Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

'หมออ๋อง' งานเข้า!! เจอเพจดังทวงความยุติธรรมให้คู่กรณี ปมคดีหมิ่นฯ ผ่านไป 1 ปีไม่คืบ อ้าง!! ติดภารกิจตลอดเวลา

(25 พ.ย.66) เพจวันนี้ วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ได้ทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายรายหนึ่ง โดยระบุว่า 

“ทุกคนคะ ผู้เสียหายร้องคดีหมออ๋องหมิ่นประมาท ผ่านไป 1 ปี ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนเลยค่ะ (เรื่องที่1)

ต.ค. 65 แจ้งความดำเนินคดีกับสส.อ๋อง ทุกอย่างล่าช้า เขามารับทราบข้อกล่าวหา แต่ในระหว่างเปิดประชุมสภาทำอะไรไม่ได้ เพราะมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง

คดีนี้พนักงานสอบสวนลงความเห็นสั่งฟ้อง แจ้งให้หมออ๋องมาพบ เพื่อส่งอัยการแต่ก็ได้คำตอบว่าติดภารกิจตลอดเวลา

ตำรวจมองว่าเป็นการประวิงเวลา เพื่อไม่ให้สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาช่วงปิดประชุมสภา จึงได้ทำหนังสือให้มาพบพนักงานสอบสวนภายในวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่หมออ๋องก็ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน ไม่มีการติดต่อกลับไม่มีการชี้แจงใดๆ ถึงเหตุที่ไม่สามารถมาได้

ล่าสุดตำรวจได้ออกหนังสือให้มาพบพนักงานสอบสวนอีกภายในวันที่ 29 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากหมออ๋องไม่มา เมื่อเปิดประชุมสภา ในวันที่ 12 ธ.ค. 66 เจ้าตัวก็จะได้เอกสิทธิ์ของ สส.ในการคุ้มครองอีก ฝากแอดมินช่วยทวงความยุติธรรมด้วยครับ”

‘ชัยวุฒิ’ ดาวเด่นเวที ‘IYA Forum 2023’ ถอดรหัสประเทศไทย ‘อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต’

เป็นอีกหนึ่งเวทีที่น่าจับตามอง กับการคืนถิ่นลานเกียร์ของเหล่าพี่น้องชาววิศวะ จุฬาฯ ที่ผนึกกำลังรวมตัวถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ธุรกิจ และการเมือง ส่งต่อแรงบันดาลใจและเคล็ดลับความสำเร็จแก่ศิษย์เก่ารุ่นเยาว์ในงาน ‘IYA Forum 2023’ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2017 ที่ได้ศิษย์เก่าผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ มาร่วมวงเสวนาเพื่อต่อยอดและแลกเปลี่ยนความรู้ สู่การพัฒนาประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายสไตล์ IYA

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อีกหนึ่ง Speaker อดีตรุ่นพี่วิศวะจุฬาฯ (วศ 2533) มาร่วมวงเสวนา ‘ถอดรหัสประเทศไทย อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต’ ร่วมกับ อีกสามดาวเด่นแวดวงการเมืองยุคใหม่ อย่าง ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, วทันยา บุนนาค จากพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐ คลังแสง สส.จากพรรคเพื่อไทย โดยนายชัยวุฒิได้ถอดรหัสในประเด็นการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งในช่วงแรกได้พาทุกคนย้อนกลับไปสมัยเป็นนิสิตวิศวะ จุฬาฯ ปี พ.ศ. 2533 ซึ่งมีความสนใจการเมืองอย่างมาก พร้อมลิ้มรสบทบาทการเมืองครั้งแรกหลังได้รับตำแหน่ง ‘หัวหน้านิสิต’ ณ ขณะนั้น พร้อมเป็น 1 ในนิสิต นักศึกษาที่ร่วมลงถนน ประท้วงรัฐบาลครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการรัฐประหาร รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งนายชัยวุฒิมองว่า เป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาเรื้อรัง ณ ปัจจุบัน

อีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงอย่างการทำรัฐประหาร ในทัศนะการเปลี่ยนขั้วอำนาจ นายชัยวุฒิกล่าวว่า “ยอมรับว่าหลังจากการเปลี่ยนการปกครองมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่คณะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการช่วงชิงอำนาจมาโดยตลอด พูดง่ายๆ คือ ประชาธิปไตยไม่เต็มใบตั้งแต่แรก  ก่อนที่ในช่วงหลังๆ รัฐบาลไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน จากการทุจริตคอร์รัปชัน ความยากจนของประชาชน และสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชน เกิดกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านที่นำไปสู่ความรุนแรง ตนมองว่าการรัฐประหารเป็นเหมือนการ Set Zero เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว”

พรรคพลังประชารัฐและพลเอกประวิตร น่าจะเป็นของคู่กันที่ทำให้หลายๆ คนสงสัยว่าหาก พล.อ.ประวิตรวางมือทางการเมืองจริง แนวทางพรรคจะเป็นอย่างไร นายชัยวุฒิกล่าวยืนยันประเด็นนี้ว่า พลเอกประวิตรยังคงเป็นแกนนำของพรรค แต่ถ้าวันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นเรื่องที่สมาชิกจะต้องมาหาแนวทางใหม่ร่วมกันในอนาคต

นายชัยวุฒิกล่าวทิ้งท้ายถึงอนาคตของประเทศไทยว่า “เรื่องของประชาธิปไตย ที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ การเรียกร้องให้ได้มีการเลือกตั้ง มาจนถึงวันนี้ได้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ประชาธิปไตยต้องเต็มใบ มีการถ่วงดุลอำนาจ ตรวจสอบการทำงานระหว่างระบบราชการ นักการเมือง องค์กรอิสระต่างๆ โดยบูรณาการในการทำงานร่วมกันอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ประเทศไทยก้าวหน้าประชาชนอยู่ดีกินดี”

‘หมอยง’ เผย สาเหตุเด็กป่วย ‘ปอดบวม-ปอดอักเสบ’ ในจีน คาด เพราะภูมิต้านทานลดลง ชี้!! เป็นการระบาดตามฤดูกาล

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 นศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Yong Poovorawan’ จากบทเรียนของการระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน ทำให้ขณะนี้มีการตระหนักถึงการระบาดของโรคทางเดินหายใจในเด็ก ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ที่กรุงปักกิ่ง และเมืองเหลียวหนิง โดยระบุว่า…

จากบทเรียนของการระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน ทำให้ขณะนี้มีการตระหนักถึงการระบาดของโรคทางเดินหายใจ ในเด็ก ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ที่กรุงปักกิ่ง และเมืองเหลียวหนิง

กลุ่มอาการดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเด็ก มีไข้สูงและมีการอักเสบลงปอด ทางการจีนได้แถลงตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน และจากบทเรียนโควิด 19 องค์การอนามัยโลกจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ และได้ออก Statement ให้ทางการจีนสอบสวนและให้ข้อมูล จนกระทั่ง 22 พฤศจิกายน โดยเฉพาะเรื่องรายละเอียดต่างๆ และมาตรการในการป้องกัน

เมื่อดูตามเหตุการณ์ ฤดูนี้เป็นฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ โรคทางเดินหายใจจะมีการระบาดมากตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น โควิด 19 ไข้หวัดใหญ่ ‘RSV Rhinovirus Parainfluenza’ และมักจะระบาดในเด็กโดยเฉพาะเด็กนักเรียนเป็นกลุ่มก้อนได้

เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่ผ่านมามีการระบาดอย่างมากของไข้หวัดใหญ่ RSV และไวรัสทางเดินหายใจ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการเข้มงวด เพราะการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้โรคที่เกิดจากไวรัสอื่นๆ ก็ไม่ระบาดไปด้วย

หลังจากมีการผ่อนคลายโควิด 19 ภูมิต้านทานต่อโรคทางเดินหายใจโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กก็จะลดลง หรือไม่มีภูมิต้านทาน จึงทำให้ปีนี้มีการระบาดอย่างมาก ของ ไข้หวัดใหญ่ RSV และโรคทางเดินหายใจอื่นๆ

ถ้าเป็นโรคอุบัติใหม่อย่างเช่นโควิด 19 ในการระบาดเริ่มต้น เราจะพบในผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก เพราะไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กทั้งหมดจะไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคอุบัติใหม่ จึงทำให้เกิดมีความรุนแรงขึ้น ต่อมาไวรัสก็วิวัฒนาการลดความรุนแรงของโรค ประชากรส่วนใหญ่ก็มีภูมิต้านทานมากขึ้น ความรุนแรงโรคจึงลดลง และประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นโรคต่อไปก็จะพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีที่ทันสมัยและรวดเร็ว การเกิดโรคอุบัติใหม่ หรือ ‘ไวรัสตัวใหม่’ น่าจะวินิจฉัยได้แล้ว การตรวจ รหัสพันธุกรรมหาไวรัสตัวใหม่ ในปัจจุบันทำได้เร็วมาก เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว (มีการพูดถึงว่ามีการระบาดเริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม)

จากข้อมูลทั้งหมดขณะนี้ จึงอยากจะคิดว่าการระบาดในจีนครั้งนี้ น่าจะเป็นโรคไวรัสที่รู้จักกันอยู่แล้ว มาพบมากเป็นกลุ่มก้อนหลังจากที่มีการผ่อนคลายของโควิด 19 แต่อย่างไรก็ตามคงต้องรอข้อมูลอย่างเป็นทางการจากประเทศจีน

‘ปารีณา’ ถอนฟ้อง ‘เพนกวิน’ คดีหมิ่นประมาท ‘บิ๊กตู่’ ยัน!! ไม่ใช่ไม่รัก แต่สุดทน เจอตำรวจโทรจิกไม่หยุด

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีแจ้งยุติไม่ประสงค์ดำเนินคดีกับ ‘นายเพนกวิน – พริษฐ์ ชิวารักษ์’ ข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมฯ กรณีกล่าวหาสถาบันฯ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ความว่า…

“#ปารีณาถอนแจ้งความเพนกวิน เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา รอง ผกก. สน.ทองหล่อ เกิดขยันโทรมารัวๆๆๆๆๆๆ (โทรมายิ่งกว่าเจ้าหนี้ปารีณานัดชำระเงิน เกือบด่า คุกคาม น่ารำคาญ) เพื่อขอสอบเพิ่มกรณีไปแจ้งความดำเนินคดีเพนกวิ้นเมื่อ ประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อว่า ‘พลเอกประยุทธ์’ สบฏ และอื่นๆ

ขณะให้การปารีณา แจ้งกับรอง ผกก.ว่า การให้การต่อเจ้าพนักงานต้องไม่มีการจูงใจ ให้ตอบตามความต้องการของเจ้าหน้าที่นะคะ และปารีณาได้แจ้งขอยุติไม่ประสงค์ดำเนินคดีกับเพนกวิน

ปารีณาเห็นศาลลงโทษไม่รอลงอาญาหลายคดี เกี่ยวข้องพลเอกประยุทธและครอบครัวหลายคดีแล้ว ซึ่งการลงโทษรุนแรงมาก เป็นการลงโทษที่เป็นไปตามตัวบทกฏหมายของประเทศเรา

การถอนแจ้งความครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่รักพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้แปลว่าไม่รักสถาบันฯ ปารีณายังรัก เทิดทูนทุกท่านสุดขั้วหัวใจ แต่ต้องการให้โอกาสเยาวชน เมื่อคุณด่าพ่อฉัน ฉันย่อมปวดร้าวและร้องไห้ แต่…. #all non violence crime should not be put in jail”

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2566 ณ วัดเขากง ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส ร่วมสืบทอดประเพณีทางพระพุทธศาสนา

พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย คุณบงกช กาญจนแก้ว ประธานพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 6 และ พลเอก มณี  จันทร์ทิพย์ เลขาธิการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้/ นายกสมาคมเพื่อความมั่นคงพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมเป็นประธานทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2566 จัดขึ้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ส่งเสริมความรักความสามัคคีของประชาชนในพื้นที่ และเพื่อให้พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสได้รับอานิสงส์ของกฐินตามพระธรรมวินัย ตลอดจนรวบรวมปัจจัยก่อสร้างวิหารครอบองค์ พระบรมอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ป้องกันการชำรุดจากสภาพอากาศ และปรับปรุงเสนาสนะให้มีสภาพสมบูรณ์ โดยมี พระธรรมวัชรจริยาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 และ พระโสภณคุณาธาร เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย คณะผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการ และพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง โดยปัจจัยที่ได้จากบริวารกฐินมียอดรวม ทั้งสิ้น 1,371,972 บาท

โดย แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า “ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาร่วมบุญกันในวันนี้  ถึงแม้สภาพอากาศไม่เป็นใจแต่ทุกคนก็ตั้งใจมา เห็นความสามัคคีของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาส  ซึ่งแม่ทัพฯ ได้ร่วมทอดกฐินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน เป็นต้นมาเกือบทุกวัน จะเห็นได้ว่ามีพี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธเดินทางมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก บางวัดจะเห็นพี่น้องชาวมุสลิมมาช่วยเหลือเช่นกัน ได้เห็นการอยู่ร่วมกันของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และร่วมกันการอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม” 

ทั้งนี้ พระบรมอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ถูกจัดสร้าง และประดิษฐานขึ้น ณ วัดเขากง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2564  โดย คุณบงกช กาญจนแก้ว ประธานพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 6 ร่วมกับสายธารบุญ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และระลึกถึงพระกิตติคุณ วีรกรรมของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้อิสรภาพ และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย ปัจจุบันพระบรมอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อสร้างในที่แจ้ง ไม่มีวิหารคลุม จึงทำให้อนุสาวรีย์เกิดการชำรุดจากสภาพอากาศ ทางวัด และคณะกรรมการวัดเขากง จึงได้มีมติให้ก่อสร้างวิหารขึ้น เพื่อป้องกันการชำรุดดังกล่าว  

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘อนุทิน’ นำ ‘ทีมหมอ’ บินด่วน ‘สกลนคร’ ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ พร้อมขอบคุณญาติที่บริจาคอวัยวะ ช่วยต่อลมหายใจอีกหลายคน

(26 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้นำ นพ.พัชร อ่องจริต แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และทีมแพทย์ เดินทางไปยังโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อผ่าตัดนำอวัยวะออกจากร่างผู้เสียชีวิต หรืออยู่ใน ‘ภาวะสมองตาย’ แล้วลงนามยินยอมบริจาคอวัยวะ เพื่อนำไปปลูกถ่ายช่วยชีวิตผู้ป่วยรายอื่น เรียกว่า ‘ภารกิจหัวใจติดปีก’ การเดินทางในครั้งนี้ ได้อวัยวะกลับไป ประกอบไปด้วย หัวใจ ไต และตา

ทั้งนี้ ระหว่างรอผ่าตัด นายอนุทิน ได้เข้าพบกับญาติผู้เสียชีวิต เพื่อให้กำลังใจต่อการสูญเสีย พร้อมกับยกมือไหว้ แสดงความขอบคุณผู้เสียชีวิต ที่ยินยอมบริจาคอวัยวะ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป

‘นายกฯ’ ลุยสงขลา เร่งหารือทางการค้า ‘นายกฯ มาเลเซีย’ ส่องความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย

(26 พ.ย. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ในวันที่ 27 พ.ย. เพื่อสำรวจความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย และมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับ ‘ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม’ (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อผลักดันในประเด็นที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้

โดยนายกฯ จะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และไปถึงด่านสะเดาแห่งใหม่ เวลา 11.00 น. เพื่อให้การต้อนรับนายกฯมาเลเซีย พร้อมหารือทวิภาคี และรับฟังความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย และสถานการณ์การค้าและการท่องเที่ยวบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ผู้นำไทย-มาเลเซีย จะร่วมกันสำรวจเส้นทางเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่โรงแรม Vista

นายชัย กล่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย สืบเนื่องมาจากการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้นำไทยและมาเลเซีย เห็นพ้องในการผลักดันการค้าชายแดน การแก้ปัญหาความแออัดของด่านสะเดา รวมถึงการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย และประเด็นความร่วมมืออื่น ให้มีผลคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

นายชัย กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือในทุกด้าน โดยเฉพาะการค้าการลงทุน และความสัมพันธ์ระดับประชาชน ซึ่งมาเลเซียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 4 ของไทย และเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทยในอาเซียน โดยตั้งเป้าจะเพิ่มมูลค่าการค้าให้บรรลุเป้าหมายที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30 billion USD) ภายในปี 2568 โดยการค้าระหว่างกันส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดนและผ่านแดน โดยการค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย ในปี 2565 มีมูลค่า 336,125 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.76 ของมูลค่าการค้าชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่วนใหญ่ผ่านด่านศุลกากรสะเดา ปาดังเบซาร์ เบตงและสุไหงโก-ลก ตามลำดับ นอกจากนี้ ในปี 2565 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนไทยมากเป็นอันดับที่ 1 ทั้งปีมากกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นลำดับ 1 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ทำให้มาเลเซียนับเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญและมีความสัมพันธ์หลากหลายมิติกับไทย
 
“การพบหารือของนายกฯและมาเลเซีย สะท้อนความตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทยและมาเลเซีย เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มความเชื่อมโยงในการเดินทาง รวมถึงการค้าขายบริเวณชายแดนระหว่างกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลเพื่อประโยชน์โดยตรงของประชาชนไทยและมาเลเซีย ทั้งการค้า ลงทุน การท่องเที่ยว ด้านเศรษฐกิจ และทางด้านสังคม การไปมาหาสู่ระหว่างกัน” นายชัย กล่าว

‘ธนกร’ เห็นด้วย ‘ชัยธวัช’ คุยฝ่ายเห็นต่างนำไปสู่ความปรองดอง แต่ กม.นิรโทษกรรม ต้องไม่เหมารวม คดี ม.112 ลั่น!! ค้านถึงที่สุด

(26 พ.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินสายไปพบและรับฟังความเห็น ฝ่ายต่างๆ ทั้งคนเสื้อแดง กลุ่มพันธมิตรฯ กปปส. ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายชัยธวัช ไปรับฟังทุกฝ่าย ก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ระหว่างรอเปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งจะทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีทางการเมืองดีมากขึ้น หากมีวัตถุประสงต์หวังให้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดกระบวนการปรองดองทางการเมือง จะต้องเป็นการดำเนินการเพื่อคนทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ไม่ใช่มีผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มตัวเองแอบแฝง ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล จะมุ่งปลดล็อกคดีมาตรา 112 นายธนกร กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวหากจะสร้างความปรองดองแก่ทุกฝ่ายทางการเมือง ที่เห็นต่างถือว่ายอมรับได้ แต่ต้องไม่ใช่ความผิดจากการกระทำที่ความรุนแรง และต้องไม่ละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งรัฐ โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีไว้เพื่อปกป้องประมุขแห่งรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมือง ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากจะมีการนิรโทษความผิดในมาตรา112

“หากพรรคก้าวไกลจะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อช่วยกลุ่มผู้สนับสนุนให้พ้นความผิดในมาตรา112 นั้น ผมขอคัดค้าน เพราะเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทยทั้งชาติที่รัก เทิดทูนสถาบันฯ การเดินสายรับฟังความเห็นคนทุกสีเสื้อ ทุกกลุ่มของก้าวไกล แต่จะนำมาอ้างว่าทุกฝ่ายเห็นด้วยคงไม่ใช่ ผมเชื่อว่า สภาก็จะไม่เห็นด้วย จึงขอให้พรรคก้าวไกลพูดให้ชัดในเรื่องนี้ หากรวมคดีม.112 ด้วย ผมรับไม่ได้และขอคัดค้านแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘รามคำแหง’ มหาวิทยาลัยประชาชน ที่เป็นมากกว่าห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่คือแหล่งบ่มเพาะความรู้ ที่ให้โอกาสและสร้างบัณฑิตสู่สังคมตลอด 52 ปี

“รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ” คือประโยคแรกที่พบเห็นในวันที่ก้าวย่างเข้าสู่รั้ว ‘รามคำแหง’

‘รามคำแหง’ คือ ‘มหาวิทยาลัยประชาชน’ เป็นตลาดวิชา แหล่งศึกษาเรียนรู้ของลูกคนยากคนจน ที่ถูกระบบการศึกษาแบบ ‘แพ้คัดออก’ ถีบส่งมา

ในเดือนพฤษภาคมของปี 2523 ผมหอบสังขาร พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปในรั้วรามคำแหงด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น มาหาความหมายของชีวิต เป้าหมายคือ ‘หอบใบปริญญาไปฝากพ่อแม่’

ในวันนั้น รามคำแหงคราคร่ำไปด้วยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่พลาดหวังกับการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัยเปิด พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่ ที่มานั่งคอยแนะนำ คอยบอกในการกรอกใบสมัครเข้าเป็นนักศึกษา

ไม่เพียงแค่นั้น รุ่นพี่ยังคอยแนะนำ-ชักนำให้เข้าร่วมการทำกิจกรรมกับกลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษา บอกเล่าถึงปัญหาของสังคมที่เรา ในฐานะลูกหลานประชาชนจะต้องเข้าร่วมเพื่อการสะท้อนปัญหา หรือแก้ไขปัญหา

ผมไม่รู้จักรามคำแหงมาก่อนเลย ก่อนจะมาสมัครเป็นนักศึกษา รู้แค่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ที่สอนต่อจากระดับมัธยมเท่านั้น กลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษาอะไร ผมไม่รู้จัก ก็ต้องสอบถาม และรับรู้จากรุ่นพี่ที่มาคอยแนะนำ บอกเล่า

ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ตามรุ่นพี่เล่าให้ฟัง คือ ‘จบง่าย’ แต่ผมคิดอยู่นิดเดียวว่า ต้องเรียนอังกฤษถึง 4 เล่ม ซึ่งเป็นวิชาที่ผมสอบตก ต้องแก้มาตลอด แต่ไม่น่าจะมีคณะอื่นที่เหมาะสำหรับเรา เอาล่ะ… ไม่ลองก็ไม่รู้

เทอมแรกของลูกหลานประชาชน ลงทะเบียนเรียนไป 18 หน่วยกิต รวมถึงวิชาภาษาอังกฤษด้วย สมัครเสร็จหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากลับที่พัก ไปนอนค้างหอพักเพื่อนในซอยเทพลีลา

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว…”

กระดาษแผ่นเดียวอันเป็นสัญญลักษณ์ของการเรียนจบ เป็นใบเบิกทางชีวิต แต่จริงๆ แล้ว 6 ปีในรั่วรามคำแหง เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมากมาย ได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่มีสอนในตำรา ต้องไขว่คว้าหาเอาเอง ซึ่งมีแหล่งศึกษาเรียนรู้มากมาย

6 ปีที่เราถูกเคี้ยวจนข้น ก่อนเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยประชาชนที่เราภาคภูมิใจยิ่ง ก้าวเดินออกมาอย่างมาดมั่นว่า เราเข้มแข็งพอ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีพอที่จะสู้กับใครก็ได้ ในภาวะสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

“จบรามฯ” เรากล้าบอกกับใครก็ได้ อย่างไม่รู้สึกด้อยกว่า พร้อมที่จะเดินเชิดหน้าสู้ในสังคมเส็งเคร็ง และที่ผ่านมา เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ‘ลูกพ่อขุน’ ไม่แพ้ใคร ทุกแวดวงวิชาชีพจึงเต็มไปด้วย ‘บัณฑิตรามคำแหง’

‘52 ปี รามคำแหง’ ได้สร้างคน สร้างบัณฑิตมาแล้วกว่า 1 ล้านคน และยังมีนักศึกษาในระบบอีกร่วมแสนคน

รามคำแหงจึงไม่ใช่แค่ตึก ไม่ใช่แค่ห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่เป็นแหล่งบ่มเพาะ แหล่งศึกษา แหล่งเรียนรู้ ทั้งในระบบ และนอกระบบ เพื่อนมากมายก็เจอในรั้วรามคำแหง

ที่ไหนมีคน ที่นั้นมีปัญหา รามคำแหงได้ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหามามากมาย ทุกประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง รามคำแหงจะต้องถูกบันทึกไว้ถึงการมีส่วนร่วม

“มีรามฯ ถึงมีเรา” ถ้าไม่มีรามฯ ก็ไม่มีเราในวันนี้ เพราะรามคำแหง คือ ‘เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง’

‘สนามบินลาซา’ ใน ‘ทิเบต’ เผย ยอดผู้โดยสารปีนี้ทะลุ 5 ล้านคน เสริมความเด่นระบบขนส่ง-ชูเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมทั่ว ‘จีน’

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ลาซา รายงานข่าว ปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติลาซา ก้งก๋า ในนครลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่ในปีนี้ได้สูงเกิน 5 ล้านคนแล้ว ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

รายงานระบุว่าท่าอากาศยานฯ เริ่มต้นดำเนินงานในปี 1965 และมีบทบาทโดดเด่นเพิ่มขึ้นในระบบขนส่งของทิเบต โดยมีการสร้างเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมเมืองขนาดกลาง และใหญ่ทั่วจีนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สำนักบริหารการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน ส่วนภูมิภาคทิเบต เผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานฯ ได้เปิดเส้นทางบิน 135 เส้นทาง เชื่อมต่อกับ 68 จุดหมาย รวมถึงหนึ่งจุดหมายในต่างประเทศ

ท่าอากาศยานฯ ได้เพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ แก่ นครลาซา ซึ่งรับรองนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศรวม 34.2 ล้านคน และทำรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 4.24 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.12 แสนล้านบาท) ในช่วงสามไตรมาสแรก (มกราคม-กันยายน) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.3 และร้อยละ 46.7 เมื่อเทียบปีต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top