Wednesday, 11 June 2025
NewsFeed

‘โจว เหวิน ฟะ’ โชว์ความฟิตในวัย 68 ปี พิชิต ‘ฮาล์ฟ มาราธอน’ ระยะ 21.1 กม. สำเร็จ

(22 ม.ค. 67) โจว เหวิน ฟะ นักแสดงฮ่องกงชื่อดังจากภาพยนตร์อมตะ ‘เจ้าพ่อเซียงไฮ้’ วัย 68 ปี ลงแข่งขัน ฮาล์ฟ มาราธอน รายการ ‘สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ฮ่องกง มาราธอน’ ระยะ 21.1 กม. จบที่เวลา 2 ชม. 26.08 นาที โดยนักแสดงชื่อดังเซอร์วิสแฟน ๆ ด้วยการยืนให้ถ่ายรูปคู่เป็นเวลานานก่อนจะเดินทางกลับ โดยการแข่งขันออกสตาร์ตที่ นาธาน โรด ในจิม ซา จุ่ย ตั้งแต่เวลา 08.30 น.

พระเอกชื่อดังที่มีผลงานขึ้นหิ้งมากมายทั้ง เทพบุตรชาวดิน, โหด-เลว-ดี, คนตัดคน รวมทั้งโกอินเตอร์เล่นภาพยนตร์ในฮอลลีวูด ให้สัมภาษณ์ว่า พอใจกับผลการแข่งขันเพราะวิ่งได้เร็วกว่าที่ซ้อมไว้ถึง 3.58 นาที เนื่องจากเตรียมตัวมาอย่างดี โดยเฉพาะการปรับการรับประทานอาหาร และรู้สึกดีที่เห็นคนรุ่นเดียวกันลงแข่งขันเยอะขึ้น หวังว่าการวิ่งของตนจะทำให้คนหันมารักษาสุขภาพมากขึ้น ซึ่งปีก่อน นักแสดงชื่อดังลงแข่งขันในระยะ 10 กม. ทำเวลา 1 ชม. 3.58 นาที

‘จีน’ เดินหน้าหนุน ‘อุตสาหกรรมบริการในบ้าน’ หวังรับมือ-ดูแล ‘ผู้สูงอายุ’ ที่บ้านมากขึ้น

(22 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์จีนเผยว่าจีนได้ออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมการบริการในบ้าน เพื่อรับมือกับความต้องการของประชากรสูงอายุ

จูกวงเย่า เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ แถลงว่ากระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการจูงใจทางภาษี เงินอุดหนุนสตาร์ตอัป และความช่วยเหลือทางการเงินที่มุ่งพัฒนาคุณภาพและการเติบโตของอุตสาหกรรมข้างต้น โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้ว่าจ้างแรงงานราว 30 ล้านคน แต่ยังคงมีความต้องการสูงกว่า 50 ล้านคน จึงมีการพยายามเพิ่มจำนวนแรงงาน

จูกวงเย่า กล่าวว่ากระทรวงฯ กำลังสนับสนุนการจัดงานมหกรรมจัดหางานผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อผู้หางานกับนายจ้างได้ดียิ่งขึ้น และการจัดหลักสูตรฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ พร้อมเสริมว่าการจ้างงานจะมุ่งเน้นที่การดูแลผู้สูงอายุที่บ้านมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในด้านนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น

ก่อนหน้านี้ จีนได้ออกแนวปฏิบัติเพื่อเสริมสร้าง ‘เศรษฐกิจสีเงิน’ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งตอบสนองความต้องการพลเมืองสูงวัยด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ถูกปรับให้เหมาะสม ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายของจำนวนประชากรสูงวัยที่ขยายตัว

อนึ่ง ข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่ากลุ่มประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปของจีน มีจำนวนสูงถึง 297 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 21.1 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ

'หญิงอุ้มเด็ก' นำพระมาขอแลกข้าว เจ้าของร้านบอกไม่เป็นไร "ผมให้กินฟรี"

(22 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Phuket Times ภูเก็ตไทม์’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

มีหญิงสาวอุ้มเด็กน้อยเดินมาจากสี่แยก เดินเข้ามานั่งที่ร้านข้าวขาหมูโบราณกะทู้ สี่กอ บริเวณ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งหนุ่มเจ้าของร้านใจดีห่อข้าวให้ และหญิงสาวรายนี้บอกว่าจะเอาพระแลกค่าข้าว แต่พ่อค้าบอก “ไม่เป็นไร…”

‘กองทัพเรือ’ เปิดรับสมัครพลเรือน อายุ 16-18 ปี เข้าสอบคัดเลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ปี 2567

(22 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โรงเรียนนายเรือ RTNA’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“โรงเรียนนายเรือเปิดรับสมัครบุคคลพลเรือนสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ เป็นชายไทยอายุตั้งแต่ 16 ปี และไม่เกิน 18 ปี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 หรือเทียบเท่า 

โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่ 18 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถสมัครทาง Internet เพียงช่องทางเดียว ที่เว็บไซต์โรงเรียนนายเรือ http://www.admission-rtna.net หรือ http://www.rtna.ac.th และติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-475-3995, 02-475-7435 ทุกวันราชการ

หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/profile.php?id=100093815418258&mibextid=ZbWKwL

รมช.ไชยา ลงพื้นที่ระนอง เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอันดามันเป็ดพันธุ์ไข่ (พลังเป็ดสุขสำราญ) สนับสนุนการทำสินค้าเกษตรส่งออก

เมื่อวันที่  22 มกราคม 2567 นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอันดามันเป็ดพันธุ์ไข่ (พลังเป็ดสุขสำราญ) ตำบลนาคา อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง โดยมี ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ พร้อมด้วย นายปณิธาน แก้วหมุน ปลัดอำเภอประจำตำบลนาคา ให้การต้อนรับในพื้นที่ 
การตรวจเยี่ยมในวันนี้ เพื่อให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาของเกษตรกร พร้อมมอบนโยบายการดูแลเกษตรกรในพื้นที่ให้มีรายได้ที่มั่นคง และมีความเป็นอยู่ที่ดี

รมช.ไชยากล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร มีเป้าหมายในการผลักดันเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดขนาดเล็ก ซึ่งระนองเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับการคัดเลือกให้ ครม. มาร่วมประชุมขับเคลื่อนงานในครั้งนี้ ในฐานะตัวแทนจากกระทรวงเกษตรฯ จึงขอมาให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของกลุ่มวิสาหกิจฯ เพื่อให้การเลี้ยงปศุสัตว์และการทำสินค้าเกษตรแปรรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เป็นอาชีพที่มีความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงเกษตรเกษตรฯ มีนโยบายทำให้พื้นที่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร เป็นศูนย์กักกันโรคเพื่อการส่งออกของสินค้าปศุสัตว์ และเกษตรกรในจังหวัดใกล้เคียงสามารถเติบโตไปพร้อมกันผ่านการส่งออกสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงช่วยให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืน 

นอกจากนี้ รมช.ไชยา ได้เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ในพื้นที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ซึ่งมีกิจกรรม อาทิ สอนทำไข่เค็มน้ำแร่แบบเพาะดิน การเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย เพื่อเป็นอาหารสัตว์โปรตีนสูง การเลี้ยงเป็ดพันธุ์ไข่แบบอินทรีย์ การทำเครื่องฟักไข่แบบควบคุมอุณหภูมิ และเยี่ยมชมร้านค้าของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจฯ เป็นต้น

ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๒ มอบนโยบายการปฏิบัติงานและมอบรถบรรทุกน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ข้าราชการตำรวจและประชาชนในพื้นที่ สภ.บ้านทัพไทย จ.สระแก้ว

ฉบับที่ 01 ประจำวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2567
       ​​
วันที่ 22 มกราคม 2567 เวลา 12.30 น. พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 เพื่อรับฟังปัญหาข้อขัดข้องด้านต่าง ๆ และ พลตำรวจโท สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๒ ได้แจ้งปัญหาด้านสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบ้านทัพไทย จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร โดยมีระยะทางห่างจากตัวจังหวัดถึง 115 กิโลเมตร และประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำสะอาดไว้เพื่ออุปโภคบริโภค
 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญ จึงได้มอบ “รถบรรทุกน้ำ” ขนาด    2,000 ลิตร มูลค่า 250,000 บาท จำนวน 1 คัน ให้กับสถานีตำรวจภูธรบ้านทัพไทย จังหวัดสระแก้ว ไว้ใช้บรรทุกน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของข้าราชการตำรวจและประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 ข้อเน้นหนัก ได้แก่ “การอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติอย่างเป็นระบบ การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการดูแลสวัสดิการและขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจ”

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวให้กำลังใจข้าราชการตำรวจทุกนายที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดและเต็มกำลังความสามารถ ได้เน้นย้ำข้าราชการตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความรอบคอบ ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เยี่ยมชมและติดตามผลการดำเนินโครงการ "หนึ่งจังหวัดหนึ่งผลิตภัณฑ์ "One Provine One Product (OPOP) ของชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2

วันนี้ (22 มกราคม 2567) เวลา 13.45 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ติดตามผลการดำเนินโครงการ "หนึ่งจังหวัด หนึ่งผลิตภัณฑ์" One Province One Product (OPOP) ของชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 และเยี่ยมชมการแสดงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของดีของเด่นประจำจังหวัด ของชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 ณ ชั้น 17 โรงแรมฮิลตัน พัทยา จังหวัดชลบุรี 

คุณดุษฎี เย็นท้วม ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 กล่าวว่า ชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 ได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ของครอบครัวข้าราชการตำรวจ ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 ซึ่งผ่านการคัดเลือกและพัฒนาจากสมาคมแม่บ้านตำรวจ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ OPOP รวมทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมอื่น ๆ ที่พร้อมเข้าสู่กระบวนการพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ OPOP ต่อไปในอนาคต พร้อมกันนี้ ยังได้จัดแสดงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของดีของเด่นประจำจังหวัด จำนวนกว่า 60 รายการ 

คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจต้องการสื่อให้สังคมเห็นว่าผบิตภัณฑ์ของแม่บ้านตำรวจมีความทันสมัย ทุกคนสามารถซื้อสินค้าไปใช้ได้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาช่วยในการออกแบบและส่งเสริมผลิตภัณฑ์  โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจจะช่วยส่งเสริมเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หลังบ้านตำรวจ หรือแม่บ้านตำรวจ คือส่วนสำคัญที่สุดที่จะช่วยเหลืองานของ ตร. ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมสนับสนุน รวมทั้งเครือข่ายต่างๆ ร่วมสนับสนุนการทำงาน เป็นหนึ่งในการสร้างความรักความผูกพันเป็น Police's Home

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้เยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์ของแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 ได้แก่แม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง และสระแก้ว ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือครอบครัวตำรวจที่มีความหลากหลายและน่าสนใจ อาทิ อาหาร ผลไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย เครื่องจักรสาน เครื่องประดับ เป็นต้น

'พฤกษา' จับมือ 'ออริจิ้น' ร่วมทุนปั้น 3 โปรเจกต์ 'โรงแรม-คอนโด-บ้านเดี่ยว' มูลค่า 8,700 ล้าน

(22 ม.ค. 67) นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ‘พฤกษา’ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ 3 บริษัทในเครือ ‘ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้’ ได้แก่ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด หรือ PARK และบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เพื่อก่อสร้างและพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ 

(1) การร่วมทุนในธุรกิจโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และศูนย์บริการด้านสุขภาพ ทำเลสุขุมวิท มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้ านบาท 

(2) การร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ย่านพหลโยธิน มูลค่าโครงการ ประมาณ 2,800 ล้านบาท 

และ (3) การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม ย่านเพชรเกษม มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท ในอัตราส่วนการลงทุน 50:50

“สำหรับการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้นับเป็นข้อตกลงที่ได้รับประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท (Win-Win) และจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการนำทรัพยากรและที่ดินของทั้งสองบริษัทที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาโครงการ แชร์เทคโนโลยีและโนว์ฮาวโดยนำจุดแข็งของกลุ่ม ‘พฤกษา’ ที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุน 

พร้อมมุ่งพัฒนาการอยู่อาศัยที่ ‘อยู่ดี มีสุข’ ด้วยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจในเครือที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจพัฒนาและก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเฮลธ์แคร์ ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ พร้อมด้วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่พัฒนาเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม MyHaus ตัวช่วยที่ส่งเสริมเรื่องที่อยู่อาศัย ให้ผู้คนมีชีวิตที่ง่ายและสะดวกขึ้น ไปจนถึงการสร้างที่อยู่อาศัยด้วยความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำจากอินโน พรีคาสท์ในเครือพฤกษา ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง เมื่อผนึกกำลังกับจุดแข็งของ ‘ออริจิ้น’ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ 

จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพ และข้อได้เปรียบจากทั้ง ‘พฤกษา’ และ ‘ออริจิ้น’ จะร่วมกันส่งเสริมให้ทั้ง 3 โครงการร่วมทุนนี้ประสบความสำเร็จ ส่งมอบความอยู่ดี มีสุขให้คนในสังคม และจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ พฤกษาจะได้ประโยชน์จากการนำที่ดินที่มีอยู่ในมือมาใช้พัฒนาผ่านแบรนด์ใหม่เพื่อสร้างฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางเพื่อการสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) อีกด้วย” นายอุเทน กล่าว

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า การได้พฤกษามาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการต่าง ๆ จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยี องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ระหว่างกัน และช่วยให้ยกระดับการพัฒนาคุณภาพการก่อสร้างโครงการ การออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ในอาคาร เติมเต็มความต้องการของการใช้ชีวิตในแต่ละทำเลได้อย่างยอดเยี่ยม

“ในไทยเราอาจไม่ค่อยเห็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จับมือร่วมทุนกันเอง แต่ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มีความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ เพราะแต่ละรายต่างมีความถนัด ความเชี่ยวชาญในเซกเมนตฺและทำเลแตกต่างกัน โดยเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ฟังก์ชันและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนของคนยุคใหม่ เช่น การพัฒนาคอนโดฯ สำหรับกลุ่ม Pet Lover การพัฒนาห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร บ้านเดี่ยวที่ใส่ใจ Universal Design ทางด้านพฤกษาเองเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรมการก่อสร้าง และประสบการณ์การพัฒนาโครงการมากมายจึงเชื่อว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถมาช่วยเติมเต็มความถนัดและโอกาสซึ่งกันและกันได้ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างออริจิ้นและพฤกษาในครั้งนี้จะเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่บริษัทระดับท็อปของตลาด 2 ราย มารวมพลังกัน พัฒนาทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ยกระดับการพักผ่อนและการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ และการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับสองธุรกิจหลัง เพื่อสร้างรายได้ประจำ โดยปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่

(1) กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีโครงการที่เปิดขายภายใต้ชื่อแบรนด์ ดังนี้ บ้านกรีนเฮาส์ (Baan GreenHaus) บ้านพฤกษา (Baan Pruksa) พฤกษาวิลล์ (Pruksa Ville) เดอะ คอนเนค (The Connect) และพาทิโอ (Patio)

(2) กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อแบรนด์ เดอะ แพลนท์ (The Plant) ภัสสร (Passorn) และเดอะ ปาล์ม (The Palm)

และ (3) กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดฯ ภายใต้ชื่อแบรนด์ พลัม คอนโด (Plum Condo) เดอะ ทรี (The Tree) แชปเตอร์ (Chapter) แชปเตอร์ วัน (Chapter One) เดอะ ไพรเวซี่ (The Privacy) และเดอะ รีเซิร์ฟ (The Reserve) โดยส่งมอบที่อยู่อาศัยเพื่อคนไทยไปแล้วมากกว่า 260,000 ครอบครัว 

สำหรับธุรกิจด้านสุขภาพมีโรงพยาบาลวิมุต เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของกลุ่มธุรกิจ และในปี 2564 วิมุตฯ ได้เข้าลงทุนในกิจการโรงพยาบาลเทพธารินทร์เพิ่มเติม และ PSH ได้ขยายธุรกิจใหม่ด้านอีคอมเมิร์ซด้วยการก่อตั้งบริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขยายธุรกิจ รวมทั้งก่อตั้งบริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการด้านพรีคาสท์ในตลาดธุรกิจก่อสร้าง และมีการลงทุนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไร สร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย

1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) โซ ออริจิ้น (So Origin) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ดิ ออริจิ้น (The Origin) เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) บริกซ์ตัน (Brixton) และบริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 240,661 ล้านบาท

2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ค้าปลีก

3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์

และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

บิ๊กโจ๊ก ลงพื้นที่จังหวัดระนอง รับฟังความคิดเห็นคนไทยพลัดถิ่น ที่วอนให้รัฐบาลชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ เพราะกระทบแหล่งทำมาหากิน ทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทย สานต่อโครงการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อให้สถานะแก่คนไทยพลัดถิ่น ซึ่งวันนี้ยังใช้ชีวิตด้วยความลำบาก

ช่วงบ่ายที่ผ่านมาพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางลงไปที่หมู่บ้านห้วยปลิง หมู่ 7 ต.ราชกรูด อ.เมือง จ.ระนอง ซึ่งเป็น ถิ่นที่อยู่อาศัยของ ชาวบ้าน กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น 

การเดินทางไปครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้พบกับแกนนำชาวบ้านที่ออกมาคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ และเรียกร้องให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ามาดูแลความปลอดภัยให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมระหว่างที่เดินทางไปยื่นหนังสือกับนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี 

ทั้งยังเรียกร้อง ให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ไปดูความเดือดร้อนของชาวบ้าน ซึ่งเป็นคนไทยพลัดถิ่นมากกว่า 3000 คนในชุมชน ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ด้วย

จากการลงพื้นที่ และได้พูดคุยกับหญิงชราหนึ่งในแกนนำชาวบ้านที่มีสถานะเป็นคนไทยพลัดถิ่น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า ชาวบ้าน อยู่ด้วยความยากลำบากแสนเข็ญ กับการใช้ชีวิตที่ไม่มีบัตรประชาชน เนื่องจากรัฐบาล ยังไม่รับรองความเป็นคนไทย ทั้งที่ พรบ.สัญชาติไทย ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม กรณีรับรองคนไทยพลัดถิ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ 

ขณะที่ หญิงชรา (ก๊ะ) แกนนำที่เคยออกมาเดินขบวนเรียกร้องโดยการเดินเท้าจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปยังกรุงเทพมหานครเป็นเวลา 18 วัน ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อขอให้ลงมาแก้ปัญหานี้ จนที่สุด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ได้ริเริ่มพรบ.สัญชาติ 2555 

เธอบอกว่า ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดออกมาจากรัฐบาล ทำให้พวกเธออยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากไม่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกเพราะไม่มีบัตรประชาชน และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อการประกอบอาชีพได้ ทำได้เพียงการทำประมงพื้นบ้าน ซึ่งวันนี้กำลังจะถูกเวนคืนพื้นที่ ไปทำโครงการแลนด์บริดจ์อีก 

จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย สานต่องานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ออก พรบ.สัญชาติ 2555 สำหรับคนไทยพลัดถิ่นไว้ และขอฝาก บิ๊กโจ๊ก ให้ช่วยไปบอกต่อรัฐบาลให้ด้วยว่า เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลับมาแล้ว ชาวบ้านก็มีความหวัง และขอวิงวอนให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย สานต่อ ความหวังของชาวบ้านพลัดถิ่น ให้ได้มีสถานะคนไทย อย่างที่เคยสัญญาไว้ด้วย

ด้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่ารู้สึกเห็นใจชาวบ้านเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้มาเห็นสภาพพื้นที่และความเป็นอยู่ของคนไทยพลัดถิ่น แต่อำนาจในการดูแลเรื่องนี้เป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทย ดังนั้นจึงทำได้เพียงเป็นตัวกลาง บอกต่อความรู้สึก และความต้องการของชาวบ้าน ไปยังรัฐบาล พร้อมกับแนะนำชาวบ้านว่า ขอให้จัดทำเอกสาร ปัญหาและความเดือดร้อนของกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น เสนอไปยังนายกรัฐมนตรีพร้อมกับข้อเรียกร้องของโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะยื่นเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังบอกเลยว่า จากที่เคยทำการสำรวจเรื่องความปลอดภัยของชาวบ้านโดยเฉพาะตามชายขอบ พบว่าทั้งประเทศยังมีกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นอีกมาก ที่ไม่ ได้รับสถานะเป็นคนไทย ทั้งที่เกิดและโตในประเทศไทย จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่ได้รับสิทธิ์การคุ้มครองตามสิทธิพลเมือง และยังติดตาม ตามรอย ได้ยาก เมื่อเกิดปัญหาหรือคดีอาชญากรรม ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกปัญหา ที่เชื่อมั่นว่าหากมีการดำเนินการสานต่อ ก็จะทำให้คนไทยพลัดถิ่นเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

'ตลาดหุ้นอินเดีย' แซงหน้า 'ตลาดฮ่องกง' ขึ้นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก

(23 ม.ค.67) World Maker เผยว่า ตลาดหุ้นอินเดียแซงหน้าตลาดฮ่องกงขึ้นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก มีมูลค่าหุ้นจดทะเบียนรวมที่ 4.33 ล้านล้านดอลลาร์เทียบกับ 4.29 ล้านล้านดอลลาร์ในตลาดฮ่องกง 

แต่หากมองระยะยาว นี่อาจเป็นแค่ต้นเรื่องของหนังมหากาพย์เท่านั้น เพราะอนาคตอินเดียยังมีศักยภาพให้เติบโตอีกมากทั้งในทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

📌 นี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแบบมหากาพย์ของอินเดียในระยะยาว ที่ถือเป็น 1 ในประเทศที่น่าจับตามองอย่างมาก ว่าในอนาคตจะมีศักยภาพเติบโตไปอีกมากแค่ไหน? ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลลัพธ์กันแบบชัดเจน แต่คงไม่นานเกินรอ 

ทั้งนี้ มูลค่าของตลาดอินเดียอาจจะโดนฮ่องกงแซงกลับได้อีกครั้งในระยะสั้น ถ้าเป็นกรณีที่หุ้นจีนพุ่งขึ้นหลังจากโดนทุบต่อเนื่องมา 3 ปี แต่ในระยะยาวอินเดียจะยังมีแนวโน้มเติบโตและขึ้นมาเป็น 1 ในเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจโลกเทียบเคียงกับจีนในหลายแง่ ... ศักยภาพเรื่องประชากรก็ถือว่ามีพอๆ กับจีน (อินเดียมีประชากรมากกว่านิดหน่อย)

อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นจดทะเบียนรวมในตลาดอินเดีย แซงหน้าตลาดฮ่องกงแล้ว สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าเงินจำนวนมากไหลออกจากจีนไปยังอินเดียหลังจากรัฐบาลจีนเริ่มมีความตึงเครียดกับฝั่งสหรัฐฯ-ตะวันตก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top