับ 2 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 1 พลตำรวจโท จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1 เป็นผู้รับมอบ , อันดับ 3 ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 เป็นผู้รับมอบ สำหรับรางวัลผู้จับกุม หรือชุดจับกุม คดีที่มีลักษณะการจับกุมที่แสดงถึงไหวพริบปฏิภาณของผู้จับกุม หรือมีลักษณะพิเศษน่าสนใจ จำนวน 16 รางวัล จะได้มอบให้ผู้แทนแต่ละกองบัญชาการ นำรางวัลจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบแก่ผู้ปฏิบัติในการประชุมบริหารของแต่ละหน่วยเพื่อเป็นเกียรติต่อไป

ที่ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการพิจารณาทบทวนแก้ไขคำสั่ง ตร.ที่ 419/2556 ในการลดขั้นตอนการปฏิบัติของพนักงานสอบสวนที่ไม่จำเป็น เพื่อยกระดับการทำงาน คุณภาพชีวิต การเจริญเติบโตของพนักงานสอบสวนให้ดียิ่งขึ้น สร้างขวัญกำลังใจในการทำงานเพื่อประชาชน และพิจารณาการเตรียมความพร้อมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้ มีการรายงานข้อมูลสถิติคดีอาญาที่เกิดขึ้นจริงมาใช้วิเคราะห์ เพื่อวางแผนในการบริหารงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม , รายงานร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 , แนวทางการปฏิบัติงานจราจร และการดำเนินการในความผิดที่มีโทษปรับเป็นพินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับการจราจร นอกจากนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 ได้รายงานการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน และผลการปฏิบัติงานที่สำคัญด้วย

'กรณ์' เชื่อ!! กู้เงินแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่เกิด ชี้!! หากทำได้ 'เพื่อไทย' ได้ประโยชน์คนเดียว

(23 ม.ค. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นถึงโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่รัฐบาลมีเป้าหมายกู้เงิน 5 แสนล้านมาใช้ในโครงการดังกล่าว โดยฟันธงว่า การกู้เงินมาเพื่อ ‘แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ คงไม่เกิดแล้ว แม้ว่าทางรัฐบาล (จริงๆ คือพรรคเพื่อไทย) ยังจะวางท่าทีขึงขังเหมือนจะเดินหน้าต่อก็ตาม

นายกรณ์ กล่าวว่า ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศออกมาก่อนเลือกตั้ง ด้วยหลากหลายเหตุผลที่ไม่ต่างกับผู้คัดค้านอีกหลายท่าน ทั้งในแง่การเมือง (การหาเสียงแนวนี้มีแต่จะทำให้การเมืองแย่ลง) แง่เศรษฐกิจ (เป็นการใช้เงิน (กู้) ที่ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ) และแง่กฎหมาย (รัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.วินัยทางการคลัง ชัดเจนมากว่าทำไม่ได้)

นายกรณ์ ระบุด้วยว่า ส่วนตัวได้ถอยจากการเมืองมาแล้ว ก็ไม่อยากออกตัวมากมาย แต่บางเรื่องที่ถือว่าพอมีความรู้และประสบการณ์ และเป็นเรื่องที่มีผลใหญ่หลวงกับบ้านเมือง และมีส่วนได้ส่วนเสียในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอแสดงออก ส่วนจะผิดถูกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินใจเองอยู่ดี

"หลังจากที่ได้อ่านความเห็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผมสรุปได้เลยว่า ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ผลสรุปว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันไม่อยู่ในเกณฑ์วิกฤต เมื่อไม่วิกฤตก็ไม่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 53 พรบ.วินัยทางการคลังที่จะออกกฎหมายกู้เงินแบบ 'นอกงบประมาณ' ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช. สรุปตามนี้ หากรัฐบาลเดินหน้าต่อไปจะเสี่ยงมาก อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยเขาอาจจะยังกล้าเดินหน้า... แต่ผมไม่คิดว่าพรรคร่วมจะเอาด้วย" นายกรณ์ ระบุ

พร้อมระบุอีกด้วยว่า "ทางการเมืองนโยบายนี้เป็นของเพื่อไทย ไม่ใช่ของพรรคอื่น ถ้าทำได้และทำดี พรรคเดียวที่ได้ประโยชน์คือเพื่อไทย อันนี้ต่างกับนโยบายอื่นที่ก็มีคนคัดค้านมากมายเหมือนกัน เช่น Land Bridge เพราะนโยบายนี้พูดไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ จึงมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่ภูมิใจไทยที่มีความเป็นพรรคภาคใต้มากขึ้นก็ไม่อยากค้านเรื่องนี้ ประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านยังไม่มีท่าทีเรื่องนี้ที่ชัดเจนเลย แต่แจกเงินดิจิทัลนี้ หากล้มไปตอนนี้ผมเชื่อว่าพรรคร่วมแทบทุกพรรคจะถอนหายใจโล่งอก หนึ่งไม่ต้องเสี่ยง สองปัญหาตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แต่ถ้าล้มหลังผ่าน ครม. หรือผ่าน สภาฯ ไปแล้ว พรรคร่วมจะมีปัญหาด้วย เพราะต้องร่วมรับผิดชอบ" 

อดีต รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ในกรณี พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ส่งผลให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะตอนนั้นยุบสภาไปแล้ว และรัฐบาลอยู่ในสภาพรักษาการ ที่สำคัญ ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องร้องเรียน พ.ร.บ.ฉบับนั้น กับศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ยื่นด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างกันนักกับข้อสรุปล่าสุดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็คือการออก พ.ร.บ.ในกรณีที่ไม่เร่งด่วนจำเป็นทำไมได้ ต้องใช้เงินใน พ.ร.บ.งบประมาณเท่านั้น (ซึ่งตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยเองก็ยืนยันว่าจะทำตามนั้น) และที่สำคัญผู้ที่ร่วมลงนามยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวันนั้น มีทั้งสส. ทั้งรัฐมนตรี และรวมไปถึงแม้แต่หัวหน้าพรรคของพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบัน

"ดังนั้นผมเชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ไปต่อ เพราะท่านเหล่านั้นตระหนักเป็นอย่างดีว่า การออก พรบ.กู้เงินลักษณะนี้เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ วันนี้มี พรบ.วินัยทางการคลังมายํ้าประเด็นเพิ่มเติม และยังมีความเห็น ปปช. ที่ไม่เห็นด้วยอีกต่างหาก...

"ผมคิดว่าเพื่อไทยคงหาทางลงอยู่ จริงๆ แล้วก็แค่บอกว่า เราเคารพความเห็นและความกังวลของทุกฝ่าย เราจะเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีอื่น โดยเราจะให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน การฟื้นฟูการลงทุน การยกระดับมาตรฐานการศึกษาของเยาวชนไทย และการส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรมในทุกภาคธุรกิจ...

"ผมว่าถ้าออกมาอย่างนี้ รัฐบาลจะไปต่อได้อย่างมั่นคง แต่ถ้าดันทุรัง รัฐบาลจะมีปัญหา ซึ่งหมายความว่าประเทศก็จะมีปัญหา ยิ่งจบเร็วยิ่งจะมีผลเสียน้อยกับทุกฝ่ายครับ" นายกรณ์ ทิ้งท้าย

เพชรบูรณ์- กำลังเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานนับร้อย พร้อมเครื่องมือบุกเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ระบุว่ารุกล้ำเขตอุทยานแห่งชาติเขาค้อ

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 เวลา 10.00 น. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช นำกำลังเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ นับร้อยนาย ได้เดินทางมาพร้อมเครื่องมือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เพื่อจะเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ของนายปิยวัฒน์ แซ่เถา และนางสาวสิริยากร แซ่ว่าง ที่บริเวณบ้านน้ำเพียงดิน หมู่ 8 ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์  ที่กรมอุทยานฯอ้างว่ามีการบุกรุกเขตอุทยาน    โดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ฯ  เข้าพูดคุยเจรจา พร้อมนำเอาคำพิพากษาเมื่อปี 2560  ที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วมาอ่านให้กลุ่มชาวบ้านฟัง ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวได้พิพากษาให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโดยมีกานดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  โดยการมาในครั้งนี้นายชัยวัฒน์ระบุว่าในปัจจุบันมีชาวบ้านเข้าไปรุกล้ำเขตอุทยานในพื้นที่ใก้ลๆจึงจำเป็นต้องมาดำเนินการรื้อถอนใหม่อีกครั้ง แต่ชาวบ้านไม่ยอมต้องใช้ความพยายามในการเจรจาแบบละมุนละม่อม เป็นระยะตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยในช่วงของการเจราจา กำลังเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานก็ได้มีการจัดแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด ชุดแรกอยู่ด้านหน้า ชุดที่สองขึ้นไปด้านหลัง รีสอร์ต เมื่อชาวบ้านทราบได้มีการแบ่งกำลังไปคุมเชิงด้านหลัง ทำให้สถานการณ์ดูตรึงเครียดขณะที่ชาวบ้านได้ส่งเสียงขับไล่ให้เจ้าหน้าที่ถอนกำลังกลับ แต่ท้ายสุดก็ไม่มีเหตุรุนแรงใดๆเกิดขึ้น 

ซึ่งนายชัยวัฒน์ฯ ได้กล่าวว่า การที่ชาวบ้านบอกว่าต้องทำกินเราเข้าใจ เราไม่ได้มารังแก เรามาก็บอกเขาแล้วว่าเหตุสองเหตุนี้เท่านั้น  เรื่องเดิมคือเป็นคดีเก่าที่มีการบุกรุกและศาลได้ตัดสินไปแล้วและได้มีการบุกรุกซ้ำ ทีนี้แนวเขตของรีสอร์ตเขาก็ไปสร้างลานกางเต็นแล้วทำโซล่าเซลไว้ ซึ่งมันเป็นแนวเขต เราก็ทำตามมาตรา 35 (1) (2)ที่ดำเนินการไปแล้ว วันนี้ มาทำตาม (3) ซึ่งกระทรวงและรัฐมนตรีมีความเห็นแล้วว่าต้องรื้อถอนไปตามคำสั่ง ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำ แล้ววันหนึ่งจะโทษเจ้าหน้าที่อุทยานไม่ทำอะไร ป่าหมดก็โทษเจ้าหน้าที่อุทยาน พอเรามาทำงานก็โดนอย่างนี้ ทำก็โดนไม่ทำก็โดน ในกรณีอย่างนี้ชาวบ้านต้องเข้าใจ  ว่าเราเองเราอยากส่งเสริมการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ไม่ขัดข้องอะไรเลยหากทำตามกฏหมาย

ขณะที่นายปิยวัฒน์ แซ่เถา กล่าวว่า ขณะนี้แฟนของตนถูกดำเนินคดีอยู่ คือนางสาวสิริยากร  แซ่ว่าง ซี่งพื้นที่ที่ถูกดำเนินคดีไม่ได้อยู่ในจุดที่ท่านชัยวัฒน์ฯ ระบุ โดยพื้นที่เดิมนั้นศาลได้สั่งให้ชาวบ้านแพ้ไปแล้ว พื้นที่ที่อ้างว่ารุกล้ำพื้นที่อุทยานปัจจุบันเป็นคดีใหม่  คำสั่งหรือคำพิพากษาที่เจ้าหน้าที่อุทยานนำมานี่เป็นคดีเก่า ที่คุณบุญพันถูกดำเนินคดี ซึ่งแต่ก่อนนี้เขาทำอยู่ ซึ่งตนเองก็ยังไม่รู้ว่า เป็นคดีอุทยานหรือคดีป่าไม้ เพราะไม่ได้คลุกคลีเท่าไหร่ ซึ่งในช่วงที่มีการรื้อครั้งก่อนตนก็มาช่วยกันรื้อออกไปหมดแล้ว ส่วนที่อ้างจะเข้ามารื้อในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับแปลงนั้น ตอนนี้คดีดังกล่าวเขาส่งไปที่ตำรวจแล้วและเพิ่งจะไปถึงชั้นอัยการ ยังไม่ได้มีการส่งฟ้องศาล เพราะฉะนั้นตนก็เลยขอทางอุทยานว่ายังไงก็รอให้ศาลเขาตัดสินก่อนว่ามีความผิดจริงอย่างไร ซึ่งถ้าศาลยืนว่ามีการบุกรุกเขตอุทยาน ตนและแฟนก็พร้อมที่จะถอยออกมาและรื้อออกให้  เพราะว่าตั้งแต่อุทยานประกาศเมื่อปี 2555 ทางเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีหนังสือมาแจ้งหรือว่ามีเจ้าหน้าที่มาแจ้งเลยว่าที่ดินของตนมีส่วนเข้าไปอยู่ในเขตอุทยาน เพราะฉะนั้นผมไม่รู้เลยว่าตรงนี้เป็นเขตอุทยาน

รวมถึงที่มีการอ้างว่ามีแนวเขตปักอยู่ก็เกิดขึ้นเมื่อตนเองถูกดำเนินคดีเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมานี่เอง ตนจึงไม่ยอมรับว่าตรงนี้เป็นเขตอุทยาน  ตนอยู่มาตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 มกราคม 2509 แล้วก็ทำกินมาเนิ่นนานแล้ว  ส่วนที่เจ้าหน้าจับผมดำเนินคดี ผมก็เข้าใจว่า ที่ดินของตนมีส่วนหนึ่งที่มันไปเกี่ยวกับทางอุทยาน ผมก็แจ้งเขาไปแล้วว่าถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คดีที่ศาล ที่เป็นคดีอาญาสิ้นสุดก่อน แล้วผมจะยืนตามศาล และส่วนหนึ่งตนเองกำลังอยู่รวบรวมเอกสารในการร้องศาลปกครองคุ้มครองอยู่ และขอยืนยันว่ามันเป็นละแปลง กับคดีของปี 60 ที่เจ้าหน้าที่นำมาอ้างเพื่อทำการื้อถอนในวันนี้ ส่วนเมื่อปี 57 ที่เขามาแจ้ง ผมรู้แต่ว่าอยู่ใต้หน้าผาลงไป ซึ่งมันมีอยู่ทั้งหมด 31 ราย โดยส่วนนั้นเมื่อปี 63 เขาก็ได้ไปแจ้งชื่อตามมาตรา 64 ไปแล้ว ว่าที่ทำกินของเขาอยู่ในเขตอุทยาน แต่ในส่วนของตนที่ไม่ไปแจ้งเพราะไม่เคยมีใครมาแจ้ง ว่าที่ของตนอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยที่ตนก็ทำกินปกติตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ เปลี่ยนจากการทำการเกษตร  มาทำเป็นที่พักโฮมสเตย์ ให้ลูกค้าได้เข้าพัก เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว  เนื่องจากการทำการเกษตรมีการปัญหาเรื่องของโรคทำให้ไม่ได้ผลผลิตที่ดี ตนจึงหันมาทำโฮมสเตย์แต่พื้นที่บางส่วนก็ยังทำการเกษตรอยู่. 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยานได้ถอนกำลังกลับที่ตั้งเมื่อเวลา 15.44 น ซึ่งสามารถทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแผงโซลาร์เซลล์ได้บางส่วน และคาดว่าพรุ่งนี้น่าจะมีการดำเนินการต่อในการเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอื่นๆต่อไป

‘รร.สตรีภูเก็ต’ เปิดเลือกตั้งคณะกรรมการสภานักเรียน ปี 67 ใช้ระบบแบบ ‘สัดส่วน’ เปิดโอกาสให้ทุกพรรคส่งสมาชิกทำงาน

(23 ม.ค. 67) จากช่องติ๊กต็อก SPK’ SAPHA66 โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ การเลือกตั้งคณะกรรมการสภานักเรียนประจำปี 2567 ของ ‘โรงเรียนสตรีภูเก็ต’ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบแบบ ‘สัดส่วน’ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- พรรคที่ได้คะแนนโหวตลำดับที่ 1️ จะมีสิทธิ์ส่งสมาชิกตามบัญชีรายชื่อ 50% หรือ 15 คน
- พรรคที่ได้คะแนนโหวตลำดับที่ 2️ จะมีสิทธิ์ส่งสมาชิกตามบัญชีรายชื่อ 30% หรือ 9 คน
- พรรคที่ได้คะแนนโหวตลำดับที่ 3️ จะมีสิทธิ์ส่งสมาชิกตามบัญชีรายชื่อ 20% หรือ 6 คน

สําหรับบัญชีรายชื่อ จะให้น้องๆ ผู้ลงสมัครแต่ละพรรคจัดลําดับกันมาเอง จากนั้นสมาชิกทุกคนจากถูกสัมภาษณ์จาก คุณครูที่ปรึกษาสภานักเรียน, รุ่นพี่สภานักเรียน และผู้บริหารโรงเรียนสตรีภูเก็ต แล้วจึงมีการจัดลำดับบัญชีรายชื่ออีกครั้ง

ซึ่งการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 23 มกราคม 2567 นี้ ขอให้ทุกคนใช้สิทธิที่มีให้คุ้มค่าที่สุด เพราะทุกเสียงมีค่าสำหรับทุกคน

"ฮือฮา" ชุมพร พบเสือโคร่งหากินข้ามประเทศไทย-เมียนมาร์ พล.ต.อ.พัชรวาทฯ สั่งเร่งสำรวจเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์สายพันธุ์เสือโคร่งอินโดจีน

วันที่ 20 มกราคม 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า นายอาทร กำลังใบ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุทยาน เสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ (ตอนล่าง) จ.ชุมพร ได้รายงานว่าพบการกระจายพื้นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งบริเวณป่าดวงเจริญ ป่าเนินทอง และป่าช่องขมิ้ว หมู่ที่ 4 และ หมุ่ที่ 7 ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ซึ่งเสือโคร่งดังกล่าวมีการกระจายพื้นที่อาศัยหากินระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมาร์ ซึ่งอาจจะเป็นเสือโคร่ง2สัญชาติ เนื่องจากมีการข้ามไปมาระหว่าง 2ประเทศ โดยการค้นพบดังกล่าวนี้กรมอุทยานแห่งชาติฯได้ร่วมกับมูลนิธิฟรีแลนด์ (Freeland) ทำการสำรวจการกระจายตัวของเสือโคร่งในพื้นที่บริเวณเทือกเขาตะนาวศรี มูลนิธิฟรีแลนด์ทำการสำรวจบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งประเทศไทยและฝั่งประเทศเมียนมาร์ในพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหลุนญา ซึ่งการพบครั้งนี้เป็นการค้นพบในฝั่งประเทศไทย ได้ภาพจากการตั้งกล้องในพื้นที่ทั้งหมด24 ตัว โดยพบว่าเป็นเสือโคร่งจำนวน 3 ตัว เนื่องจากลายของเสือโคร่งแตกต่างกัน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ในพื้นที่ไม่เคยพบเสือโคร่งมาก่อนเนื่องจากไม่มีการสำรวจ แต่เริ่มมีการตั้งกล้องสำรวจเมื่อปี 2562 เป็นต้นมา ในปี 2563 - 2565 ก็เคยพบมาแล้ว ส่วนปี 2566 พบแต่รอยตีน ส่วนการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART PATROL) ที่ผ่านมาก็พบแต่รอยตีน นอกจากนี้บริเวณพื้นที่เขตฯช่วงล่างรอยต่อกับเขตด้านทิศใต้ เคยพบรอยบนต้นไม้

จากกรณีการพบเสือโคร่งหากินระหว่าง 2 ประเทศดังกล่าวข้างต้น อธิบดีกรมอุทยานฯจึงได้รายงานให้พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบในเบื้องต้นแล้ว โดยพล.ต.อ. พัชรวาทฯ ได้สั่งการให้กรมอุทยานฯเร่งสำรวจการแพร่กระจายพันธุ์ของเสือโคร่ง ต่อมาอธิบดีกรมอุทยานฯ จึงได้มอบหมายให้ให้สถานีวิจัยสัตว์ป่าคลองแสง เร่งสำรวจพบว่าเป็นเสือโคร่ง จึงได้มีการตั้งกล้องพบภาพ สามารถระบุพิกัดได้ ทั้งนี้จะมอบหมายให้สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าทำการศึกษาว่าเป็นเสือโคร่งที่กระจายตัวหากินระหว่าง 2 ประเทศมาเป็นระยะเวลานานเท่าใด รวมถึงเป็นเสือที่รวมอยู่ในจำนวนเสือของไทยที่ทำการสำรวจมาก่อนหรือไม่ เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลที่เป็นปัจจุบันขึ้น

สำหรับสถานการณ์เสือโคร่งในปัจจุบัน โดยจากการประเมินประชากรเสือโคร่งในธรรมชาติ ในปี 2565 พบเสือโคร่ง จำนวน 148-189 ตัว เพิ่มขึ้นจากสถิติ ปี 2563 ที่สำรวจพบ 130-160 ตัว โดยอาศัยเทคนิคการประเมินเฉพาะทางและการจำแนกลายที่ได้จากกล้องดักถ่ายภาพอัตโนมัติ ซึ่งติดตั้งไว้มากกว่า 1,200 จุด ในพื้นที่อนุรักษ์ 28 แห่ง จากการศึกษาวิจัยนี้ เรายังพบอีกว่า พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด คือ 103-131 ตัว ในส่วนของพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์แห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกตอนเหนือ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ขึ้นไปจนอุทยานแห่งชาติคลองลานอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดตาก สามารถบันทึกภาพเสือโคร่งได้ จำนวน 16 - 21 ตัว ไม่เพียงแต่ภาพของเสือโคร่งเท่านั้น หากแต่ยังบันทึกภาพเหยื่อของเสือโคร่ง เช่น กวางป่า หมูป่า เก้ง วัวแดง เป็นต้น สิ่งนี้เป็นดัชนีวัดความสมบูรณ์ของผืนป่าและความเหมาะสมของการเป็นถิ่นอาศัยของเสือโคร่งได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้รัฐบาลไทยได้ให้ความเห็นชอบในแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่ออนุรักษ์เสือโคร่ง พ.ศ. 2565 - 2577 โดยตั้งเป้าหมายในการยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองถิ่นอาศัยสำคัญของเสือโคร่ง ได้แก่ ผืนป่าตะวันตก และผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ตลอดจนเร่งฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งและเหยื่อในถิ่นอาศัยเป้าหมาย ได้แก่ ผืนป่าแก่งกระจาน ผืนป่าภูเขียว-น้ำหนาว และผืนป่าคลองแสง-เขาสก ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นผู้นำในการอนุรักษ์เสือโคร่งในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ภายในปี พ.ศ. 2577

ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 36 ร่วมพิธีมอบถังน้ำ เก้าอี้สุขา และสิ่งของอุปโภคบริโภค ให้จังหวัดเพชรบูรณ์

ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 มอบหมาย จิตอาสา 904 และกำลังพลจิตอาสา ร่วมพิธีรับมอบถังน้ำขนาด 1,000 ลิตร จำนวน 100 ใบ ถังยังชีพ บรรจุสิ่งของ อุปโภคบริโภค จำนวน 150 ชุด และเก้าอี้สุขา จำนวน 200 ชุด จากนายสมาน - นางเพียงเพ็ญ คุณากรไพบูลย์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรียงถาวร คอนเทนเนอร์ จํากัด รวมมูลค่า 730,000 บาท โดยมี นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธาน มี นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ร้อยตำรวจโทอาทิตย์ บุญญะโสภัต อดีตอธิบดีกรมการปกครอง นายสุปกิต โพธิ์ปภาพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายเรวัต ประสงค์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง นายเชาวลิตร แสงอุทัย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร นายสุพล บุศยโพยม พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรม  ที่หอประชุมศูนย์ราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

จากนั้น ได้ร่วมมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค และเก้าอี้สุขา ให้กับประชาชน โดยเน้นกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ผู้ขาดแคลน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง และร่วมปล่อยขบวนรถบรรทุกถังน้ำ เพื่อนำไปมอบให้กับชุมชนที่ประสบปัญหาการขาดแคลนภาชนะเก็บกักน้ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ต่อมา พันเอก ฐาวิรัตน์   ยังน้อย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 พร้อมด้วยกำลังพลกองร้อยบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยรถบรรทุกน้ำ  ร่วมกิจกรรม Kick off ปล่อยขบวนรถบรรทุกถังน้ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ในพื้นที่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ บริเวณหน้าอาคาร 2 ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่

‘อนุทิน’ จ่อชงครม. ‘ยกเลิกครูอยู่เวร’ หลังครูถูกทำร้าย ชี้!! ‘สวัสดิการ-ความปลอดภัย’ สำคัญเหนือสิ่งของ

(23 ม.ค.67) จากกรณีครูถูกทำร้ายร่างกาย จากการอยู่เวรเฝ้าโรงเรียนวันหยุดที่จังหวัดเชียงรายตามที่ปรากฏเป็นข่าวจนเกิดการเรียกร้องให้ยกเลิกการอยู่เวรของครูทั่วประเทศนั้น ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการอยู่ด้วยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนจะสนับสนุนให้มีการยกเลิกมติครม.ปี 42 หรือออกมติครม.ใหม่ มายกเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับการอยู่เวรรักษาการณ์ของหน่วยงานราชการ ตามหลักเกณฑ์ที่ออกมาในเดือนกรกฎาคม ปี 42 โดยเฉพาะในส่วนของโรงเรียนทั่วประเทศ เพราะข้าราชการไม่ควรต้องมารับผิดชอบต่อความเสียหายของทรัพย์สินของทางราชการที่เกิดจากอาชญากรรม หากมีอาชญากรรมเกิดขึ้น เป็นหน้าที่ของหน่วยงานความมั่นคงที่จะต้องดูแลไม่ว่าจะป้องกันหรือปราบปราม ไม่ใช่หน้าที่ครู

“นี่คือสิ่งที่ง่ายที่สุดในการคืนครูสู่ห้องเรียนและทำได้ทันที สวัสดิภาพและความปลอดภัยของครูมีความสำคัญเหนือสิ่งของ ต้องไม่มีเงื่อนไขใดมาเป็นอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นการอ้างงบประมาณหรือกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างใดๆ เมื่อไม่มีครูเวรแล้ว ต่อให้ยังไม่มียามหรือกล้องวงจรปิด ถ้ามีการโจรกรรมก็ไม่ใช่ความผิดของครู ต้องเป็นความรับผิดชอบของอาชญากรและหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องความมั่นคง หากจะฝากโรงเรียนไว้กับใคร ต้องฝากกับตำรวจ หรือ อส.ของฝ่ายปกครอง ไม่ใช่ครู” นายอนุทินกล่าว

กรมอุทยานแห่งชาติฯ จัดแคมเปญ ประทับตราหนังสือพาสปอร์ตอุทยานฯครบทุกแห่ง เข้าฟรี 1 ปี พักฟรี 2 ครั้ง

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ขณะที่รัฐบาลได้สนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ของประเทศ ประเภทสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ในรูปแบบการสะสมตราประทับอุทยานแห่งชาติ ในหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ Passport to Thailand National parks ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน 

ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ที่ได้ออกเดินทางสะสมตราประทับอุทยานแห่งชาติครบทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีอุทยานแห่งชาติ 156 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนได้แบ่งปันประสบการณ์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้อื่น ที่เป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ และเพิ่มประสิทธิภาพในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ จึงกำหนดรางวัลแก่ผู้ที่สะสมตราประทับอุทยานแห่งชาติ ในหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ Passport to Thailand National parks ครบทุกแห่ง ได้แก่

1.ตราประทับพิเศษเพื่อเป็นตราที่ระลึกสุดท้ายในหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ “สุดยอด นักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ” และของที่ระลึก พร้อมทั้งลายเซ็นของนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช  
2.บัตรประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ มีเงื่อนไข เช่น 
2.1 ยกเว้นค่าบริการสำหรับบุคคลและการนำยานพาหนะ ในการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติและวนอุทยาน สำหรับผู้มีชื่อบนบัตร และยานพาหนะ 1 คัน โดยใช้สิทธิ์ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันออกบัตร

2.2 ยกเว้นค่าตอบแทนที่พักอุทยานแห่งชาติและวนอุทยาน จำนวน 1 หลัง หลังละไม่เกิน 4 คน ใช้สิทธิ์ได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 คืน ภายในระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันออกบัตร 
2.3 โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำหนด สามารถขอรับสิทธิ์ได้ที่สำนักอุทยานแห่งชาติ โทรสายด่วน 1362

สำหรับพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ หรือ หนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ (Passport to Thailand National Parks) เป็นหนังสือเล่มขนาด 3 x 5 นิ้ว สีเขียว ที่จะมีการให้ความรู้ กฎระเบียบ ข้อควรปฏิบัติการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติอยู่ภายในเล่ม พร้อมการสะสมตราประทับจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติ 156 แห่ง ทั่วประเทศ 

‘ฝรั่งเศส’ เสนอ!! ‘เสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน-กางเกงขายาวสีเทา’ เป็นชุดนร. หลังประกาศเดินหน้าทดลองสวมเครื่องแบบนร. หวังลดความเหลื่อมล้ำ

เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยอ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ ลา ฟิกาโร ซึ่งสัมภาษณ์แหล่งข่าวในรัฐบาลฝรั่งเศส เกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ในการให้สถานศึกษาของรัฐ 100 แห่ง ทดลองการสวมเครื่องแบบนักเรียนนั้น ว่าแม้ผู้บริหารของโรงเรียนแต่ละแห่งสามารถกำหนดแนวทางของเครื่องแบบได้เอง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฝรั่งเศสเสนอแนะการสวมเสื้อแขนยาวหรือสเวตเตอร์สีน้ำเงิน กับกางเกงขายาวสีเทา เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน

ทั้งนี้ มาครงกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเครื่องแบบนักเรียน สามารถลดความไม่เท่าเทียม หรือความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัวได้ ขณะเดียวกัน เครื่องแบบนักเรียนคือการกำหนดแนวทาง ที่เป็นเงื่อนไขของการเคารพและการให้เกียรติ สำหรับโครงการนำร่องการสวมเครื่องแบบนักเรียน สถานศึกษาสามารถเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจ

หากการทดลองดังกล่าวได้ผลดี จะมีการบัญญัติเป็นกฎหมาย และบังคับใช้ในระดับเดียวกัน สำหรับสถานศึกษาของรัฐทั่วประเทศ ในปี 2569 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มาครงจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝรั่งเศส ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในปี 2570 และจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ที่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐต้องสวมเครื่องแบบ

นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสกล่าวถึงแผนการ ให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เรียนรู้และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อความหมายของเพลง ‘ลา มาร์แซแยซ’ ( La Marseillaise ) ซึ่งเป็นเพลงชาติ และการกำหนดให้วรรณกรรม ภาพยนตร์ และการละครเป็นวิชาบังคับ ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 โดยมาครงเชื่อว่า เป็นวิชาที่จะสามารถสร้างความมั่นใจ ฝึกฝนการพูดในสถานที่สาธารณะ และการศึกษาเนื้อหาที่มีคุณค่า เกี่ยวกับความเป็นฝรั่งเศส

'รมช.อนุชา' ยกหมอดินอาสา ตำบลกะเปอร์ ต้นแบบแห่งการลดต้นทุน หนุนทำเกษตรแบบผสมผสาน เพิ่มรายได้ ดันขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ

(23 ม.ค. 67) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาที่ดิน ของนายอภิชา ทองสุย หมอดินอาสาประจำตำบลกะเปอร์ ณ ต.กะเปอร์ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ในโอกาสการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) 1/2567 จ.ระนอง ระหว่างวันที่ 22-23 มกราคม 2567 ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ดินและสนับสนุนการพัฒนาด้านการเกษตรเพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยกรมพัฒนาที่ดิน มีภารกิจหลักในการส่งเสริม พัฒนาเครือข่ายหมอดินอาสาให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่การเกษตร นำมาซึ่งความมั่นคงของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยต่อไป

“ศูนย์ฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาที่ดินแห่งนี้ นับว่าเป็นต้นแบบในการทำเกษตรผสมผสาน สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้เกษตรกร จากเดิมปีละ 40,500 บาท เป็น 404,250 บาท และยังมีการต่อยอดขยายผลให้กับผู้ที่สนใจได้มาเรียนรู้ และเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า หมอดินอาสา จะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการร่วมผลักดันแนวคิดเงินบาทแรกของแผ่นดิน เพื่อสร้างเม็ดเงินและสร้างกำลังซื้อภายในประเทศให้เติบโตขึ้น” รมช.อนุชา กล่าว

ทั้งนี้ ศูนย์ฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาที่ดิน เกิดจากการพลิกฟื้นผืนดินในพื้นที่กว่า 27 ไร่ ที่หน้าดินถูกชะล้างพังทลายในฤดูแล้งขาดน้ำ และดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก ทำให้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรแบบยั่งยืน ผ่านการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ปรับปรุงพื้นที่แบบขั้นบันได ร่วมกับการปลูกหญ้าแฝกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในดิน และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ตลอดจนการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินจุลินทรีย์ มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต มีการใช้วัสดุเหลือใช้ในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การปลูกพืชแบบผสมผสาน ปลูกต้นไม้ให้เป็นป่า และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนการใช้ไฟฟ้า ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี

โอกาสนี้ รมช.อนุชา ได้เยี่ยมชมกิจกรรมฐานการเรียนรู้ที่สำคัญ ได้แก่ การทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ การใช้ประโยชน์จากสระน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน (บ่อจิ๋ว) การเลี้ยงหมูหลุม การเลี้ยงเป็ดพันธุ์ไข่ และสวนยางพารายั่งยืน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top