Wednesday, 26 March 2025
News

ปมกล่าวหาส่งกลุ่มต้านกลับไปถูกฆ่า ยันมีเสรีภาพนับถือศาสนา พร้อมย้ำชัด การรื้ออัลกุรอาน-ภาษาอาหรับ ไม่เป็นจริง

สถานทูตจีน สวนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โกหกใส่ร้ายจีนรื้ออัลกุรอาน-ฆ่ากลุ่มต้านลั่นพลเมืองมีเสรีภาพนับถือศาสนา กล่าวหารื้ออัลกุรอาน-ภาษาอาหรับ ไม่จริง

เมื่อวันที่ (1 ก.พ. 68) เพจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน (Chinese embassy in Bangkok) ได้โพสต์ถึงกรณีกรรมการสิทธิมนุษยชนไทย ได้มีการพาดพิงถึงประเทศจีน มีเนื้อหาดังนี้

คำกล่าวของโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย

ตามรายงานของสื่อไทยเมื่อวันที่ 29 มกราคม มีกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ได้มีคำกล่าวอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาในซินเจียงของจีน และการส่งผู้ที่เข้าออกประเทศโดยผิดกฎหมายกลับประเทศจีน สถานทูตจีนประจำประเทศไทยจึงต้องคัดค้านอย่างหนักและแสดงจุดยืนดังต่อไปนี้:

1. “ทางประเทศเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชน” “พลเมืองจีนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา” และ “ทางประเทศปกป้องกิจกรรมทางศาสนาตามปกติ” สิ่งเหล่านี้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญจีนและเป็นนโยบายของรัฐบาลจีนด้วย เสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวมุสลิมในซินเจียงของจีนได้รับการรับประกันอย่างสมบูรณ์ คำกล่าวที่ว่า “ปัจจุบันรัฐบาลจีนรื้ออัลกุรอานและภาษาอาหรับออกทั้งหมด” นั้นไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริงอย่างเด็ดขาด

2. เมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีพลเมืองจีนบางส่วนถูกยุยงและหลอกลวงโดยกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มกำลังต่อต้านจีนในต่างชาติ และลักลอบเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ที่ถูกส่งกลับประเทศจีนนั้นได้รับการจัดการตามกฎหมาย สิทธิตามกฎหมายของพวกเขา ได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างสมบูรณ์ และพวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้กลับคืนสู่สังคม และดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข คำกล่าวที่ว่า “ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของพวกเขา เชื่อว่าถูกฆ่าตายไปแล้วทั้งหมด” เป็นการกลับเท็จเป็นจริง ปั้นน้ำเป็นตัว และเป็นคำโกหกอันชั่วร้ายและน่าอับอาย

มจธ. บางมด จัดงานใหญ่ มหกรรมหุ่นยนต์ที่สุดแห่งปี ฉลอง 30 ปี FIBO ชวนสัมผัสเทคโนโลยีงานเดียว ครบ จบทุกเรื่องหุ่นยนต์และ AI

(3 ก.พ. 68) ผศ. ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 65 ปีแห่งการก่อตั้งมหาวิทยาลัยฯ และครบรอบ 30 ปีแห่งการก่อตั้งสถาบันฯ ทางมหาวิทยาลัยฯ จึงได้จัดงานใหญ่ด้านหุ่นยนต์ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยและผู้ที่สนใจ ร่วมสัมผัสประสบการณ์ สุดล้ำกับโลกแห่งหุ่นยนต์และ AI ที่มางานเดียว ได้ครบทุกมิติ

โดยภายในงาน จะมีไฮไลต์สำคัญ อาทิ การแสดงผลงานที่ผสานเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI - สัมผัสเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนแปลงอนาคต, นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต - แนวคิดหุ่นยนต์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน, การประชุมวิชาการระดับนานาชาติ - ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญ, เปิดตัวโครงการเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย - โครงการที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ และการแสดงเทคโนโลยีสุดล้ำจากบริษัทชั้นนำ - อัปเดตเทรนด์ล่าสุดจากผู้นำในวงการ

นอกจากนี้ ยังมีโซนพิเศษ โรโบติกส์ ไทยแทร่ - สนุกกับนิทรรศการรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟที่จะนำเสนอเทคโนโลยีผ่านความเชื่อและวิถีแบบไทย ๆ , คลินิกให้คำปรึกษา - แนะนำบริการ การศึกษาต่อ และกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย

โดยจัดเต็มตลอด 3 วัน! ระหว่างวันที่ 6 - 8 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น.
ณ อาคาร ฟีโบ้ (N9) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ. บางมด) มาร่วมเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ พร้อมชมผลงานที่สร้างสรรค์โดยนักพัฒนาไทยและพันธมิตรระดับโลก
★ รายละเอียดกิจกรรม 👉 https://fiboevent.com/fibo30th 
★ ลงทะเบียนเข้าร่วมงานและสำรองที่นั่ง 👉 https://fiboevent.com/register 


 

 

‘ดร.สุชัชวีร์’ ยกความมหัศจรรย์ AI พลิกโลกของ DeepSeek ชี้ เป็นความมุ่งมั่นของ "คนจีน" ที่ไม่ยอมแพ้ต่อทุกข้อจำกัด

(3 ก.พ. 68) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกสภามหาวิทยาลัย CMKL มหาวิทยาลัย AI แห่งแรกของไทย  โพสต์เฟซบุ๊กว่า  "DeepSeek AI กระบี่อยู่ที่ใจ" ทำไม AI จีนถึงเก่งได้ แล้วไทยจะอยู่อย่างไร

"ความมหัศจรรย์" และ "ความน่าสงสัย" ของ "แฟลตฟอร์ม AI" สะท้านโลก "DeepSeek" จากแดนมังกร คืออะไร ผมมีคำตอบ พยายามอธิบายเรื่อง "ยากมาก" แบบง่ายๆครับ

การพัฒนา AI  ระดับสูง จำเป็นต้องใช้ปัจจัย 3 ด้าน และทำไม "DeepSeek" ถึง "มหัศจรรย์" ปนความ "น่าสงสัย"

1. "พลังการคำนวน" จาก "ฮาร์ดแวร์" เครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ AI  ซึ่ง "Nvidia" คือ ผู้นำในการผลิต "GPU" หรือ หน่วยประมวลผลข้อมูล ยิ่งมี GPU เยอะ ก็ยิ่งมี "ประสิทธิภาพ" หรือ "ความเร็ว" ในการคำนวนมากยิ่งขึ้นตาม

มักใช้หน่วย "ความเร็ว PetaFLOPS (PFLOPS)" ซึ่งเป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพของการคำนวณ โดย 1 PFLOPS = 1,000 ล้านล้าน (10¹⁵) เลขทศนิยมต่อวินาที

ปัจจุบัน "อีลอน มัสก์" กำลังจะติดตั้งซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ของบริษัท xAI ที่รัฐเทนเนสซี โดยซื้อ GPU รุ่นล่าสุด "ทันสมัยสุด" B200 จาก Nvidia ของ "เจนเซ่น หวง"  ถึง 200,000 ชุด มากที่สุดในโลก โดยมีความเร็วในการคำนวน หลายแสน PetaFLOPS คือ "โคตรเร็ว"

แต่ "DeepSeek" ใช้ "ฮาร์ดแวร์" GPU รุ่นเก่า H800 ของ Nvidia เพียง 2,000 ชุด แถมยัง "ถูกลดสเปค" เพราะโดนกีดกันจากรัฐบาลสหรัฐ ความเร็วน้อยกว่าเครื่องของ "อีลอน มัสก์" เป็นร้อยๆเท่า

นี่จึงเป็น "ความมหัศจรรย์เรื่องแรก"  ที่ "ค่าย AI จีน" ใช้ทรัพยากรน้อยกว่านับร้อยเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับ "ค่าย AI อเมริกัน"

2. "โมเดล" หรือ "ซอฟต์แวร์" ที่ใช้เป็นชุดคำสั่งการคำนวน AI มีความสำคัญมาก เพราะยิ่งมีอัลกอริทึมที่มี "ตัวแปร" เยอะก็ครอบคลุมการคำนวณข้อมูลที่ "ละเอียด" ได้มากกว่า

โมเดลที่นิยมสำหรับการคำนวณ Generative AI ที่เราใช้กันอยู่หรือที่เรียกกันว่า LLM (Large Language Model) หรือ GPT (Generative Pre-trained Transformer) คือ โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่มาก ที่ได้รับการฝึกฝนบนข้อมูลข้อความจำนวนมหาศาล เพื่อตอบสนองข้อความ ได้อย่างซับซ้อนและเป็นธรรมชาติ

"DeepSeek" เป็น LLM ที่มีตัวแปรมากถึง "685,000 ล้าน!" ตัวแปร ซึ่งมากกว่าตัวแปรของ LLM Opensource ตัวอื่น แต่ที่แตกต่างคือ DeepSeek เป็นโมเดลรุ่นแรกที่ฝึกด้วย 8-bit floating point (FP8) ที่ช่วยลดปริมาณการใช้ GPU แต่ยังสามารถมีตัวแปรจำนวนมาก ในขณะที่โมเดลก่อนหน้านี้ใช้ FP16 ซึ่งทำให้ต้องใช้ GPU ที่มีหน่วยความจำสูงกว่า DeepSeek กว่า 2 เท่า

นี่คือ "ความมหัศจรรย์เรื่องที่สอง" ที่ทำให้ "DeepSeek" มีประสิทธิภาพสูงในต้นทุนที่ต่ำกว่าค่ายอื่น 

3. "ข้อมูลขนาดมหึมา" หรือ Big Data ให้อัลกอรึทึม AI ได้ "เรียนรู้" เพื่อสร้างความฉลาดล้ำเมื่อถูกใช้งาน ซึ่งการได้มาของข้อมูลขนาดมหึมานี้ เป็นความ "น่าสงสัย" ในตัว "DeepSeek" และ แพลตฟอร์ม AI แทบทุกสำนัก เพราะแหล่งข้อมูลมีทั้งจากข้อมูลสาธารณะ ข้อมูลเฉพาะ ข้อมูลบุคคคล ข้อมูลธุรกิจ ข้อมูลมีลิขสิทธิ์ และข้อมูลที่ AI   สร้างเอง ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพการคำนวนทั้งสิ้น

นี่คือ "ความมหัศจรรย์เรื่องที่สาม" ว่า "DeepSeek" ได้ข้อมูลขนาดมหึมานี้ ในเวลาสั้นๆ จากแหล่งใด 

ดังนั้น "การไขความลับ" แห่งความสำเร็จของ "DeepSeek" จึงยังคงเป็นปริศนา และยังมีเรื่อง "งบประมาณ" ที่ใช้ซึ่งน้อยมากจนเหลือเชื่อ 

กระนั้นต้อง "ยอมรับ" ชื่นชมในความสามารถและความมุ่งมั่นของ "คนจีน" ที่ไม่ยอมแพ้ต่อข้อจำกัด #จะทำก็ทำได้ แล้ว "คนไทย" เราจะศิโรราบต่อ "ชะตา" เชียวหรือ ทิ้งท้ายไว้ให้คิดนะครับ

‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ ซัดคนบางกลุ่มไร้จิตสำนึก เผาป่า อช.ดอยสอยมาลัยฯ หวังเพียงได้หญ้าใหม่ไว้เลี้ยงวัว

(3 ก.พ. 68) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ เปิดเผยถึงสถานการณ์ไฟป่าในเขตพื้นที่ภาคเหนือของไทย ว่า ขณะนี้ อุทยานแห่งชาติดอยสอยมาลัย-ไม้กลายเป็นหิน มีไฟป่ามากที่สุดในประเทศแล้ว เนื่องจากมีการจุดเผา ร่วมสิบกองในเวลาใกล้ ๆ กัน

ถึงแม้ว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ จะสนธิกำลังกัน 75 นาย แต่หน้าผาสูงชันมาก เป็นอุปสรรคที่จะเข้าไปถึงจุดที่ไฟไม้ได้อย่างยากลำบาก

นายวีระศักดิ์ ระบุว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้น ได้รับแจ้งข่าวว่ามาจากการเผาป่าเอาหญ้าใหม่ในหน้าฝน เพื่อนำไปเลี้ยงวัว ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้จิตสำนึก เพราะส่งผลให้ฝุ่นพิษกระจายไปทั่ว เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย แพร่ น่าน รวมถึงจังหวัดในภาคเหนือและอีกหลายจังหวัดในภาคกลาง และขอประณามการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าวที่เลี้ยงวัวบนปอดคน โดยไม่สนใจผลกระทบต่าง ๆ ที่จะตามมา

'หมอเบียร์' รพ.แม่สอด จี้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหา 'ศูนย์ผู้อพยพ' หลังเบียดบังเวลาดูแลคนไข้ ลั่น! คนไทยชายแดนเสียสละมากพอแล้ว

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) แพทย์หญิงณัฐกานต์ ชื่นชม อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nuttagarn Chuenchom ระบุว่า ผู้บริหารบอกว่าให้หมอเบียร์รับตรวจเคสวัณโรคกับเอชไอวีในศูนย์อพยพ เพราะ รพช. ไม่สามารถดูแลได้ จะให้รถโรงพยาบาลไปรับคนไข้เอามาให้ตรวจที่แม่สอด ..โดยไม่ดูภาระงานที่ทำอยู่ตอนนี้เลย

ไม่ผิดคาดนะ ที่จะเป็นแบบนี้ เบียร์คิดมาหลายวันแล้ว .. ให้เวลาอีกครึ่งวัน ถ้าผู้บริหารยังไม่เปลี่ยนแนวคิด จะไปเขียนใบลาออกราชการวันนี้แหละ อายุราชการ 20 ปีก็อุทิศตนมามากพอละ ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ไม่ทำเพื่อผู้อื่น

บอกอยู่ตลอดว่าศูนย์อพยพเป็นเรื่องของประเทศไทย ไม่ใช่สาธารณสุขท้องถิ่น คนไทยชายแดนเสียประโยชน์มาเยอะแล้ว ได้รับบริการช้า เสียเวลารอนาน ยังต้องแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอ ส่วนกลางโน่นต้องมาจัดการ

ไม่ทนอีกต่อไป.. ลาก่อนละค่ะ

หมอเบียร์ ยังโพสต์เพิ่มเติมว่า เรื่องของการจัดการค่ายผู้อพยพไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขท้องถิ่น มันเป็นเรื่องระดับชาติ เป็นเรื่องการจัดการของรัฐบาล การแก้ไขกฎหมาย การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศเดิม

ความเห็นของเบียร์คือต้องจัดบุคลากรอีกชุดหนึ่งเพื่อมาดูแลค่ายอพยพ ในช่วงเร่งด่วน แนะนำให้เขาหางบประมาณมาจ้างหมอเมียนมากลุ่มเดิมที่เคยดูแลอยู่แล้วระหว่างรองบประมาณใหม่ แต่เค้าไม่ทำแบบนั้น เค้ามาแบ่งหมอจากโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลทั่วไปไปออกตรวจ จำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดเท่ากับประชากรหนึ่งอำเภอเลย

ในระยะยาวต้องพูดคุยเรื่องการแก้กฎหมายผู้ลี้ภัยให้ถูกต้อง และมีการผลักดันกลับประเทศเดิม

คนไทยชายแดนเสียสละมามากพอแล้ว ทุกวันนี้บุคลากรก็ไม่พอ คนไข้ก็ต้องรอนาน รอทุกอย่างทั้งรอหมอและรอคิวในการตรวจ บางคนเป็นมะเร็งก็ต้องรอการวินิจฉัยและการรักษา แล้วจะมาให้เค้าเสียสละเพิ่มโดยการแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอคะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่าได้มีผู้เข้าไปให้กำลัง และแสดงความเห็นใจหมอเบียร์เป็นจำนวนมาก พร้อมกับเห็นด้วยกับการเรียกร้องแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจาเป็นปัญหาระดับประเทศ ไม่ใช่ให้หมอมาแบกรับภาระเองทั้งหมด ไม่งั้นเราก็จะต้องรับภาระตรงนี้ไปเรื่อย ๆ แบบเตี้ยอุ้มค่อม

"จากการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีนไม่เคยพูด หรือมีคำพูดในลักษณะตำหนิทางการไทย จึงควรหยุดการเผยแพร่ข้อความดังกล่าว"

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศชี้แจ้งว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า การเยือนไทยของผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีนเป็นการประสานงานในกรอบความร่วมมือของหน่วยงานความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไม่ใช่ผู้ประสานงานหลักของการเยือนดังกล่าว จึงไม่ทราบรายละเอียด และสำหรับกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข้อความว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีนตำหนิทางการไทยนั้น จากการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีน ไม่เคยพูด หรือมีคำพูดในลักษณะดังกล่าว จึงควรหยุดการเผยแพร่ข้อความดังกล่าว

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเองได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือในเวทีระหว่างประเทศในทุกระดับมาโดยตลอด และพร้อมให้ความร่วมมือ รวมถึงการประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อร่วมกันจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง

คาดปี 68 ไทยมีอินฟลูเอนเซอร์ทะลุ 3 ล้าน หน้าใหม่วันละ 2,740 คน แบรนด์จับตา เงินโฆษณาพุ่ง

(4 ก.พ. 68) MI GROUP เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการอินฟลูเอนเซอร์ไทย โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยจะแตะเกือบ 3 ล้านราย เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคนจากปีก่อน ซึ่งคิดเป็น 4.5% ของประชากรไทย สะท้อนถึงความนิยมอาชีพนี้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีคนไทยหันมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เฉลี่ยวันละเกือบ 2,740 คน หรือประมาณ 114 คนต่อชั่วโมง

นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MI GROUP เปิดเผยว่า สื่อดิจิทัลยังคงเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารและการตลาดในปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะแตะ 38,938 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% จากปีก่อน และครองสัดส่วนถึง 45% ของเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดทั้งหมด 

ที่น่าสนใจคือ 1 ใน 3 ของเม็ดเงินสื่อดิจิทัลจะถูกใช้ไปกับ "อินฟลูเอนเซอร์" บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของครีเอเตอร์ในตลาดไทย ที่แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้เพื่อเพิ่มยอดขายโดยตรงมากกว่าการสร้างแบรนด์ 

MI GROUP ประเมินว่าการเติบโตของอินฟลูเอนเซอร์ในไทยมาจากกลุ่ม Micro และ Nano อินฟลูเอนเซอร์เป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วยผู้ใช้จริง พ่อค้า แม่ค้า นักขาย รวมถึงมืออาชีพและสมัครเล่นที่ทำ Affiliate Marketing ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ 

นอกจากนี้ ตลาดไทยยังให้ความสำคัญกับครีเอเตอร์มากกว่าประเทศอื่นๆ ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้งบประมาณในส่วนนี้มากเป็นพิเศษ โดยเม็ดเงินที่ลงไปในอินฟลูเอนเซอร์คิดเป็น 1 ใน 3 ของเม็ดเงินสื่อดิจิทัลทั้งหมด 

สรุปแล้ว วงการอินฟลูเอนเซอร์ไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับบทบาทที่สำคัญในกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการขยายตัวของสื่อดิจิทัลที่ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมสื่อและการโฆษณา

ครม. ไฟเขียวหนุนสร้าง ‘อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ’ ส่งไปติดตั้งยานอวกาศฉางเอ๋อ 7 ก่อนขึ้นสู่วงโคจรดวงจันทร์ปี 69

‘ศุภมาส’ เผย ครม.ไฟเขียวมีมติหนุนกระทรวง อว. สร้าง ‘อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ’ ฝีมือคนไทย เพื่อนำไปติดตั้งกับยานสำรวจอวกาศฉางเอ๋อ 7 ก่อนนำส่งขึ้นสู่วงโคจรของดวงจันทร์ในปี 2569 เผยเป็นก้าวสำคัญ รวมทั้งเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจอวกาศ 

เมื่อวันที่ (4 ก.พ. 68) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวง อว.แห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (China National Space Administration: CNSA) เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนา “อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ” (Moon Aiming Thai-Chinese Hodoscope – MATCH) ที่จะร่วมติดตั้งไปกับยานสำรวจอวกาศฉางเอ๋อ 7 สำหรับสำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ ภายใต้โครงการสถานีวิจัยนานาชาติบนดวงจันทร์ (International Lunar Research Station: ILRS) ตามที่กระทรวง อว.โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) และมหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอ

รมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า  ทั้งนี้  “อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ” (Moon Aiming Thai-Chinese Hodoscope – MATCH) ที่จะร่วมติดตั้งไปกับยานสำรวจอวกาศฉางเอ๋อ 7 สำหรับสำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ มีแผนจะนำส่งขึ้นสู่วงโคจรของดวงจันทร์ในปี 2569 และจะลงจอด ณ บริเวณแอ่งขั้วใต้เอตเคน (South Pole-Aitken) ของดวงจันทร์ เพื่อตรวจวัดรังสีคอสมิกจากกาแล็กซีและอิเล็กตรอนจากดาวพฤหัสบดี รวมถึงศึกษาเชิงกลไกของอนุภาคพลังงานสูงระหว่าง โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ที่สำคัญนับเป็นครั้งแรกที่อุปกรณ์สำรวจอวกาศของไทย จะถูกนำไปใช้งานในภารกิจการสำรวจอวกาศห้วงลึก (Deep Space Exploration) และมีผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยมนุษยชาติในภารกิจการสำรวจอวกาศในอนาคต เป็นก้าวแรกของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรวิจัยของไทย ทั้งจาก สดร.และ มหาวิทยาลัยมหิดล ในโครงการความร่วมมือด้านอวกาศในระดับโลก ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกระทรวง อว. ในการพัฒนาคน และ องค์ความรู้ของประเทศไทย ให้ทัดเทียมนานาประเทศ

สำหรับ อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ หรือ MATCH ดำเนินการโดย สดร.และมหาวิทยาลัยมหิดล มีเป้าหมายเพื่อตรวจวัดอนุภาคมีประจุพลังงานสูง ศึกษาปริมาณของรังสีคอสมิกในอวกาศ ทั้งด้านที่มาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ และด้านที่หันออกจากพื้นผิวของดวงจันทร์  ขณะนี้อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ  MATCH อยู่ในขั้นตอนการบูรณาการ ประกอบและทดสอบความเข้ากันได้ทางไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงระบบโครงสร้างเชิงกลในระดับต้นแบบวิศวกรรม(Engineering model) ที่ขึ้นรูปด้วยวัสดุพิเศษแมกนีเซียมอัลลอย (MB-15) ภายในห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานเชิงกลขั้นสูงของ NARIT แมกนีเซียมอัลลอยเป็นวัสดุวิศวกรรมด้านอวกาศที่มีน้ำหนักเบากว่าอลูมิเนียมถึง 40% กระบวนการขึ้นรูปชิ้นงานมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้ความระมัดระวัง แม้สะเก็ดเพียงเล็กน้อยก็อาจลุกติดไฟได้  ปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานรัฐใดในประเทศไทยเคยขึ้นรูปด้วยวัสดุชนิดนี้มาก่อน และท้ายที่สุดชิ้นส่วนเหล่านี้ จะถูกนำไปประกอบเป็นอุปกรณ์วิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทยที่จะส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์กับโครงการฉางเอ๋อ 7 ในปี 2569” น.ส.ศุภมาส กล่าวและว่า

การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจดวงจันทร์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญยิ่งของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอวกาศ ที่จะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยีอวกาศระหว่างไทยกับนานาชาติ เป็นความท้าทายทางวิศวกรรม อันนำมาซึ่งโอกาสการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะ และสมรรถนะสูงทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ยกระดับขีดความสามารถของวิศวกรไทย ในฐานะผู้ออกแบบ ผลิต ค้นคว้า และวิจัย หนึ่งในอุปกรณ์ที่จะไปสำรวจดวงจันทร์ ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ได้จากโครงการนี้ จะเป็นข้อมูลวิทยาศาสตร์ขั้นแนวหน้า ซึ่งยังไม่เคยศึกษาและค้นพบมาก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์ท้าทายและเป็นบททดสอบสำคัญ ที่จะประกาศให้โลกทราบถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจอวกาศ

กต.แจงช่วยเหลือ 4 ลูกเรือไทยในเมียนมา ประสานเต็มที่ ทั้งทางการเมือง-ทางด้านกงสุล

ตามที่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศกรณีลูกเรือประมงไทย 4 คน ที่ถูกจับกุมโดยทางการเมียนมา นั้น

เมื่อวันที่ (5 ก.พ. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงบทบาทของกระทรวงต่างประเทศในเรื่องนี้ 2 ด้าน ดังนี้

1. การดำเนินการทางการเมือง กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอด โดยได้เข้าพบผู้แทนฝ่ายเมียนมาในหลายระดับเพื่อผลักดันให้ทางการเมียนมาปล่อยตัวลูกเรือทั้ง 4 คนโดยเร็ว และได้นำส่งหนังสือของญาติที่ขอให้ปล่อยตัวลูกเรือให้กับทางการเมียนมา และติดตามในหลายโอกาส บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน รวมถึงเป็นผู้ประสานงานอำนวยความสะดวกการเข้าเยี่ยมลูกเรือของคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทางการเมียนมาได้อนุมัติคำขอของไทย

2. การดำเนินการด้านกงสุล นับตั้งแต่ลูกเรือไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกับทางการเมียนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกเรือไทย รวมทั้งได้ติดต่อญาติของลูกเรืออย่างสม่ำเสมอ โดยผู้แทนกรมการกงสุลประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เดินทางไปพบปะและอำนวยความสะดวกให้แก่ญาติของลูกเรือที่จังหวัดระนอง และผู้แทนญาติลูกเรือได้เดินทางมาพบผู้แทนกรมการกงสุลที่กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังคำแนะนำในเรื่องนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง พร้อมญาติลูกเรือ ได้เข้าเยี่ยมลูกเรือที่จังหวัดเกาะสอง ภาคตะนาวศรี ตลอดจนได้ประสานงานฝ่ายเมียนมาให้มีการเข้าเยี่ยมของญาติลูกเรือเป็นระยะ

ขอให้มั่นใจว่า การคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์และสวัสดิภาพของคนไทยเป็นหัวใจหลักของนโยบายต่างประเทศ โดยกรณีนี้มีความละเอียดอ่อนในภาพรวมความสัมพันธ์ของสองประเทศ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนและแนบเนียนตามแนวปฏิบัติทางการทูต โดยกระทรวงฯ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ต่อไป

ชาวเมียนมา แห่เติมน้ำมันล้นทะลักล้นปั๊ม หลัง รบ.ไทย ตัดไฟฟ้า - ห้ามส่งออกน้ำมัน

(5 ก.พ.68) จากกรณีรัฐบาลดำเนินมาตรการตัดไฟเมียนมา 5 จุด เนื่องจาก สมช.ได้รวบรวมข้อมูลทุกฝ่ายทุกส่วนแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ มีประชาชนทั้งหมด 557,500 กว่าคดี รวมเงิน 86,000 กว่าล้านบาท แต่ละวันมีความเสียหาย 80 ล้านบาท ถือเป็นการสรุปชัดเจนจากหน่วยงานด้านข่าวที่เกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชน และทั่วโลก จึงมีมติให้ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดน้ำมัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น.ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า ประชาชนชาวเมียนมาต่างนำรถออกมาเติมน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รถติดยาวเป็นกิโล โดยทาง เพจ Know Shan State ได้โพสต์ภาพประชาชนชาวเมียนมาออกมาเติมน้ำมันรถกันล้นปั๊มน้ำมันในเมืองท่าขี้เหล็ก โดยระบุข้อความว่า “ประชาชนในเมืองท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามแม่สายของไทย มาต่อแถวรอเติมน้ำมันกันตั้งแต่เช้า หลังไทยงดจำหน่ายให้ โดยเช้านี้ไทย ได้ตัดไฟ ตัดเน็ต งดจำหน่ายน้ำมันให้กับประเทศพม่าอย่างเป็นทางการ”... 

ทั้งนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวโดยน้ำมันเบนซินจากเดิมที่ราคาประมาณ 45 บาท/ลิตร ราคาพุ่งสูงไปถึงประมาณ 70 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลเดิมราคา 35 บาท เพิ่มเป็น 60 บาท และคาดว่าปริมาณน้ำมันที่มีอยู่จะหมดภายใน 2-3 วัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top