Thursday, 12 June 2025
NewsFeed

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งทีมตรวจเข้มมาตรการป้องกัน ‘อัคคีภัย-อุบัติเหตุ’ ในโรงงาน ด้าน ‘ปลัดฯ ณัฐพล’ รับลูก ‘สำรวจ-ตรวจตรา’ ทุกโรงงานเสี่ยงอัคคีภัย

(21 ม.ค. 67) ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมแจ้งเตือนให้ระมัดระวังเหตุอัคคีภัยและอุบัติเหตุจากการประกอบกิจการในช่วงฤดูแล้ง เพื่อป้องกันการเกิดเหตุอุบัติภัยและอัคคีภัยจากการประกอบกิจการและเหมืองแร่ ว่า...

ตนได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ให้ดำเนินการแจ้งเตือนสถานประกอบการและเหมืองแร่ในพื้นที่ให้ระมัดระวังการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูง เช่น โรงงานแป้งมัน, โรงงานสิ่งทอ-ปั่นด้าย-ทอผ้า, โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า, โรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้, โรงงานผลิตกระดาษ, โรงงานประกอบกิจการสี-ทินเนอร์, โรงงานทำพลุและดอกไม้เพลิง, โรงงานผลิตภัณฑ์ยาง โรงงานผลิตภัณฑ์พลาสติก หรือประเภทอื่นๆ และขอให้ทุกหน่วยแนะนำและเผยแพร่ข้อปฏิบัติฯ คู่มือด้านความปลอดภัยต่างๆ ที่กระทรวงฯ ได้จัดทำไว้ให้กับผู้ประกอบกิจการโรงงาน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันอัคคีภัยและอุบัติเหตุจากการประกอบกิจการ เช่น การตรวจสอบ บำรุงรักษา หรือสับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักรตามระยะเวลาที่กำหนด การให้ความรู้ด้านมาตรการป้องกันอัคคีภัย และอุบัติเหตุแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ

“มาตรการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้มอบหมายและกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทุกปี หรือในพื้นที่ที่เกิดขึ้นซ้ำตามกฎหมายโรงงาน โดยให้รวบรวมและศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ซึ่งสอดรับกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความเป็นห่วงและเสียใจต่อเหตุการณ์พลุระเบิดในจังหวัดสุพรรณบุรีที่มีผู้เสียชีวิต 23 ราย และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม สำรวจการจัดตั้งโรงงาน ระบบความปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข ดูแลประชาชนในพื้นที่โดยรอบที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ดูแลสภาพแวดล้อมต่างๆ และกระทรวงแรงงาน ให้ช่วยเหลือเยียวยาญาติผู้เสียชีวิต และขอให้ทุกฝ่ายตรวจสอบโรงงานประเภทที่มีวัตถุอันตรายทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์กรณีเดียวกันเกิดขึ้นอีก” ปลัดฯ ณัฐพล กล่าว

ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยแนะนำและเผยแพร่ข้อปฏิบัติฯ คู่มือด้านความปลอดภัยให้กับผู้ประกอบกิจการโรงงาน โดยสามารถดาวน์โหลดข้อมูลดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ของ กรอ. : www.diw.go.th

นราธิวาส-'เดิน-วิ่ง เพื่อลูกรัก' ส่งเสริมการศึกษาแก่ศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิดสถาบันศึกษาปอเนาะชายแดนใต้

วันนี้ (21 มกราคม 2567) เวลา 06.30 น. ที่ลานหน้าโรงพยาบาลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานเปิดพร้อมปล่อยตัวนักกีฬา “กิจกรรมการกุศล เดิน-วิ่ง เพื่อลูกรัก” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอศรีสาคร ร่วมกับชมรมตาดีกาอำเภอศรีสาครและหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่งเสริมการศึกษาแก่ศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิดสถาบันศึกษาปอเนาะ โดยมี พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมเป็นประธานการส่งมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมด้วย นายกิตตินันท์ เซ็งกะซรี นายอำเภอศรีสาคร , พันเอก ภาณุวัฒน์ สุคชเดช ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 ตลอดจนเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า “วันนี้รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธาน ในพิธีเปิดกิจกรรมการกุศลเดิน-วิ่ง เพื่อลูกรักอำเภอศรีสาคร ในวันนี้ ซึ่งกิจกรรมนี้ถือเป็นการพัฒนาการศึกษา การพัฒนาคน ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม รวมถึงการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สมบูรณ์ห่างไกลจากโรค ที่สำคัญเป็นการร่วมมือของทุกภาคส่วนให้เกิดความรัก ความสามัคคี และเสียสละตนเอง เพื่อส่วนรวม ขอขอบคุณคณะทำงาน ผู้สนับสนุน หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ส่งเสริมกิจกรรมดีๆ ให้กับสังคมบ้านเรา ให้เกิดความรัก ความสามัคคี ร่วมมือจัดกิจกรรมสำเร็จตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจ ในส่วนของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ก็มุ่งเน้นในการส่งเสริมการศึกษา เพราะการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของเยาวชน ที่ผ่านมาได้มีการส่งเสริมในเรื่องต่างๆ รวมทั้งด้านการใช้ภาษาไทย เพื่อให้เยาวชนในพื้นที่สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง และต่อยอดการศึกษาต่อไปได้ในอนาคต“

สำหรับกิจกรรมกิจกรรมการกุศล เดิน-วิ่ง เพื่อลูกรัก จัดขึ้นโดยสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอศรีสาคร ร่วมกับชมรมตาดีกาอำเภอศรีสาครและหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดหารายได้ในการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กจำนวนเจ็ดเครื่องให้กับศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิดสถาบันศึกษาปอเนาะและสถานศึกษาเอกชน เพื่อให้การจัดทำข้อมูลโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์มีความทันสมัยรวดเร็วพร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพรวมทั้งส่งเสริมทางด้านสุขภาพที่ดีด้านร่างกายจิตใจอารมณ์สังคมและสร้างความสัมพันธ์ความร่วมมือความรักความสามัคคีก่อให้เกิดสังคมสันติสุข

ใจฟู!! ‘ครูสาว’ คอยส่งจังหวะให้ ‘นักเรียนหูหนวก’ รำโปงลาง โซเชียลแห่ชมในความรัก-ความพยายาม-มุ่งมั่นทำเพื่อเด็กๆ

(21 ม.ค. 67) เรียกเสียงชื่นชมสนั่นโซเชียล เมื่อติ๊กต็อก ‘@teacher_hope’ โพสต์คลิปใจฟู หลังได้เห็นครูสาวรายหนึ่งจากโรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดชัยภูมิ กำลังทำท่ารำให้สัญลักษณ์และส่งจังหวะ แก่นักเรียนผู้บกพร่องทางการได้ยินของตน ที่กำลังแสดงรำโปงลางอยู่บนเวที

โดยในคลิปมีข้อความว่า “ใจฟูมาก เห็นถึงความพยายามอดทนของคุณครู และน้องๆ นักเรียนมากครับ”

พร้อมเล่าความประทับใจผ่านแคปชันอีกว่า “#เทรนด์วันนี้ พอได้เห็นการแสดงชุดนี้แล้วใจฟูมาก นี่น้องที่รำไม่ได้ยินเสียงดนตรี ยังทำได้ขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่ความสวยงามบนเวที แต่มันยังมีความสวยงามที่ด้านล่างเวทีอีกด้วย คุณครูน่ารักมากครับ มันแสดงให้เห็นถึง ความพยายามความอดทนเป็นอย่างมาก มันเห็นถึงความสุข ความรัก ที่คุณครูคอยส่งสัญลักษณ์และจังหวะต่างๆ ให้น้องๆ ที่แสดงบนเวที น้องก็จะคอยสังเกตคุณครูอยู่ตลอดการแสดง ขอชื่นชมมากๆ ครับ”

หลังคลิปเผยแพร่มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ชมอย่างล้นหลาม อาทิ
- “สุดยอดขนาดคนปกติก็ต้องซ้อมนาน แต่น้องเป็นผู้บกพร่องทางการได้ยิน แต่กลับรำได้เข้าจังหวะขนาดนี้ ครุ/ครู ผู้เสียสละ”
- “ไม่บอกจะไม่รู้เลยว่าคือการแสดงของน้องๆที่บกพร่องทางการได้ยิน น้องๆ เก่งมากค่ะ คุณครูผู้สอนก็น่ารักและเก่งมากๆ เลย ชื่นชมนะคะ”
- “ขอชื่นชมคุณครูและน้องๆ ค่ะ”
- “ตอนแรกนึกว่าวงโปงลางนางรำโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง จนพิธีกรพูดว่าเป็นโรงเรียนโสตศึกษา โอ้โหเก่งมากเลย”
- “ครูการศึกษาพิเศษ ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
- “ดูแล้วน้ำตาไหลเลย แง… ชื่นชมมากๆ ทั้งคุณครูและคนแสดง ต้องใช้ความอดทนและความพยายามมากๆ”

เชิญชวนประมูล ‘สุนัขทหาร’ ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 54 ตัว พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนรับไปเลี้ยงดู 27 ม.ค.นี้

(21 ม.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า เพจเฟซบุ๊ก ‘ร่วมด้วยช่วย 3 จว.ชายแดนใต้’ ได้ประชาสัมพันธ์ว่า ศูนย์การสุนัขทหาร กรมการสัตว์ทหารบก จะมีการประมูลสุนัขทหารไม่ผ่านเกณฑ์ ที่ศูนย์การสุนัขทหาร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในวันเสาร์ที่ 27 ม.ค. 2567 ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป โดยมีการประมูลสุนัขรวมทั้งสิ้น 54 ตัว ประกอบด้วย สายพันธุ์ลาบราดอร์ 6 ตัว สายพันธุ์มาลีนอยส์ 20 ตัว และสายพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด 28 ตัว

โดยสุนัขทหารไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว ไม่ใช่สุนัขที่ถูกคัดออก แต่เป็นสุนัขที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ซึ่งเป็นสุนัขทหารที่ไม่ผ่านเกณฑ์และเกินโควตา เพื่อให้ได้มีโอกาสอยู่กับผู้รับอุปการะที่สามารถดูแลได้จนกว่าจะตายจาก โดยสุนัขที่นำมาประมูลมีอายุตั้งแต่ 1–3 ขวบขึ้นไป แต่รอบนี้จะมีสุนัขอายุเกิน 3 ขวบเล็กน้อย ผ่านการทำหมันมาแล้วทุกตัว ส่วนบางตัวที่ผอมเพราะอยู่ในคอกเดียวกันกับสุนัขที่เป็นจ่าฝูงก็ถูกแย่งอาหารไป จึงไม่อยากให้ตัดสินสุนัขจากภายนอกหรือสิ่งที่เห็น

สุนัขทุกตัวไม่ใช่สุนัขดุ ใจดีกับคนทุกตัว แต่บางตัวอาจจะมีนิสัยขี้กลัวขี้ตกใจ ผู้รับอุปการะจะต้องมีความใจเย็น มีความเข้าใจว่าสุนัขเลือกไม่ได้ที่เขาเกิดมาและโตมามีพฤติกรรมแบบนั้น แนะนำว่าให้ประมูลไปเป็นคู่ เพื่อให้สุนัขมีบัดดี้ที่จะอยู่ร่วมกันแล้วจะอยู่ได้ แต่ถ้าประมูลไปตัวเดียวโดดๆ แล้วไม่มีเพื่อนอาจจะเป็นปัญหา เพราะจะระแวงและกลัวทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ซึ่งคนที่เคยประมูลสุนัขทหารไม่ผ่านเกณฑ์ไปแบบเป็นคู่ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

สำหรับคนที่คาดหวังว่าสุนัขทหารไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องเก่ง ต้องเฉลียวฉลาด เฝ้าบ้านเฝ้าสวนได้ จะต้องกัดโจรกัดขโมยกัดผู้ร้าย แนะนำให้ไปซื้อสุนัขฟาร์มแล้วเอาไปจ้างคนฝึกเอา ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูล แนะนำให้นำบัตรประชาชนตัวจริงไปด้วย พร้อมถ่ายภาพสถานที่ของบ้านและบริเวณรั้วต่างๆ ของผู้ที่จะประมูลไปด้วย เพราะเจ้าหน้าที่อาจจะมีการขอดู ผู้เข้าร่วมประมูล 1 คน สามารถประมูลสุนัขได้ 2 ตัว อย่าลืมนำปลอกคอและสายจูงสุนัขไปด้วย

ส่วนคนที่อยู่ห่างไกล ไม่สามารถไปประมูลด้วยตัวเองได้ สามารถฝากจิตอาสาของเพจร่วมด้วยช่วย 3 จว.ชายแดนใต้ ประมูลให้ได้ ระบุเพศและสายพันธุ์ ตั้งงบประมูลไว้ให้ไม่เกินเท่าไหร่ ขอความชัดเจน ค่าประมูล ค่าสายจูง ค่าปลอกคอ และค่าจัดส่งสุนัขผ่านรถขนส่งเอกชน ผู้ฝากประมูลต้องเป็นคนรับผิดชอบ

“อยากให้ทุกตัวได้คนที่พร้อม ที่อยากจะดูแลและรักพวกเขาจริงไปประมูลเด็กๆ ใครไม่พร้อมไม่แนะนำให้ไปประมูลนะคะเพราะจะไม่เป็นการดีต่อใครเลยโดยเฉพาะสุนัขทหาร” เพจเฟซบุ๊ก ‘ร่วมด้วยช่วย 3 จว.ชายแดนใต้’ ระบุ

‘BOI’ ชี้!! ลงทุนสุขภาพ ปี 67 เติบโตก้าวกระโดด รับ ‘เทรนด์สูงวัย-โรคอุบัติใหม่-ท่องเที่ยวการแพทย์’

(21 ม.ค. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพในปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน อาทิ กระแสการดูแลสุขภาพ การเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเจ็บป่วยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและเป็นโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น การเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ รวมทั้งการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์

โดยในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ส่วนใหญ่สนใจเข้ามาในกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์และอาหารทางการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่จากประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน สหรัฐและยุโรป

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ เป็นสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้นำของภูมิภาค ด้วยจุดแข็งในด้านคุณภาพการรักษาพยาบาลเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ความพร้อมของโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI กว่า 60 แห่ง มากเป็นอันดับ 4 ของโลก อันดับ 1 ของอาเซียน รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่แข่งขันได้

ดังนั้น อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้ความสำคัญ โดยมีแพ็กเกจให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนแบบครบวงจร ทั้งด้านการผลิตและการให้บริการ ทั้งในรูปแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนา

รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งจะใช้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน เช่น สิทธิในการถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการ การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เป็นต้น

โดยสิทธิประโยชน์จะครอบคลุมกิจการ ตั้งแต่การผลิตเครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยา อาหารทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์การแพทย์แผนไทยหรือแผนไทยประยุกต์ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ ตลอดจนการวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) และการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันทางการแพทย์

โดยในปี 2566 มีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ จำนวน 65 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท ในแง่เงินลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในกิจการโรงพยาบาล 10 โครงการ เงินลงทุน 9,000 ล้านบาท รองลงมาเป็นกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์และชิ้นส่วน 24 โครงการ 2,700 ล้านบาท กิจการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางต่างๆ เช่น โรคไต โรคมะเร็ง และจิตเวช 9 โครงการ 1,600 ล้านบาท และกิจการผลิตยา 12 โครงการ 1,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บีโอไอได้มีการประชุมหารือกับบุคลากรในวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอ ให้มีการปรับปรุงนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในอนาคตอาจมีการพิจารณาเพิ่มประเภทกิจการใหม่ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาให้เกิดการต่อยอดในอุตสาหกรรมการแพทย์ และหากเป็นกิจการเฉพาะ (นิช มาร์เก็ต) ที่ประเทศไทยมีศักยภาพ จะช่วยสนับสนุนการสร้าง Ecosystem ที่จำเป็นต่อการเป็น Medical Hub ของประเทศไทย เช่น กิจการบริการเดลิเวอรี่ทางการแพทย์ การผลิตไบโอพอลิเมอร์สำหรับการแพทย์ เป็นต้น

‘บาส-ปอป้อ’ คืนฟอร์ม!! ย้ำแค้น ‘จีน’ 2 เกมรวด คัมแบ็กคว้าแชมป์ที่ 17 ในศึกลูกขนไก่ที่อินเดีย

(21 ม.ค. 67) การแข่งขันแบดมินตัน ระดับเวิลด์ ทัวร์ ซูเปอร์ 750 รายการ ‘โยเน็กซ์ ซันไรส์ อินเดีย โอเพ่น 2024’ (YONEX SUNRISE India Open 2024) ที่ เค.ดี. จาดาฟ อินดอร์ ฮอลล์ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ

ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การแข่งขันในประเภทคู่ผสม ‘บาส-เดชาพล พัววรานุเคราะห์’ กับ ‘ปอป้อ-ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย’ มือ 7 ของโลกขวัญใจชาวไทย ผ่านเข้ามาเล่นในรอบชิงฯ อีกครั้งรอบ 6 เดือน พบกับ เจียง เจิ้น ปัง กับ เว่ย หย่า ซิน มือ 5 ของโลกจากจีน โดยคู่นี้เคยเจอกันมา 2 ครั้ง เป็น ‘บาส-ปอป้อ’ ที่เอาชนะไปได้ทั้ง 2 ครั้ง

ปรากฎว่าแมตช์นี้ยังคงเป็น เดชาพล กับ ทรัพย์สิรี ที่ย้ำแค้นคู่จากจีนไปได้อีกครั้ง เอาชนะไป 2-0 เกม ด้วยสกอร์ 21-16, 21-16 ประเดิมคว้าแชมป์แรกของปี 2024 ได้สำเร็จ และถือเป็นแชมป์แรกในรอบ 8 เดือนหลังสุดของ ‘บาส-ปอป้อ’ นับตั้งแต่ได้แชมป์มาเลเซีย โอเพ่น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2023

จากการคว้าแชมป์โยเน็กซ์ ซันไรส์ อินเดีย โอเพ่น 2024 ทำให้ เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย รับเงินรางวัลไปครอง 62,900 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,233,000 บาท และถือเป็นการมาคว้าแชมป์ที่ประเทศอินเดียเป็นครั้งแรกของคู่นี้อีกด้วย

'ไชยา' ล่องใต้เยี่ยม โรงงานโคฮาลาล-ท่าเรือประจวบ ขานรับส่งออกเนื้อ-โคมีชีวิต ในอนาคตด้วยคุณภาพ

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2567 ที่โรงงานแปรรูปโคฮาลาล ตำบลสลุย อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ผู้ช่วยเลขานุการ(รมว.เกษตรฯ) น.ส.อัยรินทร์ พันธ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตร พร้อมคณะที่ปรึกษา คณะทำงาน รมช.ไชยา ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดชุมพร โดยมี ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตร พร้อมด้วย นายวรัตม์ มาประณีต รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้การต้อนรับ

การลงพื้นที่ในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและหารือแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานของโรงงานแปรรูปโคฮาลาลที่ได้รับมาตรฐานสากล และมีศักยภาพในการส่งออก ให้สามารถรับซื้อโคเนื้อของเกษตรกรส่งจำหน่ายตลาดสู่ต่างประเทศได้

นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงชีพ โดยเฉพาะสินค้าปศุสัตว์ ซึ่งการที่มีเอกชนมาสัมปทานดำเนินการโรงงานแปรรูปโคฮาลาลบนพื้นที่ของกระทรวงเกษตรฯ และปรับปรุงโรงงานให้มีมาตรฐานสากล มีศักยภาพการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ไปต่างประเทศ จนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย เป็นการจุดประกายให้นักธุรกิจรายอื่น สนใจทำการตลาดสินค้าฮาลาลส่งออก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของโรงงานฯ ให้สามารถรับซื้อสินค้าของเกษตรกรไปแปรรูปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า และต่างประเทศ เพื่อให้เกษตรกรสามารถมีรายได้อย่างยั่งยืน

หลังจากนั้น เวลา 15.00 น. รมช.ไชยา ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินกิจการของท่าเรือในการเตรียมความพร้อมส่งออกโคมีชีวิต จำนวน 2,000 ตัว ไปยังประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทฯ ได้รับมาตรฐานสากล มีความพร้อมรองรับจำนวนโคมีชีวิตด้วยพื้นที่กว้างขนาด 670 ไร่ รวมถึงมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางขนส่งสินค้าเกษตรทางเรือไปประเทศคู่ค้า สามารถรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมในท้องถิ่น และจังหวัดใกล้เคียงได้จากการเชื่อมระบบขนส่งต่อเนื่องสู่ชายฝั่งทะเลอันดามัน เข้าสู่ประเทศพม่าและกลุ่มประเทศเอเซียใต้ (BIMSTEC) รวมถึงลงไปยังประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ มุ่งหวังขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรมีกำไรจากการจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ส่งออก และกลไกตลาดกลับสู่วงจรปกติ อีกทั้งช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศเติบโตยิ่งขึ้นต่อไป

สมุทรปราการ- 'TRIPLE SSS BY IMPERIAL' มอบรางวัล 'น้องปูเป้' เยาวชนคนเก่งคว้าแชมป์โลก สเก็ต U 14 ประเทศบราซิล

TRIPLE SSS by IMPERIAL จัดพิธีมอบรางวัลให้กับ ด.ญ. ขวัญกิตติกานต์ ทิพย์สมบัติ หรือ น้องปูเป้ อายุ 13 ปี เยาวชนคนเก่งจาก TRIPLE SSS by IMPERIAL ปัจจุบันน้องปูเป้ กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.1/4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยสมุทรปราการ หลังจากที่ได้ลงแข่งขันกีฬาสเก็ตในรุ่น U14 รายการของ ISSA Surfskate ชื่อว่า "LAND SURFING WORLD TOUR" ที่ประเทศบราซิล 

และมีคะแนนรวมมาเป็นอันดับที่ 1 ในการแข่งขัน 4 สนาม กระทั่งสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศระดับแชมป์โลกมาครองในการแข่งขันกีฬาสเก็ต โดยการเอาชนะนักกีฬาจากประเทศต่างๆ อีกกว่า 12 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยภายใต้การสนับสนุนของ TRIPLE SSS by IMPERIAL 

ซึ่งในพิธีมอบรางวัลในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากท่าน สงคราม​ กิจเลิศไพโรจน์​ กรรมการผู้จัดการใหญ่​ ศูนย์การค้าอิมพิเรียลเวิลด์​สำโรง​ พร้อมด้วย นางสาวนิตยา​ สุพัฒน์เดชากุล​ ผู้อำนวย​การ​ศูนย์กีฬาของอิมพิเรียลเวิลด์สำโรง​ และนายกสมาคมกีฬา สมาคมส่งเสริมกีฬาอาชีพ จ.สมุทรปราการ​ นายจักรพันธ์​ รุ่งสุขเจริญ​ นายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีม จ.สมุทรปราการ​ ร่วมแสดงความยินดีและมอบรางวัลให้กับน้องปูเป้ในครั้งนี้​ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 6 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง 

โดยทางด้าน นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์​ กล่าวว่า​ อิมพีเรียลเวิล์ดสำโรง วางบทบาทในการสร้างโอกาสให้กับเยาวชน ด้านกีฬาเราจะสังเกตว่าใน 2-3 ปี ที่ผ่านมา อิมพีเรียลเวิล์ดสำโรงเข้ามามีส่วนร่วมในวงการกีฬามากขึ้น ทั้งนี้เพราะเราเล็งเห็นความสำคัญของกีฬาที่มีต่อเยาวชนในปัจจุบัน อิมพีเรียลเวิล์ดสำโรง มีสนามไอซ์สเก็ต ที่สร้างนักกีฬาระดับทีมชาติ ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ และระดับโลก โดยเป็นสนามแห่งความเป็นเลิศ 1 ใน 5 ของสนามระดับนี้ทั้งโลก เรามีสนามฝึกซ้อมกอล์ฟ โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมีเครื่อง SIMULATORS เครื่องฝึกและทดสอบกอล์ฟเสมือนจริง ที่มีใช้ในสนามอื่นๆ อีกไม่กี่แห่งทั้งโลก เรามีสระว่ายน้ำที่ทันสมัย บรรยากาศร่มรื่น มีการเรียนการสอนกีฬาว่ายน้ำโดยอดีตโค้ชทีมชาติ เรามีสนามสำหรับฝึกซ้อมและพัฒนากีฬาเทเบิลเทนนิสที่ผลิตนักกีฬาระดับจังหวัด และระดับชาติออกไปอีกหลายๆ คน 

และที่ใหม่ล่าสุดคือ ลาน Surfskate ในร่มที่เป็นลานไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ลานสเก็ตแห่งนี้กำลังเป็นที่โจษจันกันในวงการ Surfskate ถึงความทันสมัยและความท้าทาย ที่ทำให้นักกีฬาต่างชาติอยากจะมาทดลองเล่น ทุกวันนี้เรามีนักกีฬามาจากต่างประเทศหลายประเทศมาเล่นที่ลานสนามของเราตลอดเวลา หรือแม้แต่นักเล่นสเก็ตของไทยก็พยายามหาโอกาสมาเล่นที่ลานสนามของเราด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อิมพีเรียลเวิลด์สำโรง จะค่อยๆ สร้างโอกาสและสนับสนุนนักกีฬาเยาวชนของสมุทรปราการให้ได้รับโอกาสในการพัฒนาตามศักยภาพของแต่ละคนและจะพยายามเพิ่มประเภทของกีฬาที่เราจะเข้าไปส่งเสริมให้มากยิ่งขึ้น

โดยทางด้านคุณฝ้าย นิตยา สุพัฒน์เดชากุล เปิดเผยว่า​ เรามาสนับสนุนกีฬา Surfskate และลงมือสร้างลาน Surfskate ที่ทำด้วยไม้ และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพราะเราเล็งเห็นว่าในปัจจุบันกีฬาประเภท EXTREME SPORTS กำลังเป็นที่นิยมในหมู่เยาวชนวัยรุ่นเป็นอย่างมาก ถ้าเรามีการบริหารจัดการกีฬาเหล่านี้อย่างเหมาะสม มีการฝึกสอนและพัฒนานักกีฬาอย่างเป็นขั้นตอน มีการส่งเสริมนักกีฬาให้ได้มีโอกาสไปแข่งขันใน LEAGUE ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ นักกีฬาก็จะสามารถเพิ่มทักษะของตนไปตามลำดับ 

จะส่งเสริมพัฒนานักสเก็ตเยาวชนของไทยอย่างต่อเนื่อง เราจะจัดตั้ง ACADEMY ขึ้นเพื่อฝึกสอนนักกีฬา จะมีการแข่งขันแบบ TOURNAMENT และแบบ LEAGUE จะมีการจัดลำดับนักกีฬา และเก็บสถิติของนักกีฬาสเก็ตของไทย เพื่อวางมาตรฐานให้กีฬานี้เป็นที่นิยม และพัฒนาไปสู่การแข่งขันระดับชาติ และระดับโลกต่อไป

ครูบาธรรมชัย เข้ารับรางวัลญาณสังวร “ญสส.๑๑๐ปีประจำปี๒๕๖๗ สาขา พระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ

พระครูสุชัยธรรมนันท์ (ครูบาธรรมชัย)เข้ารับรางวัลญาณสังวร “ญสส.๑๑๐ปีประจำปี๒๕๖๗ สาขา พระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สวนท.) จัดโครงการ ญสส . ๑๑๐ ปีอนุสรณ์ พระชันษาชาตกาลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังธฆปรินายก โดยมี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องค์มนตรี ในรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ก่อตั้งโครงการฯ ได้รับประทานโล่รางวัลจากสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มอบรางวัลญาณสังวร “ญสส.๑๑๐ปีประจำปี๒๕๖๗ แด่พระครูสุชัยธรรมนันท์ (ครูบาธรรมชัย)สาขา พระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ณ. หอประชุมใหญ่กรมประชาสัมพันธ์ ถ.พระราม 6 เขตพญาไทกรุงเทพฯ

พระครูสุชัยธรรมนันท์(ครูบาธรรมชัย )เจ้าอาวาสวัดศรีพันต้น จ.น่าน และเจ้าสำนักสถานธรรม ธรรมชัย แผ่นดินทอง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี กล่าวว่า ท่านเป็นศิษย์เอกหลวงปู่ขันธ์ วัดศรีพันต้น จ.น่าน เกจิผู้เปลี่ยมด้วยเมตตา พระผู้มีแต่ให้มีปณิธานสูงสุดในการสร้างโรงพยาบาลรักษาฟรี ตามเจตนารมณ์หลวงปู่ขันธ์ผู้เป็นอาจารย์ ที่ท่านได้อุทิศตนช่วยเหลือประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วย รวมไปถึงบิดาของครูบาธรรมชัยเองก็ตาม ด้วยจิตอันเป็นกุศลทำให้ครูบาได้เดินหน้าสร้างสาธารณประโยชน์ จัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องมือทางการแพทย์ และปรับปรุงอาคาร โรงพยาบาลบ่อเกลือ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เพื่อต่อลมหายใจผู้ป่วย ประชาชนในพื้นที่ ประชาชนใกล้เคียง และชาวบ้านเขตพื้นที่รอยต่อแนวชายแดนไทย รวมไปถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่เป็นปัญหาอุปสรรคทางการแพทย์ และขาดเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์อีกจำนวนมาก ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ป่วย ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเขา จากปัจจัยซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลน และปรับปรุงสร้างอาคารตึกผู้ป่วยโรงพยาบาล”ครูบาธรรมชัย”กล่าวทิ้งท้ายว่า อาตมาจะ เสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชน์คุณงามความดีและส่วนรวมของประเทศต่อไป

สำหรับรางวัลญาณสังวร “ญสส.๑๑๐ปีในแต่ละปีจะมีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกโดยแบ่งเป็นคณะสงฆ์ และบุคคลทั่วไปทุกอาชีพ ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ  ที่ประกอบไปด้วยคุณความดี มีผลงานด้านหนึ่งด้านใดอันเป็นเชิงประจักษ์ มีส่วนร่วมหรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชน และองค์กร สังคม ในปีนี้มีพระสงฆ์ ผู้ที่ผ่านการคัดสรร ได้รับการคัดเลือกได้รับการยกย่องโครงการเชิดชูเกียรติ และ ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม น้อมรำลึกถวายพระเกียรติคุณแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เพราะในสังคมต้องการคนดี ที่เป็นพลังขับเคลื่อนเพื่อความเข้มแข็งของสังคมและประเทศชาติ และเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นๆซึ่งการสร้างคุณธรรม จริยธรรมให้เกิดขึ้นนั้น ประชาชนต้องมีหลักของใจอันมั่นคง มีศรัทธา และปัญญาอันถูกต้อง ปฏิบัติตนอยู่ในทางที่เป็นประโยชน์ และในการส่งเสริมบุคคลเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ สมควรได้รับการยกย่องชมเชย สนับสนุนและเสริมสร้างขวัญกำลังใจ เพื่อเป็นเกียรติสิริมงคลแก่บุคคลตัวอย่างที่จรรโลงให้สังคมน่าอยู่โดยได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทรงประทานชื่อรางวัล”ญาณสังวร” นับแต่2566 และให้อัญเชิญตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. ประดิษฐานประจำโล่รางวัล “ญาณสังวร” นับเป็นการเชิดชูเกียรติและส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เป็นรางวัลที่มอบให้กับบุคคลที่เป็นผู้ปฏิบัติดี ประพฤติชอบ มีคุณธรรม จริยธรรม ได้เสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติ ยกย่องส่งเสริมบุคคลต้นแบบ คนดีของแผ่นดินตามรอยพระยุคลบาท เพื่อเป็นสรรพสิริมงคลและเกียรติประวัติสืบไป... 

‘สื่อฮ่องกง’ ชี้ ‘ทุเรียนไทย’ กำลังเสียแชมป์เจ้าตลาดในแดนมังกร หลัง ‘เวียดนาม-ฟิลิปปินส์’ แข่งส่งออก ซ้ำ!! ‘จีน’ หันมาผลิตเอง

เมื่อวานนี้ (21 ม.ค. 67) หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า ภายในแค่ 3 ปี จีนประสบความสำเร็จสามารถปลูกทุเรียนได้เองเพิ่มกำลังการผลิตจาก 50 ตัน มาอยู่ที่ 500 ตัน ภายในปีหน้า

"การบริโภคทุเรียนภายในประเทศคาดจะสามารถเพิ่มการผลิต 250 ตันปีนี้ แต่ภายในปีหน้าจะสามารถมีกำลังการผลิตมหาศาลโดยกำลังการผลิตสามารถแตะ 500 ตัน” เฟง ซูจี (Feng Xuejie) ผู้อำนวยการสถาบันผลไม้เขตอากาศร้อนชื้น (Institute of Tropical Fruit Trees) ประจำสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไห่หนาน (Hainan Academy of Agricultural Sciences)

ปีที่ผ่านมา มณฑลไห่หนานประสบความสำเร็จสามารถผลิตทุเรียนได้ถึง 50 ตัน ซึ่งเฟงมองว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการทุเรียนอย่างสูงของผู้บริโภคชาวจีน

“สำหรับราคาและรสชาติของทุเรียนภายในประเทศในอนาคตนั้นขอให้เฝ้ารอ” เฟง กล่าวเสริม

ซึ่งกลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมื่อ ‘ปักกิ่ง’ ปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จสามารถออกผลผลิตทุเรียนปลูกเองภายในประเทศที่มณฑลไห่หนานได้

หนังสือพิมพ์ฮ่องกงรายงานว่า ผู้บริโภคทุเรียนในจีนมองทุเรียนโดยเฉพาะคนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อต่างมองผลไม้เปลือกแข็งหนามแหลมและมีรสชาติที่หอมหวานไม่เหมือนใครว่าเป็นเสมือนรางวัล ซึ่งทุเรียนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ราชาผลไม้’

หนังสือพิมพ์ฮ่องกงชี้ต่อว่า การนำเข้าทุเรียนปีที่แล้วสูงลิ่ว แต่ทว่าปักกิ่งซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เริ่มกระจายการซื้อทุเรียนไปยังหลายแหล่งเพื่อให้ตรงตามความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคชาวจีนภายในประเทศ ซึ่งจากแต่เดิมเคยนำเข้าทุเรียนจาก ‘ไทย’ เพียงเจ้าเดียว โดยปักกิ่งได้นำเข้าทุเรียนจาก ‘เวียดนาม’ และ ‘ฟิลิปปินส์’ ส่งผลทำให้ไทยกำลังสูญเสียความเป็นเจ้าตลาดทุเรียนในจีนไปอย่างช่วยไม่ได้

อ้างอิงข้อมูลจากตัวเลขทางการของสำนักงานศุลกากรจีนพบว่า จีนนำเข้าทุเรียนทั้งหมด 1.4 ล้านตันภายใน 12 เดือนแรกของปี 2023 สูง 69% จากปีก่อนหน้า

ขณะที่ไทยซึ่งอดีตเคยเป็นเจ้าการตลาดการส่งออกทุเรียนไปจีน มียอดการส่งออกตกจากเกือบ 100% ในปี 2021 มาอยู่ที่ 95.36 ในปี 2022 และเหลือแค่ 67.98% มาจนถึงเดือนธันวาคมปี 2023

อ้างอิงข้อมูลวันที่ 11 เม.ย ปี 2566 จากกรมการส่งออก การผลิตทุเรียนไทยต่อปีที่ 1,480,000 ตัน และสายพันธุ์ที่ปลูกและส่งออกคือ ชะนีหมอนทอง ก้านยาว กระดุมพวงมณี

กรมการส่งออกพบว่า ‘ทุเรียนฟิลิปปินส์’ ที่ส่งออกไปจีนเป็นพันธุ์ปูยัต (Puyat) มีลักษณะเนื้อสีทอง กลิ่นหอมแรงและรสชาติเข้มข้น

สมาคมอุตสาหกรรมทุเรียนดาเวา (DIADC) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน มณฑล/เขต ที่ปลูกทุเรียนของฟิลิปปินส์มีจำนวน 47 แห่ง พื้นที่ปลูกทุเรียนรวมประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ผลผลิต 100,000 ตันต่อปี สายพันธุ์ทุเรียนที่สามารถปลูกได้ในฟิลิปปินส์คือ ชะนี, หมอนทอง, alcon fancy, arancillo และ puyat

ส่วน ‘ทุเรียนเวียดนาม’ ที่ส่งเข้าไปตีตลาดจีนและแซงหน้าไทยได้นั้นเป็น ‘พันธุ์หมอนทอง’ (Ri6 หมอนทอง 6) จากจ.ดักลัก ซึ่งก็เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับทุเรียนไทยที่ส่งออกมายังตลาดจีน

ตามรายงานของกรมการส่งออกระบุว่า จุดแข็งของทุเรียนเวียดนามคือ ระยะทางที่สั้นและเวลาการขนส่งน้อยแค่ 2 ชม. ถึงด่านจีน ทำให้ทุเรียนเวียดนามยังคงรักษาคุณภาพได้เป็นอย่างดี

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า บรรดาผู้ส่งออกทุเรียนเวียดนามไปจีนนั้นเริ่มตั้งแต่เกือบ 0% ไปอยู่ที่ 4.63% ที่ 188.1 ล้านดอลลาร์ในปี 2022, และเพิ่มไปอยู่ที่ 31.82 % ใน 11 เดือนแรกของปี 2023 มีมูลค่าอยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ เบียดการส่งออกทุเรียนจากไทย

ขณะที่บรรดาผู้ส่งออกทุเรียนในมาเลเซียต่างพยายามผลักดันข้อตกลงในปีนี้เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์จีน-มาเลเซีย ไซมอน ชิน (Simon Chin) ผู้ก่อตั้งบริษัทส่งออก DKing กล่าว

ปัจจุบันมาเลเซียได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนแช่แข็งไปจีนเท่านั้น

ชินแสดงความเห็นกับสื่อฮ่องกงว่า “ปัจจุบันพวกเรากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับจีนเพื่อหาลู่ทางการส่งออกผลไม้สด เช่นเดียวกับที่ไทยและเหมือนเช่นที่ฝ่ายไทยทำ”

อย่างไรก็ตามในแง่รายได้ การส่งออกทุเรียนไทยมาจีนนั้นยังคงเพิ่มในปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากความต้องการสูงของตลาดผู้บริโภคจีนในเมืองระดับการที่เริ่มจะมีมากขึ้น แซม ซิน (Sam Sin) ผู้อำนวยการพัฒนาประจำ S&F Produce Group ที่มีฐานอยู่ในฮ่องกงชี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top