Friday, 13 June 2025
NewsFeed

‘โพลนิด้า’ เปิดผลสำรวจ ปชช.ต่อภาพรวมกรณีของ ‘ทักษิณ’ ชี้!! ร้อยละ 39.62 มองว่าไม่ส่งผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาล

(21 ม.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘กรณีทักษิณ ชินวัตร กับความอยู่รอดของรัฐบาล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความอยู่รอดของรัฐบาล จากกรณีทักษิณ ชินวัตร ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.62 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเลย

รองลงมา ร้อยละ 21.98 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาลอย่างมาก และร้อยละ 4.28 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ส่งตัวทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าเรือนจำ จะลุกลามจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนการชุมนุมของเสื้อเหลือง เสื้อแดง และ กปปส. ในอดีต พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.60 ระบุว่า จะไม่นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่แน่นอน

รองลงมา ร้อยละ 41.30 ระบุว่า จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ แต่ไม่ใหญ่โตเหมือนในอดีต ร้อยละ 11.15 ระบุว่า จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนในอดีตแน่นอน และร้อยละ 5.95 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

นักวิ่ง 1,580 คน ร่วมวิ่ง 3 ระยะ 20 ,10 และ 5 กม.ในกิจกรรมอินเตอร์เนชั่นแนล รัน แอท กระบี่ (International Run @ Krabi) ภายใต้โครงการพัฒนาเมืองกีฬา เชื่อมโยงการท่องเที่ยว

21 มกราคม 2567 ณ ลานสวนสาธารณะธารา อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมอินเตอร์เนชั่นแนล รัน แอท กระบี่(International Run @ Krabi) โดยมีนายภานุ ศรีวิสุทธิ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขต กระบี่ กล่าวรายงาน และมี พ.ต.อ.สมเด็จ สุขการ นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ กล่าวต้อนรับ มีหัวหน้าส่วนราชการ  ภาคีเครือข่าย ภาคเอกชน สื่อมวลชน โดยมีนักวิ่งเข้าร่วมทั้ง 3 ระยะทาง 1,580 คน

นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า กิจกรรมอินเตอร์เนชั่นแนล รัน แอท กระบี่(International Run @ Krabi) เป็นอีกกิจกรรมสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จุดประสงค์เพื่อมุ่งที่จะพัฒนากิจกรรมด้านกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว และสร้างความจดจำด้านการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงกีฬาและส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ในหลากหลายมิติ และเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน ท้องถิ่น เพราะการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นนักกีฬาและผู้ติดตาม จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน เกิดการจ้างงานและการขยายตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัด ที่ใช้กิจกรรมวิ่งเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์

นายภานุ ศรีวิสุทธิ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขต กระบี่ กล่าวว่า

มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขต กระบี่ ได้อนุมัติโครงการพัฒนาเมืองกีฬาเชื่อมโยงการท่องเที่ยว กิจกรรมอินเตอร์เนชั่นแนล รัน แอท กระบี่(International Run @ Krabi) มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด สร้างความเชื่อมโยงของการท่องเที่ยวของจังหวัด กลุ่มจังหวัด และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด กลุ่มจังหวัด ภูมิภาค และประเทศ เพื่อส่งเสริมกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว (Sport Tourism)โดยใช้กีฬาเป็นสื่อในการพัฒนาลักษณะนิสัยเยาวชนให้มีน้ำใจนักกีฬา มีวินัย ปฎิบัติตามกติกามารยาท และมีความสามัคคี เพื่อกระตุ้นกระแสการแข่งขันกีฬาระดับสากลให้เกิดขึ้นในจังหวัดกระบี่ และปลูกฝังให้เยาวชนไทยและบุคคลทั่วไปได้สัมผัสการแข่งกีฬาระดับนานาชาติ

"มีนักกีฬาสมัคร ทั้งหมด1,500 คน เต็มจำนวนภายใน 7 วันหลังเปิดรับสมัคร และมีการสมัครเพิ่มอีก จำนวน 120 คน รวมทั้งหมด 1,580 คน แบ่งการวิ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะทาง 21 กม. มีผู้สมัครวิ่ง จำนวน 260 คน ระยะทาง 10 กม.  มีผู้สมัครวิ่ง จำนวน 360 คน และระยะทาง 5 กม. มีผู้สมัครวิ่ง จำนวน 960 คน" นายภานุ ศรีวิสุทธิ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขต กระบี่ กล่าว...

สมุทรปราการ- 'สมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย' จัดพิธีมอบตำแหน่ง 'ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์' นั่งนายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมัยที่ 48

วันที่ 20 มกราคม 2567 เวลา 17.30 น. ภายในสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย ถ.สุขุมวิท ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ สมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย จัดพิธีรับมอบตำแหน่งนายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทยคนใหม่ แก่ทาง ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ถูกรับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมัยที่ 48 

โดยมี คุณเพ็ญณี ไพรสานฑ์กุล นายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมัยที่ 47 พร้อมด้วย  Mr.Chun-Fu,Chang ท่านทูตไต้หวัน นายณรงค์ ดีโรจนวงศ์ นายกสมาคมจงหัวแห่งประเทศไทย (TTBA) คุณเฉิน เชาฟง หัวหน้าแผนกกิจการชุมชนต่างประเทศ แห่งสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และคุณ กัว เซียวหมิ่น ประธานสมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน(TTBA) คุณเฉิน เมี่ยวยิน ประธานสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจโล ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ คณะกรรมการสมาคม เจ้าหน้าที่ และสมาชิกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย ได้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีพร้อมทั้งมอบกระเช้าดอกไม้เพื่อเป็นการอวยพรกันเป็นจำนวนมาก

โดย ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์ นายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมัยที่ 48 กล่าวว่า ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านและพี่น้องชาวไต้หวันจากทุกภาคส่วน รวมถึงนายกสมาคมกิตติมศักดิ์ทุกท่านที่ส่งเสริมพร้อมทั้งให้กำลังใจ ทำให้มีความกล้าที่จะรับตำแหน่งนายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมัยที่ 48 นี้ จากนี้ต่อไปดิฉันในนามนายกสมาคม สมัยที่ 48 จะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและในค่ำคืนนี้คือจุดเริ่มต้นในการปฎิบัติหน้าที่และจะขอทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และเต็มความสามารถไม่ว่าจะเป็นงานใดๆ ของสมาคมก็ตามและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับชาวไต้หวันที่อยู่ในประเทศไทยต่อไป       

บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่น อีกทั้งภายในงานยังได้มีพิธีมอบทุนการศึกษาให้แก่บุตร ธิดา ชาวไต้หวันพร้อมทั้งมีการจับรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับประเทศไต้หวัน ก่อนจะมีการตัดเค้กเฉลิมฉลองตำแหน่งนายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมัยที่ 48 ต่อไป

ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ สวยหรู!! แรงกระเพื่อมสั่น ‘รัฐบาล’ สะเทือน ‘ผู้ว่าธปท.’

ต้อนรับปีมังกร 9 ธนาคารพาณิชย์ประกาศผลประกอบการออกมา มีกำไรมากกว่า 2.26 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 2566 

9 ธนาคารพาณิชย์ มีผลประกอบการดีทุกธนาคาร ไล่จาก ‘SCB’ ทำกำไรได้สูงสุด รองลงมา เป็น ‘KBANK’ และอันดับที่ 3 ‘BBL’ และ มีถึง 3 ธนาคาร ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดในรอบ 10 ปี นำโดย BBL, KTB และ TTB ซึ่งหากดูกำไรสุทธิโดยรวมทั้ง 9 ธนาคาร สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 226,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.44% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 192,578 ล้านบาท 

รวมทั้งธนาคารขนาดกลาง ‘TISCO’ ปีนี้มีกำไรขึ้นมาอยู่ที่ 7,302 ล้านบาท เป็นผลงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน

กำไรกลุ่ม ‘ธนาคาร’ เลยกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างมาก หลังมีการหยิบยกประเด็น ‘กำไร’ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือ ‘NIM’ ว่า สูงเกินไปหรือไม่? โดยที่ประชาชนเป็นเสมือนผู้รับ ‘ภาระดอกเบี้ย’ ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์บางธนาคารสามารถทำกำไรสุทธิได้เติบโตสูงสุดในปีนี้ 

หากมาดูถึงปัจจัยที่ทำให้หลายธนาคารมีกำไรสุทธิสูงสุด ส่วนหนึ่งย่อมมาจาก ‘รายได้ดอกเบี้ย’ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดอกเบี้ยนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในปัจจุบันที่ 2.50% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผลประกอบการปีนี้อย่างมาก

ในปี 2566 มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย จำนวน 5 ครั้ง จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทั้งหมด 6 ครั้ง เพิ่มจาก 1.25% ในปี 2565 มาอยู่ที่ 2.50% หรือปรับสูงขึ้นเท่าตัว

อีกด้านของงบการเงิน ในการ ‘ตั้งสำรองหนี้เสีย’ สำหรับธนาคารทั้ง 9 แห่ง พบว่า ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยธนาคารที่มีการตั้งสำรองสูงที่สุด คือ KBANK ตั้งสำรองสูงถึง 5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ KTB ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นถึง 52% หรือ 3.7 หมื่นล้านบาทหากเทียบกับปีก่อนหน้า, BAY ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 33.64%, TTB เพิ่มขึ้น 21% ส่งผลให้สำรองโดยรวมทั้ง 9 แบงก์ เพิ่มมาอยู่ที่ 229,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.03% จากปีก่อน ที่สำรองอยู่ที่ 193,104 ล้านบาท 

ในส่วน ‘หนี้เสีย’ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ ‘NPL’ พบว่า โดยรวมปรับลดลง มาอยู่ที่ 498,720 ล้านบาท ลดลง 0.13% จาก 499,358 ล้านบาท แต่บางธนาคาร หนี้เสียยังปรับเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับคุณภาพหนี้ที่อาจตกชั้นในระยะข้างหน้า เช่น SCB หนี้เสียเพิ่มขึ้นที่ 1.58%, KBANK 1.84%, BAY เพิ่มขึ้น 14.2%, TISCO เพิ่มขึ้น 14.2%, LHFG เพิ่มขึ้น 20% และ CIMBT เพิ่มขึ้นเกือบ 6%

ประเด็นดังกล่าวเริ่มกลายเป็นแรงกระเพื่อมต่อรัฐบาล เพราะในมุมมองของประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ รู้สึกถึงความเดือดร้อนจากดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง โดยช่วงค่ำวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทวีตข้อความว่า…

“จากการที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยทั้งๆ ที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันหลายๆ เดือนนั้น ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเลย และยังมีผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย และ SMEs อีกด้วย

ผมจึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูราคาสินค้าเกษตรบางชนิดให้เหมาะสม เพราะอาจจะต่ำไปก็ได้ และหวังว่าแบงก์ชาติจะช่วยดูแลประชาชน ไม่ขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับเงินเฟ้อนะครับ”

และวันที่ 8 มกราคม 2567 นายกฯ เศรษฐา ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ออกมาติงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจว่า “ความจริงแล้วเราพูดคุยกันตลอดอยู่แล้วในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ตนมีจุดยืนชัดเจนว่า ‘ผมไม่เห็นด้วย’ แต่ท่าน (แบงก์ชาติ) ก็มีอำนาจในการขึ้น”

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า ปัจจุบันเงินเฟ้อต่ำมาก ดังนั้น อาจจะต้องฝากให้พิจารณาเรื่องการลดดอกเบี้ย และระบุว่าหลังจากนี้จะมีการพูดคุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 มกราคม 2567 ถึงกรณีที่เอกชนเริ่มเลื่อนจ่ายหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างไรหรือไม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 10 มกราคม 2567 ได้มีการพูดคุยกับ รมช.คลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในเวลา 13.30 น. โดยมีการพูดคุยกันหลายเรื่อง เป็นเรื่องที่สำคัญที่เราต้องให้ความสำคัญและนำข้อมูลมาหยิบยกกัน

และคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่า แรงกระเพื่อมนี้ จะส่งผลอย่างไรกับความสัมพันธ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย กับรัฐบาลที่นำโดย นายกฯ เศรษฐา ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทย ในภาวะที่โครงการ Digital Wallet ที่ก็ยังคงไม่สามารถหาจุดลงตัวในการดำเนินการได้

เรื่อง : The PALM

ย้อน 3 ไทม์ไลน์ แนวทางกู้วิกฤต PM 2.5 ของ ‘พลเอกประยุทธ์’ ‘ขอความร่วมมือเพื่อนบ้าน-เร่งคุมปัญหาในประเทศ-ชู EV ปรับสมดุล’

>> เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 66 ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่

แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย...

1.) ภายในประเทศ รัฐบาลได้ขับเคลื่อน ‘แม่แจ่มโมเดล’ ที่บูรณาการทุกภาคส่วน ในทุกระดับ อย่างครบวงจร และขยายผลไปในทุกพื้นที่ของภาคเหนือต่อไป 

2.) ภายนอกประเทศ รัฐบาลได้ใช้การเจรจาและขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ในการจำกัดปัญหาหมอกควันนี้ นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองเชียงใหม่ สายโรงพยาบาลนครพิงค์-แยกแม่เหียะสมานสามัคคี ที่อยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อก่อสร้างในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งการส่งเสริมการใช้และผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งจะไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมตามทิศทางของโลก แต่เป็นการสร้างเศรษฐกิจใหม่ของไทยในศตวรรษหน้าอีกด้วย 

>> เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 66 สั่งการ ครม.แก้ปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (28 มี.ค. 66) ได้มีการหารือ และสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยผมขอให้กำกับดูแลลงในรายละเอียดมากขึ้น เน้นแก้ไขที่ต้นตอของปัญหาจริงๆ ได้แก่...

1.) การเผาป่า/ไฟป่า ‘นอกประเทศ’ ที่เป็นสาเหตุหลักในปัจจุบัน ช่วงเดือนมีนาคมนี้ พบจุดความร้อนสะสมสูงถึง 25,209 จุด ทั้งนี้ผมได้ใช้ทั้งช่องทางการทูตและช่องทางส่วนตัว หารือ/ขอความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในการควบคุมการเผาต่างๆ เพื่อลดผลกระทบร่วมกันของประชาชนในพื้นที่ 

2.) การควบคุมและดับไฟป่า ‘ในประเทศ’ ทั้งป่าอนุรักษ์และป่าสงวน โดยผมได้สั่งการให้บูรณาการเครื่องมือ เจ้าหน้าที่ และแผนงานจากทุกภาคส่วน เช่น เจ้าหน้าที่ชุดดับไฟป่า, เฮลิคอปเตอร์ดับไฟป่า, การทำฝนหลวง, การสร้างแนวกันไฟ ตลอดจนอาสาสมัครในพื้นที่ ทำงานร่วมกับฝ่ายปกครอง-ฝ่ายทหาร เพื่อลดปัญหาเป็นการเร่งด่วนด้วย

3.) การกำกับดูแลการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ‘ในประเทศ’ ซึ่งผมให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ใช้กลไกที่มีอยู่ในทุกระดับ ขอความร่วมมือและสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น เพื่อลดการเผาลงให้ได้มากที่สุด รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป  

4.) การให้คำแนะนำด้านสุขภาพ เช่น ลดการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงนี้ และควรสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาแสบตา คันตา ตาแดง ระคายเคืองผิวหนัง ไอ หายใจลำบาก หรือแน่นหน้าอก ฯลฯ ขอให้เข้ารับบริการ ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานพยาบาลของรัฐที่ใกล้บ้านในทันทีได้ทุกแห่ง

ทั้งนี้ ผมได้ติดตามและได้รับรายงานการป้องกัน รวมทั้งการแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าโดยพื้นฐานแล้ว คนไทยเป็นผู้มีน้ำใจและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นหากได้รับทราบข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้อง ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ทำให้ทุกปัญหาของบ้านเมืองคลี่คลายลงไปได้ ในทางที่ดีเสมอครับ

>> เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 มีการประชุม 3 ฝ่าย (ไทย-ลาว-เมียนมา) เพื่อร่วมแก้ปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

สุขภาพและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เป็นสิ่งที่ผมและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จากการติดตามประเมินผลการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง หลายมาตรการประเทศไทยเราสามารถควบคุมและจำกัดปัญหา PM 2.5 ได้เองเป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลดปัญหาหมอกควันข้ามแดนนั้น จำเป็นจะต้องกระชับความร่วมมือกับประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งในวันนี้ผมได้ริเริ่มให้มีการประชุมสามฝ่าย ผ่านระบบ Video Conference เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน กับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่เห็นพ้องต้องกันในหลายเรื่อง ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน ทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะยั่งยืน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่…

1.) การแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ รวมถึงแนวทางดำเนินการด้านกฎหมายของแต่ละประเทศ เพื่อควบคุมที่ต้นเหตุของปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือเกษตรกรในการบริการจัดการของเสีย-ซากพืชผลทางการเกษตร โดยแปรให้เป็นพลังงาน เช่น (1) การทำโรงไฟฟ้า BCG ที่เปลี่ยนของเสียให้เป็นปุ๋ย, พลังงานไฟฟ้า หรือน้ำมันดีเซล (2) การทำโรงงานไบโอก๊าซขนาดเล็ก ตามชุมชนขนาดเล็ก และ (3) การแปรรูปเศษซากที่เหลือจากการเกษตรเป็นวัสดุที่เป็นรายได้ เป็นต้น   

2.) การใช้ประโยชน์กลไกทุกระดับ ในรูปแบบทวิภาคี เช่น คณะกรรมการชายแดนในระดับจังหวัด และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 42 เพื่อให้ผู้นำอาเซียน ได้ร่วมกันพิจารณาสั่งการ และเร่งรัดการปฏิบัติให้มีผลเป็นรูปธรรมและรอบด้าน 

3.) การจัดตั้งระบบเตือนภัยและส่งเสริมประสิทธิภาพการดับไฟ, การบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการพัฒนาความสามารถเจ้าหน้าที่ เพื่อลดจุดความร้อนและควบคุมมลพิษในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  

ซึ่งมาตรการทั้งหลายเหล่านั้นจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ โดยจัดทำแผนร่วมกันในรายละเอียด และขับเคลื่อนในทุกระดับต่อไป โดยบรรยากาศการประชุมสามฝ่ายในวันนี้ เป็นไปด้วยความราบรื่นและเต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นพลังแห่งความร่วมมือระหว่างกัน ที่จะนำมาสู่การคลี่คลายปัญหานี้ได้ โดยเร็ววันครับ

‘ซีอีโอหนุ่ม’ เตือน!! อย่ากระตุ้นชีวิตด้วยการติดหนี้ หากไม่มีความสามารถชำระหนี้นั้นๆ ในระยะสั้น

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณซีเค เจิง’ (CK Cheong) นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน (มาเก๊า) ผู้เติบโตที่ประเทศอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ ‘Fastwork Technologies’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีภาระหนี้สิน ผ่านทางช่องติ๊กต็อกชื่อ ‘Ckfastwork’ ระบุว่า…

“ทําไมเราถึงสนับสนุนให้คนติดหนี้? ผมอยากจะเตือนสติประชาชนมากๆ ผมอยากจะให้ช่องทางสื่อของผมเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนคิดได้ว่า ‘การติดหนี้’ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนเลย

เราควรจะสามารถติดหนี้ได้ ต่อเมื่อเรารู้ว่าจะสามารถหามาคืนได้แน่ๆ ภายในระยะเวลาอันสั้น ถ้าหากเรายังไม่แน่ใจว่าจะสามารถหามาคืนได้จริงๆ ผมว่าเราก็ไม่ควรติดหนี้”

คุณซีเค ยังยกตัวอย่างในกรณีที่ หากคุณรู้ว่าลูกค้าต้องการสั่งของ ต้องมีทุนหนึ่งแสนบาท แต่ยังขาดเงินอีก 50,000 บาท หากคุณอยากยืมเงินไปลงทุนตรงนี้ และคุณสามารถขายของสร้างรายได้ นำเงินกลับมาใช้คืนได้ภายใน 3-4 เดือน หากเป็นแบบนี้ ก็อาจจะสามารถติดหนี้ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรู้กำลังของตัวเอง ว่าสามารถหามาใช้คืนได้ แต่หากยังไม่มั่นใจว่าคุณติดหนี้แล้วจะใช้คืนได้ไหม ก็อย่าไปติดหนี้เลย

นอกจากนี้ คุณซีเค ยังกล่าวอีกว่า ยิ่งถ้าหากเป็นพวกหนี้บัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยสูงประมาณ 16% ยิ่งเป็นหนี้ที่แย่ที่สุดเลย หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่แย่ที่สุดแล้ว อย่าไปสนับสนุนการผ่อน อย่าไปฟังบิลบอร์ดโฆษณาที่เขาว่า ผ่อน 0% ไม่ต้องดาวน์ อย่าไปเชื่อ

“ผมไม่ได้อะไรจากคอนเทนต์นี้ แต่ที่ผมอยากทำคือ อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น ผู้คนคิดได้มากยิ่งขึ้น ไม่ไปหลงกลหรือหลงเชื่อ เราต้องเป็นประชาชนที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น เรียกร้องสื่อให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น สื่อที่ทำโฆษณาเชิญชวนการผ่อน เป็นสื่อที่สนับสนุนให้คนไทยติดหนี้ ไปตำหนิติเตือนกันหน่อยครับ เพราะมันไม่ดีครับ ไม่ดีสําหรับสังคมมากๆ เราไม่ควรมีความกระตือรือร้นหรือสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน เพียงเพราะเรามีหนี้สินครับ” คุณซีเค กล่าวทิ้งท้าย

‘จีน’ เดินหน้ายกระดับ-เพิ่มสมรรถนะการขนส่ง เตรียมรับมือมหกรรมการเดินทางในช่วง ‘ตรุษจีน’

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า ‘หลี่ ชุนหลิน’ รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ซึ่งร่วมประชุมงานเมื่อวันศุกร์ (19 ม.ค.) กล่าวถึงการพยายามใช้ศักยภาพทางการขนส่งอย่างเต็มที่ และเพิ่มขีดความสามารถทางการขนส่ง ก่อนเข้าสู่ช่วงมหกรรมการเดินทางเทศกาลตรุษจีนหรือ ‘ชุนอวิ้น’

หลี่ กล่าวถึงการพยายามปฏิบัติงานอย่างแข็งขัน เพื่อตอบสนองความต้องการของมหกรรมการเดินทางเทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือเป็นเทศกาลตามประเพณีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน และตรงกับวันที่ 10 ก.พ. ในปีนี้ ส่วนมหกรรมการเดินทางดังกล่าวตรงกับวันที่ 26 ม.ค.-5 มี.ค. นี้

ทั้งนี้ การคาดการณ์ของทางการจีนระบุว่าจำนวนการเดินทางของผู้โดยสารทางรถไฟและการบินพลเรือนระหว่างมหกรรมการเดินทางดังกล่าวจะสูงเป็นประวัติการณ์

บริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด คาดการณ์ว่าเครือข่ายทางรถไฟจะรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร 480 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.9 เมื่อเทียบปีต่อปี ด้านสำนักบริหารการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน คาดการณ์ว่าภาคการบินพลเรือนจะรองรับการเดินทางของผู้โดยสารมากกว่า 80 ล้านครั้ง

‘บีทีเอส’ แจง!! กรณี ‘2 ตายาย’ ติดลิฟต์สถานีสนามกีฬาฯ กว่า 1 ชม. เหตุกระแสไฟฟ้าขัดข้อง พร้อมกราบขออภัย ตอนนี้ใช้งานได้ปกติแล้ว

(21 ม.ค. 67) จากกรณีเกิดเหตุ ระทึกกับ 2 ตายายที่จะเดินทางไปทำธุระ แต่ลิฟต์ของ BTS เกิดขัดข้อง ทำให้ติดอยู่ภายในลิฟต์นานเกือบ 1 ชั่วโมง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อาสาฯ ป่อเต็กตึ๊งจุดปทุมวัน รับแจ้งมีคนติดภายในลิฟต์ ของ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ถนนพระราม 1 เจ้าหน้าที่กู้ภัย จึงนำอุปกรณ์ตัดถ่าง พร้อมทีมแพทย์ รพ.ตำรวจ เข้าช่วยเหลือ

โดยพบว่า คนที่ติดค้างอยู่ภายใน เป็น 2 ตายาย ซึ่ง ยังมีสติดี แต่อากาศหายใจไม่ค่อยออก เนื่องจากอากาศไม่ถ่ายเท

ทั้งนี้ เบื้องต้นจุดเกิดเหตุลึกประมาณ 4 เมตร ลิฟต์ค้างติดอยู่ตรงบริเวณกลางพอดี เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจเรียกช่างลิฟต์ มาพร้อมเจ้าหน้าที่ BTS มาตรวจสอบ จากนั้นจึงได้เร่งใช้ไฟสำรอง จนทำให้ลิฟต์ที่ติดขัดขึ้นมายังด้านบนได้ ส่วนทั้ง 2 ตายายนั้นปลอดภัยดี ทีมแพทย์ รพ.ตำรวจ จึงได้ให้ออกซิเจนช่วยเหลือ เนื่องจากทั้ง 2 นั้นอยู่ภายในลิฟต์เป็นเวลานานเกือบ 1 ชม.

โดยจากการสอบถามทั้ง 2 ตายาย เล่าว่า ได้เดินทางมาจากแถวถนนจันทน์ เพื่อที่จะเดินทางไปทำธุระแถวสนามหลวง จึงได้นั่ง BTS มาแล้วลงสนามกีฬาแห่งชาติ แล้วจะนั่งรถเมล์ไปต่อ พอลงมาจึงได้ขึ้นลิฟต์เพื่อที่จะลงไปข้างหลัง ขณะนั้นลิฟต์กระแสไฟตก มีปัญหา จึงค้างกะทันหันเป็นเวลาเกือบ 1 ชม. ทั้งนี้หลังจากได้ให้ออกซิเจนและปฐมพยาบาลเสร็จอาสากู้ภัยป่อเต็กตึ๊งจุดปทุมวัน ได้ไปส่ง 2 ตายาย ขึ้นรถเมล์ไปทำธุระอย่างปลอดภัยทั้งสองราย

ล่าสุด บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า…

“บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส รายงานถึงกรณีผู้โดยสารคุณตา และคุณยายติดลิฟต์ ของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติ (W1) เมื่อช่วงเวลา 08.00 น. ของวันนี้ว่า จากการตรวจสอบหาสาเหตุเบื้องต้นพบว่า มาจากกระแสไฟฟ้าขัดข้องในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าไปจ่ายให้หม้อแปลงไฟฟ้า ส่งผลให้ลิฟต์หยุดทำงาน และเมื่อได้รับแจ้งเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ดำเนินการเข้าซ่อมแซมในบริเวณหม้อแปลงไฟฟ้าและลิฟต์ที่ขัดข้องทันที พร้อมได้ประสานงานกับทางศูนย์เอราวัณ (สายด่วน 1669) เพื่อให้สามารถปฐมพยาบาล และช่วยเหลือคุณตา และคุณยายได้ทันท่วงที ซึ่งในระหว่างดำเนินการช่วยเหลือนั้น พบว่าคุณตา และคุณยาย ยังคงมีสติ แต่มีอาการอ่อนเพลีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือทั้ง 2 ท่าน อย่างระมัดระวัง และรอบคอบมากที่สุด

โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ซ่อมแซมระบบที่ขัดข้อง จนกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ปกติ และช่วยเหลือคุณตา และคุณยาย ออกมาจากลิฟต์ได้แล้วนั้น จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และทั้ง 2 ท่านประสงค์ที่จะเดินทางต่อทันที ทางเจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส จึงได้อำนวยความสะดวกให้กับทั้ง 2 ท่าน ในการเดินทางต่ออย่างปลอดภัย

บริษัทฯ กราบขออภัยคุณตา และคุณยาย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขี้น และไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้ระบบที่ขัดข้องทั้งหมดได้ถูกดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯ จะปรับปรุงระบบการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวก และปลอดภัยกับผู้โดยสารให้มากที่สุด

ขอขอบพระคุณ

ฝ่ายสื่อสารองค์กร”

‘นายกฯ’ โล่งอกหลังค่าฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ดีขึ้น ชมพ่อเมืองเป็นซูเปอร์ผู้ว่าฯ ส่วน กทม.ยังหนักอยู่

(21 ม.ค. 67) ที่กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงสภาพอากาศและค่าฝุ่น PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ดีขึ้น หลังหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ว่า เช้าวันเดียวกันนี้ ได้ดูรายละเอียดตัวเลขอยู่ที่ 12 เป็นสีเขียวดี แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะถ้าเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกับปีที่แล้วดีขึ้นเยอะ

ทั้งนี้ ก่อนขึ้นเครื่องตนได้เจอกับทหาร ตำรวจ และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ที่ถือว่าเป็นซูเปอร์ผู้ว่าฯ ประสานงานได้ดีหมด แต่ถ้าต้องการอะไรก็ขอให้บอกมา ขอให้ร่วมมือกันทำงาน รักกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ให้ช่วยเหลือกันไป มีอะไรก็ขอให้บอกมา ซึ่งผลที่ออกมาดีในวันนี้ ไม่ได้บอกว่าต่อไปจะดีหรือไม่ แต่เราพยายามอย่างเต็มที่และวันนี้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ก็ลดไปถึง 4-5 เท่าแล้วในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจและจะทำกันต่อไป

“ก็เข้าใจที่กรุงเทพฯ ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจากการที่ผมได้ไปเจอกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ได้มีการคุยกันในเรื่องนี้และมีการขอร้องกันไป” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า กรณีที่ศาลปกครองเชียงใหม่ขอให้นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำแผนแก้ปัญหาฝุ่นภายใน 90 วัน นับแต่คำพิพากษาและเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … จะส่งเรื่องไปเมื่อไหร่ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนก็ต้องทำตามคำสั่งของศาลปกครอง และจะเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาพูดคุย เพื่อปรับปรุงแผนตามที่ศาลปกครองขอมา แน่นอนว่าก็ต้องทำตาม

‘ปธน.ปูติน’ เตรียมเดินทางเยือน ‘เกาหลีเหนือ’ ตามคำเชิญ ‘ผู้นำคิม’ นับเป็นการเดินทางครั้งแรกของผู้นำรัสเซีย ในรอบกว่า 2 ทศวรรษ!!

(21 ม.ค. 67) สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือ รายงานในวันนี้ อ้างสำนักงานผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ เกี่ยวกับการพบปะกันระหว่าง ‘ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน’ แห่งรัสเซีย และ ‘นายโช ซอนฮุย’ รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ปธน.ปูตินได้แสดงความตั้งใจจะเยือนกรุงเปียงยางในเร็วๆ นี้ และยังขอบคุณสำหรับคำเชิญของ ‘นายคิม จอง อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือด้วย

นี่จะเป็นการเยือนเกาหลีเหนือครั้งแรกของผู้นำรัสเซีย ในรอบกว่า 2 ทศวรรษ!!

‘นายดมิทรี เพสคอฟ’ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ม.ค.) ว่า รัสเซียหวังว่า ปธน.ปูตินจะเยือนเกาหลีเหนือ ตามคำเชิญของคิม ซึ่งจะเกิดขึ้น ‘ในอนาคตอันใกล้’ โดยเพสคอฟกล่าวว่า ยังไม่มีการตกลงวันการเยือนไว้

ในรายงานของเคซีเอ็นเอ ภาคภาษาเกาหลีระบุว่า “ปูตินตั้งใจจะเยือนเร็วๆ นี้” ขณะที่ต่อมาได้มีรายงานภาคภาษาอังกฤษของเคซีเอ็นเอ ระบุว่า “เขาเต็มใจจะเยือนในไม่ช้านี้”

เคซีเอ็นเอรายงานด้วยว่า ในระหว่างการเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ รัสเซียได้ขอบคุณเกาหลีเหนือที่ได้สนับสนุน และแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในปฏิบัติการทางทหารต่อยูเครน

มอสโก และเปียงยาง มีความกังวลอย่างยิ่งต่อการกระทำที่ยั่วยุของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่ต่อต้านสิทธิทางอธิปไตยของเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกัน ได้ตกลงจะร่วมมือจัดการสถานการณ์ในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง นับตั้งแต่ปูตินรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก ‘บอริส เยลต์ซิน’ ซึ่งเขาได้เยือนเปียงยางในเดือน ก.ค. 2543 เพื่อพบกับ ‘คิม จอง อิล’ บิดาของคิม จอง อึน ผู้นำคนปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top