Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

'กลุ่มคนเสื้อแดง' ให้กำลังใจ ‘พท.’ ตั้งรัฐบาล พร้อมเรียกร้อง 9 ข้อสำคัญแก้ปัญหาประเทศ

(18 ส.ค. 66) นายชัชวาล กาญจนะหุต ประธานชมรมสื่อมวลชน เพื่อประชาธิปไตย (เสื้อแดง) และนายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมฯ และคณะเดินทางมาให้กำลังใจพรรคเพื่อไทย และยื่นหนังสือสนับสนุนพรรคเพื่อไทยหลังจากเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วก็ขอให้รีบจัดตั้งรัฐบาลพร้อมข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติและประชาชน โดยมี นายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทยรับมอบแถลงการณ์

โดยจุติพงษ์ ได้อ่านแถลงการณ์ จากคณะสื่อมวลชน เพื่อประชาธิปไตย (เสื้อแดง) ว่า

ด้วยขณะนี้การฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย พอเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ในโอกาสนี้ ทางคณะสื่อฯ เล็งเห็นว่าควรจะเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน โดยเรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้...

1.ขอให้พรรคเพื่อไทย เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ในทันทีที่มีการโหวตนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว โดยเน้นให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ใช้คนตรงกับงาน เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนคนไทยเป็นการเร่งด่วน และประกาศพันธสัญญาในพรรคร่วมด้วยกัน ว่าจะไม่แก้ไข ม.112

2.ขอความร่วมมือจากบุคคล ผู้ที่เห็นต่างในการจัดตั้งรัฐบาล เคลื่อนไหวทำกิจกรรมในกรอบของกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับฝ้ายสนับสนุน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด

3.ให้พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วม ได้โฟกัสแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เป็นกรณีเร่งด่วน โดย การจัดลำดับดังนี้...

3.1 การยืนยันจะมอบเงินเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทดิจิทัล ให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีขึ้นไปโดยเร็ว โดยหลีกเสี่ยงเงื่อนไขอุปสรรคที่เป็นเรื่องปลีกย่อย

3.2 คืนความชอบธรรม ให้กับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยไม่มีข้อกำหนด ในการจัดชั้นคนจน-คนรวย ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

3.3 ดูแลเอาใจใส่ผู้ประกอบการ SME, ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ, สินเชื่อรายบุคคล ในเรื่องการบรรเทาการชำระหนี้ และการสนับสนุนด้านการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

3.4 ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนโดยแท้จริงผ่าน สสร.ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด

3.5 ดูแลลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทุกประเภททันที ทั้ง ค่าไฟฟ้า, น้ำมัน, น้ำประปา, ก๊าชภาคขนส่งและก็าซหุงต้ม เป็นต้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนการประกอบการด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

3.6 เปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่ไม่ใช่คดี 112 ได้กลับ ในฐานะผู้บริสุทธิ์ประเทศอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับประเทศ

3.7 การแก้ไขกฎหมายอื่น ๆ ที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ให้จัดลำดับไปอยู่ท้าย ๆ อาทิเช่น เรื่อง สุราก้าวหน้า, สมรสเท่าเทียม เป็นต้น แต่ขอให้ไปสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว, การนำเงินตราเข้าประเทศ, การส่งแรงงานไปต่างประเทศ เป็นต้น

3.8 เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด เหมือนในยุคอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

รวมทั้งเข้าไปดูแล ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนจริงจัง

3.9 ขอความกรุณานักปั่นข่าวทั้งหลาย และเกรียนคีย์บอร์ด เพื่อเห็นแก่พี่น้องประชาชน กรุณาลดการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ตนเองคาดการณ์ สิ่งที่ไม่มีความจริง เพราะทำให้ประเทศบอบช้ำมามาก และร้องขอไปยังพรรคเพื่อไทย ให้ดำเนินการกับนักปั่นข่าวพวกนี้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

ด้าน นายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนพรรคฯ รับเรื่อง พร้อมระบุว่า จะพยายามเร่งดำเนินการตามนโยบายที่พรรคฯ หาเสียงไว้อย่างเต็มที่เพื่อให้สำเร็จโดยเร็ว และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการที่พรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคอื่น ๆ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความปองดองสมานฉันท์ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนจึงขอวิงวอนกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง หลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยขอให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์เพื่อเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกัน

นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการนำข้าวต้มมัดใหญ่จำลอง ที่ประดิษฐ์จากโฟมมัดด้วยเชือกไนลอน พร้อมแกะให้เห็นภายใน ว่าทุกอย่างมีสองด้าน เพราะข้าวต้มมัดมีสองซีก โดยหนึ่งเป็นข้อความที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ นโยบายต่าง ๆ ที่ขอให้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน

ตร.ไซเบอร์จับอดีต รปภ. ผันตัวรับบท ผกก.เมืองเชียงราย โทรหลอกคุณหมอโอนเงินกว่า 101 ล้าน

สืบเนื่องจากกรณีอดีตแพทย์อายุรกรรม และ อดีต ผอ.ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาเกษียณราชการได้ถูกหลอกโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายกว่า 101 ล้านบาท โดยมิจฉาชีพหลอกว่ามีพัสดุผิดกฎหมายแล้วปลอมตัวเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย สนทนาเพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว จนสามารถหลอกให้โอนเงินไปทั้งสิ้น 101,871,381 บาท โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ เดือน ก.ย.65 ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ออกสืบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานกลุ่มขบวนการที่เกี่ยวข้อง จนสามารถออกหมายจับและจับกุมไปได้แล้วหลายราย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนหาข้อมูลจนทราบว่ามีผู้ต้องหาสำคัญในขบวนการดังกล่าวและยังเป็นบุคคลตามประกาศสืบจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 (ลำดับที่ 249) มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.5 ต.ท่าด้วง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ จึงวางแผนเข้าจับกุมและสามารถจับกุมตัว นายชลวิชา อายุ 33 ปี ชาวสมุทรสาคร ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ และร่วมกันฟอกเงิน”

โดยผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่า เดิมเคยประกอบอาชีพเป็น รปภ. แต่มีปัญหาทางการเงินจึงสมัครงานผ่านเพจหางานคาสิโนในเฟชบุ๊ก โดยแอดมินเพจแจ้งเพียงว่ามีลักษณะการทำงานเป็นแอดมินตอบโต้ลูกค้า จึงเดินทางข้ามชายแดนทางพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แล้วมีคนมารับข้ามไปยังประเทศกัมพูชา

เมื่อไปถึงกลับพบว่าเป็นการทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงเหยื่อโอนเงิน โดยจะมีคนสอนให้พูดตามสคริปต์ให้รับบทเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย มีสัญญาการทำงาน 6 เดือน มีค่าตอบแทน 30,000 บาทต่อเดือน และจะได้รับค่าคอมมิสชั่นเพิ่มหากทำงานถึงยอดตามเป้า เมื่อครบกำหนด 6 เดือน จึงเดินทางกลับมาประเทศไทยและถูกจับกุมในที่สุด    

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.พงศ์นริทร์ 
เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.นฤภัทร เทียนชัยทัศน์, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์, 
พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

แฟนคลับหวั่นใจ!! ‘เจษ-วิว’ รักร้าว หลังฝ่ายหญิงโพสต์เศร้า ฝ่ายชายไม่กดไลก์

ก่อนหน้านี้คู่รักนางเอกสาว วิว วรรณรท และพระเอกหนุ่ม เจษ เจษฎ์พิพัฒ เคยถูกจับตาเรื่องความสัมพันธ์มาแล้วครั้งหนึ่ง จนล่าสุดก็ทำเอาถูกสงสัยอีกครั้ง เมื่อวิวออกมาลงคลิปวิดีโอนั่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมใส่แคปชั่น ‘Life is too short to waste my time 🙂 Let’s fly~🕊️ (ชีวิตสั้นเกินกว่าจะเสียเวลา ไปบินกันเถอะ)’

การนี้มีแฟน ๆ ต่างเข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจว่า ‘ขอให้พี่วิวมีความสุขในชีวิตของพี่เยอะๆนะคะ ร้อยยิ้มของพี่วิวอาจเป็นกำลังใจของใครหลายคน รวมทั้งตัวของพี่วิวเช่นกัน ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ตามหนูเชื่อว่าพี่ผ่านมันมาได้เสมอ มีครอบครัวของพี่วิว และแฟนคลับที่รักพี่วิวอย่างเช่นหนู รักและสนับสนุนพี่ตลอดไปนะคะพี่วิว ♥️🕊️’ ซึ่งวิวก็ได้เข้ามาส่งหัวใจรัว ๆ ให้

ขณะที่บางคนก็ถามว่า ‘แคปชันพาให้คิดว่าเลิกกับเจษ ไม่ใช่ใช่มั้ยครับ’, ‘ทำไมพี่เจตไม่เห็นกดไลก์คะ ใจไม่ดีเลย ยังรักกันดีอยู่ใช่มั้ยคะ รักทั้งคู่’ บ้างก็ว่า ‘นี้คิดว่าไม่ได้เลิก มันเป็นช่วงเจษโปรโมทละคร กับปราง’ ฯลฯ อย่างไรก็ตามต้องรอฟังจากปากของทั้งคู่

ครบรอบ 22 ปี ภาพยนตร์ ‘สุริโยไท’ เข้าฉายครั้งแรก เผยเบื้องหลังกองถ่าย ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน

ล่วงเลยมาถึง 22 ปีแล้ว หลังจากภาพยนตร์ไทยที่ตราตรึงใจคนทั้งประเทศอย่าง ‘สุริโยไท’ เข้าฉายวันแรก (17 สิงหาคม 2544) โดยวาระนี้ ‘ปิติรัชต์ จูช่วย’ แห่ง ‘สำนักพิมพ์สยาม เรเนซองส์’ ถือโอกาสเล่าเกร็ดเรื่องเล่า ‘ภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ’ จากบท ‘แม่หยัวศรีสุดาจันทร์’ หรือ ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’

ปิติรัชต์เปิดเผยทางเฟซบุ๊ก ‘Pitirach Joochoy’ ว่า ประชุมยาววันนี้เสร็จ ออกมาแล้วเห็น Notification Facebook เยอะ นึกว่าทัวร์ลงอะไรเรา อ๋อ Post ครบรอบสุริโยไท 555+

อ่ะ วันนี้ 22 ปี สุริโยไท เข้าฉายวันแรก

ขอเอาเกร็ดเรื่องเล่า ‘ภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ’ จากบทแม่หยัวศรีสุดาจันทร์มาฝากกัน

- บทนี้เป็นหนึ่งในสองบทที่ไม่ได้แคสนักแสดง เลือกมาเลยว่าให้คนนี้แสดง อีกบทคือคุณต้นในบทพระสุริโยทัย

- ผู้เลือกนักแสดงสองบทนี้คือท่านเดียวกัน

- เดิมที่ชื่อ Project ในภาษาอังกฤษจะใช้ว่า ‘The Sun and The Moon’ ตามพระสุริโยทัยและท้าวศรีสุดาจันทร์

- ฉากตามพระยอดฟ้าไปทรงพระอักษร บรีฟคือให้แม่หยัวตบพระหัตถ์ แต่นักแสดงยังไม่เก็ตว่าตบมือสั่งมันยังไง ก็ออกมาเป็นปรบมือรัวจ้า จนโดนท่านผู้กำกับขำแล้วแซวว่า “เฮ้ย เอ็งเป็นมาทาดอร์เราะ”

- ฉากเข้าพระเข้านางของขุนวรวงศากับแม่หยัวฯ นักแสดงเกร็งมาก แต่ไม่ได้เกร็งเพราะเล่น Love Scene แต่เกร็งเพราะมีเจ้านายพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงเยี่ยมกองถ่าย แล้วประทับดูการถ่ายทำหน้ามอนิเตอร์พอดี

- ฉากแม่หยัวฯ อาละวาด ปาดคออีสร้อย นักแสดงต้องเล่น Long Take ครั้งเดียวตลอด Take ให้ผ่านตั้งแต่กริ้วหลวงจงรัก “หากมียาพิษเหตุใดเจ้าจึงไม่เป็นอะไร” ยาวไปจนถึงปาดคอเสร็จ “มันวางยาพิษพ่ออยู่หัว สมควรตายตามโทษานุโทษ”

- ก่อนหน้าฉากนั้นเป็นอันรู้กันว่าถ้าเป็นฉากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสิ้นต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง ทางสมเด็จพระไชยราชาต้องยาพิษก็เช่นกัน กว่าจะถ่ายได้ มีทั้งไฟดับ วิกพี่อ๊อฟหลุม มุมถ่ายใด ๆ ไม่ได้ ต้องถ่ายใหม่

- เลือดของอีสร้อยที่พุ่งจากคอตอนแม่หยัวปาดคอ ใช้ความช่วยเหลือทางนวัตกรรมของพี่อ้อย (อีปริก) ด้วยการบีบเลือดปลอมผ่านท่อที่แต่ง Effect พิเศษตรงคอของนักแสดงอีสร้อย

- ฉากขบวนเสร็จคลองสระบัวของขุนวรวงศาธิราช ในฉากกระบวนเรือ จะมีเพียงเสียงสองเสียงคือ เสียงเห่เรือ กับเสียงแม่หยัวกล่อมลูก

- บรีฟเสียงแม่หยัวกล่อมลูกคือไม่มีบท แต่ให้นักแสดง improvise ตามความรู้สึกเอาเลยว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร กังวลใจ ห่วงลูกห่วงผัวอย่างไรให้ปล่อยไปตามนั้น

- แต่ในภาพยนตร์จริงตัดเสียงกล่อมลูกของแม่หยัวออกเพราะ ‘ทรงพลังเกินไป’ ดูแม่หยัวเป็นนักร้องอาชีพเกิ้น

- ฉากสิ้นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะมีอะไรสักอย่าง แม่หยัวก็เช่นกัน ต้องถ่ายทั้งที่อยุธยาและสุรินทร์กว่าจะผ่าน จนรอบสุดท้ายที่จะถ่ายได้คือถ่ายที่อยุธยา ฝนก็ตกหนักมาก แม่หยัวและพระสุริโยทัยที่แต่งองค์พร้อมถ่าย ต้องไปกลับโรงแรมหลายรอบ เพราะพอจะออกไปถ่ายฝนก็ลง กลับก็หยุด ออกไปก็ตกใหม่แบบนี้ จนต้องบวงสรวงย่อย

- สุดท้ายแบบจริงๆ แล้ว มันต้องถ่ายแล้วแม่หยัวก็จูงมือพระสุริโยทัย แล้วลั่นว่า “ไปพี่ ไปตายกัน” แล้วก็ออกมาถ่ายพร้อมฝนที่เพิ่งหยุด

- จุดที่แม่หยัวต้องปืนล้ม ทีมงานก็เตรียมการให้ด้วยการขุดหลุมแล้วเอาเบาะรอง เอาใบไม้กลบ แต่นักแสดงเห็นแล้วก็รู้สึกว่า ไม่เป็นไร ให้มันจริงไปเลยดีกว่า ก็เลยบอกทีมงานว่า “เอาผ้าออกเถอะค่ะ เดี๋ยวใหม่นอนในหลุมเอง”

- ที่ว่ามันต้องถ่ายให้ได้แล้วจริง ๆ เพราะเสร็จฉากแม่หยัวสิ้น นักแสดงคนนึงต้องตามเสด็จเยือนจีน อีกคนต้องไปทัวร์คอนเสิร์ต

- ภาพเบื้องหลังนี้ที่เอามาลง จิ๊กศิลปินมา Scan เช่นเคย 555+

ผบ.ตร.รวมเหล่าดารา นักแสดงศิษย์เก่าลูกบดินทร ออกเตือนภัยไซเบอร์ให้กับนักเรียนรุ่นน้อง รร.บดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) หวั่นตกเป็นเหยื่อ

วันนี้ (18 ส.ค.66) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดโครงการ “เสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี : เยาวชนรุ่นใหม่ รู้เท่าทันภัยไซเบอร์” ณ หอประชุมอาคารบดินทรพัฒน์ โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งเป็นโครงการของ บก.น.4 โดย สน.วังทองหลาง ได้นำร่องอบรมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 3 รุ่น โดยวันนี้ได้อบรมรุ่นแรกเป็นนักเรียนชั้น ม.6 เข้ารับการอบรมจำนวน 600 คน โดย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.น./ผอ.ศปอส.บช.น. ,พ.ต.อ.สุพล ค้ำชู รอง ผบก.น.4 และ พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง พร้อมด้วยคณะวิทยากรจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งยังมีศิษย์เก่าบดินทรเดชาร่วมให้ความรู้แก่คณะครู บุคคลากร และนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชาฯ อาทิ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ศิษย์เก่ารุ่น 9 ,พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.สยศ. ศิษย์เก่ารุ่น 11 ,พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./โฆษก ตร. ศิษย์เก่ารุ่น 16 พร้อมด้วยดารานักแสดงศิษย์เก่า บุ๋ม ปนัดดา วงษ์ผู้ดี ศิษย์เก่ารุ่น 22 ,เชน ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์ และอีฟ พุทธธิดา ศิระฉายา ศิษย์เก่ารุ่น 29 

ผบ.ตร. กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถือเป็นอาชญากรรมรูปแบบใหม่ที่ส่งผล กระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งรูปแบบการประทุษกรรมของ คนร้ายนั้นมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่น การหลอกให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในโทรศัพท์มือถือ เพื่อเข้าไปดูดเงินในบัญชี หรือแอปพลิเคชั่นดูดเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาโดยตลอด และร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและ เอกชนมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปราม และติดตามดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้าย อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามพบว่ายังคงมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจากการหลอกลวง อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน

ซึ่งมีการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวันอยู่เสมอจึงมีความเสี่ยงที่จะเจอกลลวงของคนร้ายได้ การป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ได้ดีที่สุดนั้น คือ การสร้างความรู้ การประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนและประชาชนได้รู้เท่าทันอย่างทั่วถึง ไม่ตกเป็นเหยื่อ กลโกงของคนร้ายบนโลกออนไลน์ จึงเป็นที่มาของการจัดทำโครงการ เสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ โดยการให้ความรู้กับกลุ่มนักเรียน ซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทัน และสามารถถ่ายทอดส่งต่อความรู้ หรือภูมิคุ้มกันนี้ไปยังคนในครอบครัว ญาติมิตร และคนใกล้ชิด เพื่อให้ขยายเครือข่ายของภูมิคุ้มกันเป็นวงกว้าง เพื่อป้องกันการหลอกหลวงจากกลุ่มคนร้ายทุกรูปแบบ

นอกจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้จัดทำข้อสอบวัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ สำหรับภาคประชาชน เป็นลักษณะข้อสอบความรู้ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาทำข้อสอบได้รู้เท่าทันกลโกงคนร้าย และทราบถึงวิธีการปฏิบัติตนหากถูกหลอกลวง และมีรางวัลให้กับผู้ที่สอบได้คะแนนตั้งแต่ 35 คะแนนขึ้นไปมีสิทธิ์ได้รับรางวัลเป็น Iphone 14 จำนวน 60 เครื่อง เดือนละ 20 รางวัล ซึ่งมีการมอบรางวัลไปขอบเดือน ก.ค. ไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนร่วมทำแบบทดสอบเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ครอบครัว และคนรอบตัวต่อไป

‘เจ้าของเพจท่องเที่ยวดัง’ แชร์ประสบการณ์นั่ง Subway นิวยอร์ก ไร้สัญญาณมือถือ-รถไฟเสียบ่อย-ไม่สะอาด-ความปลอดภัยต่ำ

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณแม็กซ์’ เจ้าของเพจเฟสบุ๊ก ‘เพื่อนพาเที่ยว นิวยอร์ก’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘แชร์ 5 เรื่องล้าหลังของ ‘Subway’ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ควรมาดูงานที่ประเทศไทย’ โดยระบุว่า…

ตอนนี้แม็กซ์อยู่ที่นิวยอร์ก จะพาไปเปิดโลก 5 เรื่อง Culture Shock ที่ Subway ของนครนิวยอร์กกัน!!

เรื่องที่ 1 ไม่มีสัญญาโทรศัพท์มือถือ ที่ประเทศไทย เราสามารถเล่นโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา แต่ที่นิวยอร์ก หากเราจะใช้บริการรถไฟใต้ดิน เราจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้แค่ตอนที่อยู่ในสถานีเท่านั้น แต่เวลาที่ขบวนรถไฟกำลังวิ่งระหว่างสถานี สัญญาณโทรศัพท์จะไม่มีเลย เราจะไม่สามารถติดต่อสื่อสาร หรือเล่นอะไรได้เลย

เรื่องที่ 2 Subway ที่นิวยอร์ก ซ่อมบ่อยมาก โดยเฉพาะช่วงดึกๆ หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้โดยสารต้องคอยอ่านป้ายประกาศที่ติดเตือนไว้ล่วงหน้า ตรงข้างหน้าสถานี เพื่อคอยเช็กการเดินรถอยู่ตลอด

เรื่องที่ 3 ไม่มีประตูกั้นระหว่างรถไฟกับชานชาลา มีเพียงคำแนะนำให้ผู้โดยสารยืนหลังเส้นสีเหลืองเท่านั้น ซึ่งตรงนี้เราต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะโดนคนดันจนตกลงไปที่รางรถไฟ จึงแนะนำให้ยืนพิงกำแพง เพื่อความปลอดภัย และอุ่นใจในขณะที่กำลังรอรถไฟ

เรื่องที่ 4 ความสะอาด รวมถึงเรื่องกลิ่นภายในสถานีรถไฟใต้ดินจะค่อนข้างแรงมาก โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ แต่สถานีรถไฟที่เพิ่งสร้างใหม่ และสะอาดๆ เขาก็มีเหมือนเช่นกัน

เรื่องที่ 5 ภายใน Subway มีเจ้าหน้าที่และตำรวจค่อนข้างน้อยมาก หลายคนจึงมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และกลัวคนไร้บ้าน (Homeless) ที่มาใช้บริการ แต่เราก็ไม่สามารถไปกีดกันใครไม่ให้ใช้บริการได้ เพราะด้วยความที่ราคาค่าโดยสารของ Subway นั้นไม่ได้แพงมาก ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ ดังนั้น คนไร้บ้านเขาก็อาจจะเสียเงินซื้อตั๋วโดยสารเหมือนกับพวกเรานี่แหละ หากรู้สึกไม่ไว้วางใจ เราก็ต้องมีความช่างสังเกตอยู่ตลอดเวลา

‘น้องณะโม’ เด็ก 9 ขวบ ทักษะด้านศิลปะยอดเยี่ยม ชอบ ‘วาดภาพ - ปั้นพระพุทธรูป - ขับบทหนังตะลุง’

(18 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 32/2 หมู่ที่ 4 บ้านเขากอบ ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของ ด.ช. สุวิจักขณ์ คงรอด หรือน้องณะโม อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนรัตนศึกษา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช น้องณะโมกำลังโชว์ฝีมือการปั้นพระพุทธรูปจากดินน้ำมัน ขนาดความสูง 1.5 ฟุต พร้อมวาดภาพพระพุทธรูปต่าง ๆ ที่ชื่นชอบ ก่อนจะลงสีให้เหมือนต้นฉบับ ซึ่งได้ศึกษามาจากยูทูบเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังนำมาต่อเป็นเลโกอีกหลายชิ้น

ล่าสุดนายพงศ์ชิตพล คงรอด อายุ 40 ปีซึ่งเป็นคุณพ่อและเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนวิเชียรมาตุ 3 จ.ตรัง กับนางนิรมล คงรอด อายุ 38 ปี คุณแม่ ซึ่งเป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ได้นำภาพพระพุทธรูปที่น้องณะโมวาด ไปทำเป็นเสื้อยืดคอกลมและคอวี นำออกจำหน่ายทางเพจ/เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า สอนศิลป์กับพิมพ์ไทย, เพจเด็กปั้น และเพจ niramol sommai ขายราคาตัวละ 300 บาท โดยเพิ่งวางขายไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ขายได้แล้วกว่า 10 ตัว ส่วนเงินรายได้นำไปเป็นทุนการศึกษาและซื้ออุปกรณ์การวาดภาพ ระบายสี เพื่อให้น้องณะโมมีกำลังใจในการสานฝันของตัวเอง ควบคู่ไปกับการได้อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับน้องณะโม เริ่มวาดภาพพระพุทธรูปและปั้นดินน้ำมันเป็นรูปพระพุทธรูปองค์ต่าง ๆ พร้อมทั้งฝึกเล่นหนังตะลุงมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวที่ชอบศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน การไหว้พระ สวดมนต์ ซึ่งคุณพ่อเคยนำนักเรียนไปแข่งขันสวดมนต์ทำนองสรภัญญะและทำกิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนด้านพระพุทธศาสนา จนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศมาแล้วหลายรางวัล เช่นเดียวกับคุณแม่ของน้องณะโมที่ชอบแนวเดียวกัน โดยจะพาน้องณะโมไปด้วยทุกที่ จึงทำให้น้องณะโมซึมซับสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ จนกลายเป็นความชอบและหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งจากยูทูบและจากคุณครูสอนศิลปะ จนสามารถวาดภาพพระพุทธรูปและปั้นดินน้ำมันได้อย่างคล่องแคล่ว ล่าสุดได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดวาดภาพที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

สำหรับชื่อ ‘ณะโม’ คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ เพราะมีความหมายว่าผู้นอบน้อม ส่วนการเล่นหนังตะลุง เกิดจากการที่คุณพ่อซื้อรูปหนังตะลุงมาให้ น้องจึงหัดเล่นจากยูทูบ จนสามารถขับหนังตะลุงได้ โดยมีคุณพ่อเป็นลูกคู่หรือเป็นผู้ช่วยนายหนัง ซึ่งน้องณะโมได้ใช้เวลาว่างไปกับการวาดภาพพระพุทธรูปและการท่องเที่ยวไปตามโบราณสถานหลายแห่งทั้งในจ.ตรัง และ จ.นครศรีธรรมราช แต่ที่ชอบมากที่สุดคือศิลปะลาวล้านช้าง

ซึ่งปัจจุบัน น้องณะโมตามคุณแม่ที่เป็นคุณครูไปเรียนอยู่ที่อำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี มีสมาธิ และรู้จักความอดทนอดกลั้นได้มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน โตขึ้นน้องณะโมฝันอยากเป็นเกมเมอร์และวาดภาพพระพุทธรูปที่ชื่นชอบทั่วไทย ส่วนใครสนใจสามารถติดตามได้ทางเพจเด็กปั้น,เฟซบุ๊ก niramol sommai และเพจสอนศิลป์กับพิมพ์ไทย หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-370-0192

โดย ด.ช. สุวิจักขณ์ คงรอด หรือน้องณะโม เปิดเผยว่า ตนเป็นคนที่ชอบพระศิลปะลาวล้านช้าง เห็นแล้วรู้สึกชอบและศรัทธา ตอนนี้วาดและปั้นได้ ส่วนความสามารถในการขับหนัง มาจากการที่พ่อซื้อหนังตะลุงมาให้แล้วเอามาเล่นกับพ่อ ต่อมาจึงเปิดดูในยูทูบแล้วหัดพากย์ แต่ยังไม่ได้เคยไปเล่นโชว์ที่ไหนมาก่อน

อนาคตฝันอยากเป็นเกมเมอร์และวาดภาพต่อ โดยการปั้นไม่มีใครสอนปั้นเองดูจากยูทูบตอนอายุ 3 ขวบ ตอนนี้อายุ 9 ขวบแล้ว ปั้นมาเรื่อย ๆ ผลงานนำไปโชว์ที่ตลาดชุมทาง ที่ได้ขายคือทำเป็นเสื้อขายตัวละ 300 บาท ส่วนใครสนใจสามารถซื้อได้จากเพจเด็กปั้น

ด้านนายพงศ์ชิตพล และนางนิรมล คงรอด คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องณะโม กล่าวว่า เริ่มต้นชอบของลักษณะอย่างนี้ตอนอายุประมาณ 3 ขวบ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีแววชื่นชอบเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานต่าง ๆ และได้ฝึกวาด ฝึกปั้นจนถึงตอนนี้อายุ 9 ขวบ ส่วนพ่อแม่เองก็ชอบด้านนี้มาตลอด และจะชอบไปโบราณสถานต่าง ๆ และไปไหว้พระทำบุญกันอยู่ตลอด โดยพาณะโมไปด้วย ทำให้ลูกซึมซับและจดจำมาตลอด อย่างหนึ่งที่ได้คือลูกได้สืบทอดพระพุทธศาสนา มีภูมิต้านทานทางด้านจิตใจที่กระแสสังคมเข้ามากระทบ แต่สิ่งเหล่านี้เข้ามาหล่อเลี้ยงจิตใจให้เขาเป็นคนดีได้

งานทุกชิ้นของเขาจะพูดกับเขาว่า เราจะปลูกฝังคุณค่าในตัวเองให้เขาได้มองเห็นว่าจากชิ้นงานศิลปะตรงนี้ พอลูกเอามาทำเสื้อหรือทำอย่างอื่นเอามาต่อยอดทำให้ซาบซึ้งคุณค่าในตัวเอง อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้มีตรงนี้ ได้ตระหนักคุณค่าในตนเอง เพราะเรามองว่าจะเป็นการสร้างเกราะในจิตใจเขาในการอยู่ในสังคมในวันข้างหน้า ให้เขาเข้มแข็งจากตัวเขาจากคุณค่าของตัวเอง ซึ่งได้งานศิลปะเป็นตัวช่วย

'ซาบีน่า' เปิดภารกิจเพื่อสังคม เปลี่ยนชุดชั้นในเก่าเป็น 'พลังงานสะอาด' พร้อมเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้กับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมะเร็ง

จากรายการ THE TOMORROW ทางสำนักข่าวออนไลน์ THE TOMORROW สัปดาห์นี้ ได้พูดคุยกับ แขกพิเศษ คุณดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชุดชั้นใน ซาบีน่า แบรนด์ไทยที่กำลังก้าวสู่ปีที่ 60 ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับภูมิภาคด้วยพันธกิจใหม่

ซาบีน่า เริ่มต้นโดยคุณแม่จินตนา ที่เริ่มขายชุดชั้นใน บริเวณตลาดพลู เย็บด้วยมือ ถือหิ้วตระกร้าเดินขาย จนสามารถแตกไลน์จากชุดชั้นในจินตนามาสู่แบรนด์ซาบีน่า ที่ขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของประเทศ ไว้อย่างน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญในปีที่จะก้าวสู่วัย 60 อยู่ที่พันธกิจที่เหนือกว่าการผลิตสินค้าและการขายของแบรนด์ ซาบีน่า ภายใต้มุมคิดที่จะทำธุรกิจอย่างไรให้เกิดผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด และสร้างประโยชน์ต่อผู้คนให้มากที่สุด

คุณดวงดาว กล่าวว่า "ปัจจุบันซาบีน่าให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) เพราะชุดชั้นใน เสื้อผ้า ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ ยิ่งเมื่อไหร่ที่มียอดขายสูงขึ้น แปลว่าเรากำลังสร้างขยะออกมาในโลกนี้มากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงให้เราเริ่มหาวิธีการที่จะจัดการปัญหาเหล่านี้

"โดยในปีที่แล้ว เราได้มีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบขยะให้ถูกนำไปทำลายอย่างถูกวิธี ภายใต้แคมเปญ 'โละแล้วไปไหน' หรือก็คือ ชุดชั้นใน ไม่ว่าจะเป็นของคุณเอง หรือคนในครอบครัว คุณเก็บใส่ถุงให้ดีแล้วนำมาให้เรา เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยสามารถนำมาใส่กล่องรับชุดชั้นในเก่า ที่จุดขาย หรือ Shop ของเรา ซึ่งที่กล่องจะมี QR CODE ให้สแกนเก็บไว้ และทุก ๆ 1 สแกนเราจะบริจาคสินค้าใหม่ให้กับคนที่ต้องการ 1 ชิ้นอีกด้วย"

ต่อมากับ โครงการเต้านมเทียม Sabina Sewing Cup Sewing Heart เย็บเต้ารวมใจ สู้ภัยมะเร็งเต้านม แคมเปญนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้กับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมะเร็ง สำหรับผู้ป่วย หรือผู้ที่ประสงค์ติดต่อขอรับเต้านมเทียมเพื่อส่งต่อให้กับผู้ป่วย สามารถติดต่อขอรับเต้านมเทียม ได้ผ่านทาง Line@ : @SabinaThailand หรือทาง www.sabina.co.th

โดยซาบีน่าจะจัดส่งเต้านมเทียมให้ถึงมือผู้ป่วยฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Sabina Call Center โทร. 02-422-9430 บริษัทหรือหน่วยงานแจ้งความประสงค์ผ่านทาง [email protected] ซาบีน่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเต้านมเทียมเหล่านี้ จะช่วยเติมเต็มพลังใจให้กับผู้ป่วย หลังการรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยวิธีตัดเต้า ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

เรียกว่าเป็นอีกพันธกิจเพื่อสังคม ที่เดินหน้าควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจของ

ซาบีน่า ที่เราต้องขอปรบมือให้จริง ๆ

เรื่อง: วสันต์ มนต์ประเสริฐ

‘ICAC’ สุดยอดหน่วยปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชัน ผู้ปัดกวาดเกาะฮ่องกง ลบภาพจำดินแดนแห่งการคดโกง

‘ICAC’ (The Independent Commission Against Corruption) ของฮ่องกง… สุดยอดต้นแบบแห่งการปราบปรามคอร์รัปชันทุจริตโกงกิน

การปราบปรามการทุจริตโกงกินของประเทศใด ๆ ก็ตาม ไม่มีวันที่จะสำเร็จหากหน่วยงานปราบปรามการทุจริตของประเทศนั้น ๆ ทำงานในเชิงรับ (Defensive) ตัวอย่างที่ดีที่สุดและพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ถึงความสำเร็จในการปราบปรามการทุจริตเชิงรุก (Offensive) ก็คือหน่วยงานปราบปรามทุจริตของฮ่องกง อย่าง ‘ICAC’ ซึ่งทำงานเชิงรุกมาโดยตลอด นับแต่ตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นในเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เลยขอนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ ICAC ซึ่งยาว แต่มีประโยชน์มากครับ

การปราบปรามการทุจริตของฮ่องกงเป็นต้นแบบที่ดีที่สุด ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันกรณีหนึ่งของโลก ด้วยเหตุที่ฮ่องกงในอดีตเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันอย่างรุนแรง ชนิดที่เรียกว่า แค่ย่างเท้าก้าวออกจากบ้านก็ต้องจ่าย สินบน ค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างน้อยคนหนึ่ง (ฮ่องกงในอดีตอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ฮ่องกงจึงกลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน และกลายเป็น ‘เขตปกครองพิเศษ’ ภายใต้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ เป็นแห่งแรกของจีน)

ช่วงต้นทศวรรษที่ 70 รัฐบาลอังกฤษส่ง Sir. Murray MacLehose มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเกาะฮ่องกง (Governor of Hong Kong) ผลงานชิ้นสำคัญของ MacLehose คือ การตั้งหน่วยงานปราบปรามการทุจริต ขึ้นเมื่อ15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) หน่วยงานนี้มีชื่อว่า ‘Independent Commission Against Corruption’ หรือ ‘ICAC’ ความสำเร็จของฮ่องกงที่กลายเป็นศูนย์กลางด้านการเงินระหว่างประเทศ เป็นสวรรค์ของบรรดานักช้อปทั้งหลาย มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี โดยในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 นั้นถือเป็นยุคที่บูมสุด ๆ ของเกาะแห่งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลงานของ ICAC

‘ICAC’ เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมา เพื่อปราบปรามและป้องกันการทุจริต โดยมีบทบาทอย่างสูงยิ่งในการปัดกวาด กำจัดการทุจริตโกงกินที่เกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้จนสะอาดสะอ้าน ทำให้ปัญหาคอร์รัปชันบรรเทาเบาบางลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ จนเกาะสะอาดแห่งนี้คว้าตำแหน่งศูนย์กลางทางการเงินแห่งภูมิภาคมาครองได้ในที่สุด ซึ่งนับเนื่องมาถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ 50 ปีแล้วที่องค์กรนี้มุ่งมั่นในการทำหน้าที่ตามภารกิจนี้มา

เดิมการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในฮ่องกง เป็นเพียงแผนกหนึ่งของกรมตำรวจฮ่องกง แต่ทว่า ตำรวจฮ่องกงในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ขึ้นชื่อในเรื่องการเรียกร้องสินบนมากที่สุด ชนิดชาวบ้านร้านตลาดต่างเอือมระอา ภาพลักษณ์ตำรวจฮ่องกงในยุคนั้นไม่ต่างอะไรกับ ‘โจรในเครื่องแบบ’ ที่รีดไถเก็บค่าคุ้มครองสุจริตชน หนำซ้ำยังอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มมาเฟีย โดยแลกกับผลประโยชน์จากการรับส่วย สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำให้ชาวฮ่องกงมีต้นทุนในการดำรงชีวิตแพงขึ้น เพราะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อแลกกับการใช้บริการภาครัฐ หรือไม่ก็แลกกับการที่ผู้รักษากฎหมายจะไม่มากลั่นแกล้ง หรือยัดเยียดข้อหาให้ ฮ่องกงกำลังตกอยู่ในสภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเติบโตอย่างฮวบฮาบของจำนวนประชากร และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ล้วนเป็นตัวเร่งเร้าจังหวะก้าวของการพัฒนา ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ภาครัฐเองในเวลานั้น ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่ดูจะไม่มีวันอิ่มของจำนวนประชากร ที่นับวันจะขยายตัวยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์เช่นนี้เอง ที่เป็นเสมือนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ให้แก่เหล่าผู้คนประเภทไร้ศีลธรรมทั้งหลาย หลายคนได้หันไปใช้วิธีที่เรียกว่า ‘เข้าหลังบ้าน’ เพียงเพื่อยังชีพ และให้ได้มาซึ่งสิ่งพิเศษนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐาน สิ่งที่เรียกว่า ‘เงินค่าน้ำร้อนน้ำชา’, ‘เงินสกปรก’, ‘เงินเก๋าเจี๊ยะ’ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ จึงไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่คนฮ่องกงคุ้นเคย แต่ต้องจำใจยอมรับมันว่าได้กลายเป็น ‘วิถีชีวิตอันไม่อาจปฏิเสธได้’ ไปเสียแล้ว

ในสมัยนั้น คอร์รัปชันได้ลุกลามไปทั่วในภาคเอกชนของฮ่องกงไม่ว่าจะเป็นพวกห้างร้านต่างๆ ก็ต้องจ่ายเงินให้พนักงานดับเพลิงเสียก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคนพวกนี้จะโผล่หน้ามาตอนเกิดไฟไหม้จริงๆ หรือเวลายื่นคำร้องขอติดตั้งโทรศัพท์บ้านสักเครื่องก็ต้องจ่ายค่า ‘หยอดน้ำมัน’ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ ‘โทรศัพท์’ มาใช้งาน พนักงานรถพยาบาลก็ไม่วายเรียกร้องเงินค่าน้ำร้อนน้ำชาก่อนจะออกไปรับผู้ป่วยมาโรงพยาบาล หรือแม้แต่นางพยาบาลเองยังเรียกร้องเงินค่า ‘ทิป’ ก่อนจะหยิบกระโถนฉี่ หรือเอาน้ำสักแก้วมาบริการผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้คิดดูเถิด การหยิบยื่นเงิน ‘เก๋าเจี๊ยะ’ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ถูกคน ยังเป็นเรื่องจำเป็นในการติดต่อเพื่อเช่าแฟลตการเคหะ ฝากลูกเข้าโรงเรียน รวมทั้งเพื่อความคล่องตัวในการติดต่อราชการอีกสารพัดเรื่อง 

ปัญหาคอร์รัปชันได้กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในฮ่องกงเรื่อยมา ทว่ารัฐบาลในสมัยนั้นดูเหมือนจะไร้น้ำยาที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้ ความอดทนของประชาชนต่อเรื่องนี้นับวันจะน้อยลงๆ ทุกที หลายคนจึงเริ่มออกมาแสดงความไม่พอใจโจมตีความไม่เอาไหนของรัฐฯ ในการจัดการกับปัญหานี้ ในช่วงต้นๆ ของทศวรรษที่ 1970 ปรากฏว่าผู้คนในสังคมได้รวมพลังกันแสดงความคิดเห็นต่อปัญหานี้กันอย่างแข็งขัน จนเกิดเป็นพลังทางสังคมที่รัฐฯ ไม่อาจทำเป็นหูทวนลมต่อไปได้ สาธารณชนได้ทำการกดดันฝ่ายบ้านเมืองชนิดกัดไม่ปล่อย เพื่อให้รัฐฯ ตัดสินใจใช้มาตรการอันเฉียบขาดในการสะสางปัญหาอันเรื้อรังนี้เสียที

‘Sir. Murray MacLehose’ ผู้ว่าการเกาะฮ่องกง ผู้ก่อตั้งหน่วย ICAC

‘Sir. Murray MacLehose’ ผู้ว่าการเกาะฮ่องกง (ข้าหลวงใหญ่ฮ่องกง) ในขณะนั้น (ดำรงตำแหน่ง 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982)) ได้ชี้แจงแสดงเหตุผลความจำเป็น ที่จะต้องจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อต่อต้านการทุจริต ในสุนทรพจน์ของเขาที่แสดงต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายนิติบัญญัติในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) จนในที่สุดได้ส่งผลให้เกิดการจัดตั้งองค์กรอิสระที่เรียกว่า ‘คณะกรรมการอิสระป้องกันและปราบปรามการทุจริต’ หรือ ‘Independent Commission Against Corruption’ (ICAC) ขึ้นมาเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974)

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างหนึ่งของฮ่องกง คือ ภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งเมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจ หรือตระหนักถึงอันตรายของปัญหาคอร์รัปชัน และมองว่าเรื่องการจ่ายใต้โต๊ะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ได้มีการปรับเปลี่ยนทัศนคติจนทำให้มีส่วนร่วมในการปราบคอร์รัปชัน ทั้งภายในองค์กรของตัวเอง และที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐมากขึ้น องค์กรธุรกิจภาคเอกชนที่ไปขอคำแนะนำเรื่องการปราบปรามคอร์รัปชันจาก ICAC มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ. 2537 ICAC เริ่มรณรงค์เรื่องจริยธรรมทางธุรกิจและต่อมาอีก 18 เดือนมีบริษัทและสมาคมการค้ากว่า 1,200 แห่ง ประกาศเรื่องประมวลจรรยาบรรณของบริษัท (Code of conduct)

ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ฮ่องกงประสบความสำเร็จในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชัน : 

ปัจจัยแรก การยอมรับสภาพปัญหาและความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันของรัฐบาล ทำให้ความพยายามในการปราบปรามคอร์รัปชันได้ผลคือ เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงสุดตระหนักถึงความเลวร้ายของปัญหาคอร์รัปชัน และมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยเน้นว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่จะต้องใช้เวลาแก้ไขอย่างต่อเนื่องมากกว่ามาตรการระยะสั้น อย่างกรณีของฮ่องกง ข้าหลวงใหญ่เป็นผู้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการอิสระ เพื่อการปราบปรามคอร์รัปชัน (ICAC) โดยตรง และตั้งเป็นองค์กรอิสระจากการแทรกแซงการเมือง เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อถือ รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการสร้างองค์กรนี้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการคัดเลือกและตรวจสอบพนักงานอย่างมีคุณภาพ ให้เงินเดือนและสวัสดิการสูง เพื่อให้เป็นองค์กรที่อยู่ได้อย่างยาวนาน ต่างจากการรณรงค์การปราบปรามการคอร์รัปชันระยะสั้นในหลายประเทศ ซึ่งมักเป็นการหาเสียงทางการเมือง มากกว่าจะมีความจริงใจในการปราบปรามการคอร์รัปชัน และทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือและไม่ให้ความร่วมมือกับองค์กรที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา

ปัจจัยที่ 2 การมีองค์กรปราบปรามคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส คือ ICAC ของฮ่องกงจะมีการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ที่มาทำงานอย่างเข้มงวดมาก ๆ คือจะต้องคัดเลือกคนที่เก่ง ทั้งมีคุณธรรมและความซื่อสัตย์สูง เจ้าหน้าที่ของ ICAC จะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติตัวตามวินัย และมีการตรวจสอบภายในอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ถูกเย้ายวนใจให้เป็นผู้คอร์รัปชันเสียเอง ในบางประเทศที่เจ้าหน้าที่ด้านนี้มีอำนาจมากอาจเป็นดาบสองคม หากพวกเขาหลงทางใช้อำนาจไปในทางที่ผิดได้ จะทำให้การปราบปรามคอร์รัปชันไม่ได้ผล

ปัจจัยที่ 3 การมียุทธศาสตร์ระยะยาวที่มีการวางแผนที่ดี คือ มียุทธศาสตร์ในการจัดปราบคอร์รัปชันระยะยาวที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ สงครามปราบคอร์รัปชันไม่อาจเอาชนะได้ด้วยการจับกุม ลงโทษผู้ทำคอร์รัปชันและปรับปรุงกลไกการทำงานของราชการ สิ่งที่จำเป็น คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนขั้นพื้นฐานด้วย ยุทธศาสตร์ในการปราบปรามคอร์รัปชันของฮ่องกง คือ การทำสงครามด้านคอร์รัปชัน 3 ทางพร้อมกันแบบบูรณาการ คือ การสอบสวน การป้องกัน และการให้การศึกษาแก่ประชาชน ทางแรก มีหน่วยปฏิบัติการที่ทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงตามที่ได้รับรายงานหรือมีการร้องเรียนเข้ามา ทางที่ 2 มีหน่วยป้องกันคอร์รัปชัน ซึ่งทำหน้าที่ในการป้องกัน เพื่อลดโอกาสในการคอร์รัปชัน ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทางที่ 3 มีหน่วยประชาสัมพันธ์ชุมชนทำงานด้านให้การศึกษา ให้ประชาชนตระหนักถึงความเลวร้ายของคอร์รัปชัน และแสวงหาการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากพลเมืองด้วย ‘หน่วยประชาสัมพันธ์ชุมชน’ (Community Relations Department) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ราว 200 คน ตั้งขึ้นมาด้วยความตระหนักว่า ต้องเปลี่ยนทัศนคติประชาชนเรื่องการคอร์รัปชันให้ได้เท่านั้น จึงจะสามารถปราบคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่โตลึกซึ้งได้อย่างแท้จริง งานที่หน่วยนี้ทำ คือ พยายามอธิบายกฎหมายการต่อต้านสินบนให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ ให้การศึกษาเด็กนักเรียนที่โรงเรียน และกระตุ้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการปราบปรามคอร์รัปชัน ด้วยการรายงานข่าวหรือข้อสงสัยเรื่องการคอร์รัปชันให้องค์กร ICAC ทราบ

การที่จะทำเช่นนี้ได้เจ้าหน้าที่จะต้องมียุทธวิธีเฉพาะและทำงานใกล้ชิดกับคนกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชน จนกระทั่งประชาชนไว้วางใจว่า ICAC เป็นองค์กรที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ประชาชนจึงจะเป็นกำลังที่สำคัญในการยกระดับทางศีลธรรม และปฏิรูประบบการบริหารจัดการองค์กรภาคเอกชนที่จะช่วยป้องกันการคอร์รัปชัน ความสำเร็จด้านหนึ่งขององค์กร ICAC คือ การที่องค์กรทำให้สาธารณชนเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า การติดสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐนั้น เป็นการส่งเสริมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพิ่มค่าใช้จ่ายให้สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจมีกำไรลดลง และเป็นการทำลายระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี

การทำงานในด้านการสอบสวนและลงโทษผู้ทำผิดได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้ประชาชนเชื่อถือองค์กร ICAC และช่วยรายงานข้อมูลมาให้องค์กร ICAC มากขึ้น รวมทั้งร่วมมือในการป้องกันคอร์รัปชันมากขึ้น แม้ 3 หน่วยนี่จะทำงานคนละด้าน แต่ก็มีความร่วมมือและส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพราะการทำงานประสบความสำเร็จของแต่ละหน่วยนั้น จะช่วยให้หน่วยอื่น ๆ ทำงานได้สำเร็จมากขึ้น

ปัจจัยที่ 4 การใส่ใจต่อรายงานข้อร้องเรียนเรื่องคอร์รัปชันทุกฉบับ ปัจจัยที่จะทำให้ประชาชนไว้วางใจ และร่วมมือในการรายงานร้องเรียนเรื่องคอร์รัปชันมาที่ ICAC ก็คือ ICAC จะรับและติดตามสอบสวนรายงานที่ประชาชนร้องเรียนมาทุกเรื่อง แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยและจะตอบให้ประชาชนทราบด้วยว่า เรื่องที่ร้องเรียนมานั้นสอบสวนไปถึงไหน ผลเป็นอย่างไร เพื่อที่ประชาชนจะได้ไว้วางใจว่า เรื่องที่พวกเขาร้องเรียนไปไม่ได้หายเข้ากลีบเมฆ และประชาชนจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาคอยรายงานให้ ICAC อีกในครั้งต่อไป แม้บางเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมาเป็นเรื่องปัญหาของหน่วยงานรัฐมากกว่าจะเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน แต่ ICAC ก็ไม่โยนทิ้งตะกร้า แต่จะส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่อไป เพื่อให้ประชาชนไว้วางใจว่า ICAC เป็นองค์กรที่พึ่งที่หวังได้

ปัจจัยที่ 5 การรักษาความลับของผู้ร้องเรียน ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ คือ ICAC รักษาความลับของผู้ร้องเรียนอย่างเข้มงวด เพราะการร้องเรียนนั้นมีความเสี่ยงอยู่ คนที่จะร้องเรียนต้องมีความกล้าและความมั่นใจว่า ICAC ต้องปกปิดชื่อผู้ร้องเรียน โดยไม่ทำให้พวกเขาได้รับอันตรายภายหลัง การบันทึกข้อมูลของผู้ร้องเรียนในคอมพิวเตอร์และระบบไฟล์ จะมีการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลอย่างดี จะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่จำเป็นต้องรู้เท่านั้น จึงจะเข้าถึงข้อมูลได้ เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่เกี่ยวข้องจะเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ ข้อมูลที่ใช้ไปและหมดความจำเป็นแล้วจะถูกทำลาย กฎหมายของฮ่องกงยังให้ ICAC มีสิทธิไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูลของตนได้ด้วย

ปัจจัยที่ 6 การมีปัจจัยแวดล้อมโดยรวมที่เอื้อให้ ICAC ทำงานประสบความสำเร็จ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันอย่างเอื้ออำนวยต่อการปราบปรามคอร์รัปชัน ข้าหลวงใหญ่ฮ่องกงเป็นผู้แต่งตั้งเลขาธิการและรองเลขาธิการสำนักงาน ICAC เลขาธิการ ICAC เป็นผู้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ICAC คนอื่น ๆ และรายงานตรงต่อข้าหลวงใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานอื่นหรือนักการเมืองข้าราชการคนอื่น ๆ เข้าไปแทรกแซง ICAC เลขาธิการ ICAC เป็นผู้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลและรัฐสภาในเรื่องงบประมาณประจำปี เจ้าหน้าที่ของ ICAC ต้องทำตามระเบียบเงื่อนไขการจ้างงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่การปฏิบัติงานของ ICAC เป็นอิสระโดยสิ้นเชิง

เพื่อป้องกันไม่ให้ ICAC ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด จะมีระบบการตรวจสอบ ICAC ที่เข้มงวด งานของ ICAC จะถูกชี้นำโดยคณะกรรมการที่ปรึกษา 4 คณะ สมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษามาจากตัวแทนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้แต่งตั้ง และยังมีคณะกรรมการคณะที่ 5 ประกอบไปด้วยตัวแทนจากฝ่ายบริหารของรัฐสภามีหน้าที่พิจารณาเรื่องที่ประชาชนร้องเรียน ICAC ผู้ที่เป็นประธานกรรมการทั้ง 5 ชุด ไม่ใช่เลขาธิการ ICAC แต่เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้คณะกรรมการที่ปรึกษาเป็นอิสระอย่างแท้จริง

ปัจจัยที่เอื้ออำนวยอย่างสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การที่ระบบกฎหมายของฮ่องกงสนับสนุนให้ ICAC ทำงานปราบคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ICAC มีอำนาจที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ต้องสงสัยว่าจะคอร์รัปชันโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินได้ สามารถร้องขอต่อศาลสั่งห้ามผู้ต้องสงสัยเดินทางออกนอกประเทศได้ สามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีและตู้นิรภัยของผู้ต้องสงสัยได้ เรียกร้องให้ผู้ต้องสงสัยต้องแสดงสถานการณ์ทางการเงินโดยละเอียด รวมทั้งเข้าไปตรวจค้นที่บ้านพักของผู้ต้องสงสัย ถ้าการสอบสวนโยงใยไปถึงบุคคลอื่น ICAC ก็สามารถตามไปตรวจสอบคนคน นั้น เพื่อที่จะโยงในเรื่องการคอร์รัปชันทั้งหมดได้

อาวุธที่สำคัญข้อหนึ่งที่ระบบกฎหมายฮ่องกงยื่นให้ ICAC คือ การที่ ICAC สามารถตั้งข้อหาต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีทรัพย์สินมากและไม่อาจอธิบายได้ หรือใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยเกินกว่ารายได้ประจำจากเงินเดือน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้นไม่สามารถอธิบายต่อศาลได้ว่า ทรัพย์สินเหล่านั้นมาอย่างไร เขาจะถูกถือว่าคอร์รัปชัน กฎหมายนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐของฮ่องกงต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์เพิ่มขึ้น (B.E.D.DE Speville The Experience Of Hong Kong, China in Combating Corruption 5 Daniel Kaufmann. FINANCE AND DEVELOPMENT, September 2005, V.42 NO. 3.)

การคอร์รัปชันในระบบราชการของฮ่องกงเมื่อ 30 ปีที่แล้วถูกขจัดไป แต่ปัญหาใหม่คือ การคอร์รัปชันในภาคเอกชนที่สลับซับซ้อน ซึ่งต้องการการติดตามแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น ต้องการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น การที่ฮ่องกงกลับคืนจากการอยู่ใต้ปกครองของอังกฤษมาเป็นเขตปกครองพิเศษ (Special Administrative Region – Sar) ของจีนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ก็ทำให้โฉมหน้าการเมืองเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง

แม้ระบบกฎหมายฮ่องกงจะรองรับการดำรงอยู่ของ ICAC ในฐานะองค์กรอิสระต่อไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเมืองภายในประเทศจีนอยู่มาก โดยทั่วไปแล้วการปราบปรามคอร์รัปชันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาฮ่องกงให้มั่นคงและเจริญรุ่งเรืองต่อไป รวมทั้งการร่วมมือกับหน่วยงานทำนองเดียวกันในกวางตุ้ง และมณฑลอื่น ๆ ของจีน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจีนเอง การปราบคอร์รัปชันในหมู่นักการเมืองและข้าราชการคงดำเนินต่อไป ยกเว้นจะมีการคอร์รัปชันในระดับข้าราชการที่สูงมาก ๆ แต่ประสบการณ์ของฮ่องกงก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่นให้ศึกษาได้ว่า แม้แต่ประเทศที่เคยมีวัฒนธรรมการจ่ายสินบนใต้โต๊ะที่เรียกว่า ‘ค่าน้ำร้อนน้ำชา’ อย่างถือเป็นเรื่องปกติ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเลิกวัฒนธรรมแบบนี้ได้ ถ้ามีการรณรงค์อย่างจริงจัง (ขอบคุณที่มา นโยบายรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ : การทับซ้อนของผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Conflict of Interest) อาจารย์วิทยากร เชียงกูล)

ทุกวันนี้หน่วยงานต่อต้านและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของบ้านเรามีทั้ง (1) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการสอบสวนกลส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ (3) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งยังคงทำงานเชิงรับ และทำงานไม่ได้เหมือนและไม่ได้เท่ากับ ICAC ของฮ่องกง เช่นนี้แล้วต่อให้เราท่านตายแล้วเกิดใหม่อีก 7 ชาติ สถานการณ์ทุจริตโกงกินในบ้านเราก็จะยังคงเป็นเหมือนเช่นเดิมอยู่ต่อไป

ชมคลิป ดร.โญ มีเรื่องเล่า เรื่อง ICAC  ออกอากาศทาง ททบ5 เมื่อ 18 เมษายน 2562 https://youtu.be/51-6j8wRBVk

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘เอกนัฏ’ ขอยุติสงครามหลากสี เดินหน้าตั้งรัฐบาลปรองดอง เร่งพา ปชช.ฝ่าวิฤกต วอนสังคมอย่าจมกับความขัดแย้งในอดีต

(18 ส.ค. 66) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยว่า มีการพูดคุยกันมาตลอด โดยคณะเจรจามีเพียงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคและตนที่เข้าไปคุยกับทีมบริหารของพรรคเพื่อไทยเป็นการคุยอย่างเป็นทางการได้ระบุเงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีการแก้ไข ม.112 ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่มีการแก้ไข และยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการแบ่งกระทรวง โดยพรรคเพื่อไทยรับปากว่า จะไม่มีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติติดแค่เรื่องการเดินหน้าแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกลเท่านั้น

เงื่อนไขสำคัญ เรามีแค่ 2 ข้อคือไม่มีพรรคก้าวไกลและไม่มีการแก้ ม.112 ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า อยากรีบจัดตั้งรัฐบาล เพราะบ้านเมืองไม่มีรัฐบาลก็จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนลำบาก จึงขอความร่วมมืออย่าไปจมกับความขัดแย้งในอดีต ควรเดินหน้าด้วยความปรองดองสมานฉันท์ดีกว่า

เมื่อถามถึงประเด็นความขัดแย้งในอดีตของกลุ่ม กปปส.กับกลุ่มเสื้อแดงในอดีตนายเอกนัฏ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ลบไม่ได้อยู่แล้ว ตนก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เคยทำมาได้ แต่ต้องดูว่าเหตุผลที่เคยทำมาตอนนั้นคืออะไร มีความพยายามจะผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม จึงได้มีการออกมาชุมนุมต่อต้าน แต่ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวก็ไม่มีแล้ว เหตุการณ์ผ่านมากว่า 10 ปี ความขัดแย้งที่คนเข้าใจว่ามีระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.ควรยุติ ควรจะร่วมมือกันเดินหน้าประเทศ ให้โอกาสซึ่งกันและกัน

“หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็มีการเลือกตั้งมาแล้ว 2 ครั้ง ทุกพรรคเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่ผ่านมาต่างคนต่างเจ็บด้วยกัน ผมเองก็ถูกคดี หลายคนอาจคิดว่าเวลานี้มีเรื่องการต่อรองเก้าอี้ ขอบอกว่าเจรจากับผมดีที่สุด เพราะผมเป็นอะไรไม่ได้เพราะติดคดีอยู่ และผมจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าประเทศ เพราะหากจมอยู่แต่ในอดีตก็จะไม่สามารถเดินหน้าไปสู่อนาคตได้ ในฐานะเลขาธิการพรรค ผมไม่สามารถไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่ส่วนตัวมีความตั้งใจในการทำงานการเมืองและเร่งพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติให้เป็นสถาบันการเมือง ในส่วนของการทำงานในรัฐบาลก็จะมีบางส่วนเข้าไปร่วม แต่ในส่วนงานการเมืองของพรรคก็เป็นเรื่องสำคัญที่มีความตั้งใจว่า พรรคจะได้นำเสนอแนวทางการทำงานเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่งที่ทันสมัย” เลขาพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

เมื่อถามว่าการคุยเรื่องโควตารัฐมนตรีมีการต่อรองหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มี ตนและหัวหน้าพรรคไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องตำแหน่ง โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ หากจำได้ในช่วงที่เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นคนเดียวที่ประกาศชัดว่า ขอปฏิเสธทุกตำแหน่งใน ครม.หากเป็นหัวหน้าพรรค วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนก็ไม่สามารถเป็นอะไรได้เพราะติดคดี ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจบนพื้นฐานการเดินหน้าประเทศ ส่วนจำนวนคณิตศาสตร์คำนวณเก้าอี้ยังไม่ทราบชัดเจน แต่ที่สำคัญคณิตศาสตร์ในระบบรัฐสภาต้องมีเสียงสนับสนุนในสภาฯ เกินครึ่ง เนื่องจากมีบทเฉพาะกาล คือการออกมาร่วมโหวตนายกฯ จะต้องผ่านมติด้วยคะแนน 375 เสียงตอนนี้ต้องช่วยกันให้ผ่าน แต่การจะช่วยหาเสียง สว.นั้นก็เป็นเรื่องยาก เสียงของรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงถือว่าไม่มาก ไม่สามารถไปช่วยมากกว่านั้นได้

เมื่อถามว่าเห็นใจพรรคเพื่อไทยหรือไม่ที่จะต้องมาชี้แจงกับกลุ่มสนับสนุนหลังจากตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องยอมรับในผลการเลือกตั้งที่อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยหวัง แต่ระบบของไทยจะต้องโหวตนายกฯ และจะต้องหาทางจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยสามารถชี้แจงได้ สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกกับตนชัดเจนว่าต้องการวางมือ ทั้งหมดอยู่ที่มุมคิด ถ้าทำใจได้ ละได้ คิดเป็นบวกก็เป็นบวกถ้าคิดเป็นลบก็จะไม่จบ จากที่คุยกันเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีหลายเรื่องที่จะต้องทำและเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย

นายเอกนัฏ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับว่า ได้มีการพูดคุยกันแต่ยังไม่ตกผลึกมีบางประเด็นในรัฐธรรมนูญที่พรรครวมไทยสร้างชาติคิดว่ายังไม่ควรแก้ เช่น หมวดเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ดังนั้นจึงจะต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง หากจะแก้ไขจะต้องมีหลักประกันว่าแก้แล้วจะดีขึ้นไม่กลับมาสร้างปัญหา ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจ นั่นคือไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ดูว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำไปแต่จะต้องไม่มีปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มาจากประชาชน จะแก้ก็จะต้องถามประชาชนด้วย ถ้าประชาชนส่งเสียงว่าต้องการแก้รวมไทยสร้างชาติก็ไม่มีปัญหาอะไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top