Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

‘บี มาติกา’ แม่สื่อแม่ชัก ‘พีท-แก้มบุ๋ม’ ลั่น!! ฝ่ายชายใจป๋ามาก คุยได้ 2 อาทิตย์ เปย์นาฬิกาปาเต๊ะให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์

(30 ส.ค.66) เรียกว่านานทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเธอนั้นกลับมามีกระแสอย่างมาในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการไลฟ์ใน TikTok สำหรับสาว ‘แก้มบุ๋ม ปรียาดา’ ที่ตอนนี้อาจจะต้องเรียกว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวป้ายแดงแล้ว เพราะเธอนั้นถูกแฟนหนุ่มนักธุรกิจ ‘พีท กันตพร หาญพาณิชย์’ เป็นทายาทรุ่นที่ 2 เจ้าของโรงพยาบาลดังรวม 15 โรงพยาบาลกันเลยทีเดียว และล่าสุดด้านสาว ‘แก้มบุ๋ม’ พร้อมด้วย ‘บี มาติกา’ ได้ออกย้อนเล่าเรื่องความรักผ่านรายการ แฉ เทปวันที่ 29 ส.ค.66 ที่ด้านสาว ‘บี มาติกา’ ถึงกับต้องลั่นของที่หนุ่มพีท ซื้อให้สาว ‘แก้มบุ๋ม’ ที่คุยกันได้ 2 อาทิตย์

ล่าสุดในรายการ แฉ เทปวันที่ 29 ส.ค.66 ด้านอดีตนักแสดงอย่าง ‘บี มาติกา’ และสาว ‘แก้มบุ๋ม ปรียาดา’ ได้ออกมาพูดคุยร่วมกันพร้อมย้อนเล่าที่มาความรักของสาว ‘แก้มบุ๋ม’ กับไฮโซหนุ่ม ‘พีท กันตพร หาญพาณิชย์’ โดยช่วงหนึ่งทางด้านสาว ‘บี มาติกา’ ได้เผยว่า ด้านสาว แก้มบุ๋ม ก็มาบอกเราว่าโสดช่วยหาแฟนให้หน่อยแบบจริงจัง เราก็มีเพื่อนสนิท คุณพีท เรียนปริญญาโท โสดอยู่ ซึ่งเราก็ส่งโปรไฟล์ให้พีท เราก็ไม่ได้ส่งแค่แก้มบุ๋ม ส่งไปหลายคนมาก โดยสาวแก้มบุ๋มก็เป็นผู้ที่หนุ่มพีท เลือกนั่นเอง พีท ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่สังสรรค์ ทำแต่งานอย่างเดียว ไม่ปาร์ตี้อะไร ชีวิตอยู่ในกรอบมาก ส่งน้องแก้มบุ๋มไป อาจจะทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น”

พร้อมเสริมต่อว่า “เสร็จแล้วเขาไปดีลกันคุยกัน เจอกันเองนัดกินข้าวกัน 2 อาทิตย์ เขาก็ขอเป็นแฟน และเราก็อยากรู้ว่าหนุ่มพีทให้อะไรแก้มบุ๋มบ้าง” ด้านสาว บี เสริมต่อ “หนุ่มพีทก็บอกว่าให้ดอกไม้ และก็นาฬิกาปาเต๊ะเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์”

‘หมอชลน่าน’ ลาออก ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ เซ่นปมจับมือพรรคลุงจัดตั้งรัฐบาล

(30 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. จะลาออกจากกก.บห. จากนั้นเวลา 16.20 น. นพ.ชลน่าน พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากการประชุมกก.บห.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดสุดท้าย ที่ตนเคยระบุไว้ว่า ถ้าตนทำหน้าที่หัวหน้า ในฐานะประธานกก.บห. พิจารณารับผิดชอบในการตั้งรัฐบาลของพรรค พท. เสร็จเรียบร้อย ตนจะมาประกาศกับสื่อมวลชนผ่านไปยังประชาชนว่า เรื่องที่ตนจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ในเวลาดีเบตหาเสียงเลือกตั้ง สส. วันนี้ภารกิจก็เสร็จเรียบร้อย

“ผมนพ.ชลน่าน ขอทำตามที่เคยประกาศไว้ เป็นสัจจะที่ผมเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ถ้ากก.บห. มีมติจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติจับมือดีลกับลุงป้อม ผมในฐานะหัวหน้าพรรคพร้อมที่จะลาออก และขออนุญาตประกาศ ณ ตรงนี้ว่า ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อไทยตามที่ผมได้ประกาศเอาไว้ ณ บัดนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เหตุผลความจำเป็นที่ตนเลือกมาประกาศในวันนี้ เพราะเหตุผลความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ที่พรรค พท. มีความจำเป็นจาก กก.บห. และสมาชิกพรรคที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อย

ขณะที่นายประเสริฐ กล่าวว่า ในที่ประชุมกก.บห.นั้น นพ.ชลน่าน ได้กล่าวขอบคุณกก.บห.ทุกท่าน และชี้แจงประชาชนตามข้อบังคับเมื่อหัวหน้าพรรคลาออก กก.บห.ที่เหลือทั้งหมด ต้องหมดสภาพกก.บห. แต่ กก.บห. อื่น ๆ นอกจากหัวหน้าพรรคยังรักษาการอยู่ ซึ่ง ที่ประชุม กก.บห. วันนี้มีมติเลือกนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน ส่วนการสรรหา กก.บห.ชุดใหม่นั้น จะต้องทำในระยะเวลา 60 วัน

เมื่อถามว่า หากมีสมาชิกเสนอชื่อให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะรับหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน ยืนยันว่าการทำหน้าที่หัวหน้าที่ผ่านมา ตนทำงานด้วยความสุข ความภาคภูมิใจ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพรรคในวันที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 โดยทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาชน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากสมาชิกและบุคลากรภายในพรรคเป็นอย่างดี

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ช่วงวิกฤตรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพวกเราทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แต่สิ่งที่เราได้รับคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่มาก หลังเลือกตั้งยิ่งทำให้ผมรู้สึกเองว่าผูกพัน มีความรัก มีความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และเห็นผู้คนของพรรคทุ่มเทเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ฉะนั้น คำกล่าวอ้างวาทกรรม ข้อโจมตีหรือข้อที่เห็นแย้งต่าง ๆ เราล้วนเห็นว่าเป็นมิติหนึ่งทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราคือทำเพื่อประชาชน

“ถามว่ารู้ผมรู้สึกอะไร ผมไม่มีความรู้สึกที่จะเสียใจ โกรธเคือง หรืออะไรต่าง ๆ ผมไม่มีครับ เพราะผมถือว่าเป็นหน้าที่ ผมพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อทุกอย่างมีข้อจำกัด ทุกอย่างมีสิ่งต้องรับและผูกมัดไว้มันก็ต้องปฏิบัติตามแบบนั้น ผมไม่ได้หนีไปไหนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า การลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ยังคงเป็น สส. และว่าที่รัฐมนตรี ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมประกาศเอาไว้ ผมพูดไว้เพียงแต่จะลาออกจากหัวหน้าพรรค”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทั้ง 3 ท่านได้ต่างไหว้ พร้อมทั้งลุกขึ้นมาจับมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมว่า อยากฝากถึงประชาชนที่หมดศรัทธากับตัวเองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องศรัทธาและความเชื่อไปสิทธิส่วนบุคคล เป็นเสรีภาพบนพื้นฐานที่เขาได้รับ ซึ่งหวังว่าประชาชนที่มีความรู้สึกแม้จะแตกต่างกัน หรือจะมีความเชื่อหรือศรัทธาหรือไม่อย่างไรหากได้พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะไม่ต้องมาบอกว่าศรัทธาหรือไม่ศรัทธา แต่เราพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากัน และมองจุดสำคัญของแต่ละคนที่เป็นประโยชน์ของบ้านเมือง ตรงนั้นน่าจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

“เราไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของทุกคนได้ มีเพียงระดับหนึ่งที่เราสามารถตอบสนองได้ และเป็นเรื่องธรรมดา หน้าที่ของเราคือการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน สมาชิกพรรคการเมือง อยู่ในมิติทางการเมือง ก็แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องให้เหมาะสมที่สุด ภายใต้สิทธิเสรีภาพของกฎหมาย” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า จะเป็นเหมือนพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค แล้วมีการเสนอชื่อเข้ามาใหม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอให้ไปดูกระบวนการ เพราะระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองกับบุคคลต้องแยกกัน ตนแสดงความรับผิดชอบในฐานะบุคคล ไม่ได้เอาพรรคมาเกี่ยวข้อง เกี่ยวเพียงเล็กน้อยที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น

‘ใบหยกสกาย’ ปรับเมนูใหม่ ‘คาราวานบุฟเฟต์’ ครบจัดเต็ม มีเมนูพรีเมียมกว่า 100 รายการ แถมนั่งชิลล์ไม่จำกัดเวลา

เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าแห่งบุฟเฟต์ ‘ใบหยกบุฟเฟต์’ เปิดตัวโปรใหม่ล่าสุด “BAIYOKE Private & Caravan Buffet” ที่ Stella Palace ชั้น 79 โรงแรมใบหยกสกาย ปรับเมนูใหม่ เพิ่มเมนูแต่ไม่เพิ่มราคา มาพร้อมคาราวานบุฟเฟต์ที่แรกและที่เดียวในไทย ที่นำไลน์บุฟเฟต์เข็นไปบริการถึงที่โต๊ะ ให้นั่งชิลล์แบบไม่จำกัดเวลา ตั้งแต่ 18.00-21.30 น. รวบรวมสุดยอดเมนูพรีเมียมกว่า 100 รายการ

เริ่มต้นด้วย อาหารจีนพรีเมียมครบจัดเต็ม ทั้งหมูหัน เป็ดปักกิ่ง เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ เคาหยก ไก่จักรพรรดิ ติ่มซำเต็มรูปแบบทั้งแบบนึ่งและแบบทอด ต่อด้วย เมนูซีฟู้ด สด-ลวก-ย่าง อาทิ กุ้งแม่น้ำย่างมันเยิ้ม กุ้งแม่น้ำ ปูม้า หมึก หอยนางรมสด และหอยนานาชนิด

เมนูซีฟู้ดพิเศษเฉพาะที่ Stella Palace ‘ซีฟู้ดฮองเฮา’ น้ำซุปหูฉลาม เลือกวัตถุดิบกุ้ง หอย ปู ปลา ผักสด ไป D.I.Y. เองที่โต๊ะได้ตามใจชอบ อีกทั้งเมนูเป๋าฮื้อ ทั้งพายเป๋าฮื้อ (เป๋าฮื้อ Vol au Vent) เป๋าฮื้อน้ำแดง โจ๊กเป๋าฮื้อ

ใครอยากกินข้าว ที่นี่ก็มีเสิร์ฟข้าวพรีเมียมหน้าล้น พิเศษเฉพาะที่ใบหยกสกาย อาทิ ข้าวคลุกน้ำปลาทะเล ข้าวแซลมอนไข่ดอง ข้าวผัดกากหมูปลาแกะ ข้าวกะเพราหมูตุ๋น ข้าวไข่ข้นกุ้ง-ปู ข้าวยำซีฟู้ดไข่ออนเซ็น

ไม่ใช่มีแต่อาหารจีน ใบหยกยังจัดอาหารญี่ปุ่น ไข่ตุ๋นฟัวกราส์ ซูชิวากิวเบิร์น ซาชิมิแซลมอน ทูน่า ทาโกะ ซาบะดอง มาเสิร์ฟไม่อั้น และเพื่อเพิ่มความวาไรตี้ ที่นี่ยังเสิร์ฟ สเต๊กเนื้อนำเข้าครบทั้ง สเต๊กเซอร์ลอยด์ออสเตรเลีย สเต๊กซี่โครงแกะ สเต๊กหมูคุโรบุตะ สเต๊กแซลมอนนอร์เวย์ สะโพกนางฟ้า สตูว์ลิ้นวัว และซี่โครงหมูซอสไวน์ขาว

ซิกเนเจอร์ที่ขาดไม่ได้ของที่นี่ ชาบูน้ำตกเนื้อวากิว และชาบูน้ำตกหมูคุโรบุตะ อร่อยแบบไม่ปรุงรสอะไรเพิ่ม

ตบท้ายด้วย ขนมหวานสไตล์จีนพิเศษ เช่น สาคูแคนตาลูป แตงโมเกล็ดหิมะแปะก๊วย บอลลาวา สี่สีร้อน โอวหนี่แปะก๊วย บัวลอยน้ำขิง เต้าฮวยน้ำขิง เต้าฮวยฟรุตสลัด พุดดิ้งมะม่วง

เรียกว่า อิ่มอร่อยทั้งอาหารและวิวที่เห็นกรุงเทพฯ ทั้งเมือง ซึ่งใบหยกเปิดให้ชมวิวบนจุดชมวิว ชั้น 77 และดาดฟ้าพื้นหมุน ชั้น 84 ด้วย อีกทั้งยังฟรี! ห้องไพรเวตส่วนตัว (เมื่อมา 8 ท่านขึ้นไป) ฟรี! เครื่องดื่ม soft drink และน้ำดื่ม

เปิดให้บริการทุกวัน ไม่จำกัดเวลา ตั้งแต่ 18.00 – 21.30 น. ราคาโปรโมชั่นช่วงแนะนำ 1,250 บาทเน็ท (จากปกติ 1,390 บาท)

หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากับงาน TICA Connect ครั้งที่ ​8

กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (Thailand International Cooperation Agency: TICA) จัดงาน TICA Connect ครั้งที่ 8 ในหัวข้อ Enhancing International Cooperation for Sustainable Future” (การขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีนายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยได้ย้ำว่า ในการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศนั้น การมีส่วนร่วมจากนานาประเทศ และทุกภาคส่วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (2030 Agenda for Sustainable Development) ทั้งนี้ ไทยมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวร่วมกัน โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) และ BCG Model ในการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนา

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงาน TICA Connect ครั้งนี้นั้น นางอุรีรัชต์ เจริญโต อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่การดำเนินงานด้านการพัฒนาของไทยในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน รวมทั้งเน้นบทบาทของหน่วยงานด้านการพัฒนาทั้งไทยและต่างประเทศที่เป็นคู่ร่วมมือกับ TICA ตลอดจนเป็นเวทีสร้างเครือข่ายระหว่างกันเพื่อประโยชน์ในการร่วมกันดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดนิทรรศการของกรมความร่วมมือฯ ซึ่งนำโครงการในสปป. ลาว กัมพูชา และภูฏานมาจัดแสดง และคู่ร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการหลวง กรมพัฒนาชุมชนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฟาร์มทะเลตัวอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งนำผลิตภัณฑ์จากผู้พิการมาจัดแสดงและจำหน่าย ตลอดจนหน่วยงานด้านการพัฒนาต่างประเทศเช่น USAID และ Peace Corps ของสหรัฐฯ JICA ของญี่ปุ่น KOICA ของเกาหลีใต้ GIZ จากเยอรมนี AFD ของฝรั่งเศส และ Mekong Institute (MI) และหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นการเผยแพร่การให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทั้งของไทยและที่กรมฯ ดำเนินการกับหุ้นส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน จากคณะทูตานุทูต ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยนักเรียน นิสิต นักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้รับทุนกรมความร่วมมือฯ และสื่อต่าง ๆ

ภายในงาน ยังมีการบรรยายโดย ดร. สุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณนครนิวยอร์ก เข้าร่วมงานในครั้งนี้และได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ “Linking Forward to Leave No One Behind” โดยได้เน้นย้ำประชาคมโลกควรร่วมมือกันแก้ไขประเด็นท้าทาย อาทิ ผลกระทบของโรคโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมทั้งได้เสนอแนวทางการดำเนินการที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) การแก้ปัญหาเร่งด่วน เช่น ความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพเพื่อเสริมสร้างรากฐานในการยุติความยากจน (2) การแก้ปัญหาระบบการเงินโลก รวมถึงการปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และ (3) การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและเสริมสร้างศักยภาพให้กับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ​

กรมความร่วมมือฯ ได้จัดให้มีการเสวนา ๒ รายการ รายการแรกเป็นการเสวนาในหัวข้อ “Enhancing International Development Cooperation for Sustainable Future: Working Together to Promote SDG 13 and SDG 17” โดยผู้แทนจาก TICA และคู่ร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ AFD, GIZ, JICA, KOICA, USAID และสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือเพื่อการพัฒนาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการเสวนารายการที่สองในหัวข้อ “เปิดประสบการณ์นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่ไปประยุกต์ใช้ในต่างประเทศผ่านโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยวิทยากรที่เป็นผู้ดำเนินโครงการในต่างประเทศ เช่น ภูฏาน กัมพูชา และ สปป.ลาว มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความสำเร็จและความท้าทายในการดำเนินงาน ซึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ กรมความร่วมมือฯ ได้เปิดตัวคู่มือการประยุกต์ใช้ SEP ในต่างประเทศ ในเว็ปไซต์ของกรมความร่วมมือฯ ด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

​นอกจากนี้ กรมความร่วมมือฯ ได้มอบเข็มเกียรติคุณและประกาศนียบัตรแก่บริษัทบางจาก รีเทล จำกัด  สำหรับความร่วมมือในการต่อยอดโครงการพัฒนาเมล็ดกาแฟที่ปลูกโดยสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง TICA และ JICA จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ “กาแฟดริปเทพเสด็จ” ที่มีจำหน่ายที่ร้านกาแฟอินทนินซึ่งทำให้ชาวเกษตรกรกาแฟดอยสะเก็ดมีรายได้มากขึ้น “กรมความร่วมมือฯ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้ และหวังว่าจะสามารถนำรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อประชาชน(Public Private Partnership for People : PPPP) ไปประยุกต์กับโครงการอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต” อธิบดีกรมความร่วมมือฯ กล่าว

‘รัสเซีย’ บรรจุ ‘ภาษาจีน’ ในหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัย อ้าง!! หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์

เมื่อไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์ของสหรัฐฯ รายงานว่า อันเดร เฟอร์เซนโก (Andrei Fursenko) ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเครมลินซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีการศึกษาและเทคโนโลยีรัสเซียกล่าวมีใจความว่า

“จะไม่มีความรุนแรงพวกเราจะหว่านล้อมแต่ในเวลาเดียวกันพวกเราจะมุ่งหน้าสู่แนวทางนี้หากว่าพวกเราต้องการที่จะสามารถแข่งขันได้” เขากล่าวในรายงานของสื่อ RIA Novosti ของรัสเซีย

ทั้งนี้ สื่อยูเครนสกายา ปราฟดา (Ukrainska Pravda) ที่รายงานเช่นเดียวกันระบุว่า ได้มีการบรรจุภาษาแมนดารินเข้าสอนในหลักสูตรตามมหาวิทยาลัยภายในรัสเซีย

เฟอร์เซนโก ชี้ว่า หนทางนี้จะช่วยให้บรรดานักศึกษาสามารถเข้าสู่ความเข้าใจทางสาขาวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยชี้ว่า 30% ของงานวิจัยวิทยาศาสตร์โลกนั้นถูกตีพิมพ์เป็นภาษาจีน

วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์ชี้ว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยรัสเซียชื่อดังอย่างน้อย 1 แห่งออกมาต่อต้านคำสั่งโดยชี้ว่า “แปลกประหลาดและส่งผลร้าย”

ซึ่งเฟอร์เซนโกยืนยันว่า มันมีความสำคัญจากการที่จีนมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง มองว่า นี่เป็นหนทางที่จะทำให้ 2 ชาติสหายมีความใกล้ชิดผูกพันมากขึ้น

เฟอร์เซนโกกล่าวในการประชุมฟอรัมการศึกษาเยาวชนรัสเซีย

“พวกเราต้องการที่จะอยู่ในเทรนด์วิทยาศาสตร์กันอยู่หรือไม่? มุ่งไปข้างหน้ากันเถิด” เขากล่าว และเสริมต่อว่า “ปัญหาคือแน่นอนที่สุดมันมีความจำเป็นที่ต้องทำให้มั่นใจว่า ภาษารัสเซียยังคงอยู่ท่ามกลางไม่กี่ภาษาของด้านวิทยาศาสตร์”

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญ ดร.เซอร์เก โพโพป (Dr.Sergei Popov) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อฝรั่งเศส Le Monde เมื่อต้นปีว่า สำหรับการศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน มีภาษาเดียวเท่านั้นคือภาษาอังกฤษ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในอนาคตระยะใกล้

“ราว 100% ของสิ่งที่ผมได้อ่านและ 90% ของสิ่งที่ผมได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาจีนที่เป็นคำถามนั้นอาจขึ้นมา แต่พบน้อยกว่าในแวดวงวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี”

สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า บรรดานักศึกษารัสเซียประจำสถาบันการศึกษาฟิสิกส์และเทคโนโลยีแห่งมอสโก MFTI (The Moscow Institute of Physics) ได้ออกมาโต้ว่า ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์รัสเซียและนักวิทยาศาสตร์จีนไม่ถึงระดับที่จะทำให้การศึกษาภาษาจีนนั้นมีความสำคัญ

ยูเครนสกายา ปราฟดา ชี้ว่า มีการประท้วงเกิดขึ้นในหมู่นักศึกษาเมื่อมีนาคมต้นปี หลังจากทางสถาบันการศึกษาได้สั่งถอดวิชาภาษาต่างประเทศทั้งสเปน เยอรมัน และฝรั่งเศสออกจากหลักสูตร และใส่วิชาภาษาแมนดารินในหลักสูตรสำหรับภาคการศึกษา 2023-24 แทนด้วยเหตุผลด้านค่าใช้จ่าย

และเมื่อมีนาคมต้นปีเช่นเดียวกัน ธนาคารแห่งรัสเซีย (Bank of Russia) กำหนดให้พนักงานของตัวเองต้องเรียนภาษาแมนดาริน โดยอ้างว่าเพื่อการติดต่อทางธุรกิจกับเพื่อนร่วมงานจากจีน

โดยหนังสือพิมพ์มอสโกไทม์สได้รายงานเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ว่า เป็นผลมาจากการเผชิญหน้าอย่างตึงเครียดกับตะวันตกหลังเครมลินเปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เครมลินได้หันไปมุ่งสู่เอเชียแทน ความต้องการเรียนภาษาแมนดารินเพิ่มขึ้นจากการที่รัสเซียได้เพิ่มการพึ่งพาทางเศรษฐกิจต่อจีน

หนังสือพิมพ์มอสโกแสดงภาพน่ารักของบรรดาสาว ๆ รัสเซียแต่งกายในชุดจีนโบราณสำหรับพิธีน้ำชาอย่างคึกคัก รวมถึงการศึกษาพู่กันจีน

ในขณะเดียวกัน จำนวนนักศึกษาระดับไฮสกูลรัสเซียได้เลือกภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศในการสอบไล่ปลายปีเพิ่มขึ้นภายใน 1 ปี มาอยู่ที่ 17,000 คน ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะยังคงเป็นภาษาต่างประเทศที่เลือกเป็นอันดับ 1 สำหรับเวลานี้

มีนักเรียนรัสเซียตั้งความหวังจะไปศึกษาต่อในจีนหลังมีความหวังน้อยลงในการเข้าสู่สถาบันการศึกษาโลกตะวันตก และมีอีกบางส่วนมองหาลู่ทางที่จะเดินทางไปทำงานในจีนจากเหตุค่าตอบแทนสูงสำหรับชาวยุโรป

กองทัพเรือจัดการประชุมวิชาการ ครั้งที่ 12 ณ หอประชุมกองทัพเรือ ชูความสำคัญของ Blue Economy

วันที่ 30 ส.ค.66 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในการประชุมวิชาการของกองทัพเรือ ครั้งที่ 12 ในหัวข้อเรื่อง Blue Economy : บทบาทสากลใหม่ของกองทัพเรือไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ

การประชุมวิชาการของกองทัพเรือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับแนวคิด Blue Economy สร้างการตระหนักรู้ในการปกป้องสภาวะแวดล้อมทางทะเล และเผยแพร่บทบาทของกองทัพเรือ ในการสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว โดยมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

ในการนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือได้กล่าวถึงความสำคัญของการประชุมว่า “…ปัจจุบันแนวคิดเศรษฐกิจสีนำเงินได้กลายเป็นแนวคิดที่มีความสำคัญ และกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมระหว่างประเทศ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้ประโยชน์ทางทะเล เพื่อไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน จากการที่กองทัพเรือเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงทางทะเล และมีบทบาทหลักในการดูแลรักษาความมั่นคงเรียบร้อยทางทะเล เพื่อให้เศรษฐกิจทางทะเลสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) และห่วงโซ่กิจกรรมทางทะเล รวมทั้งบทบาทของกองทัพเรือที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว…”

เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในบทบาท และการปฏิบัติงานของกองทัพเรือ ในสภาวะแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนไป โดยเปิดรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และกองทัพเรือต่อไป

‘ครูบาน้อย’ ละสังขาร สิริอายุ 34 ปี เขียนพินัยกรรมให้ถวายเพลิงค่ำวันนี้

(31 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก คณะศิษย์ครูบาน้อย ญาณวิไชย จังหวัดน่าน แจ้งว่า น้อมกราบถวายความอาลัย ‘ครูบาน้อย’ (พระญาณวิไชย ภิกขุ) วัดถ้ำเชตวัน ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ได้ละสังขารอย่างสงบ ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว ในวันพฤหัสบดีที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 00.49 น. ณ วัดถ้ำเชตวัน

ประกอบพิธีถวายเพลิงสรีระสังขารตามเจตนารมณ์ ในพินัยกรรมของครูบา วันพฤหัสบดีที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2566 เวลา 20.09 น. ณ วัดถ้ำเชตวัน จังหวัดน่าน

สำหรับประวัติครูบาน้อย หรือ ‘พระญาณวิไชย ภิกขุ’ บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดนาแดง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 ในขณะอายุ 12 ปี โดยมี ‘พระครูวิสุทธิ์นันทวิทย์’ (ครูบาศรีมา กตปุญโญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุ 20 ปีได้บวชเป็นพระภิกขุ

‘ครูบาน้อย’ เป็นลูกศิษย์ของครูบาบุญชุ่ม ญาณสวโร ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในล้านนา ครูบาน้อยปลีกวิเวก ตัดขาดจากโลกภายนอก เข้าไปปฏิบัติธรรมในพุทธสถานถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย ประกาศตัดทางโลก 3 ปี เข้าบำเพ็ญกรรมฐานในถ้ำ เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2557 และวันที่ 15 ต.ค.2560 ได้ออกจากถ้ำหลังจากครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับครูบาบุญชุมที่ได้ปฏิบัติมาก่อนหน้านั้น

'เสรีพิศุทธิ์' ฟาดงวงฟาดงาก่อนลาจาก แขวะลาม 'ชวน-ปชป.' พรรคแตก

เมื่อวาน (30 ส.ค.66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แถลงลาออกจาก สส. บัญชีรายชื่อ ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา หรือหลังวัน #โหวตนายกรอบ 3 ได้ 1 วัน ตัดพ้อผู้สมัครของพรรคฯ ดี ๆ คนไม่เลือก ไปเลือกเมาแล้วขับ ทำร้ายผู้หญิง เคยติดคุกมาก่อน แต่งกายไม่เหมาะสม พาดพิงอดีตประธานสภาฯ 2 สมัย นายกรัฐมนตรี 2 สมัย แต่ไม่เสียสละ จนพรรคแตก

ส่วนตัว #นายหัวไทร อยากรู้ว่า แล้วพรรคเสรีรวมไทย จะโตไปข้างหน้าแค่ไหน ส่งผู้สมัครคนดีคนยังไม่เลือก คราวเลือกตั้งปี 62 ได้มาถึง 10 คน เลือกตั้งปี 2566 ได้มาแค่หน่อเดียว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ หลังพรรคก้าวไกลจับขั้วเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ไปเข้าร่วมกับเขาด้วย และมีชื่อว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และเปิดหน้าแบบออกหน้าออกตา แต่เพียงไม่นาน ก็หลุดขั้วออกมาสนับสนุนเพื่อไทยเต็มสตีม

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ยังออกแรงเชียร์เพื่อไทยเต็มที่ และอาละวาดใส่ก้าวไกลแบบไม่ยั้ง เหมือนคนโกรธกันมานาน และหลังโหวตเลือก 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว มีข่าวหลุดออกมาว่า จะมีการโปรดเกล้าฯ ในค่ำของวันนั้น มีสัญญาณให้ สส.เพื่อไทยแต่งชุดขาวเต็มยศ รอรับราชโองการ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ก็เป็นคนหนึ่งที่ทะเล่อทะล่าแต่งชุดขาวเดินทางไปยังพรรคเพื่อไทย เพื่อรอรับราชโองการ เหมือนคนไม่รู้ระเบียบขั้นตอนอะไรเลย

ซึ่งขั้นตอนหลังจากสภาโหวตเลือกแล้ว ทางสภาต้องส่งผลไปให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนนำชื่อขึ้นทูลเกล้า ซึ่งวันนั้นชื่อจากสภายังมาไม่ถึงทำเนียบรัฐบาลเลย ยังไม่มีการทูลเกล้า แล้วจะโปรดเกล้าได้อย่างไร แต่กลับแต่งชุดขาวไปรอรับราชโองการแล้ว

...มันน่าขำ และน่าอายมาก!!

เมื่อมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และมีการฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรี ชื่อของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ก็ไม่มีอยู่ในสารบบคิดของพรรคเพื่อไทย เพราะน่าจะเป็นที่รับรู้กันว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์เคยถูกคำสั่งปลดออก จึงน่าจะขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี และคำสั่งนั้นก็ยังอยู่

ซึ่งผิดกับกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่เคยถูกปลดออกเหมือนกัน แต่ พล.ต.อ.พัชรวาทต่อสู้เรื่อยมา จนปี 2557 สมัย คสช.เข้ามาบริหารประเทศ ได้ยกเลิกคำสั่งปลดออกของ พล.ต.อ.พัชรวาท เขาจึงมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีได้

แต่ลึก ๆ จริงไม่รู้อารมณ์ไหนของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ จึงอาละวาดลามไปถึงอดีตประธานสภาสองสมัย อดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัย ถึงแม้นจะไม่เอ่ยชื่อ แต่สำหรับคอการเมืองแล้ว มันสิบ่ทราบกันได้ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่ 'ชวน หลีกภัย' แล้วจะเป็นใคร

วันมูหะมัดนอร์ มะทา แม้จะเป็นประธานสภาสองสมัย แต่ไม่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ยังนึกไม่ออกว่า ถ้าไม่ใช่ 'ชวน' แล้วจะเป็นใคร แถมยังพาดพิงไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัย อยู่จนจะพรรคแตกแล้ว

ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า พรรคเสรีรวมไทย ถ้าไม่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์เสียแล้ว จะยังดำรงความเป็นพรรคอยู่หรือไม่ แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้วเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มี 'ชวน-บัญญัติ-จุรินทร์-เฉลิมชัย-เดชอิศม์' ความเป็นประชาธิปัตย์จะยังคงดำรงอยู่ เพียงแต่ว่าช่วงนี้อาจจะมีสถานการณ์ความขัดแย้งสูง รอการแก้ไขภายในพรรคอยู่ เมื่อปัญหาภายในพรรคได้รับการแก้ไขปัญหาเชื่อว่าประชาธิปัตย์จะได้แสดงบทบาทฝ่ายค้านอย่างเข้มข้นจริงจัง เวลาว่างก็กลับมาขบคิด ถอดบทเรียน วางแผน วางยุทธศาสตร์ใหม่ โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะฟื้นกลับคืนมาก็ยังมีอยู่ 

ที่กล่าวอ้างเช่นนั้น เพราะประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองไปแล้ว มีคนพร้อมสืบทอดเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของพรรค ที่ผ่านมาก็เห็นการสืบทอดมาจนมีหัวหน้าพรรคมาแล้วถึง 8 คน กำลังจะเลือกคนที่ 9 

"ความขัดแย้งนั้นคือ แรงหลักที่เป็นตัวผลักดันให้กงล้อเร็วไว"

ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อได้รับการแก้ไข สรุปบทเรียน กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทางของพรรคใหม่ เปิดโอกาสให้เลือดใหม่ คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม สร้างคนใหม่ขึ้นมาสืบทอดเจตนารมณ์ อุดมการณ์ของพรรค เชื่อว่า แรงใจ แรงเชียร์จะกลับมายังประชาธิปัตย์ไม่ช้าไม่นาน

เรื่อง: นายหัวไทร

‘ชวน’ รับปริญญา ‘ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์’ ใบที่ 21 สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์มอบเพื่อเชิดชูเกียรติในผลงาน

(31 ส.ค. 66) นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยว่า ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาทัศนศิลป์ ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม พิจารณามอบให้นายชวน หลีกภัย ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติในผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัด นับเป็นปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใบที่ 21 ของนายชวน หลีกภัย

สำหรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใบแรกจนถึงปัจจุบัน มีดังต่อไปนี้

1.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2528
2.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2530
3.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2536
4.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2537
5.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล พ.ศ. 2541

6.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัย San Marcosสาธารณรัฐเปรู พ.ศ. 2542
7.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต พ.ศ. 2545
8.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า พ.ศ. 2547
9.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2549
10.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. 2552

11.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2552
12.) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเซีย พ.ศ. 2555
13.) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประเภททั่วไป สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต พ.ศ. 2556
14.) ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2557
15.) นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย พ.ศ. 2559

16.) นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2562
17.) ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารจัดการการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. 2561
18.) นิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แขนงวิชานวัตกรรมการสื่อสารทางการเมืองและการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
19. )ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
20.) ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาลัยทองสุข
21.) ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาทัศนศิลป์ สถาบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม

นักบินมีหนาว!! ‘เกาหลีใต้’ พัฒนาหุ่นยนต์นักบินตัวแรกของโลก ควบคุมเครื่องได้แม่นยำ หวังตีตลาดการบิน ‘ทหาร-พลเรือน’

เมื่อไม่นานนี้ วงการนักบินต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อทีมนักวิจัยจากสถาบันขั้นสูงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ (The Korean Advanced Institute of Science and Technology : KAIST) ได้พัฒนา ‘ไพบ็อต’ (PIBOT) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ที่มีลักษณะเป็นนักบินตัวแรกของโลก ที่นอกจากจะสามารถควบคุมเครื่องบินในห้องนักบินได้ไม่แพ้มนุษย์ แต่ยังสามารถจดจําแผนภูมิการบิน และกระบวนการรับมือเหตุฉุกเฉินได้ ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีกด้วย

ที่ผ่านมา มีการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ด้านการบินมาบ้างแล้ว ตั้งแต่ระบบลูกเรือในห้องนักบินอัตโนมัติ (Aircrew Labor In-Cockpit Automation System) ขององค์กรนวัตกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศแห่งอนาคตของสหรัฐฯ หรือ ‘DARPA’ ในปี 2016 ไปจนถึงโรโบไพบ็อต (ROBOpilot) หุ่นยนต์นักบินของห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศ สหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งเคยทดลองบินเป็นเวลา 2 ชั่วโมงมาแล้วในปี 2019

ความแตกต่างระหว่างหุ่นยนต์นักบินตัวก่อนหน้ากับตัวล่าสุดนี้ คือการที่ PIBOT นั้นเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้เทคโนโลยี AI ในการขับเครื่องบิน ทั้งยังเป็นหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์สำหรับขับเครื่องบินตัวแรกของโลกอีกด้วย

‘เดวิด ฮยอนชุล ชิม’ (David Hyunchul Shim) ผู้นำโครงการ PIBOT กล่าวว่า นวัตกรรมนี้มีประโยชน์เนื่องจากมันไม่จําเป็นต้องดัดแปลงเครื่องบินที่มีอยู่ และสามารถนําไปใช้กับเที่ยวบินอัตโนมัติได้ทันที

นอกจากนี้ นักวิจัยยังกล่าวว่า การผสมผสานปัญญาประดิษฐ์อย่างแชตจีพีที (ChatGPT) ช่วยทําให้ PIBOT มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน เพราะเทคโนโลยีนี้ทำให้ PIBOT จดจําแผนภูมิการนําทางทางอากาศได้ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงขั้นตอนการรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหนือความสามารถของนักบินที่เป็นมนุษย์ ด้วยความสามารถเหล่านี้ ทีมงานจึงกล่าวว่า PIBOT อาจจะสามารถขับเครื่องบินได้โดยที่มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เร็วกว่านักบินที่เป็นมนุษย์

ด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายมนุษย์ PIBOTสามารถควบคุมสวิตช์ต่าง ๆ ในห้องนักบินของเครื่องบินได้อย่างแม่นยํา แม้ในช่วงเวลาที่เครื่องบินตกหลุมอากาศ อีกทั้งกล้องที่ถูกติดตั้งยังช่วย PIBOT ในการวิเคราะห์สถานการณ์ภายในห้องนักบินและสภาพแวดล้อมภายนอกได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีการทดสอบ ความสามารถในการขับเครื่องบินของ PIBOT ที่ผ่านมาได้รับการทดสอบโดยใช้เครื่องจําลองการบินเท่านั้น ซึ่งนักวิจัยวางแผนที่จะทดสอบศักยภาพของหุ่นยนต์ด้วยเครื่องบินเบาในโลกแห่งความเป็นจริงในไม่ช้า โดยโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2026 ซึ่งนักวิจัยวางแผนที่จะตีตลาด ทั้งการบินทางทหารและการบินพลเรือน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top