Friday, 9 May 2025
News

‘ชัยพงษ์ สำเนียง’ พร้อมด้วย ‘รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู มี้ด’ โพสต์ข้อความขอโทษ อ.ไชยันต์ ไชยพร กรณีกล่าวหาการทำงานวิจัยด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

(19 ก.พ. 68) ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความขอโทษ ศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร กรณีกล่าวหาด้วยข้อมูลเท็จ

‘พีระพันธุ์’ คืนความเป็นธรรมให้ ‘เอกชัย ชาญประโคน’ หนุ่มพิการอดีตสตั๊นแมนตกยาก ซ้ำถูกบีบออกจากราชการ

สังคมนี้ยังมีความเป็นธรรม...อีกกรณีตัวอย่างที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ สามารถใช้กลไกภาครัฐผลักดันแก้ไขปัญหาเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ การให้ความช่วยเหลืออดีตนักแสดงคิวบู๊ที่พิการจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก และถูกบีบให้ออกจากงานราชการอย่างไม่เป็นธรรม

ย้อนเรื่องราว ‘เอกชัย ชาญประโคน’ อายุ 39 ปี อดีตนักแสดงคิวบู๊หรือสตั๊นแมน ซึ่งประสบปัญหาพิการทางการเคลื่อนไหวจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก เขาสอบติดพนักงานราชการตำแหน่งนักวิชาการอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อปี 2560 แต่ทำงานได้เพียง 4 เดือน ก็ถูกหัวหน้าบีบบังคับให้เซ็นใบลาออกทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่แจ้งเหตุผล 

หลังจากถูกบีบให้ออกจากราชการ เอกชัย อาศัยเบี้ยคนพิการยังชีพ  และพยายามดิ้นรนหางานทำ แต่ไปสมัครทำงานที่ไหนก็ได้รับค่าจ้างในจำนวนที่น้อย ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ซ้ำยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสถานที่ทำงาน จึงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องก็เงียบหาย จนกระทั่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้รับมอบหมายให้มารับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการในขณะนั้น

‘พีระพันธุ์’ ได้เร่งรัดให้มีการช่วยเหลือด้วยการประสานงานผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเขาได้เล่าถึงแนวทางการช่วยเหลือนายเอกชัยไว้ว่า 

“คุณเอกชัยเขาก็ประสบกับปัญหาชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ  ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะความพิการ แล้วเขาก็โดนอะไรที่ไม่เหมาะสมมาหลายครั้ง เขาถูกเลิกจ้าง พูดง่ายๆ คือถูกบังคับให้ลาออกจากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็เลยยื่นเรื่องไปที่สำนักนายกฯ นานแล้ว ระหว่างนั้นเขาก็สู้ชีวิตมาตลอด ท่านนายกฯ (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มอบหมายให้ผมมาดูปัญหาเรื่องพวกนี้ ผมก็ได้พยายามติดต่อ  แล้วก็ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ และท่านประธานบอร์ดการเคหะแห่งชาติ เราอยากจะให้เขามีงานทําที่มั่นคง แล้วมีบ้านพักอาศัยที่ราคาถูก  ซึ่งทางการเคหะแห่งชาติก็มีตรงนี้พอดี” 

การเคหะแห่งชาติได้ให้ความช่วยเหลือ เอกชัย ด้วยการพามาสมัครทำงานที่บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ ได้รับเงินเดือน 15,000 บาท และพักอาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า โดยเสียค่าเช่าเพียงเดือนละ 999 บาท ตามนโยบายรัฐบาล  

ปัจจุบัน เอกชัย ได้งานและที่อยู่ใหม่ที่เอื้ออำนวยกับสภาพร่างกายและการใช้ชีวิตมากกว่าเดิม  ชีวิตของเขาดีขึ้น และสามารถเชื่อมั่นได้ว่า ‘สังคมนี้ยังมีความยุติธรรม’ เพราะมีผู้คอยอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้จริง! กล่าวได้ว่าเป็นการ มอบชีวิตใหม่ ให้กับเขาอีกครั้ง

“ผมคิดว่าสังคมต้องเป็นอย่างนี้ สังคมต้องช่วยกันดูแล คนเราแต่ละคนไม่รู้อนาคตหรอก ตัวเราเองวันหนึ่งเราอาจจะเจออะไรลําบากอย่างนี้บ้างก็ได้ วันนี้เราไม่เจอ ก็ต้องช่วยคนที่เขาเจอ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนะครับ”

นี่คือคำพูดจากใจของ ‘พีระพันธุ์’ ผู้มุ่งมั่นอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและไม่ทิ้งกัน 

‘ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว’ โต้กลับ PETA ปมแบน ‘หมูเด้ง’ หลังชี้นำ นทท. อังกฤษ ไม่ให้เข้าชม อ้างกักขังสัตว์แสวงหาผลกำไร

ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว โต้ "องค์กรอนุรักษ์" ปมชี้นำ นักท่องเที่ยวอังกฤษ ไม่ให้ไปเยี่ยมชม "น้องหมูเด้ง" อ้างกักขังสัตว์เป็นนักโทษเพื่อแสวงหาผลกำไร

(25 ก.พ. 68) จากกรณีองค์กรอนุรักษ์ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” โดยห้ามนักท่องเที่ยวอังกฤษ บินมาเที่ยวชม “หมูเด้ง” ที่สวนสัตว์เขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งกักขังหมูเด้ง ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร จึงวิตกว่ากระแสความโด่งดังของ หมูเด้ง จะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ หลังมีนักท่องเที่ยวปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจเพื่อให้ “หมูเด้ง” มาอยู่ในเฟรมเพื่อที่จะถ่ายภาพเซลฟี่ ซึ่ง หมูเด้ง คงจะต้องตายอยู่คอกที่แห้งแล้ง ไร้โอกาสที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงอย่างแอฟริกาตะวันตก 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 นายณรงค์วิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว กล่าวถึงกระแสข่าวการโจมตีสวนสัตว์เรื่องให้ “หมูเด้ง” มาสร้างผลประโยชน์ว่า กรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะทางสวนสัตว์เน้นดูแลสวัสดิภาพให้กับสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในสวนสัตว์เป็นหลัก และในเดือน มี.ค.นี้ จะมีทีมคณะมาตรวจประเมินสวัสดิภาพของสัตว์ ซึ่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ผ่านการประเมินทุกปี

“ก็ไม่เป็นความจริงอย่างที่เค้านำเสนอนะครับ คือเรายังคงความเป็นสวนสัตว์ที่มีภารกิจ 4 ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอนุรักษ์ วิจัย ให้การศึกษาและพักผ่อนหย่อนใจ ของน้องหมูเด้ง เอง เราก็มีการตรวจสวัสดิภาพสัตว์ทุกปี ซึ่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จะได้รับการตรวจประเมินสวัสดิภาพสัตว์ ภายในเดือนมีนายนี้ ทุกปีจะต้องมีการตรวจประเมิน เราก็มีทีมคณะตรวจประเมินสุขภาพสัตว์จากหลากหลายพื้นที่เข้ามาตรวจเรา เพราะฉะนั้นเรายืนยันได้ว่า เรายังคงความเป็นสวนสัตว์ที่มีมาตรการในการจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีต่อไปด้วยนะครับ”

ขณะที่ น.ส.อิสริยา สเตาบ์ สาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเดินทางมาดู “น้องหมูเด้ง” พร้อมแฟนหนุ่มชาวอเมริกัน กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่ององค์กรอนุรักษ์ของประเทศอังกฤษ ประกาศแบน “น้องหมูเด้ง” ว่า กรณีดังกล่าวไม่น่าจะทำได้ เพราะตนและแฟนหนุ่มเคยเดินทางไปเที่ยวชมสวนสัตว์ในหลายประเทศ ซึ่งยอมรับว่า สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ดูแลสัตว์ต่างๆ ได้ดีมาก โดยเฉพาะ “น้องหมูเด้ง” ที่ถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ซึ่ง น้องหมูเด้ง ไม่ได้โดนจำกัดพื้นที่แต่อย่างใด

“เคยไปเที่ยวสวนสัตว์ที่ไมอามี แฟนบอกว่าที่นี่เค้าเลี้ยงอย่างดีมาก แบบปล่อยเป็นธรรมชาติ ซึ่งน้องไม่ได้รู้สึกว่าโดนจำกัดพื้นที่เลยนะคะ จริงๆ ตรงนี้ดรามาที่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้นมันไม่ใช่ หรือแม้แต่ที่บอกว่าอยากให้คนเลี้ยงเปลี่ยนเป็นผู้หญิง ซึ่งจริงๆ แล้วคุณ ผอ.ก็บอกแล้วว่า น้องเบนซ์ เค้าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นเค้ารู้ว่าต้องทำยังไง ผู้ชายเค้ามีกำลังมีแรงที่จะดูแลสัตว์ประเภทนี้ คิดว่าทุกอย่างดีมากๆ การดูแลที่นี่ดีมากๆ ดีใจมากๆ ที่ได้มาที่นี่”

น.ส.อิสริยา บอกอีกว่า หากเป็นไปได้ตนและแฟนหนุ่ม ขอเชิญนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้มาเที่ยวชม น้องหมูเด้ง และสัตว์ป่านานาชนิดที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว กันให้มากๆ เพราะที่นี่ถือเป็น The Best Zoo โดยเชื่อว่าหากมาเที่ยวชมจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

รร.สาธิตรามคำแหง ทำถึง! ช่วยลดค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง กำหนดใช้ชุดลูกเสือ - เนตรนารี แบบใหม่ ใส่ร่วมกับชุดพละ

(25 ก.พ. 68) โลกออนไลน์ แชร์ภาพและข้อความจาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง(ฝ่ายมัธยม) ที่ประกาศ ปรับรูปแบบการแต่งกายชุดลูกเสือ - เนตรนารี ปีการศึกษา 2568

โดยทางโรงเรียนระบุ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ อีกทั้งเอื้อต่อการเรียนการสอนวิชาลูกเสือ-เนตรนารี ของกลุ่มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง(ฝ่ายมัธยม) จึงขอปรับเปลี่ยนเครื่องแบบ ชุดลูกเสือ-เนตรนารี  โดยใช้หมวก , ผ้าพันคอ , วอกเกิ้ล ร่วมกับชุดพละของโรงเรียน

โดยเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2568 นี้เป็นต้นไป โดยมีผู้เข้าไปร่วมชื่นชมและขอบคุณแนวความคิด นี้เพราะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองได้จริง

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #3 เข้าถึงง่ายเกินไปแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ กำลังระบาดหนักในเด็กนักเรียนประถม

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเด็กนักเรียนประถมหลายรายมีอาการปอดอักเสบรุนแรง ซึ่งเกิดจากการสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ หรือที่เรียกว่า EVALI (E-cigarette or Vaping product use Associated Lung Injury) ด้วยประชาชนคนไทยบางส่วนมักเข้าใจว่า “บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ยาสูบ” โดยคิดว่า ควันไอละอองจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเพียงละอองไอน้ำที่มีเพียงสารปรุงแต่งให้มีกลิ่นหอม จึงมักมีการกล่าวอ้างว่า สูบน้ำยาชนิดที่ไม่มีนิโคติน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ควันไอละอองจากบุหรี่ไฟฟ้าที่เห็นนั้น มีฝุ่นขนาดเล็ก PM 1.0 และ PM 2.5 มีสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น ฟอร์มาร์ลดีไฮด์ ไดอะซิทิล และอโครลิน รวมทั้ง โลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น นิกเกิล ดีบุก และตะกั่ว ซึ่งที่มาของโลหะหนักอาจจะมาจากน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า หรือ อุปกรณ์สูบที่โลหะหนักหลุดลอยจากขดลวดที่ชุบน้ำยา ขณะที่สารปรุงแต่งกลิ่นรสที่มีนับหมื่นชนิดที่ถูกความร้อนจนเกิดเป็นไอระเหยมีผลกระทบต่อสุขภาพคือ ทำให้มีภาวะปอดอักเสบเฉียบพลันและโรคอื่น ๆ ได้ อีกทั้งบุคคลที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะพัฒนาต่อไปเป็นสูบบุหรี่ธรรมดาอีกด้วย

จากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ.2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แนวโน้มอัตราการสูบบุหรี่ ในปี พ.ศ. 2564 ร้อยละ 17.4 คิดเป็น 9.9 ล้านคนของคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าพบว่า คนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 78,742 คนในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นคนที่สูบทุกวัน 40,724 คน และสูบแบบไม่ทุกวัน 38,018 คน โดยผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 24,050 คน อายุระหว่าง 15 - 24 ปี แสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่มุ่งเป้าที่กลุ่มเยาวชนเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการสำรวจการบริโภคยาสูบในเยาวชนระดับโลก (Global Youth Tobacco Survey : GYTS) ในปี พ.ศ. 2565 พบว่าสถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้า ของนักเรียน ในช่วงอายุ 13 – 15 ปี ที่เพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่า จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2558 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.3 เป็นร้อยละ 17.6 และเมื่อแยกตามเพศของนักเรียน พบว่า สถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนเพศชาย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.7 เป็นร้อยละ 20.2 ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.3 เท่า ในขณะที่ เพศหญิง มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นถึง 7.9 เท่า โดยเพิ่มจากร้อยละ 1.9 เป็นร้อยละ 15.0 จากสถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทยในเด็กและเยาวชนดังกล่าว สามารถสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่า ตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน เด็กและเยาวชนไทยมีแนวโน้มในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก และต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทุกภาคส่วนในการร่วมกันแก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะในเยาวชนอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ภาวะปอดอักเสบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า EVALI เป็นอาการปอดอักเสบเฉียบพลันที่สัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ไฟฟ้าโดยมีอาการแสดง ได้แก่ มีไข้ หนาวสั่น ไอ หายใจลำบาก ปวดเมื่อยตามตัว รวมถึงอาการทางระบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น จากรายงานข้อมูลของ Centers for Disease Control and Prevention สหรัฐอเมริกา (ข้อมูลล่าสุดปี 2563) พบผู้ป่วย EVALI ในสหรัฐอเมริกาที่ต้องนอนโรงพยาบาล ทั้งสิ้น 2,807 ราย ส่วนใหญ่อายุของผู้ป่วยมีอายุระหว่าง 18 - 24 ปี คิดเป็นร้อยละ 37 และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 68 รายอายุเฉลี่ยของผู้ป่วย ที่เสียชีวิตคือ 49.5 ปี และอยู่ระหว่าง 15 - 75 ปี 

สำหรับประเทศไทย เคยมีรายงานผู้ป่วย EVALI อายุระหว่าง 20 - 30 ปี มาพบแพทย์ด้วยอาการ เหนื่อย ไอ มีไข้ และรู้สึกเหนื่อยง่ายมาประมาณ 1 เดือน มีการให้ประวัติว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าชนิดพอต (POD) แบบใช้แล้วทิ้งมาประมาณ 6 เดือน โดยใช้ทุกวัน ไม่ได้สูบบุหรี่ปกติ ไม่ได้ใช้กัญชา หรือสารเสพติดชนิดอื่นร่วมด้วย แพทย์ได้ทำการส่องกล้องหลอดลมผู้ป่วยและตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า ผลตรวจทางพยาธิวิทยา และผลตรวจทางเซลล์วิทยาเข้าได้กับภาวะ EVALI

หลังจากผู้คนมีความตระหนัก จึงมีการควบคุมการใช้ มีการนำสารเคมีบางชนิดออกจากผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้มีรายงานจำนวนผู้ป่วย EVALI ในสหรัฐอเมริกาน้อยลง ซึ่ง อ.พญ.นภารัตน์ อมรพุฒิสถาพร หัวหน้าสาขาโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤตระบบหายใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทบุหรี่มักจะโฆษณาว่าบุหรี่ไฟฟ้าปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น tar และ carbon monoxide ต่างจากบุหรี่มวน แต่บุหรี่ไฟฟ้ามีสาร Nicotine, สารปรุงแต่งกลิ่น, Propylene glycol, vegetable glycerin และสารที่มีอยู่ในกัญชา เช่น Δ-9-tetrahydrocannabinol (THC), cannabidiol (CBD), butane hash oil (BHO) 

จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด/หลอดลมอักเสบ มีสารก่อมะเร็งหลายชนิด มีโลหะหนักปนเปื้อน และโรคปอด EVALI โดยรายงานที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร New England Journal of Medicine เรื่อง Pulmonary illness related to e-cigarette use in Illinois and Wisconsin preliminary report ซึ่งรายงานกรณีศึกษาผู้ป่วยจำนวน 53 คนในช่วงเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 2019 พบว่าผู้ป่วยส่วนมากอายุเฉลี่ยเพียง 19 ปี และมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่มีสาร THC ประกอบประมาณ 80% แต่มี 20% ที่ไม่ได้ใช้ THC ก็สามารถเกิด EVALI ได้ โดย 95% ของผู้ป่วยมีอาการ ไข้หนาวสั่น ไอ หายใจลำบาก ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย แต่พบว่า 77% ของผู้ป่วยมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งผู้ป่วยทุกคนมีภาพ x-ray และ CT scan ปอดที่ผิดปกติ และถ้านำน้ำล้างปอดไปตรวจจะพบว่าในน้ำล้างปอดพบเซลล์เม็ดเลือดขาวกินอนุภาคไขมัน โดยตรวจไม่พบหลักฐานการติดเชื้อ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิด EVALI ในตอนแรก สมมติฐานว่าเกิดจากสาร propylene glycol, vegetable glycerin (glycerol), สารปรุงแต่งกลิ่น สารสกัดจากน้ำมันกัญชาหลายชนิด เช่น vitamin E acetate และมีสารอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งสารเหล่านี้หลายชนิดไม่มีในบุหรี่มวน โดยสาร vegeteble glycerine เป็นสารที่มีรสหวาน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สกัดจากน้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว เมื่อโดนความร้อนจาก อุปกรณ์สูบบุหรี่ไฟฟ้า จะระเหยเป็นไอน้ำ และถูกสูบเข้าไปในปอด ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าที่ผู้คนอาจไม่ทราบ มองข้ามหรือละเลยไป ที่ชัดเจนที่สุด

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ

‘ดร.ศราวุฒิ’ ชี้ จนท.ระดับสูงไทยไม่ควรทำเรื่องส่อเลือกข้าง หลัง รมว.ต่างประเทศ เยือน ‘กำแพงร้องไห้’ ในเยรูซาเล็มตะวันออก

(25 ก.พ. 68) จากกรณีที่มี ภาพถ่ายที่เผยแพร่โดยสื่ออิสราเอลเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025 พบว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไทย ได้แก่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และ นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล เดินทางไปสวดมนต์ที่กำแพงร้องไห้ในเยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อิสราเอลยึดครองตั้งแต่สงครามหกวันในปี 1967

ล่าสุด ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ขณะรอขึ้นเครื่องเพื่อไปบรรยายที่สงขลา มีเพื่อนบางคนส่งข่าวมาให้อ่าน พร้อมทั้งอยากให้ผมแสดงความคิดเห็น ข่าวที่ว่านั้นเป็นเรื่องที่ คุณมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไทย ได้เดินทางไปที่กำแพงร้องไห้ในเยรูซาเล็มตะวันออก

ผมเห็นว่าการเดินทางไปปฏิบัติราชการของคณะผู้แทนไทยในประเทศอิสราเอลโดยมีภารกิจหลักเพื่อไปรับแรงงานไทย 5 คนที่ถูกปล่อยตัวออกมาล่าสุดนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่การเข้าไปเยือนเยรูซาเล็มตะวันออกในนามของรัฐบาลไทยนั้นต้องพิจารณาให้รอบครอบ ไม่ใช่นึกอยากไปหรือได้รับรับเชิญไปก็ไปโดยขาดความรู้ความเข้าใจในประเด็นอ่อนไหวที่ซ้อนอยู่ในนั้น

ประเด็นอ่อนไหวที่ว่ามีอยู่ 2-3 ประเด็นที่ผมอยากเอามาแลกเปลี่ยนครับ

ความอ่อนไหวในเชิงสถานะของเยรูซาเล็มตะวันออก

เยรูซาเล็มเป็นเมืองโบราณที่ถือเป็นหนึ่งในแก่นกลางของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ครับ อิสราเอลมองเยรูซาเล็มว่าเป็น "เมืองหลวงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและไม่อาจแบ่งแยกได้" ของตน

ไม่นานหลังรัฐอิสราเอลถือกำเนิดขึ้นใน ค.ศ. 1948 และได้รับชัยชนะเหนือบรรดารัฐอาหรับในสงครามครั้งแรก อิสราเอลก็ได้จัดตั้งรัฐสภาขึ้นทางตะวันตกของเมืองเยรูซาเล็ม จากนั้นหลังจากที่อิสราเอลทำสงคราม 6 วันใน ค.ศ. 1967 กับเพื่อนบ้านอาหรับ อิสราเอลก็ได้ยึดเยรูซาเล็มตะวันออก รวมถึงเขตเมืองเก่าด้วย โดยได้ผนวกรวมเยรูซาเล็มตะวันออกให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศตน อันถือเป็นการกระทำที่นานาชาติไม่ยอมรับ และเป็นเรื่องที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ขณะที่ผู้นำอิสราเอลก็มักจะแสดงความไม่พอใจที่ไม่มีประเทศไหนให้การยอมรับอธิปไตยของอิสราเอลเหนือเยรูซาเล็ม แม้แต่พันธมิตรใกล้ชิดกับอิสราเอลเอง

ชาวปาเลสไตน์เห็นต่างอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต้องการเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง และถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางแก้ปัญหาอย่างสันติที่นานาชาติสนับสนุนมายาวนาน หรือรู้จักกันในชื่อ "การแก้ปัญหาแบบให้มี 2 รัฐอยู่เคียงคู่กัน" (Two States Solution) โดยพื้นฐานแล้วก็คือแนวความคิดให้ก่อตั้งรัฐอิสระปาเลสไตน์ติดกับอิสราเอล ตามพรมแดนที่ปรากฏก่อน ค.ศ. 1967 ซึ่งมีการเขียนแนวทางแก้ปัญหาอย่างนี้เอาไว้ในมติสหประชาชาติ

ชาวปาเลสไตน์ถือเป็นประชากรจำนวนไม่น้อย คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในเยรูซาเล็ม คนเหล่านี้มาจากครอบครัวที่อยู่ที่นี่มานานนับพันปี ความตึงเครียดเกิดขึ้นเมื่ออิสราเอลมีนโยบายขยายการตั้งถิ่นฐานชาวยิวเข้ามาในเยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่อิสราเอลไม่ยอมรับ

นอกจากจะไม่ยอมรับแล้ว อิสราเอลยังได้ผ่านกฎหมายในสภาเนตเซท (Knesset) เมื่อ ค.ศ. 1980 ให้มีการผนวกดินแดนเยรูซาเล็มตะวันออกให้เป็นส่วนหนึ่งของตน

อย่างที่ได้เรียนรับใช้ไป ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ให้การยอมรับการผนวกดินแดนครั้งนี้ แต่เมื่อทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจึงเป็นผู้นำประเทศคนแรกที่ให้การยอมรับว่าเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล พร้อมย้ายสถานทูตสหรัฐฯจาก เทล อะวีฟ เข้ามาตั้งอยู่ในเยรูซาเล็มเมื่อ ค.ศ. 2019 นี้เอง

ด้วยสถานะเยรูซาเล็มที่เป็นประเด็นขัดแย้งเช่นนี้ ทำไมเราจึงเลือกที่จะไปเยือนที่นั่นอันสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองในเชิงสัญลักษณ์ว่าไทยเห็นดีเห็นงามกับการที่เยรูซาเล็มทั้งหมดเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล

ความอ่อนไหวในเชิงความเชื่อความศรัทธา

เยรูซาเล็ม (มุสลิมเรียกว่า อัล-กุดส์) ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ทำให้เมืองนี้มีความสำคัญทั้งด้านการเมืองและประวัติศาสตร์ของโลกตลอดมา อันเป็นบ่อเกิดของสันติภาพและความขัดแย้ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย

ในมิติความขัดแย้งนั้น ประเด็นหลักมักวนเวียนอยู่ที่ข้อถกเถียงว่า ศาสนาใดใกล้ชิดเกี่ยวพันกับดินแดนเยรูซาเล็มมากกว่ากัน จนเป็นที่มาของการอ้างสิทธิครอบครองเมืองนี้ของแต่ละฝ่าย กลายเป็นความขัดแย้งเรื้อรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอลเรื่อยมา

ขณะที่ชาวมุสลิมทั่วโลกต่างให้การยอมรับความสำคัญของศาสนายูดาห์และคริสเตียน ซึ่งมีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงใกล้ชิดกับนครเยรูซาเล็ม แต่ก็ย้ำว่าสถานที่แห่งนี้ก็มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามด้วยเช่นกัน และเยรูซาเล็มมิได้มีความผูกพันทางจิตวิญญาณต่อชาวปาเลสไตน์หรือชาวอาหรับเท่านั้น แต่ดินแดนแห่งนี้คือศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมทั่วโลกอีกด้วย

เพราะนอกจากมัสยิดฮารอมในนครมักกะฮ์และมัสยิดนะบะวีย์ในมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบียแล้ว มัสยิดอัล-อักซอในเยรูซาเล็ม ยังถือเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม อีกทั้งอัล-อักซอยังเป็น "กิบลัต" แรกในประวัติศาสตร์อิสลาม หรือชุมทิศแรกที่มุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอพรต่อพระเจ้า ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในเวลาต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้แล้ว มัสยิดอัล-อักซอยังเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามอันเนื่องมาจากมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ศาสดามุฮัมมัด ได้ละหมาดก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องสูงในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “อิสรออ์และมิอ์รอจญ์”

แต่สำหรับชาวยิวแล้ว พื้นที่แห่งนี้คือที่ตั้งของ The Temple Mount หรือพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างโดยศาสดาโซโลมอน หรือที่มุสลิมรู้จักในนามศาสดาสุไลมาน (ปกครองระหว่าง 971-931 ก่อนคริสต์ศักราช)

ทว่าพระวิหารยุคแรกนี้ก็ถูกทำลายโดยพวกบาบิโลนเมื่อ 587 ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นก็มีการสร้างมหาวิหารยุคที่ 2 ขึ้นโดยกษัตริย์ไซรัสมหาราชและดาไรอุส

อีก 500 ปีต่อมาพระวิหารที่ 2 (Second Temple) ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยกษัตริย์แฮรอดมหาราช จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “พระวิหารแฮรอด” แต่สุดท้ายพระวิหารแห่งใหม่นี้ก็ถูกทำลายโดยพวกโรมันใน ค.ศ.70 เหลือแต่ซากกำแพงเก่าที่ไม่ได้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นที่มาของ "กำแพงร้องไห้" ที่อยู่ทางตะวันตก หรือ “Western Wall”

นับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้นับถือศาสนายูดาห์นิกายออร์โธด็อกซ์ ก็ตั้งหน้ารอคอยการสร้างพระวิหารยุคที่ 3 ในเยรูซาเล็ม พร้อมกับการรอคอยการปรากฏตัวของเมสไซยาห์ของชาวยิว (Jewish Messianism) ก่อนที่พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายโลก

ปัญหาก็คือ ตามความเชื่อของชาวยิวกลุ่มนี้ หากจะฟื้นฟูมหาวิหารยุคที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รื้อถอนมัสยิดอัล-อักซอและโดมทองแห่งศิลา (Dome of the Rock) ของชาวมุสลิมเสียก่อน เพราะมัสยิดเหล่านี้ก่อสร้างอยู่บนเนินเขาที่ชาวยิวเชื่อว่าเป็น "The Temple Mount"

ในสภาวะอ่อนไหวเชิงความเชื่อความศรัทธาเช่นนี้ทำไมเราจึงต้องไปเยือนที่นั่น อันสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าไทยอาจเห็นดีเห็นงามกับการทำลายมัสยิดเพื่อประกอบสร้างวิหารยิวขึ้นมาใหม่

จุดยืนของไทยต่อประเด็นอ่อนไหวนี้ ย้อนกลับไปเมื่อ ค.ศ. 2017 ไทยเป็นหนึ่งใน 128 ประเทศที่ลงคะแนนในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนร่างมติเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาเพิกถอนการรับรองนครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แม้ว่าก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐขู่จะตัดความช่วยเหลือด้านการเงินกับประเทศที่หนุนร่างมตินี้ก็ตาม

ร่างมติดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจาก 128 ประเทศ ในจำนวนนี้มีตัวแทนจากรัฐบาลไทยรวมอยู่ด้วย ขณะที่ 9 ประเทศออกเสียงคัดค้าน และอีก 35 ประเทศงดออกเสียง

คำถามคือการเยือนเยรูซาเล็มครั้งนี้ในนามรัฐบาลไทยอาจถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนจุดยืนของไทยต่อสถานะกรุงเยรูซาเล็มที่ไทยเคยแสดงเจตนารมณ์ไว้ในมติสหประชาชาติหรือไม่ มิตรประเทศในโลกมุสลิมจะมองเราอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังสงครามกาซ่าอันโหดร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นไป(และอาจปะทุขึ้นมาอีกระลอกใหม่

ฝากไว้ให้คิดครับ

ท้ายนี้ขอเรียนย้ำว่าการเดินทางเยือนเมืองเก่าเยรูซาเล็มสำหรับบุคคลทั่วไปนั้นเป็นเรื่องปรกติไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่การเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยเป็นอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจในประเด็นความอ่อนไหว เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงครับ ที่ดีที่สุดคืออย่าได้เข้าไปจะดีกว่า

สองนักแสดงนำจาก 'The White Lotus ซีซั่น 3' โดนตกไปอีกคู่ หลังแวะไปเยี่ยมชม 'หมูเด้ง' ฮิปโปแคระที่โด่งดังที่สุดในโลก

ใครจะแบนก็แบนไป แต่สำหรับสองนักแสดงนำจาก The White Lotus ขอแวะไปกรี๊ด 'หมูเด้ง' ก่อน

เมื่อวันที่ (25 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา ช่องยูทูป HBO Max ปล่อยคลิปสุดน่ารักของนักแสดงนำในซีรีส์ดัง 'The White Lotus ซีซั่น3' นั่นคือ แซม นิโวล่า (Sam Nivola) กับ ซาร่าห์ แคทเธอรีน ฮุค (Sarah Catherine Hook) เดินทางไปเที่ยวสวนสัตว์เขาเขียว ที่จังหวัดชลบุรี

แน่นอนว่า เป้าหมายของสองนักแสดงดังก็คือ การแวะไปชม 'หมูเด้ง' ซุปตาร์สาว ฮิปโปแคระที่โด่งดังที่สุดในโลก โดยทั้ง แซม และ ซาร่าห์ ต่างหลงใหลความน่ารักของหมูเด้ง โดนตกไปทั้งคู่ และยังได้รับเสื้อหมูเด้งกลับไปเป็นที่ระลึก

ทั้งนี้ ซีรีส์ดังระดับโลก The White Lotus Season 3 ยกกองมาถ่ายทำในเกาะสมุย กับภูเก็ต ของประเทศไทย เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา และกำลังออกฉายทางช่อง HBO Max

บริษัทจีนประกาศยกเลิกคำสั่งโหด 'คนโสดแต่งงานหรือถูกไล่ออก' หลังขัดกฎหมายแรงงานและเจอแรงต้านจากชาวเน็ต

(26 ก.พ. 68) บริษัทในจีนยกเลิกคำสั่งที่ต้องการให้พนักงานโสดแต่งงานภายในปีนี้ หลังการวิจารณ์จากชาวเน็ตและหน่วยงานรัฐ เนื่องจากคำสั่งนี้ขัดต่อกฎหมายแรงงานของจีน สะท้อนถึงการต่อสู้ของจีนในการส่งเสริมการแต่งงานและการมีลูกท่ามกลางปัญหาประชากรลดลง

บริษัท ซานตง ซุนเถียน เคมิคอล กรุ๊ป (Shandong Shuntian Chemical Group) ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมตะวันออกของมณฑลซานตง ได้ประกาศให้พนักงานโสดอายุ 28-58 ปี รวมถึงผู้ที่เคยหย่าร้าง ต้องแต่งงานภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หากไม่ทำตามจะมีการยกเลิกสัญญาจ้างงาน โดยบริษัทชี้แจงว่า คำสั่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พนักงานโสดที่อายุมากขึ้นให้ความสำคัญกับการสร้างครอบครัวและการตัดสินใจในชีวิตที่สำคัญ

ทว่า ข้อกำหนดนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะขัดต่อกฎหมายแรงงานของจีน ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องยกเลิกคำสั่งดังกล่าว โดยสื่อของรัฐอย่างโกลบอลไทมส์ระบุว่า ประกาศของบริษัทมีเจตนาที่จะส่งเสริมค่านิยมทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียรและการสร้างครอบครัว แต่กฎหมายแรงงานจีนไม่ได้รองรับการกำหนดให้พนักงานต้องแต่งงาน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังเผชิญกับการลดลงของจำนวนการแต่งงานที่ทำลายสถิติ โดยในปี 2567 จำนวนการแต่งงานลดลงถึง 20% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน ประชากรจีนที่มีจำนวนถึง 1.4 พันล้านคน กำลังเข้าสู่ภาวะชราอย่างรวดเร็ว และการลดลงของอัตราการเกิดยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งหาทางแก้ไข

รัฐบาลจีนได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสนับสนุนการเปิดหลักสูตร "การศึกษาด้านความรัก" ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อการแต่งงานและการมีลูก

ในระยะยาว คาดว่าในอีกสิบปีข้างหน้า ประชากรจีนราว 300 ล้านคนจะเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งท้าทายทั้งเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ตม.เชียงใหม่ จับหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษ หลังพบอยู่เกินวีซ่า แอบอยู่ในไทยกว่า 25 ปี

(26 ก.พ. 68) ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัด ให้ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม จับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับขบวนการนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ช่วยเหลือซ่อนเร้นคนต่างด้าวให้พ้นจากการจับกุม หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) ในการนี้ พล.ต.ต.สราวุธ คนใหญ่ ผบก.ตม.5 จึงสั่งการให้ ทุกหน่วยในสังกัด กวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่กระทำความผิด และปราบปรามอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อประชาชน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคง และรักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่ประชาชน

ตม.จว.เชียงใหม่ โดยการอำนวยการของ พ.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผกก.ตม.จว.เชียงใหม่ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ งานสืบสวนปราบปรามฯ ทำการสืบสวนเพื่อจับกุมคนต่างด้าว ซึ่งได้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 หรือความผิดตามกฎหมายอื่น 

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 พ.ต.ต.สุธีรเทพ โพธิ์นฤมิต สว.ตม.จว.เชียงใหม่ นำทีมชุดสืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ บูรณาการกำลังร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.5 ออกตรวจสอบสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำความผิดในพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ ถ.ระแกง ต.ช้างคลาน อ.เมือง จว.เชียงใหม่ ผลการตรวจสอบ สามารถจับกุมคนต่างด้าว สัญชาติบริติช จำนวน 1 ราย ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (9,135 วัน)” จึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและรอดำเนินการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป 

โดยคนต่างด้าวรายดังกล่าวให้การรับสารภาพว่าตนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.43 โดยการยกเว้นการตรวจลงตรา (ผ.30) ซึ่งเมื่อครบกำหนดอนุญาตแล้ว ไม่ได้มาดำเนินการยื่นขออยู่ต่อในราชอาณาจักรตามระยะเวลาที่กำหนด พยายามหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ โดยพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 13 ปี ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 12 ปี และได้ทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ สืบสวนติดตามจับกุมได้ในที่สุด

ก.พลังงาน รุดตรวจสอบกรณีบุกรุกพื้นที่ ‘เขื่อนคิรีธาร’ พบแอบปลูกทุเรียนกว่า 260 ไร่ ขีดเส้น 30 วัน ให้ออกจากพื้นที่

กระทรวงพลังงาน นำสื่อมวลชนลงพื้นที่เขื่อนคิรีธาร จังหวัดจันทบุรี หลังพบการบุกรุกพื้นที่โครงการฯ ปลูกทุเรียน กว่า 260 ไร่ พบไม่ใช่ทุนจีน ได้รับฟังเสียงชาวบ้านพร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เวลาออกจากพื้นที่ 30 วัน ก่อนดำเนินคดีผู้บุกรุก พร้อมเดินหน้าปรับปรุงพื้นที่เพื่อบริหารจัดการน้ำและผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

(26 ก.พ. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) และส่วนปกครองจังหวัดจันทบุรี และคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธาร จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่โครงการหลังพบการใช้พื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางอ่างเก็บน้ำ(เกาะร้อยไร่) ซึ่งมีขนาดกว่า 260 ไร่ โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาข้อสรุป พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการให้เกิดความถูกต้องและป้องกันการบุกรุกซ้ำในอนาคต

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า ได้มีการร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พพ. กรมป่าไม้ ส.ป.ก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกร่วมกัน และได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรและปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ ทุเรียน ในหลายจุด ซึ่งพบว่าไม่ใช่ทุนจีนแต่อย่างใด โดยพื้นที่การบุกรุกบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและบางส่วนเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ต้องตรวจสอบสิทธิ์ ที่ผ่านมาทาง พพ.ได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับผู้บุกรุกพื้นที่บริเวณเกาะร้อยไร่ 262 ไร่ และพื้นที่โดยรอบโครงการฯ 17 ราย  21 แปลง 

“การบุกรุกพื้นที่รัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวต้องหมดไป กระทรวงพลังงานและภาครัฐ จะดำเนินการถึงที่สุด ใครทำผิดต้องรับผิด เขื่อนคิรีธารไม่ได้เป็นเพียงโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ แต่เป็นแหล่งน้ำสำคัญของประชาชน การใช้พื้นที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ ได้มีการรับฟังเสียงประชาชน โดยประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิ์จากราชการ จะดำเนินการเยียวยา ส่วนประชาชนที่เข้าใจผิดในการเข้าใช้พื้นที่ กระทรวงพลังงานจะให้เวลา 30 วันในการออกจากพื้นที่ก่อนจะดำเนินคดีหากพบว่ายังมีการบุกรุกอยู่”  ดร.หิมาลัย กล่าว

นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน  กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา พพ. ได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และแจ้งผู้บุกรุกพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ถึงปัจจุบัน ได้ติดตาม ตรวจสอบและประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่เขื่อนคิรีธาร มีการลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับกรมป่าไม้ โดย พพ. มีหนังสือขอยกเลิก หรือเพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินบางส่วนจาก ส.ป.ก. และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ โดยการดำเนินคดีและมาตรการต่าง ๆ จะเป็นไปตามกรอบกฎหมาย พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำที่เป็นพลังงานสะอาด และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ พพ. ยังเตรียมเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธารให้สามารถเพิ่มน้ำต้นทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top