Tuesday, 10 June 2025
NewsFeed

ไขข้อข้องใจ!! เหตุไม่ใช้เฮลิคอปเตอร์ 'รับ-ส่ง' เด็ก 7 เดือนป่วยหัวใจ เหตุน้องมีภาวะอาการไม่คงที่ หากแย่ลง จะได้แวะเข้า รพ.ระหว่างทางได้

(23 ม.ค.67) จากเพจ 'Drama Addict' ได้โพสต์ข้อความกรณีมีผู้สงสัยว่า เหตุใดถึงไม่ใช้เฮลิคอปเตอร์นำตัวผู้ป่วยเด็กวัย 7 เดือนจาก รพ.หนองคาย ไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเร่งด่วนที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ แทนที่การเดินทางด้วยรถ ว่า...

จากข่าวส่งตัวเด็กน้อยที่ป่วยหัวใจแต่กำเนิดไปโรงพยาบาลจุฬา

มีทั้งคอมเมนต์ถามในต้นโพสต์ กับส่งหลังไมค์มาถามหลายคน ว่าทำไมเคสนี้ถึงไม่ให้คอปเตอร์ส่งตัวคนไข้

บางคนก็สงสัยว่าเพราะคนไข้เป็นชาวบ้านธรรมดาเป็นคนยากคนจนหรือเปล่า 

อันนี้บอกเลยว่าไม่เกี่ยว มีเพื่อนในวงการที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ

เค้าเอาคอปเตอร์ไปรับเคสส่งเคสผู้ป่วยชาวบ้านคนจน ที่ชนบทมาไม่รู้กี่เคสแล้ว

เคสต่างด้าวก็ขนด้วยคอปเตอร์มาแล้วหลายเคส 

แต่การส่งตัวเคสแต่ละเคสจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องพิจารณาเป็นเคสเคสไป 

อย่างเคสเด็กคนนี้  น้องอาการไม่คงที่มีภาวะตัวเขียวเป็นพักๆ ซึ่งถ้าอาการแย่ลงระหว่างส่งตัว

จะต้องแวะเข้าโรงพยาบาลระหว่างทางเพื่อทำการรักษาและประเมินอาการก่อนเดินทางต่อไป 

ดังนั้นทางทีมส่งตัวผู้ป่วยคงประเมินแล้วว่าส่งด้วยวิธีการนี้จะปลอดภัยและมีความเสี่ยงน้อยกว่า

ก็ประมาณนี้ครับผม และสุดท้ายน้องก็ไปถึงที่หมายโดยปลอดภัย

ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่าน และขอบคุณประชาชนที่ช่วยกันเปิดทางระหว่างน้องเดินทางไปจุฬาครับ

อนึ่ง เคสแบบนี้เวลาตัดสินใจวิธีการส่งตัว จะมีหมอและ จนท. ตัดสินใจร่วมกันหลายคน คงผ่านการพิจารณารอบคอบแล้วว่าวิธีไหนเหมาะสมสุดตามสถานการณ์และทรัพยากรที่มี เรื่องแบบนี้ ต้องเชื่อใจคนหน้างานครับ

‘ดร.เอ้’ ชี้!! ‘คนเก่ง’ ต้องหมั่นเรียนรู้-ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้

(23 ม.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ช่วงหนึ่งของรายการ ‘ป๋าเต็ดทอล์ก’ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.66 ในหัวข้อ ‘คนเก่ง’ และ ‘คนดี’ คือคนแบบไหน? โดย ดร.เอ้ ได้แชร์มุมมองเอาไว้ว่า…

“หนึ่ง เป็นคนที่ ‘เรียนรู้’ ซึ่งคนที่เก่งแล้วไม่เรียนรู้ ไม่ใช่คนเก่งในวันนี้แล้วล่ะ แต่คุณเป็นคนเก่งของเมื่อวาน และสองต้องเป็นคนที่ ‘ทําได้’ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนเรียนเก่ง ไม่ใช่คนเก่ง เพราะฉะนั้นสองอย่างนี้ต้องเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดและต้องทํางานเป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้ถึงจะเรียกว่า ‘คนเก่ง’

ถัดมา ดร.เอ้ ได้อธิบายเพิ่มเติมสำหรับคำว่า ‘คนดี’ เขาวัดกันอย่างไรว่า “อันนี้จะยากกว่าคนเก่ง จริงๆ บางทีมีคนมาให้ตังค์เราก็คิดว่าคนดีแล้ว บางทีเขาอาจไปปล้นมาก็ได้…ถ้าสําหรับผม ‘คนดี’ ต้องคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ต้องเป็นคนที่เสียสละ แล้วก็อยู่ในทํานองคลองธรรม ผมว่าถึงจะเป็นคนดี…”

'สาว' แชร์ประสบการณ์ตรง ป่วยโรคหูดับ ต้องผ่าตัดสมองด่วน ชี้!! ไม่ได้กินหมูดิบโดยตรง แต่ได้เชื้อจากปลายตะเกียบคีบหมูกระทะ

(23 ม.ค.67) สาวเปิดเรื่องจริง ป่วยหูดับ ต้องผ่าตัดสมอง เดินไม่ได้ ภัยร้ายไม่แยกตะเกียบกินหมูกระทะ เป็นเรื่องราวที่ได้รับการแชร์ต่อๆ กันเป็นวงกว้างในโลกออนไลน์ หลังหญิงสาวรายหนึ่งได้โพสต์คลิปเล่าเรื่องราวว่า “กินหมูกระทะอยู่ดีๆ ตื่นอีกทีเป็นคนพิการ ติดเชื้อจากปลายตะเกียบ”

เรื่องราวของ คุณมาย อายุ 24 ปี เจ้าของแอคเคาต์ mykai1269 ที่ออกมาเตือนเรื่องราวดังกล่าว มีใจความดังนี้
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2566 ที่ผ่านมา คุณมายมีอาการไข้ขึ้นจนชักสลบไป 5 วัน ตื่นมาหู 2 ข้างไม่ได้ยิน โดย คืนที่ 1 เริ่มแรกมีไข้ขึ้นสูงแต่ไม่สูงมาก เช็ดตัวกินยาก็ดีขึ้น เลยกลับไปทำงาน
คืนที่ 2 ไปหาหมอเอกชน กินยาที่หมอให้ ไข้หาย เลยคิดว่าหายแล้ว เลยหยุดกิน
คืนที่ 3 อยู่ๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดมากๆ กินยาไมเกรน แขนขาหนักมากแทบขยับไม่ได้ คลายไปหยิบโทรศัพท์โทรให้พี่ที่รู้จักพาไป รพ. เดินลงมารอรถ อ้วกใต้คอนโด

มายเล่าต่อว่า พอถึง รพ. อ้วกอีกรอบ อ้วกเสร็จ ชักสลบไป 5 วัน ระยะเวลาที่สลบฝันว่าเดินอยู่ในโรงพยาบาลฟีลเหมือนวิญญาณหาร่างไม่เจอ สะดุ้งรู้สึกตัวทุกครั้งที่หมอพ่นยาที่จมูก แล้วหลับต่อ พอตื่นขึ้นมา หู 2 ข้างไม่ได้ยินอะไรเลย ขาเดินไม่ได้ ขณะนั้นหมอให้ยาฆ่าเชื้อทุก 12 ชั่วโมง

พออยู่ รพ.ได้ 1 เดือน เข้าเครื่องซีทีสแกนแล้วพบว่ามีของเหลวในสมอง อ.หมอถามว่า “ผ่าคืนนี้เลยไหม” เธอเลยรีบตอบเลยว่าผ่าค่ะ สำหรับขั้นตอนรักษาคือ ให้ยาฆ่าเชื้อ ฉีดสเตียรอยด์เข้าหูเพื่อให้กลับมาได้ยิน ทำกายภาพบำบัด เพราะตื่นมาก็เดินไม่ได้ จากนั้นก็เข้าห้องเช็กหูตลอดว่าได้ยินไหม ทำกายภาพบำบัดทุกอาทิตย์ จนตอนนี้ออกจาก รพ.แล้วยังเดินเซอยู่เลย ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เข้าห้องน้ำคนพิการ อยากแชร์ไว้เป็นอุทาหรณ์ใช้ชีวิตอย่างระวัง ถึงไม่กินหมูไม่สุกก็หูดับได้” เธอรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 44 วัน โดนเข็มแทงข้างละ 20 กว่าเข็ม หมอไม่ได้บอกว่าเป็นไข้หูดับ 

หมอบอกแค่ว่า เยื่อหุ้มสมองอักเสบแล้วก็หูดับนะ หมอยังไม่แน่ใจว่าเชื้อที่อยู่ในสมองเป็นเชื้ออะไร แต่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้กินหมูดิบ หรือหมูไม่สุกแน่นอนต่อมาวันที่ 22 ธันวาคม 2566 มายอัปเดตว่า ตอนนี้หูเริ่มได้ยินบ้างแล้ว เริ่มเดินคล่องตัวแล้ว แต่มีเซบ้าง เพราะเชื้อกินสมองไปเยอะ

อย่างไรก็ตาม เธอบอกด้วยว่า หูดับไม่ได้เงียบ ได้ยินเสียงรบกวนตลอดเวลา เสียงลม เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ยินเสียงคนพูด โดยระหว่างนั้น เธอได้สื่อสารโดยการให้หมอหรือพยาบาลเขียนใส่กระดาษ หรือพิมพ์ในโทรศัพท์ ส่วนเธอก็พูดออกเสียงตอบ มากไปกว่านั้น มีหลายๆ คนให้ความสนใจถามถึงสาเหตุของการติดเชื้อในคลิป “กินหมูกระทะอยู่ดีๆ ตื่นอีกทีเป็นคนพิการ ติดเชื้อจากปลายตะเกียบ” เธอเล่าไว้ว่า ไม่ได้กินหมูไม่สุกหรือหมูดิบนะคะ เชื้อน่าจะมาจากปลายตะเกียบหรือช้อน อยากแชร์ประสบการณ์เป็นอุทาหรณ์ให้ใช้ชีวิตระมัดระวังกันนะคะ (แต่ที่คลิปออกมาร่าเริง เพราะเราติดตลกค่ะ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไม่รู้จะเครียดไปทำไม)

กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เจ้าตัวได้อัปเดตอาการหลังป่วยและผ่าสมอง ออกจาก รพ.ได้ 1 เดือน และเข้ารับการรักษา 3 เดือนว่า ตอนนี้สมองยังไม่กลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ ยังเดินเซอยู่ เหม็นกลิ่นเนื้อสัตว์ ยิ่งเนื้อหมูยิ่งเหม็น กินไม่ได้เลยจะอ้วก (ผลจากการผ่าสมอง) สิ้นสุดการรักษา หูได้ยินข้างเดียว

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ หน่วยงานกระทรวงแรงงาน จ.เชียงราย และกลุ่มไทยสมายล์ ขึ้นเหนือ มอบสิ่งของแก่โรงเรียนบ้านห้วยหาน

วันนี้ 23 มกราคม 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย หน่วยงานกระทรวงแรงงานจังหวัดเชียงราย และผู้บริหารกลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภคบริโภค ให้กับโรงเรียนบ้านห้วยหาน ณ บ้านห้วยหาน หมู่ที่ 9 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสิทธิพงษ์ รัตนเดชาสกุล รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยหาน เป็นผู้รับมอบ

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้ร่วมมือกับ คุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานบริหารกลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป นำเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ เครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า ผ้าห่ม มามอบให้กับน้องๆ นักเรียนที่โรงเรียนบ้านห้วยหานแห่งนี้ นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเชียงราย และสำนักอุทยานภูชี้ฟ้า นำกิจกรรมต่างๆ มาให้บริการ

ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสนนำกิจกรรมสาธิตทำขนมและประชาสัมพันธ์โครงการให้เด็กนักเรียน ม.3 ที่จบใหม่มาฝึกอาชีพตามโครงการตรวจการแผ่นดิน สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย ออกบูธประชาสัมพันธ์โครงการ 3 ม. มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และความมั่นคงในชีวิต ได้ศึกษาต่อในสาขาวิชาที่ต้องการ เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น โดยได้ทำงานในสถานประกอบการ ได้รับค่าจ้าง และสวัสดิการต่าง ๆ ด้วย

สำหรับโรงเรียนบ้านห้วยหาน ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวนประมาณ 400 คน การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้กับโรงเรียนในครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน ซึ่งเขาเหล่านี้จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

'นายกฯ' มาเอง!! รับเอกสารม็อบต้านแลนด์บริดจ์ ให้สัญญามวลชน จะพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบ

(23 ม.ค.67) หลังจากเมื่อวานนี้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่จังหวัดระนองไปเจรจากับกลุ่มแกนนำต่อต้านโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งที่มาจากพื้นที่จังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร พร้อมกับลงดูปัญหาคนไทยพลัดถิ่น 

ล่าสุดวันนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้เข้าพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง เป็นกลุ่มที่มาจากอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร โดยแนะนำให้ทางกลุ่ม เสนอปัญหาเข้าไปในเอกสาร ที่จะยื่น ต่อนายกรัฐมนตรี และขอให้ทุกกลุ่ม ยื่นเอกสารด้วยความสมานฉันท์ ไม่ส่งเสียงด่าทอ หรือสร้างความวุ่นวาย เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา ซึ่ง กลุ่มแกนนำ นำโดยนายเรียง สีแก้ว ก็รับปากที่จะยื่นหนังสือด้วยความสงบ

ภายหลัง การพูดคุย กลุ่มมวลชนก็ได้ทยอยเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมารับหนังสือด้วยตนเองทุกกลุ่ม พร้อมกับรับปากประชาชนว่าจะนำข้อมูลทั้งหมด เข้าสู่คณะกรรมการศึกษาวิจัย ก่อนจะมีการดำเนินการใดในโครงการที่เกิดขึ้น

บิ๊กโจ๊ก กล่าวอีกว่าการยื่นหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ ของกลุ่มมวลชน วันนี้เป็นไปด้วยความสงบสมานฉันท์ ตามข้อตกลง ซึ่งตนรู้สึกพอใจและขอขอบคุณมวลชนทุกกลุ่ม ที่พยายามนำเสนอปัญหา ในทุกมิติด้วยความสงบ โดยเชื่อมั่นว่าการนำเสนอในวิธีดังกล่าว จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีในการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญ และทำให้ประชาชน ได้รับประโยชน์สูงสุดในการประกอบสัมมาอาชีพ 

‘นทท.ต่างชาติ’ เข้าไทย 15-21 ม.ค. ทะลุ 7 แสนคน อานิสงส์ ‘ฟรีวีซ่า’ ไม่แผ่ว ‘นทท.จีน’ ทะลัก 1.2 แสนคน

(23 ม.ค. 67) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า สัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้มีการฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามากที่สุด โดยมีปัจจัยจากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศ และจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นของจีน การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน 

ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 715,579 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 20,753 คน หรือ 2.99% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 102,226 คน 

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 120,381 คน เพิ่มขึ้น 15.12% มาเลเซีย 73,085 คน บวก 14.37% เกาหลีใต้ 55,218 คน บวก 2.21% ส่วนรัสเซีย 48,114 คน ลดลง 10.12% และอินเดีย 40,300 คน ลดลง 5.11%

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า สัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีน และจำนวนเที่ยวบินขาออกของจีนที่เพิ่มขึ้น วีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน การขยายเวลาพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล ทั้งภูมิภาคยุโรป และอเมริกา

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 22 มกราคม 2567 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1-21 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 2,015,942 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ประมาณ 97,911 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 306,805 คน มาเลเซีย 218,453 คน เกาหลีใต้ 153,135 คน รัสเซีย 150,286 คน และอินเดีย 105,740 คน

ขอนแก่น-"มข." จัด"โครงการจัดบริการยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน"ทางเลือกหนึ่งพลังงานทดแทน

มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีนโยบายในการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า อีกทางเลือกหนึ่ง โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน ในพื้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยการขาย ให้เช่าหรือเช่าซื้อ แก่นักศึกษา และบุคลากรมหาวิทยาลัยขอนแก่น ตลอดจนขยายผลและกระตุ้นให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของไทยเป็นอุตสาหกรรม New S-Curve สามารถ คว้าโอกาส ชิงความได้เปรียบ แข่งขันได้ทันกระแสของความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างยั่งยืน เพราะในปัจจุบันการใช้งานแบตเตอรี่ของประเทศไทยนั้นมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

เมื่อวันอังคารที่ 23 มกราคม 2567  ที่ ห้องประชุมสารสิน ชั้น 2 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น  พร้อมด้วย ผศ.ดร.อาวุธ  ยิ้มแต้ รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม, ม.ร.ว.พีรานุพงศ์ ภาณุพันธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สตรอม (ไทยแลนด์) จำกัด ,ผศ.นพ.ธารา ธรรมโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ,นายสุรชัย สินประกอบ พลังงานจังหวัดขอนแก่น ,รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่  และนายธีระศักดิ์ ทีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น ร่วมแถลงข่าว ”โครงการจัดบริการยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน" โดยมี คณะผู้บริหาร มข.,ผู้บริหารบริษัท สตรอม (ไทยแลนด์) จำกัด และสื่อมวลชนทุกแขนง ร่วมฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่น มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ Research Transformation คือการปรับเปลี่ยนการทำงานวิจัยโดยปรับเปลี่ยนจากการทำวิจัยตามความสนใจของนักวิจัยไปสู่การทำวิจัยเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ใหญ่ที่มีผลกระทบ (Impact) สูง และนำผลงานวิจัยไปต่อยอดไปใช้จริง เกิดผลิตภัณฑ์ หรือนวัตกรรม เพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม (Societal Contributions) และสร้างมหาวิทยาลัยให้เป็นที่น่าอยู่ (Great Place to Live)เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green Campus) มุ่งสู่การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เช่น การสนับสนุนนโยบายด้านการขนส่งพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

สำหรับ"โครงการจัดบริการยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน" เป็นตัวอย่างโครงการที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งวันนี้มีผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรองอธิการบดี
ฝ่ายบริหาร ผู้ดูแลโครงการ รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม ผู้รับผิดชอบดูแลเรื่อง Net Zero ของมหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ตลอดจนบริษัทออสก้าโซลดิ้ง จำกัด เป็นผู้ให้บริการจักรยานยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีทีมนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในการผลิตแบตเตอรี่ภายใต้แบรนด์ UVOLT (ยู-โวลต์) ซึ่งผลิตโดยโรงงานแบตเตอรี่ และพลังงานยุคใหม่ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น นอกจากนี้ โรงงานยังมีการผลิตและพัฒนาส่วนประกอบของแบตเตอรี่ ชนิดต่าง ๆ สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีทั้งชนิดลิเทียมไอออนและโซเดียมไอออน ที่มีมาตรฐานระดับสากลในปัจจุบันการใช้งานแบตเตอรี่ของประเทศไทยนั้นมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

ดังนั้น การสร้างระบบนิเวศให้เกิดอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของประเทศไทย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญในการออกมาตรการสนับสนุนที่จำเป็นในการขยายผลและกระตุ้นให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของไทยเป็นอุตสาหกรรม New S-Curve
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถ คว้าโอกาส ชิงความได้เปรียบ แข่งขันได้ทันกระแสของความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างยั่งยืน

ด้าน ผศ.นพ.ธารา ธรรมโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า  มหาวิทยาลัยขอนแก่น มุ่งเน้นการพัฒนามหาวิทยาลัย เพื่อบรรลุตามยุทธศาสตร์ Green and Smart Campus เพื่อให้เป็นองค์กรแบบชาญฉลาด คำนึงถึงผลกระทบด้ำนสิ่งแวดล้อม สร้างมหาวิทยาลัยให้เป็นที่น่าอยู่ Great place to live เพื่อให้เป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมในการใช้ชีวิต มีสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงมีนโยบายในการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน ในพื้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยการให้สิทธิเอกชนเข้ามาลงทุน เพื่อให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า โดยการขาย ให้เช่าหรือเช่าซื้อ แก่นักศึกษา และบุคลากรมหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมบริหารจัดการระบบอำนวยความสะดวก และติดตั้งสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping Station : BSS) เพื่อจัดหาผู้ประกอบการ และให้สิทธิ์ในการจัดบริการยานยนต์ไฟฟ้า ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อการต่อยอดการใช้งานภายในจังหวัดขอนแก่นต่อไป

ผศ.ดร.อาวุธ  ยิ้มแต้ รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม  มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่น มีเป้าหมายสำคัญที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีโครงการสำคัญตามแผนที่สนับสนุนให้มีการติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร ในกลุ่มของคณะแพทยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ อาคารกีฬา อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ และการติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้า โดยพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นน้ำ (Solar Floating) ในบ่อสำรองน้ำดิบของมหาวิทยาลัย รวมประมาณ 9.5 เมกกะวัตต์ และติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นน้ำ ในบ่อบำบัดน้ำเสียอีกประมาณ 10 เมกกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดีสำหรับการหันมาใช้พลังงานทดแทน ด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ด้วยเทคโนโลยีด้านพลังงานที่เหมาะสม ซึ่งก่อให้เกิดประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานอย่างสูงสุด และยังเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทางอ้อม ได้อย่างมีนัยสำคัญสำหรับ "โครงการจัดบริการยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน" เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่มุ่งมั่นที่จะลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคการขนส่ง โดยใช้ยานพาหนะไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วน มรว.พีรานุพงศ์ ภาณุพันธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สตรอม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่าในนามบริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งได้เป็นผู้รับสิทธิ์ในโครงการ "จัดบริการยานยนต์ไฟฟ้าโดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยน"ของทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในครั้งนี้ บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด เราให้บริการออกแบบและประกอบแบตเตอรี่แพค ลิเที่ยม สำหรับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ และเครื่องมีออุตสาหกรรม รวมไปถึงแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้ามากว่า 30 ปี ออสก้า เป็นบริษัทแรกๆ ในประเทศไทย ที่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบ และประกอบ โดยร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับโรงงานแบตเตอรี่ลิเที่ยมไออ้อนต้นแบบของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทั้งนี้ เพื่อเป้าหมายในการยกระดับแบตเตอรี่ที่ผลิตได้เองในประเทศไทยไปสู่มาตรฐานระดับสากล

หากย้อนไปเมื่อปี 2557 ในช่วงที่ยานยนต์ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ออสก้าได้เริ่มทำการพัฒนาแบตเตอรี่ เพื่อใช้กับยานยนต์ไฟฟ้าขึ้น โดยเป้าหมายเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า EV ที่คาดว่าจะประสบปัญหาเรื่องการให้บริการแบตเตอรี่ ในอีกไม่กี่ปีให้หลัง จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง บริษัท สตรอม (ไทยแลนด์) จำกัด มีสถานะเป็นบริษัทลูกในเครือของออสก้า ดำเนินการกิจการเป็นผู้ออกแบบ และประกอบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และรถไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่จะนำมาใช้ในการทดสอบแบตเตอรี่จากออสก้า โดยมีโรงงานตั้งอยู่บนถนนบางนาตราด กิโลเมตรที่ 13 บนพื้นที่ กว่า 3,000 ตรม. มีกำลังการผลิต รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ถึงเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน สตรอม มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมีความโดดเด่นในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ทั้งด้านสมรรถนะ ความเร็ว การประหยัดพลังงานและที่สำคัญ รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า Strom เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้หัวใจหลักคือการมีเทคโนโลยีแบตเตอรี่เป็นของตัวเอง Strom เป็นบริษัทของคนไทย 100% และมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นอุตสาหกรรมของคนไทย เราพิจารณาเลือกใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ในประเทศให้ได้มากที่สุด และลดสัดส่วนวัตถุดิบจากต่างประเทศลงเพื่อสนับสนุนให้เกิดความร่วมมีอระหว่างนักวิจัย สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการ นำเอาองค์ความรู้ที่ได้จากการคิดค้นของคนไทย มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเป็นการรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญา และความมั่นคงทางเทคโนโลยีของไทยอีกด้วย

นายธีระศักดิ์ ทีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวว่า ในการขับเคลื่อน Smart City กับการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งเทศบาลนครขอนแก่น กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองไว้ 7 สมาร์ท โดยหนึ่งในนั้น คือ Smart Mobility คือ เมืองที่สามารถขนส่ง ติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างสะดวกสบาย มีความคล่องตัว ปลอดภัย และใช้พลังงานสะอาดแนวคิดในการพัฒนาเมืองขอนแก่น มาจากการที่เดิมทีจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่ไม่ได้มีจุดเด่นในด้านการท่องเที่ยว ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ได้มีนิคมอุตสาหกรรมมาตั้ง ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นจังหวัดที่มีความน่าสนใจที่ทางรัฐบาลจะมีการส่งเสริมงบประมาณพิเศษ ในการพัฒนาเมืองมาให้เหมือนกับจังหวัดอื่น ๆ แต่สิ่งที่ขอนแก่นมี คือ การเป็นเมืองที่อยู่จุดศูนย์กลางของภาคอีสาน มีมหาวิทยาลัย และศูนย์ราชการต่าง ๆ ค่อนข้างมากดังนั้น โครงการจัดบริการยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนซึ่งสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองด้าน Smart Mobility เป็นความสำเร็จด้านยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นประโยชน์ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านยานนต์ไฟฟ้าการจัดการพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม และขยายผลไปสู่นักศึกษา บุคลากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในปัจจุบัน

นายสุรชัย สินประกอบ พลังงานจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า แนวทางการสนับสนุนการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าในจังหวัดขอนแก่น ตามภารกิจหน้าที่ของสำนักงานพลังงานจังหวัดขอนแก่น ขอขอบคุณท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เห็นความสำคัญของการสนับสนุนการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นประโยชน์กับนักศึกษา และบุคลากรมหาวิทยาลัยขอนแก่น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการขยายไปถึงทุกหน่วยงานในจังหวัดขอนแก่น
เพื่อสร้างแรงจูงใจทางด้านการเงิน และลดต้นทุนในการเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างแรงจูงใจที่มิใช่ทางการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าต่อไปในอนาคต

ตบท้ายที่ รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ กล่าวตอนท้ายสุดว่า อย่างไรก็ตามทางโครงการ ฯ ได้ดำเนินการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ทางเลือก ในระดับเซลล์จากโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ จนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ และนำไปทดลองใช้งานจริงในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ และระบบกักเก็บพลังงาน เช่น แบตเตอรี่สำหรับจักรยานไฟฟ้า แบตเตอรี่สำรองสำหรับระบบโซลาร์เซลล์ และไฟส่องสว่าง เรามีโมเดลการใช้พลังงานแบตเตอรี่จากโซเดียม คือ E – Bike ที่ประหยัดพลังงานและใช้งานได้จริง ในอนาคตทีมนักวิจัยมีแนวโน้มจะศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ชนิดโซเดียมไอออนจากแหล่งแร่เกลือหิน โดยให้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงแบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน ให้กลายเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพสูง ราคาประหยัด คุ้มค่ามากที่สุด ผลักดันให้ไทยกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของโลกตามเป้าของกระทรวง ฯต่อไป.

พิจิตร-อัยการพิจิตรใช้กฎหมายช่วยชาวนาบีบสหกรณ์คายเงิน7ล้านจ่ายหนี้ค่าข้าวเปลือกแนะแจ้งความดำเนินคดี

ทุกข์ของชาวนาพิจิตรที่ไว้วางใจนำข้าวเปลือกมาขายให้สหกรณ์การเกษตรหวังได้ราคาแต่สุดท้ายนานข้ามปีก็ยังไม่ได้เงินรวมตัวร้องทุกข์ผ่านสื่อจึงได้อัยการฝ่ายคุ้มครองสิทธิ์เข้ามาโอบอุ้มบังคับใช้กฎหมายไกล่เกลี่ยเป้าหมายอยากให้ชาวนาได้เงิน วันนี้เบื้องต้นได้บทสรุปสหกรณ์ยอมคายจ่ายหนี้ 7 ล้าน จาก 122 ราย รวมยอดเงิน 22 ล้านบาทเศษ วันนี้เฉลี่ยจ่ายเอาไปก่อน 30% ต่อจากนี้ ชมรมทนายอาสาพิจิตร รับหน้าที่พาชาวนาแจ้งความฟ้องดำเนินคดี

วันที่ 23 มกราคม 2567  นายอนันต์  คลังเพชร  อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดพิจิตร มอบให้ นายประเสิรฐ  ใจสนธิ์   อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ลงพื้นที่เพื่อไปทำหน้าที่ในการใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาจากกรณีที่ชาวนาในเขตอำเภอวังทรายพูน จ.พิจิตร จำนวน 101 ราย ที่นำข้าวเปลือกไปขายให้กับ สหกรณ์การเกษตรวังทรายพูน ตั้งแต่เดือน พ.ย. 66 คิดเป็นมูลค่า 22 ล้านบาทเศษ ชาวนาไปทวงถามสหกรณ์ฯ ก็ผลัดผ่อนประวิงเวลาไม่มีเงินจ่ายให้ชาวนา โดยอ้างว่าสหกรณ์ฯรับซื้อรวมรวมผลผลิตแล้วขายส่งต่อให้กับโรงสีแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ดงเจริญ และรายอื่นๆ แต่ปรากฏว่าโรงสีไม่นำเงินมาจ่าย ดังนั้นสหกรณ์ก็จึงไม่มีเงินจ่ายชาวนากลุ่มดังกล่าวจึงได้ส่งตัวแทนมาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกับอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดพิจิตร ซึ่งได้รับเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนดังกล่าว

โดยในวันนี้ นายประเสิรฐ  ใจสนธิ์   อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ลงพื้นที่ไปยังสหกรณ์การเกษตรวังทรายพูน โดยได้เชิญ นางสุจินดา  อินทร์สุข   ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรวังทรายพูน และประธานสหกรณ์ฯ รวมถึง นายจอมชัย รอดทัดทาน สหกรณ์จังหวัดพิจิตร , นายวิศิษฎ์  มานะคิด   นายอำเภอวังทรายพูน , นายกมลยุทธิ์  บุสดี  ทนายความ และ นายกิจชัย บุญปู่ ทนายความ ตัวแทนจาก ชมรมทนายอาสาพิจิตร รวมถึงผู้นำส่วนท้องถิ่นและตัวแทนเกษตรกรเข้าร่วมรับฟังการไกล่เกลี่ยระหว่างอัยการกับผู้จัดการสหกรณ์ โดยมีการสืบค้นข้อมูลหาเงินสดและทรัพย์สินต่างๆ ของสหกรณ์ฯ ที่สามารถจะรวบรวมเป็นเงินว่ามีเท่าไหร่ที่จะจ่ายหนี้ให้กับชาวนาทั้งหมด 101 ราย 

ซึ่งได้ข้อสรุปว่าสหกรณ์มีเงินสด-มีสลาก ธกส.และสามารถหยิบยืมจากเครือข่ายสหกรณ์รวมแล้วมีเงินสดพร้อมจ่ายให้ชาวนาในวันนี้ได้ 7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของยอดรวมหนี้สินที่สหกรณ์ฯ จะต้องจ่ายให้กับชาวนาทั้งหมด คือ 101 ราย 22 ล้านบาทเศษ ซึ่งหลังจากได้ผลสรุปก็ได้แจ้งให้ชาวนาทราบว่าขอให้รับเงินก้อนแรกไปก่อนและหลังจากนี้ให้แต่งตั้งตัวแทนชาวนา 15 ราย ประสานกับ นายกมลยุทธิ์  บุสดี  ทนายความ และ นายกิจชัย บุญปู่ ทนายความ ตัวแทนจาก ชมรมทนายอาสาพิจิตร เพื่อไป สภ.วังทรายพูน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรวังทรายพูน ซึ่งถ้าหาเงินมาจ่ายได้ก็ถอนแจ้งความได้ แต่ถ้าหาเงินมาไม่ได้ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยชาวนาต่างพึงพอใจที่วันนี้ได้เงินบางส่วนและจัดคิวเพื่อเข้ารับเงินสด ซึ่งจะจ่ายกันภายในวันนี้ที่สหกรณ์ฯ ดังกล่าวอีกด้วย สำหรับความคืบหน้าผู้สื่อข่าวจะได้รายงานต่อไปเพื่อสาวให้ถึงว่าโรงสีที่เอาข้าวเปลือกจากสหกรณ์ไปคือโรงสีอะไรจึงได้มีพฤติกรรมที่ทำให้ชาวนาและสหกรณ์เดือดร้อนดังกล่าว

สิทธิพจน์/พิจิตร/0818872449

การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

วันอังคารที่ 23 มกราคม 2567 เวลา 10.00 นาฬิกา กองบัญชาการกองทัพไทย จัดการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมี พลเอก ทรงวิทย์  หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 241 อาคาร 2 ชั้น 4 กองบัญชาการกองทัพบก
ถนนราชดำเนิน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวขอบคุณเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจในการสนับสนุนรัฐบาลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือประชาชน ที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งวันนี้ที่ประชุมฯ ได้รับทราบแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในด้านการฝึก โดยมีสาระสำคัญดังนี้

กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ชี้แจงให้ที่ประชุมได้รับทราบ จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ นโยบายการฝึกของกองทัพไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-2570 ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางดำเนินการด้านการฝึกของกองทัพไทย ประกอบด้วย นโยบายทั่วไป จำนวน 14 ข้อ และนโยบายเฉพาะ จำนวน 4 แผนงาน  เรื่องที่สอง ได้แก่ การฝึกร่วม และการฝึกร่วม/ผสม ของกองทัพไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งมีการฝึกที่สำคัญที่เหล่าทัพจัดกำลังเข้าร่วมการฝึก ได้แก่ การฝึกปฏิบัติการร่วม พลเรือน ตำรวจ ทหาร ประจำปี 2567 (กฝร.พตท.67) ซึ่งจะมีพิธีเปิดการฝึกในวันที่ 24 มกราคม 2567 การฝึกร่วม/ผสม Cobra Gold 2024 (CG24) ซึ่งเป็นครั้งที่ 43 ในวงรอบปี Heavy Year ใช้พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เป็นพื้นที่ฝึกหลัก โดยนำแนวคิดตามหลักนิยม Combined/Joint All-Domains Operations (CJADO) มาใช้เพื่อยกระดับและเพิ่มความซับซ้อนของปฏิบัติการร่วมระหว่างมิติการรบ และการฝึกร่วมกองทัพไทย ประจำปี 2567 (กฝร.67) ซึ่งเป็นวงรอบการฝึก Light Year บนพื้นฐานของแผนป้องกันประเทศด้านตะวันตก (แผนนเรศวร : ทน.62) นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดยังได้มีดำริให้กองทัพไทยพิจารณาริเริ่มการบูรณาการการฝึกร่วมด้านการต่อต้านโดรนและการใช้โดรนโจมตี ด้านการข่าว และการฝึกการปฏิบัติการพิเศษร่วม อีกด้วย

กองทัพบก ได้ชี้แจงแนวทางการปรับปรุง พัฒนา และจัดการฝึกประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567ของกองทัพบก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และความชำนาญให้กับกำลังพลและหน่วย ด้วยการปรับปรุง/พัฒนา การจัดการฝึกตามวงรอบประจำปี การฝึกพิเศษ และหลักสูตรการฝึกอบรมทุกระดับ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ด้านการป้องกันประเทศที่มีความทันสมัยเข้ามาใช้งานในกองทัพชดเชยการปรับลดกำลังพลทั้งในด้านการฝึก โดยนำบทเรียนจากการรบ การปฏิบัติการ และการฝึก มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางจัดการฝึก ด้านการฝึกร่วม/ผสมกับกองทัพมิตรประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายในการทำการฝึก แยกเป็น กลุ่มกองทัพมิตรประเทศที่มีหลักนิยมเหมือนหรือใกล้เคียงกับกองทัพบก, กลุ่มกองทัพมิตรประเทศที่มีหลักนิยมไม่เหมือนกับกองทัพบก และกลุ่มกองทัพประเทศเพื่อนบ้าน ด้านการฝึกอบรม มุ่งพัฒนาระบบการฝึกอบรมทั้งระบบ เริ่มต้นจากการปรับปรุงหลักสูตรตามแนวทางรับราชการ โดยปรับลดเวลาการบรรยายในห้องเรียน ปรับลดวิชาที่ไม่ใช่วิชาหลัก ลดความซ้ำซ้อนของวิชาในหลักสูตรแต่ละระดับ ใช้การถกแถลง แลกเปลี่ยนการเรียนรู้และเพิ่มการฝึกปฏิบัติตามความชำนาญการทางทหาร รวมทั้งใช้ระบบสารสนเทศในการเตรียมความพร้อมให้กับกำลังพลก่อนเข้ารับการฝึกอบรม

กองทัพเรือ ได้นำเสนอแนวทางการฝึกกองทัพเรือประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งถือเป็นการฝึกที่สำคัญที่สุดของกองทัพเรือ ภายใต้แนวคิดการบูรณาการกำลังรบ ครบทั้ง 4 มิติ โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การฝึกแลกเปลี่ยนความรู้, การฝึกปัญหาที่บังคับการ CPX และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล โดยในห้วงแรกเป็นการฝึกการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติทางทะเล HADR บริเวณพื้นที่อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในระหว่างวันที่ 1-5 เม.ย. 2567 ห้วงที่ 2 เป็นการฝึกในทะเล ระหว่างวันที่ 7-15 พฤษภาคม 2567 เป็นการจัดตั้งกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล ทำการฝึกปฏิบัติการทางเรือสาขาต่าง ๆ ได้แก่ การฝึกยกพลขึ้นบก การฝึกยิงตอร์ปิโดแบบ MK 46 จำนวน 4 ลูก โดย ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช และ ร.ล.นเรศวร การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิธีพื้น - สู่ - อากาศ แบบ Evolved Sea Sparrow Missile หรือ ESSM โดย ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช และ ร.ล.ตากสิน การฝึกปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือของกองทัพเรือ และอากาศยานของกองทัพอากาศ ในการป้องกันภัยทางอากาศให้กับกองเรือ ตลอดจนการฝึกป้องกันพื้นที่ และการฝึกป้องกันฐานทัพท่าเรือของทัพเรือภาค จากนั้นเป็นการฝึกภาคสนาม ในห้วงวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2567 โดยเป็นการฝึกการยิงอาวุธทางยุทธวิธีในพื้นที่อ่าวไทย จังหวัดชลบุรี และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ร่วมกับกองทัพบก และกองทัพอากาศ ณ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้ กองทัพเรือ ยังคงตั้งมั่น และดำรงแนวทางในการฝึกที่ว่า “รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น” เพื่อให้ผู้รับการฝึกสามารถนำบทเรียนจากการฝึกไปใช้ในการปฏิบัติงานในสนามรบได้จริง และได้รับการพัฒนาการฝึกอย่างต่อเนื่อง

กองทัพอากาศ ได้นำเสนอแผนการฝึกที่สำคัญของกองทัพอากาศในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีแนวคิดในการจัดการฝึกเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติภารกิจทั้งด้านการรบและมิใช่การรบ ตอบสนองทั้งในระดับยุทธวิธี ยุทธการ และยุทธศาสตร์ เพื่อให้กำลังพลมีขีดความสามารถในการวางแผน อำนวยการ ประสานงาน และปฏิบัติภารกิจ โดยอาศัยการฝึกต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็นโอกาสในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของกำลังพลให้มีความพร้อมตั้งแต่ระดับหมู่บิน ฝูงบิน และการประกอบกำลังขนาดใหญ่ในการปฏิบัติการร่วม/ผสม ตลอดจนการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในภารกิจด้านความมั่นคง การบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน พร้อมรองรับภัยคุกคามและความท้าทายในทุกมิติในอนาคต อาทิ การแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี ประจำปี 2567, การทดสอบการใช้กำลังกองทัพอากาศ ประจำปี 2567, การฝึกร่วม/ผสม Cobra Gold 2024, การฝึกผสม Cope Tiger 2024, การฝึกผสม Pitch Black 2024, การฝึกผสม Falcon Strike 2024, การฝึกบินควบคุมไฟป่ากองทัพอากาศ ประจำปี 2567 และการฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ประจำปี 2567 หรือ SAREX 2024 เป็นต้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้บรรยายสรุป การฝึกร่วมที่สำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ โครงการฝึกอบรมหลักสูตรปฏิบัติการเรือเล็ก (Small Boat Operations Course) ซึ่งเป็นการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการสังกัดกองบังคับการตำรวจน้ำ การปฏิบัติงานในแม่น้ำ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นตามแนวแม่น้ำ โดยความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและยาเสพติด (International Narcotics and Law Enforcement Section - INL) จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำราชอาณาจักรไทย การฝึกปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ร่วมกับบริษัทรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ (รถไฟฟ้าใต้ดิน) ซึ่งเป็นการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ Urban Operation สำหรับการปฏิบัติการร่วมกัน เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่ปกติภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินร่วมกับเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้า MRT และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาแผนการต่อต้านการก่อการร้าย ให้ทันสมัยกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โครงการฝึกอบรมเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เพื่อค้นหาสุดยอดทีมปฏิบัติการพิเศษ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขัน UAE S.W.A.T. Challenge 2024 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งจะได้นำมาพัฒนา

หน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจไทย อีกทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานตำรวจทั่วโลก เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เน้นย้ำให้เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท และเสียสละ เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนอย่างเต็มที่รวมทั้งเร่งดำเนินการจัดหายุทโธปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พัฒนากำลังพลให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อรองรับภัยคุกคามในทุกรูปแบบ ร่วมกับการสร้างองค์ความรู้ในเรื่องการใช้ชีวิต การสร้างทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถนำไปเป็นแนวทางการปฏิบัติ ภายใต้สถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

กองประชาสัมพันธ์ สำนักประชาสัมพันธ์ กรมกิจการพลเรือนทหาร
23 มกราคม 2567

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' รอง ผบ.ตร. -ผบช.ตชด.ลุยแก๊งค์ค้ายา แม่จัน ร่วมแถลงผลการจับกุมยาบ้าล็อตใหญ่ 2,100,000 เม็ด กำชับขยายผลต่อ พบใครเอี่ยวจัดเต็ม

วันนี้ 23 ม.ค.67 เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป)/ผอ.ศอ.ปส. ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผบช.ตชด ได้เดินทางไปที่กองร้อย ตชด.ที่ 327 อ.แม่จัน จว. เชียงราย เพื่อรับฟังข้อมูลและรายละเอียด จากกรณีที่มีจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย พร้อมด้วยของกลางยาเสพติด(ยาบ้า) จำนวน 2,100,000 เม็ด และรถยนต์เก๋ง 1 คัน 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ตำรวจชุดปฏิบัติการของ กองร้อย ตชด.ที่ 327 ได้สืบสวนทราบว่า จะมีการลักลอบขนยาเสพติด(ยาบ้า) ล็อตใหญ่โดยจะใช้เส้นทางบ้านท่าข้าวเปลือก แม่จัน-ดอยหลวง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผู้ลักลอบจะหลบเลี่ยงการตรวจของเจ้าหน้าที่ และเข้าสู่เมืองเชียงราย จึงได้ประสานงานและวางแผนร่วมกับ ภ.จว.เชียงราย, บก.ปส.3,กองกำลังฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่ เพื่อบูรณาการในการตั้งจุดตรวจและวางจุดสกัด กระทั่งในวันที่ 22 ม.ค.67 เวลา 22.00 น.ได้มีรถยนต์เก๋งต้องสงสัยตำหนิรูปพรรณตามข้อมูลที่ได้รับจากการสืบสวน ไม่หยุดให้ตรวจและหลบหนีการจับกุม จึงได้ทำการติดตาม สกัดกั้นและสามารถจับกุมได้ที่บริเวณแยกบ้านอาข่าบ้านท่าข้าวเปลือก ผลการตรวจค้นพบกระสอบสีดำ วางกองที่เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง จำนวน 8 ถุงใหญ่ เมื่อเปิดกระสอบพบยาเสพติด(ยาบ้า) จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางมาที่กองร้อย ตชด.ที่ 327 ทำการตรวจพิสูจน์และนับจำนวน ต่อหน้าผู้ต้องหา ผลการตรวจสอบพบว่าเป็น เมทแอมเฟตตามีน และนับจำนวนได้ 2,100,000 เม็ด จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย   

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐฯ ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเนื่องจากเป็นนโยบายเร่งด่วนและสำคัญของรัฐบาลและ ผบ.ตร. โดยได้สั่งการให้ บก.ปส.3 รับตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางไปสืบสวนสอบสวนและขยายผล ซึ่งในการสืบสวนให้ร่วมกับสืบสวนภูธรจังหวัดเชียงราย เนื่องจากมีข้อมูลเบื้องต้นถึงการเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหา ที่ สภ. แม่จัน ได้จับกุมพร้อมยาไอซ์ 300 กว่ากิโลกรัม เมื่อวันที่ 6 ม.ค.67 ที่ผ่านมา สำหรับการสอบสวนได้กำชับ เน้นย้ำ ให้ดำเนินการรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียด รอบคอบ และให้ พฐ.ตรวจพิสูจน์หาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากรถยนต์ของกลางเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้แน่นหนา รวมทั้งให้นำมาตรการการยึดทรัพย์และกฎหมายการฟอกเงินมาบังคับใช้อย่างเด็ดขาดด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top