Tuesday, 25 March 2025
News

สภาลมหายใจกรุงเทพฯ หนุนใช้แอป ‘เตะฝุ่น’ ส่องดัชนีฝุ่นแบบเรียลไทม์รับมือวิกฤตฝุ่น PM 2.5

(5 ก.พ. 68) สภาลมหายใจกรุงเทพฯ ขอนำเสนอแอปพลิเคชัน "เตะฝุ่น"  ที่สามารถแสดงอัตราการระบายอากาศทั่วไทย แบบเรียลไทม์ ช่วยให้เราทราบว่าดัชนีระบายอากาศของจุดที่เราอยู่นั้น ลมแรงลมเบาแค่ไหน พัดจากไหนไปไหน และฝุ่นที่มาที่เรามีต้นทางมาจากไหน และผ่านย่านไหนมาบ้าง

ทั้งนี้ บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาแพลตฟอร์ม Location Intelligence จับมือร่วมกับสภาลมหายใจกรุงเทพฯ (Breathe Bangkok) เปิดตัวแอปพลิเคชัน “เตะฝุ่น” นวัตกรรมอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี GIS ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพอากาศทั่วประเทศ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาประยุกต์ใช้อย่างตรงจุด ในการวิเคราะห์และแสดงผลข้อมูลฝุ่น PM2.5 โดยตรง พร้อมติดตามสถานะการระบายฝุ่น และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จุดความร้อน (Hotspot) และดัชนีการระบายอากาศแบบเรียลไทม์ รวมถึงคาดการณ์ค่าการระบายอากาศและจุดเผาไหม้ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน โดยนำเสนอในรูปแบบแผนที่ดิจิทัลผ่านเว็บไซต์ www.taefoon.com ซึ่งช่วยให้ประชาชนทั่วไปและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ช่วยยกระดับการติดตามและจัดการปัญหาฝุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบโจทย์การบริหารจัดการอย่างยั่งยืน

แอปพลิเคชัน “เตะฝุ่น” เป็นผลจากการบูรณาการข้อมูลสภาพอากาศและฝุ่น PM2.5 โดยใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถแสดงข้อมูล เช่น ความเข้มข้นของฝุ่น อัตราระบายอากาศ (Ventilation Rate) และจุดความร้อนในรูปแบบแผนที่ดิจิทัล (Map Visualization) ที่ทั้งแม่นยำและเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถวางแผนรับมือกับมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยกระดับการกำกับดูแลใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

1. ด้านสิ่งแวดล้อม: ลดการกระจุกตัวของการเผาไหม้ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและลดความเสี่ยงจากมลพิษที่สูงเกินมาตรฐาน

2. ด้านสังคม: ส่งเสริมการวางแผนการเผาไหม้อย่างเหมาะสม ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และช่วยให้ชุมชนสามารถติดตามและเตรียมตัวรับมือกับปัญหาฝุ่นได้ดีขึ้น

3. ด้านการบริหารจัดการ: ข้อมูลที่เข้าถึงได้อย่างโปร่งใสส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทำให้การจัดการคุณภาพอากาศเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ

‘อ.ปานเทพ’ เผย ‘ทนายเดชา’ ติดต่อขอไกล่เกลี่ย ด้าน ‘สนธิ’ ลั่นไม่ต้องมา ขอเดินหน้าแบบสุดซอย

(6 ก.พ. 68) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในรายการ News Hour ทาง สถานีข่าว NEWS1 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ซึ่งมีการฟ้องร้องกันไปมา โดยระบุว่า ทนายเดชา ซึ่งรู้จักกับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้ไหว้วานให้ช่วยเป็นคนกลาง นําพาทนายเดชา เข้าไปขอขมาคุณสนธิ เพื่อจะได้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ซึ่งปรากฏว่า ทางคุณอัจฉริยะได้ปฏิเสธไป เพราะมองว่า เป็นเรื่องของคนสองคน ที่เขาไม่ควรเข้าเกี่ยวข้องด้วย

นายปานเทพ ยังบอกด้วยว่า คุณสนธิ ได้ฝากข้อความหลังจากได้ทราบเรื่องแล้ว โดยระบุว่า ทนายเดชาไม่ต้องมาขมาหรือขอไกล่เกลี่ย เพราะคุณสนธิเขาจะเดินหน้าจัดการสุดซอยอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ถือว่าเป็นความความคืบหน้าของคดีความที่พิพาทกันระหว่างคนสองคนดังกล่าว

นายกฯ แพทองธารพบผู้นำสภาจีน เดินหน้าปราบอาชญากรรม-กระชับสัมพันธ์ 50 ปี

(6 ก.พ. 68) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย พบปะหารือกับ จ้าวเล่อจี้ ประธานคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ พร้อมเตรียมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2025  

จ้าวเล่อจี้เน้นย้ำว่าความสัมพันธ์จีน-ไทยมีพัฒนาการที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเป็นผลจากวิสัยทัศน์ของผู้นำทั้งสองประเทศ จีนพร้อมร่วมมือกับไทยเพื่อสานต่อฉันทามติที่ได้บรรลุร่วมกัน และเดินหน้าสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน  

เขายังระบุว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานนิติบัญญัติเป็นองค์ประกอบสำคัญของความร่วมมือ ไทยและจีนจะทำงานร่วมกันในด้านต่างๆ เช่น การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน การปกครองสังคม และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน  

ด้านแพทองธารยืนยันว่าไทยยึดมั่นนโยบายจีนเดียว พร้อมเดินหน้ากระชับความร่วมมือในหลายมิติ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนด้านนิติบัญญัติและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ทั้งนี้ ไทยและจีนจะร่วมกันส่งเสริมเสถียรภาพ ความมั่งคั่ง และความยั่งยืนของประชาคมจีน-ไทยต่อไป

เร่งหาพันธมิตรรายใหม่ หลังดีลฮอนด้าล่ม คาดคืนวงเจรจาบริษัทชิป ลุยตลาดรถอีวีเต็มสูบ

(6 ก.พ. 68) Nissan Motor กำลังเร่งหา “พันธมิตรใหม่” ในขณะที่การเจรจาควบรวมกิจการกับ Honda Motor ใกล้ถึงทางตัน โดยมีรายงานว่าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นรายนี้ต้องการจับมือกับบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพื่อเสริมศักยภาพรับมือยุคยานยนต์ไฟฟ้า  

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า Nissan ต้องการพาร์ตเนอร์ที่มีรากฐานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่สุดของบริษัท แนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต้องเร่งสร้างเครือข่ายพันธมิตรนอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์แบบเดิม  

หลังมีกระแสข่าวดังกล่ว ในวันพฤหัสบดี หุ้นของ Nissan ปรับตัวขึ้นสูงสุดถึง 8.7% ในช่วงบ่ายของการซื้อขายที่ตลาดหุ้นโตเกียว แม้โฆษกของ Nissan จะปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุเพียงว่า รายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจากับ Honda จะถูกเปิดเผยตามแผนในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์  

การเจรจากับ Honda ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว สะดุดลงจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือข้อเสนอที่ Honda ต้องการซื้อกิจการ Nissan และทำให้เป็นบริษัทลูก ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับแรงต้านอย่างหนักจากฝ่ายบริหารของ Nissan นอกจากนี้ ข้อกำหนดของ Honda ที่ต้องการให้ Nissan ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ก่อนที่ดีลจะเกิดขึ้นจริง ก็เป็นอีกอุปสรรคสำคัญ  

อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดการเจรจาครั้งนี้ไม่ส่งผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจ่ายค่าฉีกสัญญาสูงถึง 100,000 ล้านเยน (ประมาณ 657 ล้านดอลลาร์) ตามข้อตกลงที่ลงนามเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา  

บอร์ดบริหารของ Nissan กำลังผลักดันให้ CEO มาคิโตะ อุจิดะ และทีมผู้บริหาร เร่งวางแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เพื่อสร้างเสถียรภาพให้บริษัทก่อนการประกาศผลประกอบการรายไตรมาสในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่บอร์ดจะประชุมและสรุปทิศทางของบริษัทในอนาคต  

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การจับกุมและปลดอดีตประธาน Carlos Ghosn ในปี 2018 Nissan ต้องเผชิญวิกฤติอย่างต่อเนื่อง จากไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัยและกำลังการผลิตที่มากเกินไป จุดเปลี่ยนล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อกำไรสุทธิของ Nissan ร่วงลงถึง 94% ส่งผลให้บริษัทต้องประกาศปลดพนักงาน 9,000 ตำแหน่ง ลดกำลังการผลิตลง 20% และปรับลดคาดการณ์กำไรประจำปีลง 70%  

นักวิเคราะห์จาก Citigroup เตือนว่า หาก Nissan ไม่เร่งปรับโครงสร้าง อาจเกิดการถดถอยของผลประกอบการอีกครั้ง พร้อมเน้นย้ำว่า “มาตรการปรับโครงสร้างเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็น”  

ก่อนหน้านี้ Foxconn บริษัทเทคโนโลยีจากไต้หวันที่ผลิต iPhone ให้ Apple และกำลังมุ่งเข้าสู่ตลาดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบรับจ้างผลิต เคยให้ความสนใจ Nissan แต่ต้องพักแผนไปชั่วคราวเมื่อทราบว่าบริษัทญี่ปุ่นกำลังเจรจากับ Honda อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม Foxconn ยังไม่ได้ล้มเลิกความสนใจทั้งหมด และอาจกลับมาพิจารณาอีกครั้งหากดีลกับ Honda ยุติลงจริง  

'สุทิน วรรณบวร' ลากไส้ UNHCR เตรียมทิ้งค่ายผู้ลี้ภัย หลัง 'ทรัมป์' รู้ทันตัดงบช่วยเหลือแบบฟ้าผ่า

(6 ก.พ. 68) - จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายตัดเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลของผู้อพยพในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบถึงค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ต้องปิดให้บริการทำให้ผู้ป่วยอาจต้องไปรักษาต่อที่อื่น

นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถ้าเราเป็นแพทย์อยู่โรงพยาบาลชายแดนแล้วถูกสั่งให้ไปดูแลคนป่วยในค่ายผู้ลี้ภัยที่ ICRC กับ UNHCR สร้างภาระ (ขี้) ทิ้งไว้ เราจะลาออกทันที เนื่องจากว่าตามกฎหมายประเทศไทยไม่มีค่ายผู้ลี้ภัย ไม่มีค่ายผู้อพยพ ประเทศไทยมิได้ลงนามในอนุสัญญา 151 ว่าด้วยผู้อพยพ

แต่ที่เรารับผู้ที่อ้างว่าลี้ภัยสงครามมาไว้ในค่ายต่างๆกว่า 40 ปีนั้น เป็นความหน้าใหญ่ใจโตของอเมริกาที่เสนอเงินช่วยเหลือผู้ที่อ้างว่าลี้ภัยมาไว้ในค่าย โดยสมคบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้อพยพ UN ที่รู้จักกันว่า UNHCR ซึ่งรับอาสาจะดูผู้ที่อ้างว่าลี้ภัยเพื่อได้เงินทอนก้อนใหญ่ เพราะนอกจาก UHNCR ได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID แล้วยังรับบริจาค จากทั่วโลก ซึ่งปัจจัยหลั่งไหลเข้ามาสู่ UNHCR ปีละมหาศาล

พวกลูกจ้าง UHNCR ผลาญกันสำราญใจ จึงไม่แปลกใจลูกจ้าง UNHCR ปลุกระดมสร้างกระแสให้ชาติพันธุต่างๆแห่เข้ายังค่ายผู้อพยพ

UNHCR มีระเบียบประหลาด คือเมื่อผู้ลี้ภัยไปถึงประเทศไหน และ UNHCR รับรู้แล้วว่าผู้ลี้ภัยไปถึงประเทศนั้น ให้ประเทศที่ผู้ลี้ภัยไปถึงเป็นประเทศแรกรับจะผลักดันกลับไม่ได้เพราะถือว่าอยู่ภายใต้คุ้มครองของ UHNCR จนกว่าจะหาประเทศที่สามรับไปตั้งรกรากหรือมั่นใจว่าผลักดันกลับไปแล้วปลอดภัย

จึงไม่แปลกใจที่สื่อตะวันตกปลุกกระแสปั่นข่าวสงครามรุนแรงในพม่า เพราะ UNHCR ได้อ้างส่งพม่า (กะเหรี่ยง) กลับไม่ปลอดภัย

UNHCR กับ USIAD ย่ามใจกับเงินทอนมานาน จนนึกไม่ถึงว่า ทรัมป์จะรู้ทันตัดเงินช่วยเหลือแบบฟ้าผ่า เลยทิ้งขี้ไว้ให้แพทย์ไทยเช็ดล้าง

นี่คือความชอบที่แพทย์ไทยไม่ต้องไปช่วยผู้อ้างว่าลี้ภัยในค่าย แพทย์ไทยลาออกเสียดีกว่าไปล้างขี้ให้ UNHCR

‘ต๊ะ นารากร’ สวนดราม่าวิจารณ์การแต่งตัวนายกฯ ลั่น เป็นผู้นำประเทศไม่ใช่การทำตามสไตล์ตนเอง

(7 ก.พ.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นารากร ติยายน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...เมื่อดิฉันคอมเมนต์การแต่งตัวของนายกฯ ขณะพบปะกับผู้นำจีน ก็จะมีคนมาตอบเชิงต่อว่า

ไปยุ่งไรกับการแต่งตัวคนอื่นอ่าคะ
ตอบ > ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ดิฉันก็ไม่วิจารณ์หรอกค่ะ

ที่วิจารณ์เค้าอ่ะมีเงินซื้อรองเท้าใส่แบบเค้าหรือเปล่า
ตอบ > ไม่มีเงินซื้อรองเท้าราคา 5 หมื่นใส่หรอกค่ะ แต่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ได้ตามรัฐธรรมนูญ

สไตล์ใครสไตล์มัน ต้องให้ตามใจคุณหรือ
ตอบ > การเดินทางไปพบปะผู้นำประเทศไม่ใช่การทำตามสไตล์ตนเอง แต่ไปเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ

ไทยคว้าที่ 2 ประกวดแกะสลักหิมะ ‘ซัปโปโร’ จากผลงาน ‘ประเพณีสงกรานต์’ ผ่านความน่ารักของช้างแม่-ลูก

(7 ก.พ.68) ทีมนักแกะสลักหิมะตัวแทนประเทศไทย คว้าอันดับที่ 2 (รางวัลรองชนะเลิศ) ในการประกวดแข่งขันแกะสลักหิมะ 'Sapporo International Snow Sculpture ครั้งที่ 49' ที่เมืองซัปโปโร เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น จากผลงาน 'The World Water Festival' ที่นำเสนอเรื่องราวของประเพณีสงกรานต์ผ่านการเล่นน้ำของช้างแม่-ลูก ขณะที่ทีมจากมองโกเลียคว้าแชมป์ไปครองอีกครั้ง

สำหรับทีมนักแกะสลักหิมะจากประเทศไทยประกอบด้วย กุศล บุญกอบส่งเสริม, อำนวยศักดิ์ ศรีสุข และ กฤษณะ วงศ์เทศ

โดยพวกเขาได้ร่วมกันนำความภาคภูมิใจของคนไทยไปประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ผ่านผลงานแกะสลักที่มีชื่อว่า 'The World Water Festival' ถ่ายทอด 'ประเพณีสงกรานต์' ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเคารพผู้ใหญ่ ความรักในครอบครัว และการแบ่งปันความสุข โดยนำเสนอผ่านความน่ารักของ 'ช้างแม่-ลูก' สัตว์มงคลคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย รวมทั้งเป็นการเฉลิมฉลองที่ประเพณีสงกรานต์ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยยูเนสโก

สำหรับผลงานอื่น ๆ 
อันดับ1 มองโกเลีย
อันดับ2 ไทย
อันดับ 3 ลิธัวเนีย
อันดับ 4 สิงคโปร์
อันดับ 5 อินโดนีเซีย

กต.เชื่อตัดไฟเมียนมา ไม่สะเทือนช่วย 4 ลูกเรือไทย

(7 ก.พ.68) กระทรวงการต่างประเทศมั่นใจว่าการตัดไฟฟ้าในเมียนมา จะไม่ส่งผลกระทบต่อการช่วยเหลือลูกเรือประมงไทย 4 คน ที่ถูกควบคุมตัวบนเกาะสอง โดยย้ำว่าไทยยังคงเดินหน้าเจรจาเพื่อความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเต็มที่ พร้อมหารือกับเมียนมาอย่างต่อเนื่อง

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าการตัดไฟฟ้าในเมียนมาเป็นผลจากการเจรจาความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีการพูดคุยกับหลายประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น จีน และเมียนมา ซึ่งการตัดไฟครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลต่อความพยายามในการช่วยเหลือลูกเรือไทย

สำหรับความคืบหน้าในการเจรจากับทางการเมียนมา นายนิกรเดช กล่าวว่า แม้ไม่สามารถประเมินผลได้เป็นเปอร์เซ็นต์ แต่กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการอย่างเต็มกำลัง ทั้งในด้านการเมืองและการกงสุล โดยได้มีการพบปะกับผู้แทนระดับต่าง ๆ ของเมียนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งช่วยเหลือให้ญาติสามารถพบกับลูกเรือที่ถูกจับกุม และยืนยันการเรียกร้องให้ทางการเมียนมาปล่อยตัวลูกเรือไทยโดยเร็ว

‘พล.ต.ท.ไตรรงค์’ เผยพบค่ายมือถือดังหันเสาไปฝั่งเมียนมา เชื่อ เป็นการลอบส่งสัญญาณเน็ตให้ประเทศเพื่อนบ้าน

(7 ก.พ. 68) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีตัดไฟ สัญญาณเน็ต บริเวณชายแดนไทย-เพื่อนบ้าน ว่าปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนนั้นมีมาตลอด ไม่ใช่เริ่มทำตอนที่เป็นข่าวหรือในช่วงทางการจีนมาเยี่ยมทางการไทย โดยการปฏิบัติการเมื่อวานนี้ที่ตนได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่ไปชายแดนด่านพระเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ยังคงปฏิบัติการอยู่ในแนวชายแดน

ส่วนการปฏิบัติการของเมื่อวานนี้ตรวจพบสายอินเทอร์เน็ตที่มีการลักลอบเชื่อมโยง ออกจากผู้รับบริการชาวไทย ซึ่งเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบ้านดัดแปลงสัญญาณส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยโยงสายอินเทอร์เน็ตข้ามไปชายแดน เนื่องจากว่าพื้นที่บ้านของผู้ลักลอบอยู่ติดกันกับประเทศเพื่อนบ้าน มีถนนคั่นกลางเพียง 3-4 เมตร

นอกจากนี้ยังพบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือของค่ายโทรศัพท์มือถือเอกชน ซึ่งทำผิดข้อกำหนดของ พ.ร.บ.โทรคมนาคม ของ กสทช. โดยมีการหันเสาสัญญาณไปยังเขตประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อว่าการส่งสัญญาณลักษณะนี้ไม่ได้ส่งให้ประชาชนคนไทยตามแนวชายแดนใช้ จึงคาดการณ์เป็นการส่งสัญญาณให้กับประเทศเพื่อนบ้านใช้บริการ โดยทางเรามีการประสานกับทาง กสทช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อีกทั้งพบว่ามีการลักลอบจ่ายกระแสไฟข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในส่วนนี้ทางเราก็มีการประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน โดยจุดที่ลักลอบส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมถึงจ่ายกระแสไฟฟ้า ห่างกับที่ทำการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพียงไม่กี่เมตร ซึ่งบริเวณดังกล่าวเมื่อเดือน พ.ย. 67 ได้มีชาวจีนและคนไทยหลบหนีออกมาจากสถานที่ดังกล่าวจำนวนหลายคน

ส่วนวันนี้ยังได้รับรายงานว่ามีจุดสงสัยเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากอยู่ระหว่างการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เปิดประวัติบอดี้การ์ดสาวจีน อารักขานายกฯแพทองธารระหว่างเยือนปักกิ่ง

(10 ก.พ.68) เพจเฟซบุ๊กลึกชัดกับผิงผิง สื่อมวลชนจากจีน ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเยือนจีนของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย โดยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ การมาถึงของนายกรัฐมนตรีไทยได้รับความสนใจจากชาวจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะได้รับการชื่นชมในความสวยและท่าทางที่พูดจาดีแล้ว ยังมีบอดี้การ์ดหญิงที่จีนจัดให้คอยอารักขานายกรัฐมนตรีไทยก็ได้รับความสนใจไม่น้อยเช่นกัน

บอดี้การ์ดหญิงที่กล่าวถึงคือ เหยียน เยว่เสีย (严月霞) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดหญิงชื่อดังของจีน โดยเธอเกิดในครอบครัวที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝึกอูซูจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความสามารถสูงในหลายด้าน ทั้งในด้านการยิงปืนและมวยจีน อีกทั้งยังเคยแสดงความสามารถโดยการเอาชนะนักคาราเต้ห้าคนในเวลาเดียวกันด้วยมือเปล่า นอกจากนี้ เธอยังมีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันภัยทางไซเบอร์ สามารถรับมือกับการโจมตีจากแฮกเกอร์ในด้านความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตได้อย่างดีเยี่ยม

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สะสวยและความสามารถในการป้องกันภัยที่โดดเด่น จึงไม่แปลกใจที่เธอได้รับการขนานนามว่าเป็น 'บอดี้การ์ดหญิงอันดับ 1 ของจีน'


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top